ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic-y-shinhwa : Power of love

    ลำดับตอนที่ #14 : part 14 ความจริง...หลอกลวง

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 52


    NC Club  ใต้แสงไฟมืดสลัวคละคลุ้งด้วยควันบุหรี่สีเทาและกลิ่นนิโคติน  เสียงสนทนาของแขกในร้านถูกกลบด้วยเสียงเพลงที่กำลังอยู่ในกระแสนนิยมทั้งเพลงช้าให้บรรยากาศหม่นหมองอย่าง Awfully ของ Beige ไปจนถึงเพลงที่ผสมสานระหว่างอิเลคทรอนิคกับฮิปฮอป อย่าง Minnovation ของ M ที่กำลังเปิดอยู่ในขณะนี้ ด้วยจังหวะดนตรีที่น่าเร้าใจแขกหลายโต๊ะจึงพากกันออกไปโยกย้ายสายสะโพกกันสนุกสนาน หรือไมก็โยกศรีษะ หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายไปตามจังหวะเพลงพร้อมกับจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นครั้งคราว

    แต่นั้นคงไม่ดึงดูดใจพอสำหรับลูกค้า 4 คนด้านใน ในเวลานี้

    ชายคนแรกในชุดเสื้อเชิร์ดแขนยาวสีขาวและกางเกงสีครีมขาดเข็มขัดหนังสีดำรับกับใบหน้าอันมีสเน่ห์ของของเจ้าตัวมองคนฝั่งตรงข้ามราวกลับจะจับผิด ในขณะที่ชายคนที่สองที่ดูอายุน้อยที่สุดทั้งหน้าตาและการแต่งกายที่เลือกใส่เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อเชิร์ตสีควันบุหรี่กับกั๊กสีดำและกางเกงยีนนั่งอยู่ข้างชายคนแรกทัดไปทางซ้ายมือมองอย่างรอฟังคำตอบซึ่งแน่นอนว่ามันสร้างความอึดอัดใจให้กับอีกสองคนอยู่ไม่น้อย

    ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนการที่จะตอบคำถามในเรื่องนี้มันก็เลยยากเอาเรื่อง แถมทั้งคู่ก็ยังไม่ได้ตกลงหรือพูดอะไรกับให้เป็นเรื่องราว ที่สำคัญคือฮเยซองยังไม่หมั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าความรู้นั้นเป็นความรักหรือแค่ความเหงา ยิ่งไปกว่าความอึดอัดจากสายตาของเอริคมันทำให้หงุดหงิดเสียจนหมดอารมณ์ไม่อยากจะพูด ครั้นจะไม่มองก็ยังรู้สึกถึงกระแสจิตที่ส่งมาอยู่ดี  ส่วนจอนจินขยับปากจะพูดถึง 3 ครั้ง 3 ครา แต่ก็ลงท้ายด้วยการถอนหายใจไป 3 รอบ เช่นกัน  นั้นไม่ใช่เพราะสายตาของเอริคหรือแอนดี้อย่างของฮเยซอง เพราะคำตอบมันมีอยู่ในใจมาตั้งนานแล้ว แต่กลัวจะไม่ถูกใจคนนั่งข้าง ๆ มากกว่า

    “ฉันจะไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา”  ฮเยซองผุนผลันเดินไป  

    “พี่ก็ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมานะ” เอริคหันมาบอกแอนดี้แล้วก็เดินไปเช่นกัน


    เมื่อฮเยซองและเอริคเดินไปบรรยากาศก็เปลี่ยนแทบจะในทันที

    “นายยังไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ฮเยซอง” แอนดี้เป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน มองหน้าอย่างรู้ในคำตอบ

    “ก็ใครละที่เข้ามาขัดจังหวะ” ทางนี้ก็รอจังหวะต่อว่าอยู่เหมือนกัน

    “ใครจะไปรู้ว่าทำอะไรกันอยู่ ที่หลังหัดล็อคประตูซะซิ”

    “กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะไปคิด”


    เฮ้อ~ ต่างก็มองหน้าแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

    “คงต้องให้เวลาพี่ฮเยซองเข้าหน่อย”

    “อันนั้นฉันรู้อยู่แล้วไม่ต้องมาเป็นห่วงหรอก ว่าแต่เรื่องของนายเถอะ”

    “เรื่องผม มันทำไมละ”

    “นายอาจจะต้องเสียแรงเปล่า”

    “เกี่ยวกับ…”

    “น้องของพี่ฮเยซองนะ”

    “แค่เรื่องนี้...” หน้าของจอนจินมันบ่งบอกว่ามีเรื่องอื่นด้วย

    “ก็มีเรื่องอื่น ๆ ด้วยนั้นแหละ”

    “อยากจะบอกอะไร ก็พูดออกมาเถอะ ผมฟังได้อยู่แล้ว”

    “แต่จะเชื่อหรือเปล่าก็อีกเรื่องใช่มั้ย นั้นแหละถึงไม่อยากพูด”


    จอนจินก้มหน้าใช้ความคิดว่าตนควรจะพูดออกไป หรือจะปล่อยให้เจ้าตัวรู้เอง เรื่องแบบนี้มันก็พูดอยาก เพราะเค้าเองก็ยังไม่รู้จักเพื่อนคนนี้ดีนัก แอนดี้เป็นคนที่เหมือนจะดูออกง่าย แต่บางที่ก็ดูอยาก เหมือนเปิดเผยแต่บางทีก็ไม่ใช่ เหมือนจะไม่สนใจแต่บางที่ก็อาจกำลังสนใจอยู่

    “นายไม่มีวันได้เจอน้องพี่ฮเยซองหรอก”

    “กำลังบอกผมว่าน้องพี่ฮเยซองตายไปแล้วงั้นเหรอ”

    “ก็นายสืบไปถึงไหนแล้วละ”

    “รางสังหรณ์ของพี่ฮเยซองอาจถูกต้องนะ หลังจากถูกจับมีคนระบุได้ว่ามีเคยเด็กหน้าตาเหมือนน้องพี่ฮเยซองขึ้นเครื่องไปอเมริกา และผมก็เช็คแล้วด้วยว่าไม่ได้ขึ้นเครื่องกลับ แต่...อาจจะมีใครเปลี่ยนชื่อ หรือสับตัวเพราะใบหน้าตรงกันแต่ชื่อไม่ใช่ นี้แหละผมถึงไปหาพี่ฮเยซองตั้งแต่เช้า”

    “ก็ยังยืนยันไม่ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่”

    “ก็ยังยืนยันไม่ได้เหมือนกันว่าตายไปแล้ว”

    “งั้นนายควรจะได้เจอใครบางคน”

    จอนจินมองซ้ายมองขวาแล้วก็เรียกเด็กคนหนึ่งให้เข้ามาที่โต๊ะ

    “ยุนโฮ มานี่ซิ นายไปตามคุณอิมฮารยองมาหาฉันหน่อย”

    “อิม-ฮา-รยอน”

    “ไปเร็ว ๆ ซิ มัวยืนมองอะไร”

    “ครับ ๆ ๆ”

    จอนจินหันไปดุเด็กที่ยอมไปตามคำสั่ง พอหันกลับก็เห็นแอนดี้ทำปากขมุบขมิบ

    “แอนดี้ นายเป็นอะไร”

    “คุณอิมฮารยอง เป็นใคร? ผมรู้สึกคุ้นชื่อเค้าจัง”

    “นายก็ต้องคุ้นอยู่แล้วละ ก็เค้าเป็นคนที่...”

     RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR
    เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะพูดของจอนจิน แม้แอนดี้จะตัดสายทิ้งมันก็ยังดังขึ้นมาอีก
    RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR

    “นายกดรับโทรศัพท์ก่อนเถอะอาจเป็นเรื่องสำคัญก็ได้”

    “อืม...ฮัลโหล...ฮัลโหล ว่าไงฮะ”

    “นายออกไปคุยที่หลังร้านเถอะ ที่นั้นเงียบกว่าที่นี้ แล้วค่อยกลับมาคุยกันต่อ ระหว่างนี้ฉันจะตามพี่ฮเยซองกับพี่เอริค”

    “อือ ๆ” พยักหน้าแล้วเดินออกไป


    เมื่อพ้นประตูหลังร้าน แอนดี้ก็พบว่ามันเหมือนอยู่อีกโลกนึงไปเลย พื้นที่หลังร้านขนาดไม่กี่ตารางวาถูกปูไว้ด้วยพรมมีชีวิตสีเขียวไปจนตลอดแนว แม้แต่ด้านข้างที่มีความขวางแค่พอให้คนตัวเล็ก ๆ สองคนคุยกันได้สิ่งชีวิตสีเขียวนี้ก็ยังไปถึง เค้าเดินไปนั่งลงตรงม้านั่งใกล้ ๆ กับเสาไฟที่ให้แสงสว่าง มองเบอร์บนมือถือแล้วก็รีบกดโทรกลับไปด้วยว่าสายนี้สำคัญเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เค้าเพิ่งสนทนาอยู่กับจอนจินก่อนหน้านี้  

    ขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์ เสียงบางอย่างมาดึงความสนใจ จนเค้าต้องเดินไปดูโดยที่หูยังคงแนบไว้กับมือถือฟังเสียงทางปลายสาย
    ...
    .........................................................................................
    “ปล่อยฉันนะเอริค!”  ฮเยซองตะคอกใส่แผ่นหลังกว้างที่ทั้งลากทั้งดึงเค้ามาจากห้องน้ำ

    ก่อนหน้าฮเยซองขอตัวเข้ามาห้องน้ำเพราะอยากจะอยู่เงียบ ๆ ทบทวนอะไรซักหน่อย ดังนั้นเค้าจึงขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำนานหลาย 10 นาที เมื่อตัดสินใจและเปิดประตูออกมาก็พบว่าเอริคยืนพิงอ่างล้างหน้าอยู่ ฮเยซองเหลือบแต่ละห้อง ก็พบว่ามันว่างอยู่หมดยกเว้นห้องที่เค้าเพิ่งเดินออกมา จึงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเอริคมาดักรอเค้านั้นเอง
    นั้นเป็นการเริ่มต้นบนสนทนาอันยืดยาวเกือบครึ่งชั่วโมงและหาบนสรุปไม่ได้ แล้วกลายเป็นการโต้เถียงเสียงดังขึ้นเลื่อย ๆ และเค้าก็ถูกลากมาที่นี้  ช่างว่างเล็ก ๆ ข้างร้านที่มีแสงสลัว ๆ เพราะไฟส่องไปไม่ถึง พื้นที่น่าจะปูไว้หญ้าสีเขียวเพราะมันอ่อนนิ่มเมื่อเหยียบลงไป

     
    เอริคผลักฮเยซองเข้าไปข้างในแล้วตัวเองจึงเดินตามเข้าไปจับข้อมือไว้

    “ทำบ้าอะไรของนาย พาฉันมานี้ทำไม่”

    “ผิดหวังเหรอ ที่ไม่ใช่จอนจินหรือแอนดี้ที่เป็นคนลากนายออกมา ใช่สิถ้าเป็นสองคนนั้นนายคงเดินตามมาง่าย ๆ”

    “ที่ฉันพูดกับนายไป มันไม่ซึมซับเข้าหัวสมองเลยรึไง ถึงเล่าในห้องน้ำไม่พอต้องลากมานี้”

    “ไอ้ที่นายสาธยายความรู้สึกต่อจอนจินเป็นฉาก ๆ นั้นนะเหรอ รู้สึกดีอย่างงั้น อบอุ่นอย่างงี้ ฉันอาจกำลังชอบเค้าก็เลยพิสูจน์ด้วยการจูบกัน ทนฟังจนจบได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

    “นายเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนอยากรู้ ที่นี้จะมาโวยวาย นายมันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”

    “ฉันบ้าก็เพราะนายนั้นแหละ”

    “เพราะฉันเหรอ มันควรจะเป็นแอนดี้ถึงจะถูกเพราะเค้าเป็นแฟนนาย”

    “ใครจะไปสนใจละ” เอริคผลักฮเยซองจนไปติดกับข้างฝา แล้วตามไปจับแขนทั้งข้างตรงไว้

    “ถ้าตอนนี้แอนดี้ได้ยินคงจะเสียใจมาก”

    “ก็ช่างเค้า” ความโมโห สมองเล็กคงไม่ดืทำงาน

    “ฉันไปทำอะไรให้นาย แอนดี้ไปทำอะไรให้นาย”

     “จะให้ทวนความจำมั้ยละ เริ่มจากนายก่อนเลยดีมั้ยฮเยซอง เมื่อสามปีก่อน....”

    “หยุดนะฉันไม่อยากฟัง มันไม่จำเป็น”

    “ทำไมทนฟังไม่ได้เหรอ ว่านายปฏิเสธความรักของเราขณะครวญครางอยู่ใต้ร่างฉัน นายอ้างว่ามันเป็นเพราะศักดิ์ศรี เป็นหน้าที่ต้องสืบสอด นายจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงดี ๆ แล้วมีทายาท ฉันบอกว่าเรายังมีวิธีอื่น นายจำได้มั้ยนายพูดกับฉันว่าไง”


    ฮเยซองไม่ตอบคำถาม เค้าเพียงมองตอบดวงคม  เอริคจึงเป็นคนตอบซะเอง

    “ฐานนะเราต่างกันเกินไป นั้นเป็นคำตอบของนาย เป็นไงละเถียงไม่ออกไม่ละซิ”

    “แล้วยังไงต่อนะ..อืม...ฉันก็เลยขอเวลานาย 3 ปีใช่มั้ย จะทำให้ฐานนะเราเท่ากัน นายจะได้ทิ้งศักดิ์ศรีบ้าบอนั้น แต่เมื่อถึงเวลานายกลับปฏิเสธฉัน ด้วยเหตุที่ว่านายรักแอนดี้!”

    “เพราะงั้นนายก็เลยแต่งงานกันเค้า เพื่อแก้แค้นฉันงั้นซิ”

    “ใช่ แล้วก็ได้ผล ถึงจะแค่พักหนึ่ง เพราะฉันดันเผลอฉะลาใจ ไม่คิดว่านายจะหันไปกว่าคนใกล้ตัวที่ฐานนะต่ำกว่าฉันซะอีก”


    ฮเยซองแทบจะกดความโมโหของตัวไว้ไม่อยู่  แต่เค้าก็พยายามกัดฟันแน่นเพื่อระงับอารมณ์

    “ถามหน่อยเถอะ เวลา 2 เดือนที่อยู่แอนดี้ ไม่รักเค้าบ้างเลยรึไง”

    “ทำไมต้องทำใจรักคนที่แย่งนายไปจากฉันด้วย ถ้าความสงสาร ก็พอมีอยู่บ้าง”

    “แล้วที่ว่านายจะทำให้เค้ามีความสุข”

    “ฉันตั้งใจทำมันจริง ๆ นะ เพราะมันจะเป็นความทุกของนาย”

    เพี๊ยะ ฮเยซองสลัดมือที่ถูกตรึงไว้ฝาดใส่หน้าเอริคไปเต็มแรง เกลียดผู้ชายคนนี้เหลือเกิด เป็นไปอย่างที่เค้าคิดไว้ทุกอย่างผู้ชายคนนี้ไม่มีทางรักใครได้นอกจากตัวเอง

    “คนอย่างนายไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หรือจะได้รับความรักมากมายจากใคร ก็ไม่ลดความเห็นแก่ตัวไปได้เลย ความรักที่เห็นแก้ตัวของนายมันทำให้ฉันซะอิดซะเอียนจนทนอยู่ด้วยไม่ได้  นี่เป็นเหตุผลจริง ๆ ที่ฉันปฏิเสธนาย ไม่ใช่เพราะใคร”

    เอริคบังคับจูบฮเยซองเหมือนคนขาดสติ ในใจคงมีแต่คำว่าไม่อยากแพ้ และศักดิ์ศรี
    ............
    .............................
    ...............................................
    ........................................................................

    ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่ผมยืนยังอยู่ตรงนี้ ทนฟังบนสนทนาระหว่างเค้าสองคนจนจบ

    ไม่รู้นานแค่ไหนที่ที่น้ำตาของผมมันรินไหลไม่ยอมหยุด

    ผมยังต้องทนอีกนายไหม ดูผู้ชายที่ผมรักปล้ำจูบพี่ชายของผม

    แล้วมันไม่รู้จะอีกเท่าไหร่ จึงจะมีใครฉุดผมออกไปจากตรงนี้ซักที

    หรือผมต้องกก้าวมันออกไปเอง
    .
    .

    “พี่แอนดี้! มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ ไม่เห็นที่โต๊ะนึกว่ากลับแล้ว”

    "พี่ครับ พี่ร้องไห้ทำไม"
    .
    .

    ขอบคุณที่เรียกผม

    ขอบคุณที่ทำให้พวกเค้าหันมา

    ขอบคุณที่ทำให้เค้ารู้ว่าผมอยู่ตรงนี้...ได้ยินทุกอย่าง
    ...................................................................................................................................................................................................
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×