กรุ๊งกริ๊ง กระดิ่งสีทองบนปลอกคอสีดำสนิททำจากหนังชั้นดี ส่งเสียงดังกังวาน ยามเจ้าของปลอกคอที่มีผ้าพันแผลอยู่บนเท้าหน้าขยับวิ่งอย่างสนุกสนาน ผิดกับบรรยากาศของคนสองคนในเวลานี้
มินอูกอดอกนั่งมองดงวานผู้กำลังตกอยู่ในฐานะจำเลยก้มหน้าและมีเลือบตามองเค้าอยู่บ่อยครั้ง
“มันน่ารักดีนะ...ว่ามั้ย” ดองวานผู้ทำลายความเงียบ
“นั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากรู้” มินอูผู้บึ้งตึง
“เราน่าจะตั้งชื่อให้มันนะ ฉันคิดไว้แล้ว นายละจะตั้งชื่อ...”
“อย่านอกเรื่อง”
“มันหวาน นายว่าดีมั้ย”
“ดงวาน!” มินอูเอ็ดเสียงดัง “นายไม่สำนึกในความผิดของตัวเองเลยใช่มั้ย”
“จะให้ฉันปล่อยมันตายอยู่ข้างถนนได้ยังไง”
“นั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาจริง ๆ คือ นายไม่เข้าประชุมเพราะแค่หมาตัวเดียว”
“ก็แค่หมาตัวเดียว แต่มันก็มีชีวิต ถ้าที่ถูกชนเป็นคน คงไม่ว่าอะไรซิ” ดงวานพลุกลุกขึ้น
“แต่ที่นายทำ มันทำให้นายขาดความน่าเชื่อถือ สั่นคลอนต่อการบริหารงานของเอริครู้ตัวรึเปล่า”
“แล้วก็ส่งผลต่อแอนดี้ของนายด้วยใช่มั้ยละ”
“ดงวาน!”
“ทำมาเป็นอ้างนู้น อ้างนี้ วันนี้นายไม่ไปเป็นเพื่อนฉัน ก็เพราะจะทำความสะอาดห้องของแอนดี้ ทำเข้าไปเถอะเข้าคงกลับมานอนหรอก”
“ดงวาน! ถ้าไม่ได้ไม่รับปากแอนดี้ไว้นาย..”
“อะไร ๆ ก็แอนดี้ จะมีซักวันมั้ยที่นายไม่พูดถึงเค้า”
“แล้วทำไมฉันจะพูดไม่ได้ อย่ามาเฉไฉจนออกนอกเรื่องเลยดีกว่า”
“ใครว่า เรื่องเดียวกัน ฉัน นาย แอนดี้ แล้วก็มันหวาน”
“นี่นายจะไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด”
“จะให้ยอมรับได้ไงในเมื่อ..”
“ไม่ต้องพูด ไม่อยากฟัง เมื่อไหร่นายสำนึกผิดได้ค่อยมาพูด”
“นายจะเอามันหวานไปไหน”
“เอาไปไว้ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช้ที่นี้”
ดงวานเข้าแย่งมันหวานจากมือของมินอู
“หมาฉัน ๆไม่ให้นายเอาไปไหน”
“นี่ห้องฉัน ฉันจะให้มันอยู่หรือไปก็ได้” มินอูแย่งเอากลับมา
“ไม่ ฉันไม่ให้มัน”
เพราะไม่อธิบายให้เข้าใจ ดงวานจึงคิดไปว่ามินอูจะเอามันหวานไปปล่อยและพยายามแย่งกลับมาซึ่งเป็นไปไม่ได้ดั่งใจหนักเพราะมินอูไม่ยอมปล่อยมันหวานจากมือง่าย ๆ 2 คน อับอีก 1 หมาเลยพัวพันกันอิลุงตุงนัง
เท่าที่ดูจากสภาพการณ์ มินอูเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ด้วยรูปร่างที่ไม่ใหญ่โตนักเลยทำให้ปราดเปรียวหลบอุ้งมือที่จะคว้ามันหวานได้อย่างว่องไวแถมไม่มีเสียหลักอีกตั้งหาก ส่วนดงวานรูปร่าง พอ ๆ กันก็จริงอยู่ อาจจะกล้ามโตกว่านิดหน่อย แต่เรื่องความว่องไวสู้ไม่ได้ บวกกับติดความซุ่มซามเข้าอีกด้วย เลยไม่รู้แย่งอีท่าไหนสะดุดขาตัวเองซะได้
อิ๋ง
มันหวานตะเกียกตะกายจากมือคนอุ้ม เพราะโดนบีบจากทั้งข้างบนข้างล่าง คืนยังอยู่อาจมีแบน
ส่วนดงวานกับมินอูจะว่าโชคดีก็ไม่ใช่โชคร้ายก็ไม่เชิง มินอูนั้นยืนติดกับโซฟาดงวานถึงเสียหลักล้มลงมาก็ยังมีโซฟานุ่ม ๆ รับไว้ ขณะที่ดงวานก็นั้นแหละมีมินอูรับไว้อีกต่อ อันนี้เป็นเรื่องโชคดี
อันที่ว่าโชคร้ายเห็นจะเป็น ริมฝีปากของคนทั้งคู่ที่สัมผัสกันพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำเอามีอาการตกใจไม่แพ้กัน ผิดก็ตรงมินอูดูจะสติดีกว่าขยับค่อย ๆ ดันให้คนข้างบนลุกขึ้นนั่งที่โซฟา แล้วตัวเองก็ขยับนั่งห่างออกมาอีกมุมของโซฟา ส่วนดงวานหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก มองหน้ากันอิหลักอิเหลื่อ
โดยหมาน้อยผู้ก่อชนวนเห่าบ๊อกแบ๊ก เล่นสนุกไปตามประสา
“ฉันจะพามันไปทำแผลใหม่ นายก็ทำอาหารต่อก็แล้วกัน” มินอูเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“อืม” พยักหน้ารับ แล้วเดินไปเข้าครัวเมื่อมินอูเดินไปแล้ว
อาหารกลางวันมื้อนี้ค่อนข้างจะอึดอัดเป็นพิเศษ เพราะคนร่วมตะอาหารมองหน้ากันไม่ติด ดงวานมีเหลือบ ๆ อยู่บ้าง แต่พอเห็นมินอูเงยหน้าขึ้นมาก็รีบก้มหน้าหลบยัด ๆ อาหารเข้าปากไปไหมมันหมด ๆ ก่อนจะขอตัวออกมาข้างนอกโดยไม่ปล่อยให้มันหวานต้องอยู่กับมินอูตามลำพัง กลัวถูกขโมยเอาไปปล่อย
เฮ้อ~ ผมถอนหายใจรอบที่ 108 ตั้งแต่มานั่งที่สวนสาธารณะ มองมันหวานขุดดิน วิ่งเล่นกับหมาตัวอื่น ๆ ไปพลาง ๆ ให้ลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
แต่ก็นั้นแหละ อะไรทีเราอยากจำกับลืม อะไรที่เราอยากลืมกับจำ หรือใจจริงผมไม่ได้อยากจะลืมก็ ไม่รู้
ตอนที่ได้สัมผัสริมฝีปากนั้นมันเอ่อ....รู้สึกดี ดีมากจริง ๆ ดีจนอยากที่จะรอง...รองที่จะสัมผัสดูอีกครั้ง
ใจผมเองแอบชอบเค้ามานานแล้วละ
“มันหวานมานี้มา”
ผมควักมือเรียกมันหวานที่วิ่งเล่นอยู่ไม่ใกล้นักให้วิ่งกลับมา อุ้มมันให้สองเท้าหลังยืนอยู่บนตัก สองขาหน้าประสานไว้ที่มือ เวลานี้ผมอยากได้ใครสักคนเป็นเพื่อนคุย คนที่จะไม่ความลับของผมไปบอกใคร
“มันหวาน”
“บ๊อก” ขานรับรู้ภาษานะเนี้ย
“แก่คิดว่า มินอูเป็นไงบ้าง”
“บ๊อก ๆ ๆ”
“ทำเป็นความจำสั้นก็ผู้ชายหน้าตาหล่อ ๆ ที่พาแก่ไปทำแผลไง...แก่ว่าเค้าเป็นคนดีป่ะ”
“บ๊อก”
“นั้นซินะ แก่เพิ่งรู้จักเค้าเอง ฉันก็เหมือนกันแหละ เพิ่งรู้จักเค้าแค่ 2 เดือนเอง”
“บ๊อก ๆ ๆๆๆๆ” ทั้งเห่าทั้งกระดิกหาง
“แก่ก็ชอบเค้าเหมือนกันเหรอ ฉันก็เหมือนกันแหละ แต่เค้านะมีคนที่รักอยู่แล้วนะ”
“แผล๊บ ๆ ๆ” แลบลิ้นเลียมือดงวาน
“ให้กำลังใจฉันเหรอ ขอบใจนะ ฉันควรสนองน้ำใจแก่ใช่มั้ยเนี้ยเจ้าหมาน้อย”
“บ๊อก ๆๆๆๆ....”
“อะไรมันหวาน เห่าช้า ๆ หน่อยซิ ฉันฟังไม่ทันนะ”
“หนีมานั่งคุยกับหมาอยู่นี้เอง”
เสียงพูดจากด้านหลัง ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปดู ผมกลัวว่าว่าเค้าจะได้ยินที่ผมคุยกับมันหวาน
.........................................................
หลังจากดงวานขอตัวออก ผมก็นั่งกินอาหารต่อจนเสร็จ ทั้งที่น่าจะกินลงมากกว่าตอนที่เค้าแต่มันกลับฝืดคอซะจนฝืนกินต่อไม่ได้
ทำไมนะ....
ผมก็ว่างอุปกรณ์การกินทุกอย่างลง เก็บและล้างจานทุกใบจนสะอาดเอี่ยม หวังว่าเวลาที่ใช้ไปทั้งหมดจะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็เปล่าเลย อะไรยังติดค้างอยู่ในใจ ความรู้บางอย่างยังคงติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก
กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไหลผ่านตัวเค้ามาสู่ตัวผม ความรู้สึกที่ไม่ควรจะปล่อยให้เกิด แต่พอมันเกิดมาแล้วก็อยากที่จะหยุดไม่ให้อยากลิ้มลอง
ขณะที่ใจผมกำลังหลุดลอยไม่รู้ตัวเลยว่าขาทั้งสองขาพาผมออกมาไกลจากที่พักจนถึงสวนสาธารณะตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่แห่งนี้ผมพบกับใครบางคนที่ขอตัวออกมาก่อนหน้านี้ กำลังพูดอยู่กับหมา
ดงวานเนี้ยบางทีเค้าก็น่ารักดีเหมือนกันนะ
“หนีมานั่งคุยกับหมาอยู่นี้เอง” เดินอ้อมเก้าอี้ไปนั่งใกล้ ๆ
“นายรู้ได้ไงว่าฉันมาอยู่ที่นี้” มานั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ยังไม่กล้าหันไปมอง
“ตามกลิ่นมันหวานมานะ”
“คนอะไรตามกลิ่นหมาก็มีด้วย”
“ของนายต้องใกล้ ๆ ถึงจะได้กลิ่นนิ”
คนฟังถึงกับหน้าร้อนผ่าว ใกล้ ๆ เนี้ยมาแอบดมกันตอนไหน
“เป็นอะไรไม่สบายเหรอเปล่า” .ใช่หน้าผากวัดอุณหภูมิ ยิ่งร้อนไปกันใหญ่
“เปล่า ๆไม่เป็นอะไร”
“’งั้นก็กลับเถอะ” ฉุดมือดงวานให้ลุกขึ้น แต่พ่อล่ำไม่ยอมลุกตาม มินอูเลยต้องนั่งกลับไปใหม่แต่ยังไม่ปล่อยมือ
“เรื่องเมื่อเช้า ฉันผิดเองที่หงุดหงิดคนอื่นแล้วมาลงกลับนาย ฉันขอโทษ”
“จากใครละ แอนดี้อีกละซิ เมื่อไหร่จะพ้นชื่อนี้”
“ไม่ใช้หรอก กลับกันเถอะ”
มินลุกขึ้นจูงมือดงวานอีกครั้ง ดงวานถึงไม่ทำสีหน้าว่าอยากจะกลับ แต่ก็ลุกเดินตามไม่อิดออด ในมืออุ้มมันหวานด้วย 1 ข้างเพราะยังไม่ได้ซื้อสายจูง
“ระหว่างทางแวะซื้อสายจูงหน่อยนะ ตอนเล็ก ๆ ยังพอไหว ถ้าโตขึ้นสงสัยจะอุ้มไม่ไหว”
“ได้ซิถือเป็นการไถ่โทษ ที่ฉันหงุดหงิดใส่นาย”
.
.
.
นับถอยหลังจากวันนี้อีก 28 วัน เอริคกับแอนดี้ก็ต้องกลับไปทำงานตามกำหนดการ และด้วยคำขอร้องของพี่ชายที่รักมาก เวลาที่ผ่านมาทั้งหมดทุ่มเทไปกับการตามหาน้องชายของฮเยซองทั้งวี่ทั้งวันโดยมีเอริคคอยช่วยอีกแรง เพราะข้อมูลที่มีอยู่เพียงรูปถ่าย วันเดือนปีเกิด กรุ๊ปเลือด กว่าจะรวบรวมข้อมูลเพิ่มให้ได้มากพอให้นักสืบทางอเมริกาตามหาอย่าว่าแต่จะได้ออกไปไหน แค่หน้าคนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็แทบจะไม่ได้เจอ เพราะอยู่รวบรวมเอกสารจนดึกกว่าจะตื่นก็สาย ฝั่งฮเยซองกับจอนจินก็ออกแต่เช้ากลับดึก ตี 1 ตี 2 หรือไม่ก็นู้นสว่างเลย
ที่เอริครู้ก็ไม่ใช่อะไร เพราะตั้งแต่วันที่จอนจินแบกฮเยซองใส่หลังกลับมาเค้าก็เฝ้าดูคู่นี้มาตลอดนั้นเอง
“แอนดี้ พักหลังนี้ฮเยซองกับจอนจินดูแปลกว่ามั้ย” ถามขึ้นขณะยืนพิงกระจกมองคนตัวเล็กเลือกเสื้อผ้าสำหรับใส่เช้านี้
“แปลกไป? ยังไงฮะ ก็เห็นปกติดี ทำไมเหรอ”
“เปล่าหรอกก็ถามดู....นี่นายจะใส่ตัวนั้นจริง ๆ เหรอ”
แอนดี้ที่กำลังสวมใส่เสื้อยืดสีครีมขนาดพอดีตัว หยุดค้างไว้แค่ที่ข้อศอก มองไปที่กระจกซึ่งบัดนี้คนพูดไม่อยู่แล้ว แต่กลับเดินมาหาเค้า ซ้อนตัวจากด้านหลังกอดเอวกลมไว้หลวม ๆ
“ทำไมฮะ เราไม่ได้จะออกไปไหนนี้”
“เอาเป็นว่าเปลี่ยนเถอะ...ถ้านายไม่อยากเสียเสื้ออีกตัว”
“พี่เอริค! พี่เป็นพวกชอบฉีกเสื้อนักรึยังไง ผมรีบลงไปข้างล่างดีกว่าเดี่ยวจะไม่ได้เจอพี่ฮเยซองอีก” แอนดี้ดึงเสื้อขึ้นมาใส่จนเสร็จ แกะมือเอริคออกเดินไปหาประตู
“ไม่ต้องรีบลงไปหรอก คู่นั้นคงไม่ตื่นง่าย เมื่อคืนกลับมาจนสว่าง” เอริคคว้าข้อมือเล็ก
“รู้ได้ไงฮะ พี่เฝ้าเค้าอยู่รึไง”
ใบหน้าน่ารักแฝงเค้าร่างความหงุดหงิดเล็ก ๆ หากเอริคก็พอสังเกตเห็น
“ก็แค่ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาตอนใกล้สว่างเท่านั้นเอง ทำไมหึงพี่เหรอ”
“หลงตัวเอง”
“ก็แล้วหงุดหงิดทำไมละ...พี่ว่ารอให้สายอีกนิดแล้วไปหาที่ห้องเลยดีกว่า”
“จะปลุกเค้ารึเปล่าฮะ ถ้ายังไม่ตื่นนะ”
“ไม่หรอก เค้าไม่น่าจะตื่นช้าไปกว่าเรา”
“ยังไงฮะ โอ๊ะ!พี่เอริค”
แอนดี้ตกใจเมื่อคนตัวใหญ่แบกขึ้นบ่า พายอนนอนบนเตียงที่ลุกออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง
“จะทำอะไรฮะ”
“ยังจะถามอีกเหรอ ก็ทำให้นานหายหึงนะซิ” มองสายตาหวานเยิ้ม ขณะคร่อมคนตัวเล็กอยู่บนเตียง
เอริคอยากทำมาตั้งแต่เห็นแอนดี้เดินตัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ แต่ยังหาข้ออ้างไม่ได้
“ผมเพิ่มจะอาบน้ำเสร็จเองนะ”แอนดี้ใช้แขนดันอกเอริค ยอมตอนนี้ละก็ไอ้ที่อาบน้ำกับใส่เสื้อผ้าจะทำไปทำไมละ ถ้าจะต้องทำใหม่ทั้งหมดอีกรอบ
“เราไม่ได้ทำด้วยกันนานแล้วนะ”
“แต่เรายังตามน้องพี่ฮเยซองไม่เจอเลยนะฮะ” แอนดี้หาข้ออ้าง
“ใจคอนายจะให้ฉันรอจนตามเจอจริง ๆ นะเหรอ” เอริคก็เปลี่ยนมานั่งหันหลังทำหน้าเป็นหมียักษ์โดนขัดใจ
“ก็เมื่อวันคริสต์มาส พี่ก็ได้ไปแล้วนี้” แอนดี้ลุกขึ้นพูดเสียงอ่อย
“นั้นนะมันตั้งเดือนมาแล้วนะ.... ช่างเถอะฉันมันสำคัญไม่เท่าน้องชายของฮเยซองอยู่แล้วนี่” ตอนนนี้เปลี่ยนเป็นน้อยใจซะแล้ว
“พี่ไม่ได้น้อยใจจริง ๆ ใช่มั้ย”
“นายสนฉันด้วยเหรอะ คิดว่าสนแต่เรื่องของฮเยซองซะอีก” ยังงอนไม่เลิก
“พี่เป็นแฟนผม ผมก็ก็ต้องสนพี่มากที่สุดอยู่แล้วนี่ฮะ”
“งั้นนายก็ยอมฉันซิ”
“เอ่อ..อือ”
เอริคไม่ปล่อยโอกาสรีบปิดปากซะก่อนที่แอนดี้จะหาข้ออ้างใหม่ได้ ด้วยจูบที่นุ่มนวล อ่อนหวานและแสนเย้ายวน จนคนตัวเล็กเผลอเคลิบเคลิ้มโอบรอบคอคนตัวใหญ่ ตอบรับลิ้นอุ่นของเค้าที่ซอกซ่อนผ่านริมฝิปากอิ่มเข้าไปสำรวจโพลงที่ไม่ได้ลิ้มรสความหวานมานานด้วยลิ้นลิ้นเล็ก ๆ เอริคจึงถอนริมฝีปากออกก่อนจะปรนเปรอความสุขแสนยาวนานเป็นลำดับต่อไป
“ว่าไงตกลงมั้ย” แกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบ
“ขี้โกง” คำต่อว่าดังออกจากริมฝีปากอิ่มที่เอริคคลอเคลียร์อยู่ ผิดไปจากที่คาดไว้นิดหน่อย แต่ก็ยังโอเคอยู่
“ฉันไปขี้โกงอะไรนาย ฮืม”
“ก็พี่เล่นทำแบบนี้ ถึงผมจะไม่โอเค ก็ต้องโอเคอยู่แล้ว”
“ฉันไม่ได้บังคับนายนะ นายเปลี่ยนใจเองตั้งหาก” หยุดการกระทำก่อนหน้านี้ มองหน้าแอนดี้ตรง ๆ
“ใครว่าผมเปลี่ยนใจกันละฮะ”
“อย่านะว่าเมื่อกี้ไม่...”
แอนดี้รีบยกมือขึ้นปิดปากเอริค
“เรื่องของเราไว้ต่อคืนแล้วกันนะฮะ ตอนนี้ผมจะไปหาพาฮเยซองก่อน ถึงจะกลับมาเกือบสว่างพี่เค้าก็ไม่ใช่คนที่จะนอนตื่นสายหรอกฮะ”
แอนดี้ใช้จังหวะทีเอริคยังงง ๆ ว่าคนตัวเล็กทนรสจูบของเค้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบลุกเดินออกจากห้องไป ขืนทิ้งไว้เกิดจูบแบบเมื่อกี้ ครั้งนี้คงทนใจแข็งไม่ได้อีกแน่ ๆ
............................
เมื่อพระจันทร์สีเหลืองนวลจางหาย แสงสีทองโผล่พ้นขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก เป็นสัญญาณเริ่มต้นเช้าวันใหม่ อีกครั้ง
ร่างบางที่หลับสนิทใต้อ้อมกอดแสนอบอุ่นบนเตียงนุ่มในห้องนอนที่ตอนนี้คุ้นเคยเสียยิ่งกว่าห้องตัวเอง ขยับตัวหยุกหยิกตามเข็มนาฬิกาชีวิต ที่บอกว่าบัดนี้เค้าสมควรจะตื่นได้แล้ว แต่คนข้างกายคงจะยังไม่อยากซักเท่าไหร่ จึงกระชับอ้อมกอดหลวม ๆ ให้แน่นขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอ นอนต่ออีกนิดเถอะนะยังง่วงอยู่เลย” เสียงทุ้มกระซิบข้างใบหู แล้วก็ซุกหน้ากลับลงไปเช่นเดิม
เมื่อถูกขอร้องแกมบังคับจากคนตัวสูงกว่า (นิดหน่อย) ฮเยซองเลยจำต้องนอนอยู่แบบนั้นอีกพักใหญ่ พอให้วงแขนที่โอบร่างคลายลงจึงขยับตัวจะลุกขึ้นใหม่ หากแต่พอผลิกตัวแขนนั้นก็กลับโอบกระชับเข้ามาอีก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ถ้าไม่ติดว่าเห็นคนข้าง ๆ กำลังหลับสบายคงจะลุกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“เป็นผู้ชายที่แข็งแรงกว่าฉันแล้วซินะ”
ฮเยซองบ่นพึมพำขณะมองใบหน้าของคนหลับ พลางนิ้วเรียวขยับเขี่ยเส้นผมหนาที่ปิดหน้าให้เปิดขึ้น จอนจิน เด็กชายตัวผอมที่เดินตามพี่ชายต่อย ๆ เมื่ออดีต โตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างกำย่ำ แข็งแรงจนเค้าดิ้นให้หลุดจากวงแขนนี้ไม่ได้ ใบหน้าที่เคยน่ารักก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าหล่อ ๆ ที่คมเข้มสมชายชาตรี ทำไมเค้าเพิ่งมาสังเกตเห็นตอนนี้นะ คงเพราะความใกล้ชิดละมั้ง
ตั้งแต่วันที่ได้ปรับความเข้าใจ เค้ากับจอนจินค่อนข้างจะสนิทกันซึ่งความสนิทสนมคุ้ยเคยนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และรวดเร็ว เดี๋ยวนี้เมื่ออยู่กันตามลำพังเค้าจะเรียกจอนจินว่าจินเฉย ๆ ส่วนจอนจินก็เรียกเค้าว่าพี่ ส่วนหนึ่งคงเพราะช่องว่างของความไม่เข้าใจกันถูกแทนด้วยความรู้สึกที่ต่างก็ห่วงใยและอยากปกป้องกันและกัน ความสนิทสนมในวัยเด็กระหว่างพี่ชายกับน้องชายก็เลยกับมา หากแต่มีอีกส่วนที่หาคำอธิบายไม่ได้
“การนอนคนเดียวที่กลายเป็นเรื่องยากไปอย่างไม่น่าเชื่อ”
หากพ้นเสาร์อาทิตย์นี้ไปก็จะเป็น 3 สัปดาห์แล้วที่เค้ามานอนห้องนี้จนคุ้นเคยเสียกว่าห้องตังเองซะอีก เดิมทีก็มานอนเพราะต้องการหลบเสียงอะไรบางอย่างที่คนตัวใหญ่หนึ่งในเจ้าของห้องข้าง ๆ ที่สร้างขึ้นมาอย่างจงใจเพื่อเย้ยหยัน มารู้ตัวอีกที แม้จะไม่มีเสียงนั้นเพราะคนตัวเล็กเจ้าของห้องอีกคนไม่คอยจะยอมซักเท่าไหร่ ก็กลายเป็นว่าถ้าไม่มีคนข้าง ๆ ตอนนี้อยู่ด้วยก็จะนอนไม่หลับ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีที่แปลกไปกว่า คือ เค้าจะรู้สึกหงุดหงิดเสมอเมื่อถึงวันที่จอนจินต้องไปทำงานที่ไนท์คลับ และยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีกถ้าเค้าตามไปแล้วพบว่าจอนจินกำลังถูกห้อมล้อมด้วยสาว ๆ จำนวนมาก และหมอนั้นก็ยิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้เหมือนกับเมื่อคืน จนเค้าต้องหนีกลับมาก่อน นึกแล้วอยากเอานิ้วดีดหน้าผากสักที กลับมากี่โมงกี่ยามก็ไม่รู้แล้วยังมีหน้ามานอนกอดเค้าอีก
ฮเยซองกำลังจะใช้นิ้วดีดหน้าผาก
“พี่ไม่นอนต่อเหรอ” เหมือนจะรู้ตัวเลยตื่นขึ้นมาซะก่อน
“ตื่นแล้ว ใครที่ไหนเค้านอนต่อกัน” ทำเสียงฟึดฟัดไม่พอใจ
“ก็ผมยังง่วงอยู่นิด นอนต่ออีกนิดเถอะนะ”
เสียงออดอ้อนงัวเงี้ย คิดว่าทำเสียงแบบนี้แล้วจะสงสารเหรอะ ฝันไปเถอะ
“จะไปอาบน้ำ อยากนอนก็นอนไปคนเดียวซิ”
“อย่าเพิ่งไปเลยนะ”
“นายคิดว่าห้ามฉันได้เหรอ อย่าลืมนะว่าเมื่อคืนนี้นายยังทำไม่สำเร็จเลย เช้านี้ก็อย่าหวัง”
“พี่ก็อย่าลืมซิว่าเช้านี้เราอยู่กันแค่สองคน”
“แล้วไง?”
“ผมก็ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะอายใคร” แขนแกร่งรั้งเอวบางเข้ามากอดไว้ทั้งตัว ให้ใกล้เข้ามาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ยืนจมูกไปหอมแก้ใส ๆ ที่ขึ้นสีระเรื่อ ถ้าไม่เพราะการหึงของฮเยซองเมื่อคืน เช้านี้จอนจินคงไม่กล้าทำถึงขนาดนี้
“นายทำอะไร ปล่อยนะ!” ฮเยซองผลักอกจอนจิน แต่ไม่เป็นผล
“คืนปล่อยพี่ก็หนีผมไปแบบเมื่อคืนนะซิ”
“ฉันจะกลับไปนอนห้องเดิม”
“ผมนะไม่เป็นไรหรอก แต่พี่นะจะนอนหลับเหรอ ถ้าไม่มีผมกอด”
“จอนจิน! น้อย ๆ หน่อย ฉันพี่นายนะ ไม่ใช่แฟนอย่าลามปาม” ฮเยซองตวาด
“ก็เป็นแฟนซะซิ”
ตาเรียวมองมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู ว่าจะพูดถึงขนานนี้
“อย่ามาพูดเล่นกันฉันนะ”
“ใครว่าผมพูดเล่น ที่พูดไปจริงทุกคำ อย่าบอกนะว่าพี่แกล้งไม่รู้ว่าผมคิดยังไง ตัวพี่คิดยังไง”
“ฉันคิดยังไง ตัวฉันเองรู้ดีที่สุด ไม่ต้องมาบอก...ปล่อยฉันได้แล้วจะกลับ ถ้าไม่ก็อย่าหาว่าพี่ใจร้ายก็แล้วกัน”
แม้จอนจินจะยอมปล่อยให้ฮเยซองไปเพราะคำขู่ แต่ก็ไม่ละความพยายาม จอนจินตามไปกอดฮเยซองที่เอื้อมไปจับลูกปิดประตูจากด้านหลัง สบหน้าลงกับไหล่มน
“ถ้าไม่รู้สึกอะไรกับผมมากกว่าน้องชาย เมื่อคืนนี้พี่จะหนีผมกลับมาทำไม”
“นี้มันชีวิตจริงนะจอนจิน ไม่ใช่ละครหรือนั่งการ์ตูน ที่จะเปลี่ยนความรู้สึกจากน้องชายมาเป็นคนรัก แค่เวลาไม่กี่วัน”
“แต่เราก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ พี่เองก็รู้ไม่ใช่เหรอ” จอนจินจับฮเยซองให้หันหน้ามาสบตา
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกัน มันอยู่ที่ฉันคิดกับนายแค่น้องต่างหาก”
“คิดเหรอ พี่คิดหรือพยายามคิดละ เลิกยึดติดกับความคิดเติม ๆ ซักที่เถอะ ทำไมไม่ถามตัวเองดูละว่าพี่รู้สึกยังไงเวลาที่ผมกอด พี่จะไม่รู้สึกอะไรใช้มั้ยถ้าผมจูบพี่”
“จอนจิน!”
“ลองดูมั้ยละ ลองจูบกับผมซักครั้ง ถ้าพี่ไม่คิดอะไรผมจะกลับไปเป็นน้องชายตามเดิม”
ไม่ว่าฮเยซองจะตอบตกลงหรือไม่ จอนจินก็ดันให้หลังของฮเยซองพิงกับพนังประกบปากตัวเองเข้ากับริมฝีปากบาง ถ่ายทอดความรักความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อคนตรงหน้าผ่านการสัมผัสที่นิ่มนวล และแสนหวานให้มากเท่าที่จะมากได้
มันช่างน่าประหลาดเหลือเกินกับความรู้สึกหวั่นไหว วูบวาบภายในอก ความปราถนาที่ไม่สิ้นสุด ทำไมมันจึงเกิดขึ้นกับผู้ชายที่ผมคิดมาตลอดว่าเป็นแค่น้องคนนึง มันไม่เร็วเกินไปเหรอหากความรู้สึกนั้นจะเปลี่ยนไป
หรือเพราะความจริงลึก ๆ ไม่ได้รู้สึกแค่น้องชายมาตั้งแต่ต้น
แล้วกับแอนดี้ละ
มันคืออะไร
ในเมื่อความรู้สึกที่มีต่อแอนดี้ยังไม่ได้หายไป
ไม่ว่าคำตอบที่ได้ในใจของฮเยซองตอนนี้จะเป็นอะไร ร่างกายทั้งหมดก็ตอบรับแรงสัมผัสนั้นเป็นที่เรียบร้อย จนเมื่อร่างสูงปลดปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระ ดวงตาเรียวจึงค่อย ๆ ลืมคนจนเห็นใบหน้าและสายตาที่ส่งมาจนแถบทำให้ละลายไปตรงนี้
“อีกครั้งมั้ย”
“ไม่ต้องมาถาม”
เจ้าของใบหน้าสวยขึ้นสีโน้มคอคนตัวสูงให้ก้มลงมาจูบอีกครั้ง ความนิ่มนวลในครั้งแรงหายไป แต่จูบอันยาวนานนี้ก็ยังตราตรึง เพราะมัน
หวานชื่นกว่า
เย้ายวน และเร่าร้อน
จนไม่ได้ยินเคาะประตูหรือสังเกตเห็นว่ามันกำลังเปิดออกจากคนด้านนอก 2 คน
“พี่ฮเยซอง!”
.........................................................................................
ความคิดเห็น