ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic-y-shinhwa : Power of love

    ลำดับตอนที่ #12 : part 12 สองเราเข้าใจ

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 52


    “อย่างงั้นเหรอฮะ ผมต้องรบกวนพี่มินอูอีกแล้ว”
    แอนดี้พูดพลางยกมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ขึ้นขยี้ตาพร้อมกับพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียง เกรงว่าการสนทนาของตัวเองกันคนปลายสายจะไปปลุกให้คนข้างกายตื่นทั้งที่เพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
    “ไม่เป็นไร” ประโยคสั้น ๆ มินอูไม่ได้พูดเพื่อแค่ให้แอนดี้สบายใจ แต่ มันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรกับการต้องดูแลใครสักคนจริง ๆ หากติดก็ตรงที่คนที่เขาดูแลออกจะพูดมากไปซักหน่อย
    “ได้ไงกันฮะ ฝากงานไว้กับพี่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว นี้พี่ยังต้องมาดูแลเพื่อนพี่เอริคอีก”
    “ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรอย่างวันนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว”
    “ขอบคุณนะฮะ”
    “คำพูดนี้น่าจะเป็นของเอริคนะถึงถูก”
    “จะคุยกับพี่เขามั้ยละฮะ เดี่ยวผมปลุกให้”
    “ไม่ละ ฉันคิดถึงนาย อยากคุยกับนายมากกว่า”
    “แล้วทำไมเพิ่งโทรมาละฮะ”
    “ที่นายยังไม่โทรมาเลย”
    “แต่ผมก็ส่ง massage ไปหาพี่ก่อนตั้งเป็นเดือนแล้วนะ”
    “นั้นเพราะนายรู้เบอร์โทรพี่ไม่ใช่รึไง ”
    “แฮะ ๆ ๆ ทางนี้มีเรื่องให้ต้องทำเยอะนี้ฮะ”
    “นายมีอะไรทำกันเอริคนักหนา จะปั๊มลูกให้ได้ก่อนกลับรึไง”
    “พี่อ่ะ ผมมีลูกได้ที่ไหนกันเล่า” แก้มใส ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง รู้ว่าแซวเล่นแต่ก็อดเขินไม่ได้ รีบเฉไฉเปลี่ยนเป็นเรื่องคนอื่นซะ
    “ทำไมพี่ไม่ให้คุณคิมดงวานเขาอยู่กับพี่ไปเลยละฮะ ไหน ๆ ก็อยู่มาจะครบสองเดือนที่คอนโดก็ยังมีห้องว่างเหลืออยู่”
    “หมอนั้นนะอะไรก็ดีอยู่หรอก เสียแต่พูดมากกับอยากรู้ไปซะทุกเรื่อง ว่างงานเมื่อไหร่เป็นต้องถามนู้นถามนี้ซอกแซกไปเลื่อย ถ้าน่ารักอย่างเรารึก็ว่าไปอย่าง” บอกว่าไม่เป็นไรแต่ก็บ่นซะยืดยาว
    “พูดดีไป เมื่อก่อนพี่ก็พูดมากใช่หยอกเมื่อไหร่ละฮะ”
    “นั้นเพราะนายกับแอริคไม่คอยจะพูดกันต่างหาก แล้วพี่ก็ไม่ได้พูดแต่เรื่องไร้สาระอย่างหมอนั้นด้วย”
    “พี่ก็คิดซะว่ามี มิซาโกะสองอยู่ใกล้ ๆ จะไดไม่เหงาซิฮะ”
    “ปวดหัวละซิไม่ว่า หมอนั้นนอกจากจะพูดมาก ยังขี้งอนอีก” 
    “เดี่ยวผมสั่งยาแก้ปวดหัวไปให้โหลนึงพอมั้ยฮะ” 
    “จะให้พี่กินแทนข้าวรึไง”
    “ผมให้พี่เอาต้มน้ำอาบต่างหากละ ให้เนื้อยามันซึมเข้าทางผิวหนังเป็นธาราบำบัด”
     “เฮ้อ! นายนี้จริง ๆ ” มินอูถอนหายใจ
    “สงสัยพี่จะได้เนื้อคู่ซะแล้วละ” อันนี้แอนดี้แค่คิดในใจ ขืนพูดไปพี่ชายเขาได้นั่งเครื่องบินมาตบหัวถึงนี้แน่
     “ปีนี้มิซาโกะ เข้ามหาลัยแล้วนะ”
    “จริงรึฮะ ใช่มหาลัยในฝันเขารึเปล่า”
    “ใช่ ทางมหาลัยรับกลับมาแล้วด้วย นายจะกลับมาเมื่อไหร่จะได้ฉลองให้มิซาโกะ”
    “ไม่รู้เลยฮะต้องแล้วแต่พี่เอริค ว่าไปแล้วเวลาผ่านไปเร็วนะฮะ เมื่อก่อนยังตัวกระเบียกวิ่งตามหึงพี่กับอยู่เลย ร้องเรียกที่รัก ๆ” แอนดี้เลียนเสียงมิซาโกะตอนเด็ก ๆ
    “ตอนนั้นนายโดยไปเยอะเลยนะ เข็มมุดในรองเท้าบางละ กาวที่เก้าอี้นั่ง หนอนในชามราเมน จดหมายลูกโซ่ก็ยังมีด้วยใช่มั้ย”
    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฯลฯ” หัวเราะร่วนด้วยกันทั้งคู่ 
    “แอนดี้ย่า นายอยู่ไหนนะ” เอริคสะลึมสะลือมองหาคนตัวเล็กในความมืด และถึงแม้จะยังตื่นไม่เต็มตา ก็มองหาจนเจอคนตัวเล็กไปยืนพิงประตูกระจกระเบียง แถมยังหูดีอีกตั้งหาก
    “แอนดี้ นายคุยอยู่กับใคร มานี้ซิ”
    “พี่มินแค่นี้ก่อนนะฮะ พี่เอริคตื่นแล้ว”
    “เดี่ยวแอนดี้”
    “มีอะไรเร็ว ๆ นะฮะพี่”
    “แอนดี้ ถ้าไม่มาฉันจะลุกไปเองนะ”
    “Happy Valentine”
    “ฮะ แค่นี้ก่อนนะฮะ เดี่ยวผมโทรหา…”
    ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด .....

    ไม่ต้องมีใครบอก ก็เดาออกว่ามีคนตัดสายทิ้งเพียงแต่จะเป็นแอนดี้หรือเอริคเท่านั้น  แต่ไอ้เจ้าบ้านั้นดึกดื่นขนาดนี้ยังตื่นมาเป็นมารความสุขกันอีก นานทีปีชาติจะได้คุยกันซะทีจ้องขัดขวางกันซะจริง

    “กลับมาแล้วคร๊าบบ” นี้ช่างเข้ามาได้จังหวะ คนกำลังหงุดหงิด

    ดองวานในมาดผู้บริหารระดับสูงถือของผะลุงผะลังยืนค้างอยู่หน้าประตู เห็นหน้ามินอูแล้วก้าวขาไม่ออก ปกติก็ชอบทำหน้าเย็นชาใส่เป็นประจำ แต่วันนี้ใครมาทำไรให้โกรธหว่าตีหน้ายักษ์เชียว หรือมีใครแอบเป็นไส้ศึก
    “หิวข้าวยัง ผมซื้อของมาเยอะแยะเลย” พยายามยิ้มปกปิดอาการ ชูของกินในมือเป็นตัวช่วย
    “นายประชุมเสร็จแล้วเหรอ ถึงกลับมานะ”  มินอูเดินมาช่วยถือของในมือเข้ามาในครัว หน้าดุยังกะยักษ์เมื่อครู่หายไปอย่างไม่น่าเชื่อ  น่ากลัวจะเป็นคลื่นใต้น้ำหรือเปล่า ดองวานยังหวั่น ๆ อยู่มาร่วมเดือนก็ยังเดาใจคนตรงนี้ไม่ออกจริง ๆ
    “อืม”
    “เป็นไงบางละ” ถามไปก็ช่วยดองวานเก็บของเข้าตู้ไปด้วย
    “อ่า~ ก็เรียบร้อยดีอ่ะนะ”
    “ผู้ถือหุ้นเห็นด้วยกับการร่วมทุนระหว่างบริษัทแบบนี้ก็ดี”
    “อืม ใช่ ๆ ดีมาก ๆ”
    “แล้วไม่มีใครคัดค้านอะไรซักนิดเลยเหรอ”
    อ้าว! ซวยแล้วไงกรู ดงวานคิดในใจ
    “มัน..ก็ มีบางอ่ะนะ แต่ก็เรียบร้อยดีแล้วไง”
    “แล้วมันยังไงละที่ว่าเรียบร้อยนะ” ว่างมือจากการเก็บของใส่ตู้มองดูคนมีพิรุจอย่างสงสัย ไม่ใช่ว่าจะจ้องจับผิดแต่เป็นห่วงเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่ดงวานเข้าประชุมโดยที่ไม่มีเขาอยู่ด้วย
    “คือ..คือว่ามัน...มัน...”
    “มีปัญหาอะไรก็บอกมาจะได้ช่วยกันแก้ไข เหนือบ่ากว่าแรงยังไงจะได้โทรตามเอริคมันกลับมา”
    “เปล่าไม่ได้มีปัญหาอะไร” ดงวานพูดเสียงอ่อย
    “แล้วมันอะไรละ”
    โฮ่ง! โฮ่ง! เหมือนเสียงสวรรค์ แต่ในใจดงวานเสียงยมทูตเรียกลงนรกมากกว่า ดังนั้นในจังหวะเดี่ยวกับที่มินอูจะเดินไปดู ดงวานก็รีบถลากตัดหน้าไปที่ประตูซะก่อน
    “อันยอง~มิซาโกะจัง” ดงวานทักทายเสียงดังกะให้คนข้างในได้ยินจะได้ไม่ต้องเดินออกมา
    “อันยองพี่ดงวาน  อันยองค่า Father” ประโยคหลังเธอเอนตัวให้พ้นกล้ามโต ๆ ของดงวาน เพื่อทักทายมินอูที่เดินมายืนอยู่หลังดงวาน ห่างกันไม่เกินเมตร
    “มิซาโกะ เธอมาคนเดี่ยวเหรอ”
    “ก็มาคนเดี่ยวซิค่ะ ถ้าไม่มาคนเดี่ยวแล้วมิซาโกะจะมากับใคร” ทำทีหันไปมองข้างหลัง
    “แล้วเสียงเมื่อกี้ละ” มินอูมั่นใจว่ายินเสียงสัตว์สี่เท้าในห้องนี้
    “เสียงมิซาโกะนะ” ดงวานรีบพูดขึ้นก่อน
    “อ๊ะ! เสียงหนูเหรอ มันไม่ใช่อย่างที่ตกลงกันนี้” มองหน้าทำตาปริบ ๆ ส่งสายตาออกมาแทนคำพูด
    .
    ดงวานก็ส่งสายตาที่ตอบกลับแทนคำพูดเช่นกัน
    .
    .
    “รับ ๆ ไปก่อนเถอะ”
    .
    .
    .
    “นึกว่าสงสารเขาเถอะน่า~”  สายตาอ้อนซะ
    “ ค่ะ ๆ เสียงมิซาโกะ เอง โฮ่ง ๆ  เป็นรหัสลับของเราสองคนนะค่ะ พี่ดงวานเมื่อกี้ต้องทักทายกลับมาเป็นรหัสซิค่ะ”
    “ห๊า ! พี่ต้องด้วยเหรอะ” พูดจากระซิบกระซาบ
    “ต้องซิค่ะ Father จะได้เชื่อ พูดแบบนี้แสดงว่ายังสงสัยอยู่”
    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ดงวานรู้สึกเหมือนโดนเด็กหรอกเอาคืนเลยวุ้ย แต่พอหันไปมองมินอูแล้ว
     “โฮ่ง ๆ ๆ” ต้องยอมเห่าออกมาจนได้ 
    “มิซาโกะ มานี้มีธุระอะไรหรือเปล่าเข้ามานั่งข้างในก่อนซิ ดงวานกำลังจำทำอาหารเที่ยงอยู่พอดีอยู่ทานด้วยกันเลยนะ” 
    “ไม่ละค่ะ กลับดีกว่า มิซาโกะหมดหน้าที่แล้ว อยู่เดี่ยวจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย พี่ดงวานค่ะ ขอให้โชคดีนะค่ะ ทำแค่นี้ Father เขาไม่เชื่อหรอกค่ะ เคลียร์กันเอาเองนะค่ะ ฮิฮิ” ว่างระเบิดเสร็จก็เพ่นแน็บไปเลย ทิ้งให้ดงวานเผชิญชะตากรรมอยู่อย่างโดดเดี่ยว
     ....................................
    “พี่เอริค เอาโทรศัพท์ผมคืนมานะ”  ร่างเล็กไคว่คว้าโทรศัพท์จากมือของคนที่ตัวใหญ่กว่า
    “ก็บอกมาซิ ว่าเมื่อกี้คุยอยู่กับใคร” แขนยาวยกสูงไม่ให้คนตัวเล็กคว้าได้ง่าย จนกว่าจะได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ
    “ก็บอกไปแล้วไง”
    “เพื่อนพี่ จะรู้มั้ยว่าใคร”
    “ทำเหมือน พี่มีเพื่อนเยอะงั้นแหละ จะสักกี่คนกันเพื่อนพี่ที่ผมรู้จัก”
    “เดี่ยวนี้พูดโยกโย้เก่งนะเรา บอกมาซะดี ๆ ว่าใคร”
    “พี่ฝากงานใครไว้ก็คุยกับคนนั้นแหละ”
    “มินอู!”
    “รู้แล้วก็เอาคืนมา”
    “เดี๋ยวซิ” ร่างใหญ่ยกแขนขึ้นสูงก่อนที่แอนดี้จะกระโดดคว้าไว้ได้
    “อะไรอีกละ โทรศัพท์นะ คืนผมมาก่อนเถอะ แล้วค่อยถาม เพื่อพี่เข้าโทรมาอีก”
    “บอกก่อนคุยอะไรกันเป็นนาน สองนาน”
    “พี่อยากรู้จริง ๆ อ่ะ”  คนตัวเล็กทำหน้ายียวน จะกวนให้โมโหกันใช่ไหม
    “พูดมาเร็ว ๆ เลย”
    “ความลับฮะ บอกไม่ได้”
    “แอนดี้!”
    “ความลับก็คือ ความลับ บอกไม่ได้ก็คือบอกไม่ได้ ผมง่วงแล้วจะนอน” เดินไปล้มตัวลงนอนซุกหน้าลงกับหมอนนุ่ม ๆ เอาเสียดื้อ ๆ
    “ไม่อยากได้โทรศัพท์คืนแล้วรึไง”
    “ไว้ตอนเช้าค่อยเอา ยังไงพี่ก็ตืนช้ากว่าผมอยู่ดี”
    “อย่างเล่นนะ  ลุกขึ้นมาไม่งั้นโดนดีแน่”
    “...”  เอาหมอนปิดหูทำเป็นไม่ได้ยิน เดือดร้อนให้คนตัวใหญ่ต้องลงไม่ลงมือ
    ร่างใหญ่กระโดนขึ้นคร่อมร่างเล็กบนเตียง พลิกคนที่นอนตะแคงกึ่งคว่ำให้เปลี่ยนเป็นนอนหงายแทน กระซิบเบาแต่จริงจังที่ข้างหู ดูสิจะยังแกล้งหลับต่ออีกได้มั้ย
    “ถ้าไม่บอก...จะปล่ำ”
    ................................................
    ก๊อก ๆ ๆ
    “คุณชาย!” ท่าทางห้องข้าง ๆ จะจู๋จี๋กันอีกซิเนี้ย
    “หลีกไปซิจะเข้าห้อง ยืดขวางประตูอยู่ได้”  น้ำเสียงหงุดหงิดอยู่น้อย ๆ
    “ยังไม่ชินอีกเหรอครับ”
    “ถ้าชินจะมานี้รึไง” ถามทั้งที่รู้ร่างบางฆ้อนให้วงใหญ่ แล้วเดินเลยมานั่งแปะบนเตียงนอนขนาด 5 ฟุต โดยมีเจ้าข้องห้องตามนั่งข้าง ๆ ด้วยเวลาไม่ช้า
    “เป็นผมจะหาคนมานอนจู๋จี๋ด้วยให้ฝั่งนั้นได้อิจฉาตาร้อนกันบ้าง”
    “ฝั่งนั้นเข้าก็มีเหมือนกันจะอิจฉาทำไม คิดอะไรโง่ ๆ”
    “ก็ยังดีกว่าต้องมาอาศัยห้องคนอื่น ๆ หลบความเปลี่ยวแหละนะ หรืออย่างก็น่าจะได้ผลกับพี่เอริค ถ้าเค้ายังรักคุณชายอยู่อย่างที่คุณชายว่า”
    “เป็นน้องจะแบ่งที่ให้พี่นอนด้วยไม่ได้เลยรึไง”
    “เมื่อกี้..คุณชายว่าไงนะ”
    “ว่าอะไร นอน ๆๆๆ พรุ่งนี้ต้องประชุมแต่เช้า แล้วยังต้องคุยเรื่องงานกับแอนดี้อีก”
    ร่างบางปัดให้ให้คนตัวสูงลุกจากเตียงแล้วล้มตัวลงนอนคะแคงหันไปด้านใน ร่างสูงเลยต้องเดินไปอีกฝากหนึ่งของเตียง ล้มตัวลงนอนตะแคงตามร่างบางที่หลับตาพริ้ม
    “คุณชาย…คุณชายครับ ผมรู้นะว่ายังไม่หลับ”
    “หือ เรียกทำไม”
    “ผมเรียกคุณชายว่า พี่ เหมือนเดิมได้แล้วใช้ไหม”
    “ก็ตามใจนายซิ” ตายังคงเป็นสนิท
    “พี่ฮเยซอง”
    “ว่าไง”
    “ลองเรียกดูเฉย ๆ นะ”
    “พี่ฮเยซอง”
    “อะไรอีกละ ถ้าลองเรียกอีกละก็ น่าดู” ลืมตาขึ้นมองคนเรียกผ่านความมืดที่แสงให้ความสว่าง
    “ผ..ผะ..ผมรักพี่นะ ถึงอยากเป็นฝ่ายปกป้องพี่บ้าง” มองตาประสานหวังถ่ายทอดความรู้สึกออกไปพร้อมกับคำพูดที่อยากพูดอยากบอกมาตั้งนาน
    “ฉันรู้ ไม่งั้นนายคงไม่ยอมตัดพี่ตัดน้องไปเรียนวิชาบ้า ๆ  เพื่อมาเป็นบอดี้การ์ด  ฉักก็รักนาย เหมือนกันไอ้น้องชาย” ท่อนแขนเรียวส่งมือขึ้นขยี้หัวร่างสูงอย่างเอ็นดู จนยุ่ง
    “พี่เข้าใจ แล้วทำไมต้องโกรธมากขนานนั้นละ”
    “ก็แค่อยากปกป้อง อยากรักษานายไว้ให้ได้”
    “ชนเชยแทนน้องชายที่หายไปของพี่นะเหรอ” สายตาร่างสูงช่างเศร้าเหลือเกินในความรู้สึกของร่างบาง แต่ความจริงก็คือ ความจริง
    “นายคิดแบบนี้เอง ถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น”
    “แล้วมันจริงหรือเปล่า”
    “ฉันไม่ปฏิเสธหรอกนะ ว่าไม่เคยคิด”
    “เห็นไหมละ พี่ยอมรับแล้ว ที่พี่รักและปกป้องผม เพราะผมเป็นแค่เงาของน้องชายพี่”
    “มันก็แค่ในตอนแรกเท่านั้น เพราะเป็นน้องชายที่รักมาก ถึงเจ็บปวดมาตอนที่เห็นเค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย แต่นาย...”
    “ผมทำไม”
    “คนอีกคนที่ก็รักมากเหมือนกัน และจะสูญเสียไปอีกไม่ได้”
    ก็เลยไม่รักซะดีกว่างั้นเหรอ ตัดความสัมพันธ์กันไปเลยซะดีกว่าสินะจะได้ไม่ต้องเสียใจ ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา พี่มันเห็นแก่ตัวส่วนผมมันคนโง่  โง่ที่ไม่คิดจะปรับความเข้าใจตั้งแต่แรกทั้งที่มีโอกาสมากมาย ปล่อยอะไรต่ออะไรให้เป็นไปอย่างนั้น คิดแต่ว่าตังเองเจ็บปวด เสียใจ เป็นทุกข์อยู่ฝ่ายเดี่ยวและยอมที่จะให้เป็นอย่างนั้นขอแค่พี่มีความสุขแต่มันไม่ใช่เลย 
    “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจ”
    “นายเสียใจไหมที่พ่อนายตาย”
    “เสียใจสิ เสียใจมาก พ่อตายเพราะปกป้องผม คิดว่าชีวิตจะไม่มีใครรักผมอีกแล้ว”
    “แล้วฉันละ...จะเสียใจแค่ไหนถ้านายตายเพราะปกป้องฉัน”
    “พี่พูดเพราะขู่ผมเหรอ”
    “แต่นายดันเอาจริง ฉันก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย”
    แท้จริงพี่ฮเยซองไม่ใช่ฝ่ายที่สร้างระยะห่างระหว่างเรา แต่เป็นผมที่สร้างขึ้นมาเองเพราะความไม่เข้าใจ คิดเองเออเองอยู่คนเดี่ยว
    “พี่...ผมรักพี่”
    “จอนจินเป็นอะไรของนาย” แขนยาวใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันดึงร่างบางมากอดไว้แนบอกแกร่ง
    “ผมขอกอดพี่ไว้แบบนี้ ซักพัก”
    ทำยังไงดี คำว่ารักของเค้ากำลังทำให้ผมหวั่นไหว ทั้งที่มันแค่น้องชายบอกพี่ชาย อ้อมกอดที่กำลังโอบรัดใต้ผ้าห่ม ถึงไม่มีมัน ผมก็รู้สึกอบอุ่นมากว่าครั้งไหน ๆ รู้สึกวูบวาบจากสัมผัสของเค้า ใจเต้นแรงกว่าตอนที่อยู่กับแอนดี้ซะอีก  อยากผลักใสแต่ก็ยังอยากอยู่ในอ้อมกอดนี้ไปจนกว่าจะเช้า

    หัวใจผมกำลังจะระเบิด มันเต้นแรงจนไม่อาจข่มตาหลับร่างบางที่อยู่ชิดแนบอกจะรับรู้บ้างหรือเปล่า สองมือที่อยู่ใต้ผ้าห่มอยากทำมากกว่ากอดร่างบางนี้ไว้ จมูกที่กำลังหายใจเข้า-ออกอยากทำนอกเหนือหน้าที่สูดรับเอาออกซิเจนไปล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออก ยามได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผิวเนื้อกายและผมนุ่มที่สระด้วยแชมพูราคาแพง  ริมฝีปากที่สนทนาเมื่อครู่อยากประทับลงบนกลีบปากบางสีชมพู หากเพียงคนที่ผล่อยหลับไปในอ้อมกอดผมจะอนุญาต
    .......................................................................................................จบตอน......................................................................................
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×