ตราประจำรัชกาลต่างๆ ของไทย - ตราประจำรัชกาลต่างๆ ของไทย นิยาย ตราประจำรัชกาลต่างๆ ของไทย : Dek-D.com - Writer

    ตราประจำรัชกาลต่างๆ ของไทย

    มารู้จักตราประจำรัชกาลต่างๆกันเถอะ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,291

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.29K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 มิ.ย. 50 / 23:28 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

           
             
      ตราประจำองค์พระมหากษัตริย์ หรือที่เรียกว่า พระราชสัญจกรนั้น ใช้สำหรับประทับในเอสารสำคัญอันแสดงถึง
      พระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดิน หรือเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงเป็นพระประมุขของชาติไทย ตราประจำพระองค์
      ของรัชกาลต่าง ๆ มีดังนี้คือ


            
       รัชกาลที่ 1 “มหาอุณาโลมเป็นตรางา ลักษณะกลมรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ อุอยู่ตรงกลาง (อุมีลักษณะ
      เป็นม้วนกลมคล้ายลักษณะความหมายของพระนามเดิมว่า ด้วง”) ตรามหาอุณาโลมนี้ หมายถึงตาที่สามของ
      พระอิศวร ซึ่งถือเป็นปฐมฤกษ์ในการตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์

         
            
      รัชกาลที่ 2 “ครุฑจับนาคเป็นตรางา ลักษณะกลม รูปครุฑจับนาค เนื่องจากพระนามเดิมคือ ฉิมซึ่งเป็นที่อยู่
      ของพญาครุฑ

             รัชกาลที่ 3 “มหาปราสาทเป็นตรางา ลักษณะกลม รูปปราสาท เนื่องจากพระนามเดิมคือ ทับซึ่งหมายถึงที่อยู่หรือเรือน จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสัญจกรเป็นรูปปราสาท


             
      รัชกาลที่ 4 “พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นตรางา ลักษณะกลมรีรูปพระมหามงกุฎ (ตรมพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ)
      อยู่ในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ มีฉัตรปริวาร 2 ข้าง มีพานทอง 2 ชั้น วางพระแว่นสุริยกานต์ หรือเพชรข้างหนึ่ง
      (
      พระแว่นสุริยกานต์ หรือเพชร หมายถึง พระฉายา เมื่อทรงผนวชว่า วชิรญาน) อีกข้างหนึ่ง วางสมุดตำรา (หมายถึง
      ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์ และดาราศาสตร์)


            
       รัชกาลที่ 5 “พระจุลมงกุฎ หรือพระเกี้ยวเป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 ซม. ยาว 6.8 ซม. มีรูปพระเกี้ยว
      ยอดมีรัศมีประดิษฐานบนพานทอง 2 ชั้น (หมายถึงพระเกี้ยวเจ้าฟ้าในคราวโสกัณฑ์) เคียงด้วยฉัตรปริวาร 2 ข้าง
      ที่ริมขอบทั้ง 2 ข้าง มีพานทอง 2 ชั้น วางพระแว่นสุริยกานต์ หรือเพชรข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่ง วางสมุดตำรา
      (
      เป็นการเจริญรอยจำลองพระราชสัญจกร ของรัชกาลที่ 4)


             
      รัชกาลที่ 6 “มหาวชิราวุธเป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 ซม. ยาว 6.8 ซม. รูปวชิราวุธ มีรัศมีประดิษฐานบนพานทอง 2 ชั้น ตั้งอยู่เหนือตั้ง มีฉัตรปริวาร 2 ข้าง (รูปตรานี้ใช้ตามพระนามของพระองค์)


             
      รัชกาลที่ 7  “พระไตรศรเป็นตรางา  ลักษณะกลมรี กว้าง 5.4 ซม. ยาว 6.7 ซม. รูปราวพาดพระแสงศร 3 องค์
      คือพระแสงศรพรหมศาสตร์, พระแสงศรอัคนีวาต และพระแสงศรประลัยวาต (เป็นศรของพระพรหม,
      พระนารายณ์และของพระอิศวร ซึ่งใช้ตามความหมายของพระนามเดิมคือ ประชาธิปกศักดิเดชน์คำว่า เดชน์
      แปลว่าลูกศร”) เบื้องบนมีรูปพระแสงจักรและพระแสงตีคูล อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ มีบังแทรกตั้งอยู่ 2 ข้าง
      มีลายกระหนกแทรกอยู่ระหว่างพื้น


             
      รัชกาลที่ 8   “รูปพระโพธิสัตว์เป็นตรางา ลักษณะกลมศูนย์กลางกว้าง 7 ซม.  รูปพระโพธิสัตว์ประทับบน
      บัลลังก์ดอกบัวห้อยพระบาทขวาเหยียบบัวบาน พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม มีเรือนแก้วด้านหลังแท่นรัศมี มีแท่น
      รองรับตั้งฉัตร บริวาร 2 ข้าง (รูปพระโพธิสัตว์นี้เดิมเป็นตราประจำในพระราชวังดุสิต)


             
       รัชกาลที่ 9 “พระแท่นอัฏทิศ อุทุมพรราชอาสน์เป็นตรางา ลักษณะรูปไข่ กว้าง 5 ซม. สูง 6.7 ซม. รูป
      พระที่นั่งอัฎทิศประกอบด้วยวงจักร กลางวงจักรมีอักขระ อุรอบ ๆ มีรัศมี (วันบรมราชาภิเษกได้เสด็จได้เสด็จ
      ประทับที่นั่งอัฎทิศ) 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×