ตอนที่ 3 : บทที่ 2 : ยิ่งเกลียดกันยิ่งต้องเจอ [100%]
![enter-talk] CHOI BYUNGCHAN'S VIDEO BEFORE STARTING HIS V-LIVE NN (FT. KANG DANIEL'S 2ND BIGGEST FANSITE CLOSES) - Kkuljaem-좋아!](https://4.bp.blogspot.com/-_0Sqt0k50ZU/XVXvEWuDesI/AAAAAAAAtdI/Xecvs3TtGkkTqaDJn2LmSfC8g4H9e2BBgCK4BGAYYCw/s1600/download.gif)
วันนี้ข้าวร้านป้าแอนไม่อร่อยเหมือนอย่างที่เคย…
แม้ตรงหน้าผมจะไม่มีคนที่ผมไม่อยากเจอหน้าที่สุด แต่รู้สึกว่าผมลิ้นกร่อยอย่างบอกไม่ถูก
อยากจูบอะไรของมันวะ คำพูดมันเข้ามาในฝันผมทั้งวันทั้งคืน ผมพยายามสะบัดความคิด น้ำเสียง อารมณ์ สีหน้าที่มันพูดใส่เมื่อคืนแล้ว แต่ก็ไม่ลบออกจากหัวได้สักที
“เป็นไรอีกอะ กับข้าวไม่อร่อยเหรอวะ”
ว่าไม่พอ เปาโลยังเอื้อมมือที่ถือช้อนมาตักไข่ผัดฟักทองของโปรดผมไปกินต่อหน้าต่อตา ก่อนที่มันจะยู่ปากและชิมไก่ทอดที่วางเคียงข้างบนจานผมอีกระลอก
“เอาไปกินเลย” ผมว่าก่อนจะเลื่อนจานตัวเองไปข้างๆ “กูอิ่ม”
“อิ่มบ้าไรชา มึงเพิ่งกินไปได้สองคำ กูชิมแล้วก็รสชาติเหมือนเดิมเป๊ะๆ ไม่ได้ไม่อร่อยเลยนี่หว่า”
มันพูดเสร็จก็เลื่อนจานผมกลับมาตรงที่เดิม
“ไม่รู้ว่ะ พักนี้กินอะไรไม่ค่อยลง”
“อกหักเหรอ”
“แค่ก” ผมสำลักน้ำลายที่กลืนลงคอไปเมื่อครู่ ก่อนจะเบิกตากว้างหันมองหนาเพื่อนรัก “อะ อะไร”
“อาการเหมือนพวกคนอกหัก” มันไหวไหล่ก่อนจะซดน้ำซุปที่แถมมากับผัดไทร้านดังในคณะ “เพื่อนกูตอนมอปลายก็อาการแบบนี้ กินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกฟุ้งซ่าน เบื่อที่จะทำอะไรอย่างเคย”
“เปล่า”
ผมปฏิเสธพลางหลบตา คนยิ่งโกหกไม่ค่อยเก่งอยู่ แล้วผมไม่ได้อกหักสักหน่อย ก็แค่อยากเลิกกับไอ้นายท่านแต่เจ้าตัวดันไม่ให้เลิกเนี่ย
ควรเรียกสถานะนี้ว่าอะไรวะ
เพื่อนก็ไม่ใช่ แฟนก็ไม่เชิง แฟนเก่าก็ไม่ได้อีก…
สถานะแฟนโซนนี่ แม่งอึดอัดยิ่งกว่าเฟรนด์โซนอีก
“ถ้าไม่ใช่ แล้วเป็นไร”
“…”
“เมื่อคืนก็ทะเลาะกับไอ้ท่านไม่บอกกูสักคำว่าเรื่องอะไร นี่กูก็เพื่อนพวกมึงนะเห้ย”
“กูกับมันไม่ลงรอยบางอย่างอะ แบบ…จะพูดไงดีวะ”
ผมเกาหัวด้วยความลำบากใจ อยากจะบอกแต่อีกใจก็ไม่อยาก เพราะในตอนนี้เราคงเรียกแฟนกันได้ไม่เต็มปากแล้ว
“น่ะ มันมาแล้ว”
ไม่ทันขาดคำ คนในความคิดผมก็เดินใส่ชุดนิสิตที่ไม่ได้เต็มยศอย่างตอนปีหนึ่ง กางเกงสแล็กดำขาเดฟ ถูกทับด้วยชายเสื้อเชิ้ตสีขาวบางตัวใหญ่ วันนี้มันเซ็ตผมมาด้วยแหะ ปกติจะปล่อยหน้าม้าเห่ยๆ มาเรียนประจำ
ผมทำเป็นก้มกินข้าวในจานไม่ได้สนใจมันที่กำลังเดินตรงมาที่โต๊ะผม แต่ก็ไม่วายแอบชำเลืองผู้คนรอบข้างที่มองไปที่มันเป็นตาเดียว โดยเฉพาะเด็กปีหนึ่งที่มักจะชื่นชอบมันมากพอควรอยู่แล้ว ผมมองบนก่อนจะพ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
ใครได้มึงเป็นแฟนก็คือไปรดน้ำมนต์สักเก้าวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์เถอะ
ใช่ กูนี่แหละควรไปสะเดาะเคราะห์ก่อนเลยคนแรก
“นี่มึงมากันกี่โมงเนี่ย”
มันถามพร้อมยกมือถือขึ้นเพื่อดูนาฬิกา ก่อนจะนั่งลงและมองหาร้านข้าวที่ถูกใจพลางหันมามองหน้าพวกเราสองคนด้วยสีหน้าปกติราวกับว่าเมื่อคืนมันไม่ได้เอ่ยทิ้งประโยคนั้นเอาไว้ให้ผม
“กูเนี่ยต้องถามมึงไอ้ท่าน ว่าทำไมมาเอาป่านนี้ จะแดกข้าวทันเปล่า” เปาโลยิ้มก่อนจะหันมามองผมที่ซัดข้าวจนหมดจานไม่พูดไม่จา “เดี๋ยวนะ”
“อะไร” ผมถามขณะที่ข้าวคำสุดท้ายยังคงท่วมปาก กูจะรีบกินรีบหนีแล้วไอ้เวร
“ไหนมึงบอกว่าอิ่ม”
“เสียดายเลยกินให้หมด กูเข้าคลาสละนะ”
ผมจัดการยกจานข้าวเพื่อจะนำไปเก็บ แต่พอเห็นสายตาคนตรงหน้าก็ต้องชะงัก เพราะมันมองผมด้วยสีหน้าที่นิ่งจนผิดปกติ
“ไม่คิดจะทักทายกันเลยหรือไง”
“ดี” ผมตอบกลับมันแบบส่งๆ ขาก็ก้าวออกจากเก้าอี้ “เดี๋ยวกูไปจองโต๊ะให้พวกมึงนะ”
“เดี๋ยว”
พรึ่บ
ผมถูกดึงให้นั่งลงกลับที่เดิมด้วยแรงที่มีทั้งหมดของเปาโลก่อนที่มันจะมองหน้าผมกับนายท่านสลับไปมา
“มีไรอีก เดี๋ยวสายนะเว้ย”
“มึงจะทะเลาะกัน ก็คุยกันดีๆ ได้ไหม กูเป็นคนกลางกูอึดอัดนะเฮ้ย”
ในที่สุดผมก็เห็นสีหน้าจริงจังที่ไม่ปนรอยยิ้มของเปาโลจนได้ มันขมวดคิ้วเครียด ก่อนจะจับไหล่ผมแน่น
“กูไม่ได้ทะเลาะ แค่ไม่อยากคุย”
ผมพูดไปตามความจริง ผมไม่ได้งอนด้วย ก็อย่างที่บอก ผมแค่อยากห่าง ห่างจนทำให้คนตรงหน้ารู้ตัวสักทีว่าสถานะเราตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม
ให้เป็นแฟนกันแบบหลบๆ คบกันแบบไม่มีอะไรคืบหน้า เป็นเพื่อนกันเถอะถ้างั้น ผมยังรู้สึดดีกว่าอีก
“เอางี้ พวกมึงสองคนอยู่คุยกันให้เคลียร์ ส่วนกู…” เปาโลว่าไม่พอยังถือจานชามของมันแล้วลุกขึ้นยืนแทนที่จะเป็นผม “ไปจองโต๊ะเรียนให้ เหลือเวลาอีกยี่สิบนาที รีบกินนะมึงไอ้ท่านเดี๋ยวโดนเช็กสาย”
ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยอะไรออกไป เปาโลก็ตบหลังผมเบาๆ สองทีก่อนที่มันจะคว้าจานผมไปเก็บให้ด้วย
คนตรงหน้าผมยังคงมองหาร้านที่จะกินโดยไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมก็ไม่ได้อยากให้มาสนใจหรอก มันสายไปแล้วที่มันจะมาทำแบบนั้นกับผมอะ
“ผัดฟักทอง ไก่ทอดร้านป้าแอนอร่อยปะ”
มันถามผมแต่ตามองไปที่ร้านค้าตรงหน้าที่ถูกผู้คนมากมายล้อมรอบ
“ไม่แดกก็อย่าถาม” ผมพูดขัดมันไป
ปกติมันไม่ชอบกินผัก ผลไม้ แม้แต่ฟักทองก็ไม่คิดจะแตะ
อยากหาเรื่องคุยอะดิ ดูออกนะอิปลาทอง -_-;
“พูดดีๆ ก็ได้” มันหันมาเลิกคิ้วใส่ผมด้วยอารมณ์ไม่พอใจ “ก็แค่อยากกินตามแฟนดูบ้าง”
“เลิกพูดกับกูแบบนั้นสักที มันช้าไปแล้วไอ้ท่าน”
“เอ้าเหรอ” หยอกย้อน กวนส้นตีน หาใครเทียบไม่
“มึงจะกินไรก็เชิญ ส่วนกูจะไปเข้าคลาสแล้ว เสียเวลา”
“จะหนีกันไปถึงไหนอะ”
“จนกว่ามึงจะยอมเลิกนั่นแหละ”
“นี่จริงจังเหรอวะชา”
“กูพูดเล่นเหรอ นี่กูไม่ได้งอนหรืออยากได้อะไรจากมึงเลยนะ ยกเว้นการได้เลิกกับมึงเนี่ย”
ผมพูดเสียงเบา เพราะในตอนนี้จุดสายตาของคนในโรงอาหารคณะคือเราสองคน เพราะเราเป็นคนที่มีคนรู้จักในระดับหนึ่ง บวกกับไอ้เปาโลที่เป็นประธานรุ่นในสโมสรคณะด้วย คนเลยให้ความสนใจเราเป็นพิเศษ
“งั้นกูไม่ยอมเลิกหรอก และกูจะไม่ยอมให้มึงบอกเลิกด้วย”
มันทำเป็นพูด เก่งแต่ปากตลอด ไม่เคยทำในสิ่งที่พูดได้เลยสักครั้ง ผมเบ้ปากก่อนจะพ่นหัวเราะหึในลำคอออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง
“รู้ยัง ว่ากูกำลังเก็บตังค์เพื่อเอามาบอกเลิกมึงอยู่ อีกไม่กี่วันหรอก มึงเตรียมตัวเซย์ไฮกู๊ดบายสเตจการเป็นแฟนกับกูไปได้เลย”
“แล้วรู้ยัง”
“…”
“ว่ากูจะจีบมึงอีกครั้ง เอาให้มึงหยุดคิดที่จะเลิกกันเลย คอยดู”
“หาไรแดกซะนะ จะได้หายเพ้อเจ้อ”
ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นเพื่อออกห่างจากไอ้ท่านให้มากที่สุด มันจะมาเล่นแง่กับผมแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่อยากกลับไปนับหนึ่งที่จุดเดิมแล้ว
ไอ้ชา มึงอย่าไปอ่อนไหวอะไรกับคำพูดพวกนั้นนะเว้ย ใจแข็งๆๆ
“ไอ้ชา!”
“วะ ว่า”
ผมลนลานหันไปตอบเปาโลที่เอาสมุดมาฟาดหัวผมเบาๆ ก่อนจะเรียกผมดังลั่นจนทั้งห้องหันมามอง
รู้ตัวอีกทีผมก็มานั่งเรียนได้ครึ่งคลาสแล้ว แต่ในหัวไม่มีเรื่องที่เรียนในวันนี้เลย ส่วนไอ้คนข้างหลังที่กำลังนั่งหมุนปากกาก็มองมาที่ผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ครับ ไอ้ท่านนั่นแหละ…
ทำไมยิ่งเกลียดยิ่งต้องพบ ยิ่งอยากจบยิ่งต้องเจอวะ!
“จับกลุ่ม” มันว่าไม่พอยังหันเก้าอี้และตัวเองไปข้างหลัง “กลุ่มละเจ็ดคน”
“กลุ่มแคมป์อะนะ”
ผมถาม พอดูเวลาบนหน้าจอมือถือก็พบว่านี่เป็นชั่วโมงสุดท้ายของคลาสในวันนี้
วันนี้ชิลล์จัดๆ ที่มีคลาสตอนเวลาห้าโมงเย็น เลิกตอนหนึ่งทุ่ม ผมเลยไม่ต้องง่วงเหงาหาวนอนเหมือนคลาสเช้าที่อาจารย์ในรายวิชาชอบเปลี่ยนมาสอนเวลานั้นกันประจำ
รายวิชานี้เป็นวิชาเสรีที่พวกผมต้องแข่งขันกันแย่งลงตามเวลาที่กำหนดในช่วงต้นเทอมแรก ซึ่งโคตรโชคดีที่มีเปาโลตื่นมาจองให้เราสามคนจนครบหน่วยกิต แต่ดันโชคร้ายตรงที่ผมต้องพบเจอไอ้ท่านนี่ไปเรื่อยๆ ตลอดจนจบปีสี่
ผมอยู่คณะเทคโนโลยีและสารสนเทศครับ เรียนเกี่ยวกับพวกไอที คอมพิวเตอร์ โปรแกรมต่างๆ ที่ไม่ใช่การซ่อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจผิด หน้าที่หลักๆ ของพวกผมก็มีเรียนภาษาโปรแกรม เขียนโค้ด รันโค้ด เขียนโปรแกรม สร้างเว็บนั่นนี่ที่จะส่งต่อไปยังโซเชียลมีเดียในสื่อต่างๆ ได้
แต่รายวิชาที่ผมเรียนอยู่ ณ ตอนนี้ เป็นวิชาเสรีที่เกี่ยวกับแคมป์ การเข้าป่า การท่องเที่ยวที่ถูกท่องอะไรทำนองนั้น ที่เลือกไม่ได้มีเหตุผลเพราะอยากไปตั้งแคมป์เที่ยวหรอกครับ เพราะหน่วยกิตมันเยอะ พวกผมเลยลงเรียนด้วยเหตุผลนี้เหตุผลเดียวเลย
“อีกสามคนจะเป็นคนในคณะนิเทศศาสตร์ น่าจะช่วยเรื่องการแสดงและคิดโปรเจกท์จบวิชาเราได้ไม่มากก็น้อยอะนะ”
เปาโลว่าขึ้นก่อนจะส่งกระดาษรายชื่อให้กับอีกโต๊ะที่เป็นผู้หญิงสองคนและผู้ชายหนึ่งคนที่ดูท่าว่าไม่น่าจะใช่ชายแข็งแกร่งร่างกายกำยำเท่าไร ดูจากรอยยิ้มพิมพ์ใจที่พุ่งตรงมาหาไอ้ท่านแล้ว
“อีกคนหนึ่งอะ” ผมถามขึ้น ไม่ใส่ใจคนตรงหน้าที่จะมีบทบาทอะไรในกลุ่มเราในครั้งนี้ “มีแค่หกคนเอง”
“พี่กู”
ไอ้ท่านว่าก่อนจะกอดอกมองมาที่ผม
“ไม่ต้องเก็กก็ได้พ่อคุณ ผมที่เซ็ตมาเหี่ยวหมดแล้วน่ะ”
ผมทำแซวให้มันเสียเซลฟ์เล่น แต่นั่นแหละ มันเป็นคนไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว มันก็เล่นหูเล่นตาหยอกย้อนผมทันที
“เดี๋ยวกูบอกพี่ให้นะ วันนี้มันน่าจะโดด”
“แล้วพี่มึงปีอะไรเนี่ย กูให้เป็นหัวกลุ่มเลยนะ” เปาโลที่ได้รับกระดาษรายชื่อกลุ่มคืน ก็จัดการส่งให้นายท่านเขียนชื่อคนดังกล่าวต่อในทันที “พี่แท้ๆ เลยปะ”
“ก็…” มันว่าก่อนจะนึกจนคิ้วขมวด “คนละพ่อ”
“ไม่เห็นจะเคยบอกกันเลย”
ผมพูดกับพัดลมที่อยู่ติดบนเพดานห้อง ก่อนที่เปาโลจะพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่มีใครเคยถาม เลยไม่ได้บอก”
“พวกกูไม่สำคัญเลยดิ”
ที่หมายถึงอะ หมายถึงกูเนี่ย เป็นแฟนมึงแท้ๆ ยังเพิ่งมารู้เอาตอนนี้เลย จะเข้าเดือนเจ็ดแล้วไหมวะ
เออ ลืม สำหรับกู มึงไม่ได้เป็นแฟนแล้วนี่นา -_-
“สำคัญ” มันเงยหน้ามองผมเพียงคนเดียว สายตาที่ดูมุ่งมั่นนั่นทำเอาผมหลบตาแทบไม่ทัน “มากด้วย”
“สำคัญมากแล้วไมไม่บอกกันอะ แค่เรื่องคนในครอบครัวเอง” ผมยังคงไม่ยอม
“เรื่องในครอบครัวกูไม่ค่อยอยากเอามาพูดข้างนอกเท่าไร”
“เหอะ” ผมหัวเราะออกมาด้วยความตลก
“มึงอยากรู้มากเหรอชา” ไอ้ท่านถามผมพลางเลิกคิ้วสูง
“เปล่า แค่รู้สึกว่าเรื่องแค่นี้ก็ควรบอกกันบ้าง”
“กูจะพาไปรู้จักให้ครบทุกคนเลยเอาปะ”
“อะไร”
ผมนั่งหลังตรงในทันทีที่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมัน นี่มึงอย่าพูดออกมานะว่า…
“มาเป็นคนในครอบครัวกูไหม จะได้รู้จักทุกคนในบ้านกู :)”
ให้กูไปเป็นลุงมึงหรือไงฮะ!!!
![PANN] Knetz adore UP10TION Lee Jinhyuk's cute acting in the drama 'Find Me in Your Memory' - Story Kpop](https://1.bp.blogspot.com/-B3LJxHNqduU/XpWIMnXrGGI/AAAAAAAAXE8/Zb5cqeT-_zMFT9YXYH_Di8-YZtULfExMACLcBGAsYHQ/s1600/giphy.gif)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

34 ความคิดเห็น
-
#33 Bird of rain (จากตอนที่ 3)วันที่ 26 กันยายน 2563 / 07:32ตื๊อเข้าไปเลยลูก ตื๊อเข้าไป!!#330
-
#22 woranitta15 (จากตอนที่ 3)วันที่ 21 กันยายน 2563 / 18:48ตำแหน่งลุงไม่ว่างแต่ตำแหน่งลูกสะใภ้ว่างนะ#220
-
#20 pn_2541 (จากตอนที่ 3)วันที่ 21 กันยายน 2563 / 00:51ตื้อให้ได้ลูกนายท่าน!!อย่ายอมแพ้ลูกต้องตื้อเท่านั้นเอาให้หลงหัวปรักหัวปรำาเลย#200
-
#19 woranitta15 (จากตอนที่ 3)วันที่ 21 กันยายน 2563 / 00:32แสนดื้อเลยครับ#190
-
#18 woranitta15 (จากตอนที่ 3)วันที่ 20 กันยายน 2563 / 02:16จริงๆคือชอบเขาแหละแต่แค่น้อยใจเขา เขาก็ไม่อยากเป็นเพื่อนหรอกนะ#180