ตอนที่ 7 : ll ปรึกษา (รัก) ll EP.05 :: เป็นคนอยากใส่ใจ [100%]
“พี่ทำงานอะไรอะ”
ผมเท้าคางที่เตียงนอนที่สูงในระดับพอดีไหล่ผม ผมนั่งล่างส่วนเมทที่ผมไม่เต็มใจจะรับเชิญ เขาก็นอนสไลด์มือถือกระดิกเท้ายิกๆ อยู่บนเตียง
นี่มันไอ้ชาลีเวอร์ชั่นป่าเถื่อนชัดๆ
“ถามอยู่ได้ จะรู้ไปทำไม”
คนตัวสูงเขยิบตัวเข้ามาใกล้แถมใบหน้ายังอยู่ห่างจากผมไม่กี่เซนอีก
ใครเขาให้ขยับมาใกล้แบบนี้วะ คนยิ่งใส่คอนแทคเลนส์ที่มีความชัดระดับ HD อยู่ด้วย
“ผมแค่อยากรู้ อีกอย่าง พี่มีงานทำก็น่าจะมีเงินจ่ายค่าเช่าห้องนี่นา”
“จะให้กูช่วยจ่ายว่างั้น?”
“ผมหมายถึงให้พี่ไปหาหออยู่ต่างหากเล่า”
“ไม่อะ” เจ้าตัวนอนเงยหน้ามองเพดาน ทำให้ผมเผลอมองตามสายตาเขา “กูอยู่ฟรีดีกว่า ประหยัดตั้งเยอะ ถือเป็นการแลกระหว่างความหล่อของมึงกับความสบายกระเป๋าของกูแล้วกัน”
อยากจะเถียงก็เถียงไม่ออกเลยแม่ม
จริงสิเนอะ ผมไม่มีอะไรจะไปแลกกับการช่วยเหลือเขานอกจากจะให้ที่ซุกหัวนอนฟรีนี่นา แต่เอาเถอะ พี่เอฟมาอยู่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ไอ้ชาลีมาอยู่เลยสักนิด ต่างกันตรงที่ผมไม่ต้องคอยตามรังควานไล่เขาไปทำความสะอาด
เพราะกูทำความสะอาดคนเดียวเลยครับงานนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้เราสองคนหยุดการสนทนา พอผมทำท่าจะลุกไปเปิดประตู พี่เอฟก็เด้งตัวลุกไปเปิดตัดหน้าผมเฉย
ผมเลยทำได้แค่ยืนมองเขาต้อนรับแขกแทนเจ้าของห้องอย่างผมแบบปลงๆ
“ไฮ เอฟฟฟ”
ทันทีที่ประตูเปิดก็เผยให้เห็นสาวสวยร่างสูงชะลูด ผมสีน้ำตาลปะบ่าดัดลอนของเธอทำให้ใบหน้าเธอดูโดดเด่นโดยไม่ต้องเติมแต่งให้แซ่บหรือจัดจ้าดเกินไป เรียกได้ว่าสูงขาวหุ่นดีเหมือนไอดอลเกาหลีเลยแหละ ผมแอบชะเง้อมองเขาที่ทักทายพี่เอฟเหมือนรู้จักกันดี พอสายตาของเธอหันมาเจอผมเธอก็ยกมือทักทายเป็นมารยาท ทำให้ผมต้องก้มหัวให้เบาๆ
“กูไปทำงานแล้วนะ”
“อ่า ครับ” ผมพยักหน้ารับ
พี่เอฟหันมาบอกผมเป็นการทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะคว้าไหล่ของผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าเขานิดเดียวออกไปจากนอกห้อง แต่ไม่วายแง้มประตูชะเง้อหน้ามาพูดกับผมอีกรอบ
"ไอ้นิด"
"ครับ"
"อย่าล็อกห้องล่ะ กูไม่มีกุญแจ”
“พี่จะกลับมาตอนไหนอะ”
“ไม่รู้ดิ อาจจะค้างที่ทำงานแหละ ดูก่อนห้ามล็อกก็พอ”
ปัง
ประตูถูกปิดทันทีที่เขาพูดจบ ผมยักไหล่ไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะหันกลับมานั่งเปิดคอมหาอะไรดูแก้เบื่อไปเรื่อยเหมือนทุกๆ วัน
ผู้หญิงคนเมื่อกี้แฟนพี่เขาเหรอวะ
เขาหล่อก็ต้องมีแฟนสวยมันถูกแล้วนี่เนอะ
อิจฉาชะมัด
แต่จะว่าไปคอนแทคเลนส์นี่ไม่ระคายเคืองตาอย่างที่เคยเป็นมาเลยแหะ เหมือนตัวเองไม่ได้ใส่อะไรไว้ในลูกตายังไงอย่างงั้น
ผมจัดการเปิดหน้าจอมือถือแล้วเข้าไปที่กล้องถ่ายรูปเพื่อจะลองเซลฟี่ตัวเองดู ตั้งแต่จำความได้ผมเกลียดการถ่ายรูปตัวเองสุดๆ ทำให้เวลาจะตั้งรูปโปรไฟล์ตัวเองตามโซเชียลถึงไม่ค่อยมีกับเขา ส่วนมากก็ใช้รูปการ์ตูนล้วนๆ
ว่าแต่ เวลาเขาถ่ายรูปกันนี่ต้องเก็กท่ายังไงวะ
สองนิ้ว…เอิ่ม ดูตุ๊ดไปแหะ
ไม่ได้การผมรีบเข้าไปที่หน้าฟีดเฟซบุ๊คของไอ้ชาลีเพื่อดูว่ามันใช้ไลฟ์สไตล์แบบไหน เพราะนอกจากมันจะหน้าตาดีผิดกับผมแล้ว ยอดฟอลโล่ยังห่างไกลจากผมไปนับเจ็ดชั่วโคตรผมก็คงมียอดได้ไม่เท่ามัน
นี่ขนาดเป็นแค่เด็กมัธยม 5 เองนะ คนในมหาวิทยาลัยผมเขายังรู้จักมันกันค่อนข้างเยอะเลย
เขาเรียกมันว่าไรวะ อืมมมม อ๋อ เน็ตไอดอล!
พอมานึกถึงไอ้ชาลี ผมเหมือนลืมอะไรบางอย่างไปเลยแหะ...
‘บ่มีอีหยังมาพังทลาย ความฮักเฮาสองลงได้…’
กูลืมเปลี่ยนเสียงริงโทน!
“โหล”
(พี่คณิต ผมลืมเอาเสื้อพละมาจากห้องพี่อะ พรุ่งนี้ผมจะแวะไปเอานะ อยู่ห้องปะ)
เพิ่งนินทามันในใจไม่ทันจะขาดคำ ไอ้ชาลีก็โทรมาหาผมทันที ดูท่าว่าจะตายยากจริงๆ ไอ้เด็กเวรนี่
“กี่โมงอะ”
(สักสองทุ่ม)
“เออได้”
ผมรับปากมันไป มืออีกข้างที่ไม่ได้จับมือถือก็เลื่อนดูรูปมันไปพลางๆ จริงๆ หน้าผมก็แอบคล้ายมันนะ แต่แค่ผมไม่ได้หล่อจนสาวร้องว้าวเหมือนมันก็แค่นั้น
(แล้วเรื่องรูมเมทพี่อะ เป็นไงบ้าง เพลินเลยดิ มีผู้ชายหล่อมาอยู่ด้วย)
น้ำเสียงคิกคักทำให้รู้ได้ว่ามันไม่ได้อยู่คนเดียวแน่ๆ ตอนนี้
แล้วเป็นห่าอะไรทำไมต้องทำน้ำเสียงเย้าหยอกผมเพื่อพยายามจะทำให้ผมเขินด้วยวะ
“เพลินไรมึง เหมือนเอามึงเวอร์ชั่นสองมาอยู่ด้วยชัดๆ” ผมบ่นอุบ “แล้วนี่มึงอยู่กับใคร กูได้ยินเสียงหัวเราะ”
(อยู่กับเพื่อนดิพี่ ผมมาวันเกิดเพื่อนอะ)
“พอไม่ได้อยู่หอกูนี่เที่ยวใหญ่เลยไอ้ห่า”
(บ้าน่า ตอนอยู่หอพี่ผมก็ออกเที่ยวแบบนี้ปกติ พี่ไม่รู้เพราะพี่นอนเร็วประจำต่างหาก) มันยอกย้อนกลับมา แน่นอนว่าผมเถียงมันไม่เคยได้อยู่แล้ว (เออพี่ ที่โรงเรียนสอนพิเศษนี่เขาบอกว่าพี่ไปนั่งคุกเข่าขอพี่เอฟเป็นแฟนที่หน้าคณะเหรอ พี่ทำแบบนั้นจริงดิ ผมอายนะเว้ย)
“หา” ผมถึงกับร้องเสียงหลง แอบเหวอกับคำบอกเล่าของไอ้น้องชายตัวดีนี่นิดๆ “ขอเป็นแฟนอะไร กูไม่ได้ขอ”
(ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าคนไปคุกเข่าที่เขาลือกันอะเป็นใคร พอเพื่อนเอารูปที่รุ่นพี่ในคณะแอบถ่ายมาให้ผมดูเท่านั้นแหละ มันพี่ชัดๆ ความขี้เหร่พี่มองจากระยะร้อยเมตรยังรู้เลยว่าเป็นพี่อะ)
ผมนึกภาพตามคำเล่าของไอ้ชาลีก็ถึงกับบางอ้อเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่พยายามไปอ้อนวอนขอร้องให้พี่เอฟมาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตผม นาทีนั้นผมไม่มีปัญญาจะหาวิธีที่ดีกว่านี้แล้วนอกจากจะคุกเข่าขอความเห็นใจเหมือนซีรี่ย์หนังจีนกำลังภายใน และแน่นอนว่าพี่เอฟดูจะใจอ่อนผมก็เลยต้องใช้มารยาแววตาอ้อนวอนเพิ่มไปอีกดอก เขาถึงมาช่วยผมนี่ไง
จะว่าไปพี่เอฟแกก็ไม่ได้ใจจืดใจดำดูตามง้อยากอะไรหรอก หรือเพราะแกอยากหาห้องอยู่ฟรีแต่แรกก็ไม่รู้
“กูแค่ไปอ้อนวอนให้เขามาช่วยเรื่องเสริมหล่อกูนี่แหละ”
(ไม่ใช่ว่าพี่ไปขอพี่เอฟเป็นแฟนจนเขายอมมาอยู่กับพี่ที่ห้องแล้วสร้างสถานการณ์มาหลอกผมอะ)
“มึงเห็นกูเป็นเกย์ตั้งแต่เมื่อไรฮะ!”
(พี่ควรจะถามผมว่า ผมเคยรู้บ้างไหมว่าพี่ชอบผู้หญิง พี่แม่งใช้ชีวิตเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเสียอีก บ่นเรื่องเก็บกวาดก็ที่หนึ่ง จู้จี้ก็ที่หนึ่ง แต่เรื่องดูแลตัวเองนี่…คงไม่ใช่นิสัยผู้หญิงอะ)
“เลิกแซะกูสักทีไอ้เด็กบ้า” แล้วทำไมกูด่ามันซะน่าเอ็นดูเลยเนี่ย “บอกเพื่อนมึงด้วยว่ากูไม่ได้ไปคุกเข่าขอไอ้พี่เอฟเป็นแฟนตามข่าวลือ เอาเวลาไปติวศิลปะของพวกมึงให้รอดเถอะ แพทหกไม่ง่ายหรอกนะเว้ย”
(โธ่ รู้แล้วน่าพี่ อย่าลืมเตือนพี่เอฟเรื่องให้เพื่อนเขามาติวกราฟฟิคผมด้วยนะ จะปิดเทอมแล้ว ผมต้องการรุ่นพี่คณะศิลปกรรมมาช่วยติว น้า)
ลูกอ้อนขอความเห็นใจที่ใช้ได้ผลกับผมทุกครั้งเวลามันต้องการสิ่งที่อยากได้ แต่ครั้งนี้คงไม่ได้แดกเพราะมันอ้อนผมทางสายโทรศัพท์ ผมไม่เห็นสีหน้าขี้อ้อนของมัน ทำไรผมไม่ได้หรอก
“ไปบอกเองดิ เกี่ยวไร”
(ก็พี่เอฟเขาเป็นแฟนพี่อะ พี่ก็บอกแฟนพี่หน่อยไม่ได้เหรอ)
“ไอ้ชาลี!!!”
(แหม่ หยอกเล่น ไม่คุยด้วยแหละ อย่าล็อกห้องนะพรุ่งนี้เดี๋ยวผมเข้าไปเอาเสื้อพละ) ผมอือออเป็นการยืนยันว่าเข้าใจ (แล้วอย่าทำอะไรกับพี่เอฟประเจิดประเจ้อล่ะ ผมไม่อยากเข้าไปเจอหนัง GV สดๆ พรุ่งนี้)
“ไอ้…”
(บายพี่)
ตู๊ดดดดดด
ผมกำมือกรอด ไอ้เด็กนี่มันเวรยังไงก็เวรอย่างงั้นจริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด!
จะว่าไป คนพวกนี้ก็ชอบถ่ายรูปชาวบ้านไปตั้งหัวข้อนินทากันสนุกปาก โดยไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่ตัวเองกำลังเล่าเป็นจริงเท็จมากแค่ไหน
ดูดิ ผ่านมาไม่กี่วันผมกลายเป็นคนที่ไปคุกเข่าอ้อนวอนขอความรักจากพี่เอฟเฉย มันใช่เหรอวะ
‘วันอาทิตย์นี้พบกับมินิคอนเสิร์ต ROOM39 และการประกวดหนุ่มเฟรชลุคจากรุ่นพี่ตัวแทนคณะต่างๆ งานนี้น้องๆ เฟรชชี่ในมหาวิทยาลัย B ห้ามพลาดเด็ดขาด! แล้วเจอกันเวลา 20:00 น. ที่อาคารโภชณาการ อย่าลืมพกบัตรนิสิตมาร่วมงานกันเยอะๆ น้า!’
ผมชะงักมือที่กำลังเลื่อนเมาส์ให้หยุดที่หน้าฟีดข่าวของแฟนเพจ CLUB SUNDAY โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์เด่นหลาชวนให้ผมต้องคลิกเข้าไปอ่านคอมเม้นว่ามีคนสนใจเข้าร่วมงานมากน้อยแค่ไหน ทุกคนต่างแท็กเพื่อนตัวเองให้เข้ามาดูกันว่าเล่น
พอเห็นวงศิลปินที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาก็ทำให้ผมอยากจะเข้าร่วมกิจกรรมนี้บ้าง แต่ก็นั่นแหละ ผมอยู่มหาวิทยาลัยนี้มาก็หลายเดือน มีเพื่อนให้แท็กหรือมีใครแท็กผมซะที่ไหน เพื่อนในเฟซที่มีอยู่เขายังไม่รู้จักตัวตนผมด้วยซ้ำ…
น้องเมย์ บางพลู : เห็นพี่เอฟแชร์ แปลว่าพี่เอฟลงประกวดเฟรชลุคใช่ไหมคะพี่คิวปิดพี่อินเลิฟ หนูจะตามไปเชียร์555555555
ผมชะงักสายตาอ่านเม้นที่มีคนกดไลค์เกือบห้าร้อย พอเห็นว่ามีชื่อคนที่ผมรู้จักก็ทำให้ผมรีบกดอ่านเม้นที่มาเม้นต่อคอมเม้นนี้ทันที
ทุกคนต่างพากันเออออสนับสนุนให้พี่เอฟมาลงประกวด แหงล่ะ กิจกรรมนี้ไม่ว่าปีไหนก็สามารถลงประกวดได้ ไม่จำกัดชั้นปีและไม่จำกัดด้วยว่าจะลงซ้ำหรือไม่ ยกเว้นคนที่ได้ชนะเลิศมาแล้ว ไม่สามารถลงประกวดได้แค่นั้น
CLUB SUNDAY : ทำไมเชียร์แต่เอฟอะ ถ้าพี่อินเลิฟลงบ้าง ไม่เชียร์พี่อินเลิฟเหรอ
คอมเม้นอ้อล้อโดยการใช้แฟนเพจมาตอบทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา
ที่ยิ้มไม่ใช่อะไร แต่เพราะผมเห็นใบหน้ารูปร่างของพี่คิวปิดแล้ว ซึ่งก็กลายเป็นพี่สัจจะอย่างที่เห็น ผมเลยไม่อยากคิดสภาพพี่อินเลิฟเท่าไร คงจะตัวใหญ่ๆ ไว้หนวดไว้เคราตามแบบฉบับรุ่นพี่ศิลปกรรมแหละ
ผมลองแว๊บเข้าไปที่หน้าเฟซบุ๊คพี่เอฟเพื่อดูว่าเขาอัพเดตอะไรบ้าง น่าแปลกที่เขาแทบไม่เคยจะโพสท์บ่นอะไรในชีวิตประจำวันเลย แต่ก็มีคนตามฟอลโล่เขาเยอะมาก พอๆ กับไอ้ชาลี ไอ้ชาลีนี่สามนาทีสิบตัสแต่คนที่ติดตามก็ต่างชื่นชอบมันเป็นว่าเล่น จะขี้จะเยี่ยวก็ต้องโพสท์บอก
ขนาดวันนั้นมันบ่นว่าปวดไข่ลงเฟซบุ๊ก แฟนคลับมันก็ต่างประเคนยานั่นนี่มาให้ถึงโรงเรียนสอนพิเศษ ผมถึงบอกไง เกิดมาหล่อทำอะไรใครๆ ก็เอ็นดู
กลับมาที่หน้าเฟซพี่เอฟดีกว่า จะว่าไปพี่เขาน่าจะชอบพวกศิลปะและกีฬาเอามากๆ แหะ วันๆ แชร์แต่เรื่องแบบนี้
อะ…
ผมเผลอกดเข้าไปส่องรูปที่มีคนแท็กมาให้เขา มันคือรูปเด็กผู้ชายม.ต้น น่าจะราวๆ ม.3 ท่าจะได้ เป็นเด็กที่ยืนร้องไห้ขี้มูกไหลย้อยกอดผู้หญิงที่ดูท่าว่าจะเป็นอาจารย์ เด็กผู้ชายคนนั้นค่อนข้างจัดได้ว่าขี้เหร่เพราะใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยคราบขี้มูก เขาสวมแว่นที่ขาเบี้ยวจนมันเป๋ไหลไปที่แก้มขวาของเขา
ผมว่าผมขี้เหร่แล้วนะ เด็กนี่ขี้เหร่กว่าอีก
แต่รูปนี่มาอยู่ในเฟซพี่เอฟได้ไงวะ
คลิก!
ผมจัดการคลิกไปที่รูปเพื่อดูว่าแท็กเฟซของพี่เอฟมันแท็กส่วนไหน และผมก็รับรู้ได้ว่า เด็กในรูปนั้นถูกแท็กชื่อเฟซพี่เอฟไว้เด่นหลา ผมเอะใจจนต้องรีบเลื่อนอ่านเม้นในรูปทันที
ATIKORN : สัส ไอ้สัจจะ เอารูปกูมาจากไหน เหี้ยๆๆๆๆ
SATJA S. : กูไปค้นมาจากเฟซแม่มึงอะ ตลกฉิบหาย ขี้เหร่เหี้ยๆ555555555555
ATIKORN : สแปมรูปตรงไหนวะแม่งเอ้ย
เด็กขี้เหร่คนนี้คือพี่เอฟเหรอ…
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เชี่ย โคตรจี้!”
ผมอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งไม่ได้ รู้สึกตลกจนต้องกุมหน้าท้องแน่น ที่ผมรู้มาว่าพี่เขาเคยขี้เหร่ ผมก็ไม่คิดว่มันจะขนาดนี้อะ
พี่เขาโตมาเท่และหล่อแบบนี้ได้ไงกันนะ ทีผมตอนเด็กก็ไม่ได้แย่ แต่เหมือนว่าผมจะยิ่งโตยิ่งแย่ยังไงไม่รู้แหะ
หรือว่าพี่เอฟเขาศัลยกรรมแต่ไม่บอกคนอื่น อืม มีความเป็นไปได้สูง
ผมเลื่อนรูปเรื่อยๆ ด้วยความสนุกที่เห็นรูปในอีกหลากหลายคาแรกเตอร์ของพี่เขา จริงๆ พี่เขาก็ตลกนะแต่เหมือนจะไม่ค่อยยิ้มเลยสักรูป
อะ รูปนี้ยิ้ม!
ผมรีบกดเข้าไปดูเมื่อเห็นว่ารูปถ่ายหมู่รูปหนึ่งที่ดูท่าจะเป็นนักศึกษาไปทัศนศึกษา เพราะมันถ่ายที่หน้าพิพิธภัณฑ์อะไรบางอย่าง พี่เอฟยิ้มจนตาหยี แต่พี่เขาไม่ได้ดูหล่อเหมือนตอนนี้เลย เรียกได้ว่าใบหน้าพอๆ กับรูปตอนเด็กของเขา แต่ผมจำรูปร่างและโครงหน้าเขาได้จึงรู้ว่านี่เป็นพี่เขา
แล้วคนข้างๆ ในรูปนี่มัน…
ผมรีบปล่อยมือออกจากเมาส์แล้วรีบลุกอย่างไว เพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บตาขึ้นมาทันที คงเป็นเพราะผมจ้องคอมนานเกินจนตาแห้ง จะหายามาหยอดตอนนี้ก็คงไม่ทัน
“ถอดยังไงวะเนี่ย”
ผมคลำทางเข้าไปที่ห้องน้ำจัดการล้างมือที่ซิงค์แล้วแหกตาข้างที่เจ็บด้วยความเบามือ ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วชี้แตะเข้าไปในลูกตาอย่างเก้ๆ กังๆ
“อย่าตื่นเต้น… อยะ ตะ ตื่น…”
ผมภาวนาออกมาเสียงดังก่อนจะจิ้มเข้าไปด้วยความเกร็งสุดขีด แต่แล้วก็หลุดออกจากเบ้าตาผมทันทีทันใด
ผมหรี่ตาอีกข้างออกไปเอาแว่นสายตาเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะเตรียมถอดอีกข้าง จะได้ไม่ต้องเหมือนคนตาบอดออกไปคลำหาแว่นนอกห้องอีกรอบ
ถอดยากแถมยังเจ็บตาอีก รู้แบบนี้ควรตัดสินใจเก็บเงินทำเลสิคแต่แรก คงไม่ต้องมาใส่แว่นที่หนาเกือบร้อยชั้นแบบนี้
อ่า… โล่งเหมือนปลดทุกข์
ผมจัดการสวมแว่นก่อนจะก้มมองคอนแทคเลนส์รายสัปดาห์ของผมที่กระเด็นไปนอนข้างส้วมเป็นที่เรียบร้อย นี่ถ้าพี่เอฟรู้ว่าผมใช้คอนแทคเลนส์สิ้นเปลืองแบบนี้มีหวังโดนด่าตายโหงแหง
พรึบ!
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะมองไปที่จอคอมที่เปิดรูปหมู่ของพี่เอฟทิ้งไว้ พี่เอฟกำลังยิ้มตาปิดแถมยังเอาหัวแนบชิดพี่อุ่นใจราวกับสองคนนั้นสนิทกัน
เขาสองคนรู้จักกันมาก่อนด้วยเหรอ…
-----------------------
[F SAY]
“ขอบคุณมากนะที่มาช่วยงานวันนี้อะ ทั้งที่ไม่ใช่เวรแก”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อผู้หญิงตรงหน้าเอ่ยคำขอบคุณมา
“กลับบ้านยังไงเนี่ย จะไปส่งก็ไม่ให้ไปส่ง” ผมถามเธออย่างเป็นห่วง พอเห็นว่าเธอร้องจะกลับบ้านเองทั้งนี่ก็ปาไปตีสามแล้วแต่เธอกลับให้ผมขี่มอเตอร์ไซค์ตัวเองมาหอที่ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่กับไอ้นิด “ไม่มีวินด้วยนะตอนนี้”
“ไม่เป็นไร ฉันเรียกแท็กซี่แถวบ้านมาแล้วไม่ต้องห่วง”
“แน่ใจ” ผมถามย้ำ
“น่า รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้มีเรียนปะ”
“ไม่อะ ไม่มีเรียน” ผมส่ายหน้าก่อนจะยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์ “จะชวนเราไปไหนเหรอ”
“บ้า ฉันไม่มีเวลาว่างชวนแกเที่ยวหรอก พรุ่งนี้ฉันซ้อมเชียร์ลีดเดอร์อีก”
ผมทำเออออไปว่าเข้าใจ คนที่เป็นฝ่ายกิจกรรมก็จะยุ่งยากแบบนี้เป็นธรรมดา ผมก็เป็นฝ่ายกีฬานะแต่ก็มักจะโดดซ้อมบ่อยๆ ทำให้กลายเป็นคนว่างราวกับไม่ใช่เด็กกิจกรรมของคณะไปเลย
“แล้วต้องสานสัมพันธ์กับคณะมนุษย์อีกหรือเปล่าเนี่ย”
“ฮั่นแน่ ถามแบบนี้หมายความว่าไง” เธอทำหยอกล้อ แน่นอนว่าเธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะศิลปกรรม เธอคงแปลกใจที่ผมเอ่ยถึงคณะมนุษย์โดยตรงทั้งที่สานสัมพันธ์มันก็มีกับทุกคณะ “นี่แอบซุกสาวไว้ที่คณะมนุษย์ใช่มะ”
เธอทำท่าทางจับผิดแถมยังเอานิ้วมาจิ้มไหล่ผมเป็นเชิงล้อ
“แท็กซี่มารับแล้วน่ะ รีบกลับไปปะ” ผมผลักหัวเธอเบาๆ
“ทำมาเปลี่ยนเรื่อง”
“ไม่ได้ซุกใครไว้ทั้งนั้นแหละ ก็รอไจ๋ตอบเราเรื่องที่เคยขออยู่ไง”
“…”
เธอชะงักเท้าก่อนจะหันมายิ้มเฝื่อนแสดงให้เห็นว่าเธอคงไม่โอเคกับคำพูดผมเท่าไร
“น่ะ แล้วก็มาทำเงียบ กลับไปปะ”
ผมทำเป็นกลับคำเปลี่ยนเรื่องเองอย่างไวก่อนจะผลักคนตวเล็กเข้าไปยังแท็กซี่ เธอเปิดกระจกลงมาก่อนจะโบกมือบ๊ายบายเป็นการอำลาพร้อมกับรถที่เคลื่อนออกไป
“ฝันดีนะเอฟ”
“อือ”
ผมพยักพเยิดหน้าให้ก่อนจะโบกมือให้แบบลวกๆ ผมถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พอนึกถึงคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองก็แอบรู้สึกแย่ที่ผมยังคงพยายามยัดเยียดความรู้สึกที่ไม่ใช่เพื่อนให้เธออยู่แบบนั้น
แต่ถามว่าผมชอบเธอไหม ผมชอบนะแต่ชอบในแบบเพื่อนอย่างที่เธอคิดกับผมนั่นแหละ
งงใช่ปะว่าทำไมผมถึงพยายามตัดขาดเฟรนด์โซนกับเธอทั้งที่ผมก็คิดกับเธอเป็นแค่เพื่อนเหมือนกัน ผมไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับหรอก รู้แค่อย่างเดียวว่าผมอยากทำ…
แอ๊ดดด
เสียงแง้มประตูดังจนผมต้องขมวดคิ้วมอง นี่ขนาดเป็นหอที่ไม่ได้เก่าอะไรมากมาย ทำไมประตูมันถึงเสียงดังเบอร์นี้วะ
ผมค่อยๆ ปิดประตูห้องที่ตัวเองเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ไม่กี่วันก่อนจะแอบเปิดไฟดวงเล็กมุมโต๊ะทำงาน ทำให้มันไม่สว่างไปทั่วห้องจนคนบนเตียงตื่นขึ้นมาด่าพ่อล่อแม่ผมเข้าให้ แม้จะรู้ดีว่าคนแบบมันไม่กล้าเอ่ยคำหยาบคายใส่หน้าผมก็ตามที
“นิด” ผมโน้มหน้าลงกระซิบคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแถมยังใส่แว่นนอนอีก “เด๋อเอ้ย”
ผมบ่นอุบก่อนจะจัดการถอดแว่นของมันมาวางไว้ที่หัวเตียงและจัดการนำถุงอาหารที่ซื้อมาให้มันไว้กินตอนเช้าๆ ใส่ตู้เย็นเอาไว้
ไม่ต้องงงว่าทำไมผมถึงต้องทำดีกับมันเบอร์นี้ ผมแค่อยากตอบแทนการที่มันให้ผมอยู่ที่นี่ก็แค่นั้น เดี๋ยวก็หาว่าผมใจจืดใจดำไม่ทำอะไรนอกจากทำให้มันหล่ออย่างเดียวอีก จริงๆ ผมจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ด้วยความที่ผมไม่มีเงินในช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมานี่ดิ ทำให้ผมต้องเริ่มหางานทำถี่มากขึ้นและหาที่อยู่ที่มันถูกกว่าที่ผมเคยอยู่มาก่อนหน้านี้
ผมโดนตัดบัตรเครดิตทั้งสามใบอย่างถาวร ไม่สามารถใช้เงินได้ตามอำเภอใจบวกกับแม่หนีผมไปอยู่ต่างจังหวัดกับญาติจนผมติดต่อไม่ได้ ผมยอมรับว่าผมแย่เอง ผมแอบดรอปเรียนเพื่อลงแรงลงทุนกับด้านกีฬาเพียงอย่างเดียว พอแม่มารู้เรื่องพวกนี้เข้าให้ก็ไม่พอใจเอามากๆ อาจเป็นเพราะพ่อผมที่ทิ้งไปเขาเป็นนักกีฬาด้วยแหละ แม่เลยไม่อยากให้ผมตามรอยพ่อ
แต่ใครจะห้ามความชอบผมได้อะ…
โชคดีของตัวเองที่สามารถยื่นข้อเสนอมาอยู่กับไอ้นิดได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท รู้สึกดีที่อย่างน้อยการลงทุนของผมก็แค่บอกเคล็ดลับความหล่อ มันไม่ได้เสียหายอะไรตรงไหน อีกอย่างผมกับมันก็เคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กัน แต่แค่ผมเป็นคนจำฝังใจแค้นแล้วแค้นเลย ส่วนไอ้นิดผมคิดว่าถ้ามันดูดีขึ้น มันคงตัดใจจากสาวที่หักอกมันไม่ได้หรอก
“เดี๋ยวนะ”
ผมพึมพำออกมาราวกับคุยกับแม่ซื้อ เมื่อสายตาพลันไปเห็นโน๊ตบุ๊กที่เปิดรูปรวมคุ้นหน้าคุ้นตาค้างไว้ ผมเดินเข้าไปมองมันใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นรูปผมสมัยปีหนึ่งกับการไปเที่ยวพร้อมคนในชมรมดนตรี ในตอนนั้นเรียกได้ว่าผมขี้เหร่ที่สุดในกลุ่มเลยก็ว่าได้ แทบไม่มีใครคุยกับผมเลยยกเว้นแต่ไอ้สัจจะกับผู้หญิงข้างๆ ผมในรูปนี้
ผมผละสายตาออกก่อนจะหัวมาแยกเขี้ยวใส่ไอ้ตัวแสบที่แอบมาส่องเฟซผมอย่างพลการ มือผมคว้าปากกาเมจิกบนโต๊ะก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหายังคนร่างเล็กที่นอนหลับสบายหายห่วง
หน็อย นี่คงหัวเราะกับรูปผมแน่ๆ ขุดอะไรไม่ขุด ขุดรูปอดีตกู ได้…
“อื้ออออออ ช่วยผมๆ”
ผมผงะมือที่เตรียมจดปลายปากกาเมจิกไปที่หน้ามัน เพราะอยู่ๆ เจ้าตัวก็พลิกตัวมาเผชิญกับใบหน้าผมก่อนจะงึมงำแต่ยังคงหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวใส่ผมหน้าตาเฉย
“ตื่นเหรอ” ผมถามเสียงเบา
“คร่อกกกก”
ยังมีหน้ามากรนอัดใส่กูอีก!
พอเห็นหน้ามันก็ทำเอาผมไม่มีอารมณ์อยากแกล้งมัน ชีวิตมันลำพังก็คงโดนแกล้งมามากพอแล้ว
จริงๆ ผมก็เห็นใจมันนะ อยู่ตัวคนเดียวเพียงเพราะหน้าตาที่คนไม่อยากเข้าหา บวกกับมันไม่ค่อยชวนใครคุยด้วยแหละ ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นคนที่เข้าหายากอะ
แต่จะว่าไปมองหน้ามันใกล้ๆ ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรนะ แค่มันบำรุงผิวพรรณไม่เป็น ทานั่นทานี่ไม่ตรงกับสภาพผิวมันแหละ ดูดิแก้มมีแต่ฝ้า จะไปเนียนใสให้สาวๆ เขามองได้ไงวะ
ไม่ได้การผมรีบลุกไปยังตู้เย็นแล้วแกะกล่องมาร์กหน้าที่ตัวเองต้องซื้อติดตู้ไว้ออกมา ผมคิดว่าสภาพหน้าของมันกับผมคงไม่ต่างอะไรกันมาก รู้สึกอิจฉาที่มันไม่มีหนวดเลย เป็นผู้ชายประเภทไหนวะ
พรึ่บ
ผมค่อยๆ วางมาร์คที่ชุ่มไปด้วยเซรั่มบำรุงไปที่หน้าไอ้นิดอย่างเบามือ เจ้าตัวงัวเงียไปนิดๆ จนผมต้องถอยมาตั้งหลัก กลัวมันตื่นแล้วหาว่ายุ่มย่ามกับมันอีก แต่พอเห็นว่ามันหลับสนิททำได้แค่ละเมอเล็กน้อย ผมจึงค่อยๆ ลูบให้มาร์กอยู่ติดหน้ามันให้มากที่สุด
“เออน่ารักขึ้นมาเยอะเลย” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะมาร์กที่ผมมาร์กให้มันคือหน้าของหมีแพนด้าสีชมพู ดูแล้วก็ตลกชะมัด มาร์กที่ผมซื้อมาเป็นแบบมาร์กหน้าสัตว์ มันจะสุ่มมาให้ในกล่อง ไอ้นิดโชคดีไปที่ได้แพนด้าสีชมพูสดใส “ไว้แบบนี้แหละ จะได้หล่อกับเขาบ้างมึงอะ”
“…”
“จะหล่อแล้วยังไม่พยายามอีก ไอ้เด๋อ”
ผมบ่นพึมพำก่อนจะจัดการเปิดกล้องในมือถือขึ้นมาถ่ายมันเก็บไว้เป็นที่ระลึก เอาไว้แบล็กเมล์มันให้อายเล่นๆ
ผมมองมันที่ดูไม่รู้ตัวอะไรกับเขาเลย นี่ถ้ามีคนเข้ามาข่มขืนจะรู้ตัวไหมวะ นอนยังกับคนตาย ไหนลองอังจมูกดิ…ก็ยังหายใจอยู่นี่
“คิดถึงแม่”
“เห้ย”
แขนของผมถูกไอ้แพนด้าชมพูรวบไปกอดหน้าตาเฉย ดีที่ผมไม่อ่อนแออ่อนแรงถึงกับล้มตึงไปนอนข้างมัน ผมมองการกระทำที่ดูท่าแล้วมันจะไม่รู้ตัวจริงๆ
“แม่ ผมเหงา”
น้ำเสียงที่ดูเศร้าและสะอึกสะอื้นทำให้ผมต้องเอียงคอมองว่ามันร้องไห้จริงหรือเปล่า แต่ดูยากอะมันมาร์กหน้าไว้ผมดูไม่ออกหรอกว่าน้ำตามันไหลหรือแค่ฝันแล้วเกิดอาการสะอื้นเฉยๆ
“โตเป็นควายยังร้องไห้หาแม่อีก”
“…”
“ปล่อยกูดิ กูจะไปนอนโซฟา”
“…”
“ไม่งั้นกูนอนกับมึงบนนี้เลยนะ ห้ามกูไม่ได้แล้วนะ”
“…”
“อะ ไม่ตอบแปลว่าตกลง”
เหมือนผมคุยกับแม่ซื้อจริงๆ นาทีนี้ถ้าคนบนเตียงไม่ยอมเปล่าแขนผมเป็นอิสระ ผมก็คงต้องนอนข้างๆ มันไปแบบนี้แหละ ผมไม่ชอบการนอนโซฟาด้วยแหละ อยู่ที่นี่แทบจะไม่ได้นอนบนเตียงดีๆ กับเขาเลย เพราะไอ้เด๋อนี่ไล่ผมไปนอนโซฟาไม่ก็นอนข้างล่างสถานเดียว นี่จะเป็นอัมพาตเข้าสักวัน ขยับตัวแทบไม่ได้
ผมหายใจคนข้างๆ มันเริ่มค่อยๆ มาใกล้แขนผมเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าไอ้นิดจะเอาแขนผมไปย่ำยีตามอำเภอใจเป็นว่าเล่น หน้าของมันจรดเข้ากับแขนผมจนเย็นวูบเพราะมาร์กหน้าของมันมาโดน
“ไม่มีใครรักผมเลย…”
สิ้นสุดเสียงแผ่วของไอ้นิดก็ทำเอาผมต้องหันไปมองหน้ามัน
ทำไมถึงคิดว่าไม่มีใครรักมึงวะ
ยกเว้นกูคนนึงแหละ
ที่ไม่ได้เกลียดมึง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นน้องคณิต โอ๋ ละเมอหาแม่เป็นเด็กเลย
น้องน่ารักมากเด้อ