ตอนที่ 33 : ll ปรึกษา (รัก) ll EP.21 :: เป็นห่วงเป็นใย [100%]
[KANIT SAY]
อ่า…
กรอบ~~
ผมบิดตัวไปมาก็เผลอมีเสียงกระดูกดังขึ้นมาเฉย เมื่อคืนผมนอนเกร็งไปทั้งตัวเลย เพราะไอ้คนข้างๆ พยายามทำให้เราสองคนอยู่ภายใต้ผ้าห่มเดียวกันให้ได้ แถมยังกอดผมราวกับว่าผมเป็นหมอนข้างชั้นดีอีก
จะว่าอบอุ่นก็อุ่นแหละ แต่การนอนกอดกันกลมแบบนี้มันไม่คุ้นชินนี่เว้ย!
“เสื้อมึงทำไมมันเล็กแบบนี้วะ”
ได้ทีก็บ่น ผมแต่เช้าเลย…
ป้าของผมเริ่มออกไปส่งของตั้งแต่เช้าตรู่ เขาบอกเพียงแค่ว่าให้ผมไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารตามสั่งเอาแล้วกัน ทำให้เราสองคนกลายเป็นเจ้าของบ้านไปโดยปริยาย
“พี่ตัวใหญ่เองต่างหาก” ผมหันไปแขวะเจ้าตัวที่พยายามจะดึงชายเสื้อสีดำผมให้ยืดให้ได้ “วันนี้ผมต้องเดินเยอะนะพี่ ถ้าพี่ขี้เกียจก็ไม่ต้องตามผมไปหรอก มันอาจจะน่าเบื่อสำหรับพี่ไปหน่อย”
“ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่ามึงแล้ว”
“จริง ผมน่าเบื่อจริงดิ” ผมทำเป็นถามแบบกวนตีน
“ไม่จริง”
แต่คนตัวสูงก็รีบตอบกลับมาอย่างไว พักหลังมาเขาดูจะยอมผมบ่อยเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไม แต่ผมคิดว่าเขาเป็นแบบนี้มันน่ารักสำหรับผมเอามากๆ เลยแหละ
ผมเผลอยิ้มให้กับการกระทำเผลอๆ แบบนั้นของเขาทุกที
เราสองคนเริ่มต้นด้วยการเดินลัดเลาะไปตามพื้นที่ดินแดงที่ไม่ได้แห้งมาก เพราะข้างทางก็มีไร่แตงกวาของชาวบ้าน พี่เอฟสวมหมวกแก๊ปของแบรนด์ดังจนผมเผลอหัวเราะออกมาเพราะแม่งไม่ได้เข้ากับเสื้อผ้าและสถานที่ที่เขากำลังเดินอยู่ตอนนี้เลยบอกตรงๆ
“ทำไมพี่ถึงอยากมากับผมที่นี่อะ ดูท่าว่าพี่ไม่น่าอยากจะมาเท่าไรนะครับ”
ผมชวนคุย การเดินของเราสองคนจะลำบากนิดหน่อยเพราะระยะทางจากบ้านผมไปที่บ้านคนอื่นค่อนข้างไกลพอตัว ส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านจะเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์หรือไม่ก็รถแทรกเตอร์สำหรับขี่ไปลงลุยสวนอะไรทำนองนี้
“ใครบอก กูอยากมาเที่ยวจะตาย พอมึงบอกว่าบ้านมึงอยู่ไกลตัวเมืองกูก็ยิ่งอยากมา กูอยากรู้ว่าเขาใช้ชีวิตกันยังไง กูจะมาเก็บวิวที่นี่ไปวาดรูปด้วย สวยออก บรรยากาศก็ดี”
เขาพูดไปพลางยิ้มรับกับอากาศที่เย็นแบบพอดี น่าแปลกที่ผมดันยิ้มตามเขาเฉย ทำไมผมชอบเขาในมุมแบบนี้มากกว่าพี่เอฟที่อยู่ในคณะศิลปกรรมที่ผมเจอในวันแรกอีกนะ
“พี่ในมุมแบบนี้นี่ก็น่ารักดีนะครับ” ผมชมไปตามตรง คนโดนชมถึงกับหันมามองด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก “ผมไม่รู้หรอกนะว่าตัวตนของพี่จริงๆ มันเป็นแบบไหน แต่ผมชอบที่พี่เป็นแบบนี้ มากกว่าพี่เอฟที่เอาแต่ทำหน้านิ่งๆ เอาแต่บ่นผมทั้งวันอะ”
“ทำไม กูบ่นนี่ไม่ดีเหรอ”
“มันก็ดี แต่บางทีผมก็อยากเห็นมุมน่ารักๆ ของพี่บ้าง ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคนแบบพี่จะไม่มีมุมน่ารักกับเขาอะ”
“กูน่ารักเป็นปกติ มึงไม่เห็นเองต่างหาก”
ว่าแล้วก็จ้ำอ่าวเฉย นี่ไง พอชมหน่อยก็เอาใหญ่ กลับมาเป็นเอฟขี้เก็กร่างเดิมอีกแล้ว
เขินก็บอกว่าเขินดิ ปากก็นุ่มนิ่มจะตาย ทำไมชอบทำตัวเหมือนคนปากแข็งก็ไม่รู้
ผมรีบเดินตามพี่เอฟที่ขายาวจนผมนึกว่าเขาวิ่งทั้งที่เขาก็แค่เดินปกติมาที่บ้านหลังแรก ซึ่งเป็นบ้านของปู่กับย่าที่ทำอาชีพเก็บพืชผักขาย บ้านเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่ลูกหลานของเขาก็แลดูมีความสุขดี
ผมชอบหมู่บ้านตัวเองตรงที่ ไม่ได้หรูหราอะไร แต่ทุกคนกลับมีความสุขที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งของนอกกาย มีเพียงการทำเกษตรและรอยยิ้มของคนในหมู่บ้านที่ทักทายกันทุกวันมันก็เพียงพอแล้ว
“คุณย่าน่ารักดีว่ะ”
พี่เอฟยกยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นว่าย่ากำลังเล่นกับหลานสองสามคนที่วิ่งไปมา รอยยิ้มของคนแก่ทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้ ผมยกมือถือขึ้นถ่ายและเก็บภาพพวกนี้เอาไว้เพื่อจะได้ไปเขียนรายงานต่อไป
“ผมชอบที่นี่ก็เพราะแบบนี้แหละครับ ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยมีเพื่อนจริงๆ สักคน เวลาผมต้องไปเรียนผมแทบไม่เคยยิ้มออกมาอย่างเต็มที่หรือมีความสุขเลย มีที่นี่ที่เดียวที่ทำให้ผมยิ้มได้และสบายใจมากกว่าที่อื่น”
“แล้วอยู่กับกูไม่ได้ทำให้มึงยิ้มหรือสบายใจเลยว่างั้น”
“ปวดหัวมากกว่าอีก” ผมแซว
“เออ ใช่เซ่ ไม่ใช่อุ่นใจนี่”
“พี่ล้อผมอีกแล้วนะ”
ผมหันไปพูดกับพี่เอฟ คนตัวสูงหัวเราะดีใจที่แกล้งผมสำเร็จ เราสองคนเดินเก็บภาพคนในหมู่บ้านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสุดหมู่บ้าน พี่เอฟก็แอบถ่ายรูปเก็บไว้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเขาจะไม่ได้ถ่ายบรรยากาศนะ
“มองไร” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงหาเรื่องทันทีที่เห็นว่าผมมองเขา
“พี่ถ่ายผมทำไมอะ”
“ใครถ่ายมึง หลงตัวเองอีกแหละ”
คนตัวสูงทำเป็นบ่ายเบี่ยง ก็เห็นอยู่ว่าหันกล้องมาทางผมอะ
“อยากถ่ายผมก็บอกกันตรงๆ สิครับ ผมให้ถ่ายฟรีไม่คิดเงินหรอกน่า”
“เปลืองเมม”
เมื่อไรคนข้างๆ ผมเขาจะเลิกปากไม่ตรงกับใจสักทีน้า
เราสองคนเดินมาจนถึงบ้านสุดท้าย ซึ่งเป็นบ้านของป้าคนสนิทที่ผมเคยมาเล่นด้วยบ่อยๆ บ้านของท่านปลูกสวนแตงกวาและถั่วฝักยาวเอาไว้ ตอนเด็กๆ ผมชอบมาช่วยป้าแกเก็บ ไม่รู้ว่าตอนนี้สวนพวกนั้นจะยังมีพืนผลอยู่ไหมนะ
“ป้าครับ!”
ผมตะโกนเรียกเจ้าของบ้านอยู่หน้าบ้าน ไม่นานป้าคนดังกล่าวก็เดินออกมาในสภาพที่เหมือนเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
“ใครน่ะ” ป้าหรี่ตาก่อนจะเดินตรงมาหาเราสองคน ผมกับพี่เอฟรีบยกมือไหว้ตามมารยาท “มีอะไรพ่อหนุ่ม มาซื้ออะไรหรือเปล่า”
ผมผงะกับการทักทายของป้าไปนิดๆ ดูเหมือนป้าจะจำผมไม่ได้แหะ ไม่งั้นคงไม่ใช้สรรพนามนี้แน่นอน
“ป้าจันทร์ ผมคณิตไง จำได้ไหม”
ผมว่าหน้าตาผมก็มได้ศัลยกรรมอะไรกับเขานะ ทำไมป้าถึงทำเหมือนจำผมไม่ได้เนี่ย
“คณิต…”
“ใช่ คณิตอะ ที่เป็นหลานป้าชาเย็นไง”
“ไอ้แว่นอะนะ”
ทันทีที่ป้าเรียกผมแบบนั้น คนข้างๆ ผมก็ถึงกับหัวเราะพรวดพราดโดยไม่เก็บอาการแม้แต่อย่างใด ผมรีบใช้ศอกกระทุ้งให้เขาเลิกหัวเราะเยาะสรรพนามที่ป้าแกเรียกผมสักที
ก็ป้าแกเห็นผมใส่แว่นจนชิน เขาก็เรียกไอ้แว่นมาตั้งแต่เด็กอะ
“ครับ” ผมยิ้มตอบ
ป้าจันทร์เดินเข้ามาใกล้ๆ ผมก่อนจะเอียงคอมองอย่างพินิจ
“เอ็งจริงๆ รึไอ้นิด!”
“ผมตัวจริงเสียงจริงเลยครับ”
“ทำไมถึงดูดีขึ้นได้ล่ะ!”
พอถูกชมเข้าเยอะๆ ก็เริ่มเขินตัวเองซะแล้วสิ พี่เอฟทำได้แค่ยืนมองพร้อมกับเบ้ปากใส่ผมคล้ายหมั่นไส้
“ความลับน่ะครับ” ผมยิ้มตาหยี จะว่าไปกูก็บ้ายอเหมือนกันนะเนี่ย “ป้าครับ พอดีผมต้องทำจิตอาสาเพื่อส่งรายงานอาจารย์อะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนผมขอไปช่วยป้าเก็บพวกแตงกวากับถั่วฝักยาวได้ไหมครับ”
จะเรียกว่าจิตอาสาก็คงแปลกๆ เรียกว่ามาทำผลประโยชน์และช่วยคนในหมู่บ้านทำมาหากินจะดีกว่า พี่เอฟก็ไม่รู้หรอกว่าผมจะมาทำอะไรพวกนี้ แต่เขาก็ไม่เอ่ยขัดหรือบ่นอะไรผมนะ คงเข้าใจแหละว่างานในคณะมันต้องทำ มันเทไม่ได้
“เออดีเลย เนี่ยป้ากำลังจะออกไปเก็บพวกถั่วฝักยาวที่หลังบ้าน เอ็งก็มาช่วยป้าก็ได้ ว่าแต่…” ป้าหยุดพูดพลางชะเง้อมองคนที่ยืนตัวสูงอยู่ข้างหลังผม “ใครน่ะ ไอ้ชาลีเหรอ ป้าสายตาไม่ค่อยดี จำหน้าเด็กๆ ไม่ได้เลยแหะ”
“ไม่ใช่ชาลีครับป้า นี่พี่ในมหา’ลัยผม ชื่อพี่เอฟ”
ผมรีบแนะนำตัวพี่เอฟให้คนในหมู่บ้านรู้จักอีกครั้ง พี่เอฟยิ้มรับและก้มหัวเป็นการทักทาย ตอนแรกที่ผมคิดไว้ ผมนึกว่าพี่เอฟคงจะตีหน้านิ่งใส่ผู้ใหญ่ซะแล้ว แต่ผิดคาดตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาเลย เขายิ้มให้กับลุงๆ ป้าๆ ทุกคนในหมู่บ้านแตกต่างจากตอนอยู่ที่มออย่างสิ้นเชิง ถ้าจะได้เห็นรอยยิ้มพี่เขา ผมคงได้เห็นจากที่นี่กลับไปจนอิ่มแน่ๆ
เวลาเขายิ้มตาของพี่เอฟจะหยี แถมยังดูน่ารักกว่าปกติอีก ยังแอบแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมยิ้มต่อหน้าคนอื่นเวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนะ
หรือเขาอยากจะคีปคาแรคเตอร์เป็นผู้ชายมาดนิ่งกัน
ทำตัวยังกับเป็นพระเอกนิยายไปได้ -_-
“เอาเหรอ แหม่ เด็กมหา’ลัยนี่มันหน้าตาดีกันทุกคนเลยนะ” ป้าจัดการหยอดพี่เอฟไปที
ผมหันไปดึงมุมปากใส่ แม้ป้าจะชมด้วยสัจจริงแต่ผมก็อดหมั่นไส้พี่แกไม่ได้จริงๆ
“งั้นผมไปเก็บให้นะครับ” พี่เอฟอาสา
“ได้ลูก อะ ตะกร้านี้นะ ถ้าเก็บเสร็จแล้วก็เอามาวางไว้ที่แคร่ตรงนั้นได้เลย เดี๋ยวป้าจะเอาขนมน้ำมาให้เป็นการขอบคุณเนอะ”
พี่เอฟยิ้มตาหยีรับตะกร้าจากมือป้าที่หยิบขึ้นมา ผมกับพี่เอฟขอปลีกตัวไปที่หลังบ้านของป้าแกในทันที
ที่นี่เป็นสวนขนาดกว้างมีช่องทางเดินสำหรับเข้าไปเก็บถั่วฝักยาวอยู่หลายช่อง คล้ายๆ สวนองุ้นที่เรามักเห็นตามทีวี แต่เปลี่ยนจากสวนองุ่นเป็นถั่วฝักยาวแทน มันมีเพลิงไว้สำหรับให้ถั่วฝักยาวไต่ๆ ขึ้นไปเป็นเถาวัลย์
“กูเพิ่งเคยเห็นนะเนี่ย”
คนด้านข้างยกมือถือขึ้นถ่ายก่อนจะทำหน้าตาเหมือนไม่เคยเห็นจริงจัง
“ผมชอบมาวิ่งเล่นในสวนนี้บ่อยๆ กับไอ้ชาลีน่ะครับ มันเป็นสถานที่ที่เป็นความทรงจำในวัยเด็กก็ว่าได้”
“ตอนเด็กสนิทกับไอ้ชาลีมากขนาดนั้น ทำไมถึงโตมาไม่ค่อยได้คุยกัน หรือเบื่อขี้หน้า?”
คนตัวสูงถาม ผมจัดการเดินนำหน้าเก็บถัวฝักยาวที่โตเต็มวัยและสามารถออกสู่ตลาดได้ โดยมีพี่เอฟคอยเดินถือตะกร้าแขว่งไปมาตามตูดผมอยู่ใกล้ๆ การเก็บถั่วฝักยาวที่นี่ต้องพิถีพิถันมากหน่อย เพราะสวนที่นี่ไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลง จึงทำให้ถั่วฝักยาวบางอันถูกแมลงกัดแทะจนดูไม่สวย
“อาจเพราะเราสองคนโตขึ้นด้วยความอายุไล่เลี่ยกันมั้งครับ เราเลยไม่ค่อยได้คุยอะไรมาก ทำให้ดูห่างๆ กัน ชาลีมันมีความชอบที่ไม่เหมือนกับผมอยู่หลายอย่าง ทำให้เวลาคุยกันก็เลยน่าหงุดหงิดสำหรับมันไปหมด”
“เหมือนกูเลยสินะแบบนี้”
“พี่หงุดหงิดผมด้วยเหรอ” ผมถามแบบขำๆ แหงล่ะ ไม่ให้หงุดหงิดก็แปลกล่ะ ผมกับเขาทะเลาะกันแทบทุกวัน
“จะว่าหงุดหงิดก็มีบ้าง แต่มีมึงในชีวิตมันก็ไม่เหงาดี รู้สึกมีอะไรแปลกใหม่ให้ได้เรียนรู้เยอะเลย จากที่ไม่รู้ว่ามีคนแบบมึงอยู่บนโลก ก็ทำให้รู้ว่าเออยังมีมึงที่เป็นแบบนี้ แบบที่ไม่เหมือนใคร”
พี่เอฟหันมาพูดด้วยประโยคที่ผมไม่รู้ว่านี่เป็นคำชมหรือคำด่า แต่เอาเป็นว่าผมจะยิ้มรับมันแล้วกัน
“พี่ถ่ายรูปให้ผมหน่อยดิ ผมต้องเอาไปปริ้นท์ส่งอาจารย์ด้วยอะ”
ผมจัดการส่งมือถือให้พี่เอฟถ่ายรูปให้ รู้สึกแปลกๆ ที่มีตากล้องเป็นพี่แก ผมก็เลยยิ้มแหย่ๆ แบบเกร็งๆ เฉย
“ยิ้มน่าเกลียดฉิบหาย ยิ้มดีๆ”
พี่เอฟว่าขึ้นก่อนจะจัดการสั่งให้ผมยิ้มใหม่ คราวนี้ผมลองยิ้มกว้างในแบบตัวเอง ยิ้มที่ใครๆ ก็ชมว่ามันน่ารัก พี่เอฟกดถ่ายหรือยังไม่รู้ แต่รู้สึกว่าเขาจะค้างกล้องมือถือผมนานเกินไปแล้ว
“เสร็จยังอะ”
“อะ อือ”
คนตรงหน้าผมผละออกจากหน้าจอแล้วยื่นมือถือมาให้ หูพี่เอฟแดงกล่ำจนผมเลิกคิ้วมอง
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหูแดงขนาดนั้น” ผมถาม
พอจะส่งมือไปจับที่หูพี่เอฟก็จับมือผมเอาไว้เป็นการห้าม
“ยุ่งน่า ไปเก็บถั่วต่อไปไอ้ม้ง”
จากไอ้แว่น ไอ้หน้าบาน ตอนนี้มาเป็นไอ้ม้งเป็นที่เรียบร้อย
พี่เอฟอาสาช่วยผมเก็บอย่างตั้งใจ เราเก็บกันคนละฝั่งไปเรื่อยๆ จนสุดทางเดิน ผมลอบแอบถ่ายรูปพี่เอฟอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เวลาเขาเผลอ พี่เอฟมักจะลืมตัวอยู่เสมอว่าตัวเองยิ้มออกมากว้างแค่ไหน
เวลาพี่เขายิ้มนี่มันน่ามองกว่าตอนไหนๆ เสียอีก มองเท่าไรก็ไม่เห็น่าเบื่อเลยสักนิด
“มองกูขนาดนี้ กินกูเลยไหมครับ…”
ผมสะดุ้งจากภวังค์หลังจากตั้งสติได้ ผมเกาหัวแก้เขินแล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อน
“เหงื่อพี่ออกอะ” ผมรีบล้วงทิชชู่ในกระเป๋าที่พกเอาไว้ยามจำเป็นขึ้นมาเช็ดให้คนตัวสูงทันที พี่เอฟไม่ได้พูดอะไร เขาเงอะงะไปนิดนึงก่อนจะย่อตัวลงอย่างว่าง่าย กลายเป็นว่าสายตาเราสองคนมันประสานกันพอดี ยิ่งทำให้ผมมือสั่นยกใหญ่ “เหนื่อยมากไหมพี่”
ผมถามคนตรงหน้า ก่อนจะเสยหน้าม้าเปียกๆ ของเขานิดๆ ดูจากเหงื่อก็รู้ว่าเขาร้อนแค่ไหน
“ไม่ค่อยอะ สนุกดี”
“แทนที่จะมาพักผ่อน กลับมาทำให้พี่ลำบากไปด้วยเลย ขอโทษนะครับ”
“ขอโทษทำไม กูเต็มใจทั้งนั้น ดีซะอีกที่ได้ทำ ถ้าไม่ได้มาที่นี่ก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เห็นต้นถั่วฝักยาวหรือเปล่า ตายไปก็คงไม่ได้เห็น”
“ถ้าอยากเห็นเดี๋ยวผมปลูกใส่กระถางให้ก็ได้”
ผมพูดหยอก พี่เอฟที่คงร็ว่าผมพูดเล่นก็ใช้มือเขกมะเหงกผมเป็นการลงโทษ
“มึงไม่ต้องเลย มึงไม่เคยทำตามสัญญาที่พูดไว้สักอย่าง”
“ไรอะ เดี๋ยวกลับไปที่มอผมเลี้ยงกะเพราะถาดพี่เลย จะได้ไม่หาว่าผมไม่รักษาสัญญาอีก”
ผมบ่นพลางเก็บทิชชู่ที่เช็ดเหงื่อให้เขาลงกระเป๋า พี่เอฟยังคงอาสาถือตะกร้าให้ทั้งที่ถั่วฝักยาวที่เราใส่เริ่มใกล้จะเต็มแล้ว
“เออ กูถามมึงหน่อย”
“ครับ” ผมหันไปขานรับ
“ทำไมถึงเลือกที่จะโทรไปปรึกษาคลับซันเดย์อะไรนั่นอะ มึงไม่ลองปรึกษารุ่นพงรุ่นพี่หรือใครดูก่อนอะ”
คนด้านข้างถามด้วยความอยากรู้ ผมหยุดคิดทบทวนก่อนจะหันไปตอบ
“เพราะผมได้ยินมาว่าพี่คิวปิดกับพี่อินเลิฟเป็นพี่ที่ปรึกษาที่ดีน่ะครับ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออก สิ่งที่นึกได้อย่างเดียวคือการโทรไประบายและขอความช่วยเหลือจากคลื่นวิทยุ ส่วนรุ่นพี่ ผมไม่มีรุ่นพี่ที่สนิทหรอกครับ”
“แบบนี้ก็มีด้วย”
“ตลกใช่ไหมล่ะพี่ ผมกลับมาคิดก็ยังตลกตัวเองเลย”
“แล้วมึงก็มาตามคำบอกของไอ้สัจจะเนี่ยนะ ทำไมถึงเชื่อว่ามันเป็นพี่คิวปิดอะ”
“ตอนนั้นผมคิดแค่เพียงใครก็ได้ที่จะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากขึ้น ต่อให้พี่สัจจะบอกว่ายามหน้าตึกสามารถช่วยผมได้ ผมก็จะไปขอร้องเขา”
“ใจง่ายชะมัด”
พี่เอฟมองหน้าผมก่อนจะจิปากส่ายหน้าคล้ายคนผิดหวัง จะบอกว่าใจง่ายก็ใช่แหละ เพราะถ้าผมรู้สึกให้ใจกับใครไปแล้ว ผมก็คาดหวังเยอะสุดๆ เหมือนที่ผมคาดหวังกับพี่นี่แหละ
“แล้วพี่อะ” ผมหันไปถามบ้าง “ทำไมถึงตัดสินใจวนรถมารับคำขอร้องของผม”
“สงสารอะ กลัวเข่ามึงพัง”
“แค่นี้เองเหรอ”
ผมทำหน้าเศร้าประชด พี่เอฟรีบเบี่ยงหลบมองไปทางอื่น
“จริงๆ ก็เพิ่งมานึกได้ว่าควรหาหออยู่ด้วยแหละ แล้วมึงก็มีหอ เลยตอบตกลงที่จะช่วย”
“แค่เนี่ย”
“ทำไม มึงคิดว่ากูชอบมึงเลยช่วยมึงงี้เหรอ”
“แล้วไม่ชอบเหรอครับ”
ผมย้อนในเชิงกวนตีน พี่เอฟทำท่าจะโต้กลับก็ต้องหยุดก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ พอเห็นพี่แกไปต่อไม่ถูกแล้วตลกท่าทางเขาชะมัด
“อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้นนะไอ้หน้าบาน เห็นกูใจดีหน่อยไม่ได้ เหลิงเชียว”
พี่เอฟรีบเปลี่ยนเรื่องทำเป็นเด็ดถั่วฝักยาวไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
“พี่เขินผมเหรอ” ผมแซว
การได้แกล้งพี่เอฟแม่งสนุกแบบนี้นี่เอง
“เก็บถั่วฝักยาวต่อไปสิเว้ย!”
“หันมาคุยกับผมหน่อยดิ เขินเหรอ”
ผมเดินตามคนตัวสูงพลางเอานิ้วสะกิดต้นแขนให้เขาหันมาคุย แต่ดูท่าว่าเขาจะเลี่ยงหนีผม
“ไอ้นิด!” พี่เอฟหันมาดุผมก่อนจะดึงเอวผมเข้าไปใกล้ๆ ตัวของเขา ดะ เดี๋ยว แกล้งนิดหน่อย ต้องทำหน้าขรึมขนาดนี้เชียว “หยอกกูอีกนิด กูจะไม่ทนกับมึงแล้วนะ”
โกรธเหรอวะ…
“ผม…”
“แหย่มากๆ คืนนี้จะไม่ใช่แค่กอดมึงอย่างเดียว อย่าหาว่ากูไม่เตือน”
ตัวของผมถูกปล่อยพร้อมกับประโยคข่มขู่ที่ฟังแล้วก็เสียวสันหลังวาบอัตโนมัติ พี่เอฟพูดพร้อมปิดประโยคด้วยรอยยิ้มร้ายกาจมันยิ่งย้ำว่าเขาไม่ได้พูดเล่นๆ
แล้วตั้งแต่วินาทีนั้นผมก็ทำได้แค่หุบปากแล้วเดินตามพี่เอฟไปเงียบๆ ไม่กล้าแม้จะหยอกเย้ากวนตีนอะไรทั้งนั้น
เราสองคนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงในการเก็บถั่วฝักยาว ผมรีบถ่ายรูปผลงานที่ได้มา ก่อนที่จะช่วยพี่เอฟถือหูตะกร้าอีกข้างมาวางไว้ที่แคร่ตามที่ป้าจันทร์ได้สั่งเอาไว้
เหมือนว่าป้าจันทร์แกจะเตรียมการไว้ให้พร้อม ป้าได้ทิ้งนมและขนมเค้กหน้าฝอยทองเอาไว้ที่แคร่พร้อมแนบกระดาษคำว่าขอบคุณเอาไว้
“อ่า เสร็จแล้ววว”
ผมรีบกางแขนฉลองความดีใจที่มันจบลงสักทีกับงานที่อาจารย์ให้มา แต่ก็ลืมไปว่าผมต้องไปจัดรูปเล่มและเรียบเรียงคำพูดอีก พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบดึงมือกลับในทันที
“ไปหาอะไรกินมะ กูหิวอะ”
พี่เอฟที่แวะไปล้างมือเสร็จก็เดินลูบท้องพลางบ่นมาแต่ไกล
“พี่กินนมไหมอะ”
“มึงน่ะกินไปเถอะ ตัวจะได้สูงๆ จะได้โตทันชาวบ้านเขา”
“ผมไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นสักหน่อย”
ผมยู่ปากไม่พอใจ พี่เอฟที่เห็นแบบนั้นก็เอานิ้วมาปาดผมเฉย
“วันนี้มีปรากฏการณ์ดาวตกด้วยนี่หว่า” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาลอยๆ แถมยังแอบชายตามองมาที่ผมอีก “คนแถวนี้จะอยู่ดูเป็นเพื่อนกูไหมน้า”
“พี่อยากดูเหรอครับ”
ผมถามกลับ พี่เอฟที่ฟอร์มจัดก็หันมาพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ใจจริงคงจะแอบตื่นเต้นอยู่หรอก
ผมรู้น่า แววตาพี่มันโกหกผมไม่ได้หรอก
“ถ้างั้น เดี๋ยวผมจะออกมาดูด้วยกับพี่คืนนี้นะ มันดึกมากไหมอะ ผมกลัวตัวเองง่วงเสียก่อนอะดิ”
“ห้ามง่วง”
“ห้ามได้ซะที่ไหนละครับ” ผมหัวเราะในท่าทีที่เอาแต่ใจของเขา “ถ้างั้นผมจะพยายามไม่ง่วง ไม่หาว ไม่นอนนะครับ”
ผมยิ้มให้คนตรงหน้า พี่เอฟเอามือมาผลักหน้าผากผมพร้อมกับเผลอยิ้มออกมา พอคนตรงหน้าเห็นว่าผมมองเขาอยู่ เจ้าตัวก็รีบเบี่ยงหน้าหนีด้วยความเขินทันที
“หน้ามึงไปเปื้อนอะไรมาอะ” พี่เอฟว่าทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง ผมยกมือขึ้นมาลูบๆ หน้าตัวเองทันทีที่ถูกทักแบบนั้น พี่เอฟชี้ที่หน้าตัวเขาเองเป็นการบอกทิศทางให้ผมรีบเช็ด แต่พี่เอฟก็ส่ายหน้าบอกไม่ใช่ตลอด “ตรงนี้”
ไม่ทันจะที่ผมจะได้เช็ดเอง พี่เอฟก็พุ่งเข้ามาก่อนจะใช้นิ้วโป้งถูรอยเปื้อนบริเวณหางคิ้วให้ ผมได้ยินเสียงหัวใจเขาดังชัดมาก ไม่รู้ว่าเสียงหัวใจผมหรือเขาดังกว่ากันเวลาเราใกล้กันขนาดนี้ แถมหน้าผมยังอยู่บริเวณซอกคอเขาอีก นี่เป็นจุดทำลายล้างสุดๆ เพราะน้ำหอมที่พี่เขาใช้เขามักจะฉีดในบริเวณนี้ ยิ่งทำให้ได้กลิ่นชัดเข้าไปยกใหญ่
ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงหลงเขาตาย ผู้ชายอะไรทั้งหุ่นดีหน้าตาดีแถมยังกลิ่นตัวดีอีก
แต่เอาตรงๆ ผมเป็นผู้ชาย ผมก็ยังแพ้เขาเลย…
“ไอ้นิด”
แทนที่พี่เอฟจะผงะตัวถอยห่างผม เขากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพิ่มเติมคือกระซิบข้างหูผมให้ตื่นเต้นเล่นๆ
“หะ”
“กูคิดว่ากู…”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ผมที่ตั้งใจจะฟังที่พี่เอฟพูด อยู่ๆ เสียงมือถือของเจ้าตัวก็ดังขึ้น เราสองคนถอยห่างคนละก้าวด้วยความร้อนรน ผมรีบเปิดนมดื่มทันทีเพราะรู้สึกคอแห้งขึ้นมาเสียดื้อๆ ส่วนคนตัวสูงข้างหน้าผมก็รับสายคนที่โทรเข้ามาด้วยสีหน้าสงสัย
“มีไรวะสัจ”
ผมคิดว่าเขาคงไม่ห่ามถึงขนาดด่าปลายสายด้วยคำหยาบแบบนั้นแน่ๆ ถ้าให้เดาคงเป็นพี่สัจจะโทรมาแหละ
“หะ…” สีหน้าแปลกใจของพี่เอฟทำเอาอยากรู้ไปด้วย “เออ งั้นกูจะรีบกลับตอนนี้แหละ”
ดูเหมือนสถานการณ์ปลายสายจะท่าไม่ดีแล้ว พี่เอฟรีบวางสายแล้วทำสีหน้าเหมือนรีบไปไหนสักที่ ผมจะถามเขาก็หยุดชะงักเท้าแล้วหันมาบอกผม
“มึงทำงานของมึงเสร็จแล้วใช่ไหม”
“ครับ…เสร็จแล้ว”
“งั้นเรากลับมอกันเถอะ”
“…”
“อุ่นใจเข้าโรง’บาล”
@โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย
“ขอโทษนะป้า พอดีผมมีธุระด่วนอะ ยังไงผมจะกลับไปหาช่วงปิดเทอมนะ”
ผมวางสายทันทีที่โทรไปบอกป้าชาเย็น ท่านโกรธนิดหน่อยที่ปล่อยให้บ้านเขาไม่มีคนอยู่
แทนที่ผมจะได้อยู่บ้านอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ก็กลายเป็นว่าผมต้องรีบเก็บข้าวของเหมาแท็กซี่มาที่มหาวิทยาลัยอย่างเร่งด่วน เพียงเพราะมีใครบางคนเกิดอุบัติเหตุจากการพลัดตกจากที่สูง
ฝ่ายเชียร์ลีดเดอร์ของคณะผมต่างออกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พี่เอฟและผมที่มาถึงคนสุดท้ายก็รีบกรู่เข้าไปสังเกตการณ์ด้วย
“เป็นไงบ้างวะ”
พี่เอฟยังไม่ทันจะหายหอบก็ถามพี่สัจจะที่กำลังยืนอยู่กับไอ้ชาลีด้วยสีหน้าที่วิตกกังวลกันสุดๆ
พี่เอฟเล่าระหว่างทางที่นั่งแท็กซี่มาว่า ฝ่ายเชียร์ลีดเดอร์ของคณะผมมีนัดซ้อมกันวันนี้และทำฉากซึ่งต้องปีนไปที่สูงๆ เพื่อตอกตะปู แต่เพราะวันที่มาซ้อมไม่มีผู้ชายเลย ทำให้พี่อุ่นใจต้องอาสาปีนคัตเคาน์ขึ้นไป แต่โชคดันซวยที่บันไดมันพลิกและตัวของพี่อุ่นใจก็หล่นลงมากระแทกที่พื้นปูนซีเมนต์เต็มแรง
ยอมรับว่าในตอนแรกที่พี่เอฟรีบกลับโดยไม่สนว่าผมอยากจะมาด้วยไหมก็แอบน้อยใจแหละ แต่พอรู้สาเหตุที่ทำให้พี่อุ่นใจเข้าโรงพยาบาล ผมก็เข้าใจเขา เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกัน
และคนนั้นก็เป็นคนที่เขาและผมเคยแอบชอบด้วย
แต่คนที่น่าเป็นห่วงสุดตอนนี้น่าจะเป็นไลม์ พี่ไจ๋และพี่ทอยมากกว่า สามคนนั้นต่างนั่งกันคนละมุม ไม่มีใครพูดใครจาอะไรทั้งนั้น
“พยาบาลบอกว่าอุ่นใจหัวกระแทกพื้นว่ะ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย”
พี่สัจจะตอบด้วยสีหน้าไม่ดีนัก พอรู้แบบนี้แล้วผมก็อยากปลอบทุกคนตรงนั้นว่าให้เขาใจเย็นๆ แต่ผมคงทำอะไรไม่ได้ ทุกคนคงอยากนั่งเงียบๆ แหละ
“แล้วตอนเกิดเหตุการณ์ ไม่มีใครอยู่ดูแลอุ่นใจเลยเหรอ”
“ไม่มี ฝ่ายเชียร์ลีดเดอร์ก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง ส่วนพวกเราที่สนิทๆ ก็กลับบ้านกันหมด และอีกอย่าง กูเพิ่งมารู้ว่าไอ้เด็กปีหนึ่งนั่นเป็นน้องชายอุ่นใจด้วย” พี่สัจจะหันไปมองไลม์ ซึ่งเราสองคนไม่ได้ตกใจอะไรเพราะรู้กันมาก่อนหน้านี้แล้ว “รายนั้นก็อยู่หอคนละที่กับอุ่นใจ เลยไม่ได้มาอยู่ดูแลอุ่นใจตอนซ้อม”
“แล้วไจ๋เป็นไงบ้างวะ”
คราวนี้พี่เอฟถามไปถึงคนที่นั่งเงียบอีกคน ผมแอบเห็นว่าเธอปาดน้ำตาด้วย คงจะรักพี่อุ่นใจมากจริงๆ
“รายนั้นพอกูโทรไปบอกก็รีบกลับมาจากกรุงเทพเลย แถมมันไม่ยอมพูดจาอะไรกับพวกกูอีกเลยหลังจากที่พยาบาลออกมาแจ้งว่าอุ่นใจยังไม่มีท่าทีจะฟื้นอะ”
“งั้นกูจะเข้าไปคุยเอง”
พี่เอฟเดินตรงเข้าไปยังผู้หญิงคนดังกล่าว เขานั่งลงข้างๆ เธอก่อนจะโอบกอดเธอเอาไว้ พี่ไจ๋ปล่อยโฮในทันทีที่ถูกพี่เอฟถามไถ่อาการ เธอซบลงบนอกพี่เอฟและร้องไห้ออกมาไม่ยั้ง
จะว่าไปผมก็รู้สึกเจ็บแปร๊บๆ แปลกๆ พอเห็นภาพนั้น แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าเขาสองคนก็ปลอบกันในฐานะเพื่อน มันไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นหรอก
…แต่ถ้าเขาจะเกินเลยกัน ผมมีสิทธิ์ไปห้ามเขาด้วยเหรอ
“แล้วนี่มึงทำงานของตัวเองเสร็จแล้วเหรอ ไหนว่าต้องกลับบ้านไปทำจิตอาสาไง”
พี่สัจจะถาม ไอ้ชาลียืนมองผมเหมือนต้องการคำตอบเช่นกัน
“ผมทำทุกอย่างเสร็จแล้วน่ะครับ ตอนแรกว่าจะค้างให้ครบสี่วัน แต่พอเห็นว่าพี่อุ่นใจเข้าโรงพยา’บาล ก็เลยกลับมาเป็นเพื่อนพี่เอฟเขาน่ะครับ”
“ไม่นอยด์ใช่ไหม สีหน้ามึงดูไม่ค่อยโอเค”
“ผมจะไปนอยด์อะไรล่ะพี่ พี่อุ่นใจก็เพื่อนพี่เอฟ แถมยังเป็นพี่ในคณะผมด้วย จะให้ผมนอยด์ก็แย่สิ”
ผมตอบไปตามความเป็นจริง เรื่องนอยด์ไม่นอยด์ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะทำหรอก ทุกคนต้องมีคนสำคัญที่ต้องห่วงที่สุดอยู่แล้ว แถมเขายังเกิดอุบัติเหตุนอนในห้องฉุกเฉินแบบนี้อีก เรื่องของผมมันดูสำคัยน้อยสุดไปเลย และพี่เอฟก็ดูจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดตอนที่พี่สัจจะโทรมาตาม
“ไอ้ชาลีมึงดูแลพี่มึงด้วย เดี๋ยวกูไปนั่งกับเพื่อนก่อน”
พี่สัจจะว่าก่อนจะส่งน้องชายคนเดียวของผมให้มายืนเป็นเพื่อน ไอ้ชาลีแตะเบาๆ ที่หลังผมเป็นเชิงรู้กัน
“ผมรู้ พี่ก็กังวลทั้งเรื่องพี่อุ่นใจทั้งเรื่องพี่เอฟใช่ไหมล่ะ” พอมันพูดจบ ผมหันไปมองหน้ามัน
“กูจะไปห่วงเรื่องพี่เอฟทำไม”
“พี่กลัวพี่เอฟเขาจะเสียใจเพราะมารู้ว่าพี่อุ่นใจเข้าโรง’บาลไงล่ะ ดูหน้าพี่ก็รู้ว่าพี่ก็แอบเป็นห่วงพี่เขา”
แม่งพูดแล้วแทงใจดำฉิบ
เออ ยอมรับว่าผมเป็นห่วงพี่เอฟด้วย พอเห็นว่าเขาเอาแต่ขมวดคิ้วสีหน้ากังวลในตอนที่เก็บข้าวของ ผมก็ไม่มีกระจิตกระใจอยากจะอยู่ที่บ้านสักเท่าไร ผมเลยต้องมามหา’ลัยกับเขาเพื่ออยู่ดูเขานี่แหละ
“กูหวังแค่พี่อุ่นใจจะปลอดภัย”
ผมตอบไอ้ชาลีไปแค่นั้น ไม่นานพี่พยาบาลของโรงพยาบาลก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน ผมไม่ได้ไปยืนรอฟังอาการพี่อุ่นใจกับเขา แต่ผมก็พอรู้ได้ว่าคนในห้องนั้นปลอดภัยแน่นอน เพราะแต่ละคนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โดยเฉพาะคนที่กอดอยู่กับพี่เอฟ เธอพยักหน้าพยายามยิ้มออกมาทันทีที่รู้ว่าพี่อุ่นใจอาการเป็นเช่นไร
ผมที่ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ไปทำไม เพราะคนข้างในก็ปลอดภัยดีแล้ว ผมจึงไม่ได้อยู่บอกลาใครและเดินออกมาจากโรงพยาบาลในทันที ผมยังไม่หายกลัวโรงพยาบาลเลย น้ำตาผมไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ สถานการณ์ตึงเครียดและกดดันพวกนั้นมันทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออกและแย่สุดๆ ผมเดินหนีออกมาโดยไม่ได้บอกใคร
แค่เรื่องพี่อุ่นใจมันก็แย่มากพอสำหรับทุกคนแล้ว ผมคงไม่อยากไปยืนร้องไห้ให้ใครต้องมาคอยเป็นห่วงและดูแลอีก
ทันทีที่ตัวเองก้าวผ่านเรื่องราวพวกนั้นออกมาได้ ผมก็รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก เหตุการณ์เหมือนตอนที่ผมยังเด็กไม่มีผิด พยาบาลออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยคำที่ไม่มีใครบนโลกอยากฟังมันสักเท่าไร รวมไปถึงผมด้วย ภาพที่พ่อแม่ผมจากไปมันซ้อนทับกับภาพที่ผมเห็นเมื่อกี้ แต่โชคดีที่พี่อุ่นใจไม่ได้เป็นอะไร
ผมมองมือถือตัวเองที่มีข้อความใครสักคนเด้งเข้ามา และพบว่า…
CHALEE : พี่อยู่ไหน กลับหอแล้วเหรอ
เป็นน้องชายของผมที่ไถ่ถามมาด้วยความเป็นห่วง
KANIT : อือ กูไม่ค่อยชอบบรรยากาศอึดอัดแบบนั้นสักเท่าไร พี่อุ่นใจเป็นไงบ้าง
CHALEE : พี่เขาปลอดภัยแล้วครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่สลบไปแล้วก็เย็บแผลนิดหน่อย
KANIT : กูฝากดูแลพี่เอฟด้วยนะ
ผมวานไอ้ชาลีเพียงแค่นั้นก่อนจะปิดมือถือไป ดีที่หอผมไม่ได้อยู่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก ทำให้ผมเดินมาถึงหอได้อย่างรวดเร็ว
แต่พอมองกระเป๋าในมือกลับกลายเป็นว่าผมแบกกระเป๋าพี่เอฟกลับมา มันไม่ใช่กระเป๋าตัวเองซะงั้น
“ห่าเอ้ย”
ผมสบถเบาๆ ก็ว่าทำไมแม่งเบายังกะปุยนุ่น เพราะตอนที่มาพี่เอฟเป็นคนถือกระเป๋าผมตลอด กระเป๋ามันหนักและผมก็มีแผลที่มือเขาเลยไม่อยากให้ผมถืออะไรที่มันต้องใช้แรง แต่เพราะผมเกรงใจอย่างน้อยก็มีอะไรให้ผมถือบ้างเขาเลยส่งกระเป๋าตัวเองมาให้ผมถือ ซึ่งในกระเป๋ามีเพียงเสื้อของเขาสองตัวและกางเกงแค่หนึ่งตัวเท่านั้นแหละ
พรึ่บ!
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงในห้องตัวเองก่อนจะเปิดหน้าจอมือถือเพื่อดูความอัพเดจหน้าเฟซบุ๊ค
จริงๆ เวลานี้ผมกับพี่เอฟต้องไปหาอะไรกินแถวบ้านผมสิ…
แต่ทำไมผมต้องกลับมานอนในห้องแคบๆ เหงาๆ คนเดียวอีกแล้ววะ
อ่า…ไอ้คณิต แกกำลังเห็นแก่ตัวอยู่นะ เพื่อนเขาเข้าโรงบาลทั้งคน แกยังจะมาห่วงตัวเองอีก
แต่ภาพพี่เอฟกับพี่ไจ๋กอดกันผมยังติดตาตัวเองอยู่เลย อาจเพราะผมรู้ว่าสองคนนั้นเคยมีซัมติงอะไรกันบางอย่าง แม้พี่เอฟจะบอกว่าเขาเคยบอกชอบเพราะประชดพี่อุ่นใจก็เถอะ อย่างน้อยมันก็ต้องมีเศษเสี้ยวที่พี่เอฟต้องคิดอะไรกับพี่เขานิดๆ ไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นจะยอมลงทุนจีบพี่ไจ๋ทำไม
แล้วกูมาคิดอะไรน้อยใจแบบนี้วะ เขาก็ต้องปลอบเพื่อนเขาไหมล่ะเว้ย! แยกแยะหน่อยไอ้คณิต!
ATIKORN - ‘เข้มแข็งนะคนเก่งของเอฟ’
/ รูปภาพหน้าห้องฉุกเฉิน
นิ้วของผมที่สไลด์หน้าจอหยุดกึกอยู่ที่รูปภาพหนึ่งซึ่งเป็นรูปหน้าห้องฉุกเฉินที่ผมไปยืนอยู่เมื่อครู่ เจ้าของโพสต์อัพเดตเมื่อสองนาทีที่แล้ว พร้อมแคปชั่นที่ให้กำลังใจและแสดงสถานะบางอย่างชัดเจน
ผมไม่อยากคิดให้มันเกินเลย แต่ทุกอย่างมันทำเอาผมรู้สึกดาวน์อย่างห้ามไม่ได้ เขาคงหมายถึงพี่อุ่นใจสินะ
คนเก่งของเอฟ…
คงไม่ได้หมายถึงผมหรอก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องคณิตหนูสู้ๆ!
หมดกันดาวตกกลางทุ่งนาพัง!!
กอดน้องคณิตตต
งื้อคณิตอย่าพึ่งน้อยใจพี่เขาสิ เดี๋ยวพี่เขาต้องมาง้อหนูแน่ค่ะ เราเชื่อ ร้องแทนละเนี่ย T^T