ตอนที่ 18 : ll ปรึกษา (รัก) ll EP.12 :: เป็นหนุ่มแล้วนะ [100%] 1/2
ผมอึ้งกิมกี่ไม่ได้เอ่ยคำใดๆ ออกมา แม้ว่าตัวเองจะมายืนหัวโด่อยู่กลางห้องแล้วก็ตาม
มันไม่ใช่การตกแต่งห้องที่ดูหรูหราเวอร์วังหรือทำให้ตะลึงอะไรขนาดนั้น แต่เพราะมันเป็นฝีมือของไอ้พี่เอฟนี่แหละ มันเลยทำเอาผมกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่
“พี่ทำเองหมดเลยเหรอ” ผมถามพร้อมกับยกภาพวาดสีน้ำน่ารักขึ้นมาดู “นี่ผมใช่ไหมอะ”
“เออ กูทำ กระดาษมันเหลือ ตัดฉับๆ แปบเดียวก็เอามาทำได้แล้ว ส่วนรูปนั้นกูเพิ่งวาดตอนเข้าคลาสเรียน แอบวาดตอนอาจารย์สอน”
ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจทำให้ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงมีคุณค่ากับผมก็ไม่รู้
แทบลืมไปด้วยซ้ำว่าวันนี้วันเกิดตัวเอง นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้จัดวันเกิดกับเขา ตั้งแต่พ่อแม่จากไปผมก็ไม่เคยมีงานวันเกิดอย่างเป็นทางการกับเขาเลย
ไม่รู้ว่าผมอ่อนแอไปหรือเปล่า ไม่ทันไรผมก็ต้องยกแขนขึ้นมาซับน้ำตาตัวเองรัวๆ มันไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ คนข้างๆ ผมถึงกับเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก นี่ไม่ใช่อารมร์เสียใจ แต่มันดีใจจนพูดไม่ออกต่างหาก
“ฮึก”
“เฮ้ยมึงร้องไห้ทำไมเนี่ย”
พี่เอฟรีบคว้าทิชชู่หัวเตียงมาให้ผมซับน้ำตาในทันที ผมหัวเราะออกมาทั้งที่น้ำตากำลังไหล
“ขอบคุณนะพี่”
“อะไร ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย”
“พี่รู้วันเกิดผมได้ไงอะ”
“นู้น”
เจ้าตัวชี้ไปที่ปฏิทินตั้งโต๊ะที่โต๊ะคอม วันนี้ถูกวงกลมด้วยปากกาเมจิกสีแดงแล้วเขียนตัวใหญ่ว่า ‘วันเกิดคณิต’ ผมยิ้มออกมาอย่างอับอาย ทำไมลืมไปได้วะเนี่ย
“ทุกปีผมไม่เคยได้จัดงานวันเกิดตัวเองเลย ไอ้ชาลีก็อยุ่โรงเรียนประจำ ผมเลยไม่ได้ออกไปกินข้าวกับใคร ทุกปีที่ถึงวันเกิดผมมันก็เลยเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่งสำหรับผม” ผมพูดออกมา ไม่ได้มองหน้าพี่เอฟ เพราะรู้สึกสมเพชตัวเองยังไงไม่รู้ “ปีนี้มันต่างจากปีก่อนๆ ตรงที่มีคนมาจัดอะไรแบบนี้ให้ ผม…”
“กูก็ไม่ได้อยากมาทำอะไรแบบนี้หรอกนะ” พี่เอฟตัดบทผมเฉย ผมเงยหน้ายู่ปากไม่พอใจ “แต่ก็อยากแฮปปี้เบิร์ดเดย์รูมเมทบ้าง เดี๋ยวก็หาว่าไม่ทำอะไรให้อีก”
“…”
“ชอบใช่ปะ”
พี่เอฟเกาจมูกแต่ก็ถามผมเสียงเบา ผมพยักหน้ารัวๆ พร้อมกับสีหน้าที่เหยเก ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือร้องไห้ก่อนดีในตอนนี้
“แค่พี่วาดรูปให้ผม ผมก็ดีใจแล้วพี่”
“คราวนี้รู้ยัง ว่าทำไมกูถึงต้องใช้มึงไปซื้อของ แล้วกูถึงต้องรีบกลับก่อน” ประโยคตัดพ้อทำเอาผมรู้สึกผิดกะทันหัน “แล้วมาหาว่ากูรีบ ใจร้ายทิ้งไว้ให้ไปซื้อของคนเดียวอีก”
“ผมไม่รู้นี่ ว่าพี่จะรีบกลับมาตกแต่งห้องเซอร์ไพรส์ผมอะ ถ้าผมรู้ ผมไม่งอนพี่หรอก”
“นั่นไง” พี่เอฟรีบชี้หน้าผมเหมือนจับได้ “มึงงอนกูจริงๆ ด้วย งอนก็บอกว่างอน ทำหน้าเป็นหมาเมายาคุมอยู่ได้”
“ผมไม่ได้งอนจริงจังหรอกน่า แต่ก็…ขอบคุณมากนะครับ สำหรับภาพวาด”
“เป่าเค้กไหม”
พี่เอฟถามลอยๆ ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำเมื่อครู่
“มีเค้กด้วยเหรอครับ”
“ก็ตอนที่มึงไปซื้อของ กูลงมาข้างล่างหอเพราะไอ้ชาลีมันซื้อเค้กมาให้มึง มันฝากการ์ดไว้ให้ด้วยเพราะมันบอกว่ามันต้องกลับไปจองเอารองเท้าไรก็ไม่รู้ กูเอาการ์ดวางไว้ที่เตียงแล้วนะ”
“อ้าว แล้วไอ้ชาลีมันทักพี่ไปได้ไงอะ”
“ไม่รู้ดิ มันมีเฟซตอนไหนก็ไม่รู้ ทักข้อความมาหากูกูก็ลงไปเอาเค้กเลย”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะแอบชำเลืองมองการ์ดใบเล็กๆ ที่วางไว้บนเตียง ร้อยวันพันปีไม่เคยซื้อของขวัญมาให้หรอก นี่คิดไงซื้อเค้กมาให้วะ
พี่เอฟเปิดกล่องเค้กที่ว่า แต่เขาก็นิ่งไปเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในกล่อง พี่เอฟค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้จนหน้าพี่เขาแดงไปหมด
“มีอะไรหรือเปล่าพี่”
“อะ” พี่เอฟยื่นกล่องเค้กมาที่ผม และผมก็รับรู้ได้ว่า ชาลีเป็นคนเหี้ยเสมอต้นเสมอปลายแค่ไหน “สงสัยจะไม่ใช่เค้กแล้วว่ะ”
“ขนมใส่ไส้…”
ผมพูดพลางกัดฟันเก็บกลั้นอารมณ์โมโหเอาไว้ นี่ขนาดวันเกิดพี่มึงแท้ๆ นะ ไอ้เด็กนรกเอ้ย!
“เอาน่า มันก็กินได้เหมือนกัน กูปักเทียนแปบ”
พี่เอฟหันไปคุ้ยเทียนที่แถมมาในถุงใส่เค้กก่อนจะเอามาปักจนหน้ากะทิกระจุยกระจายไปหมด แถมไส้มะพร้าวยังทะลักออกมาชวนให้น่ากินเป็นอย่างดี
แน่นอนล่ะ ผมประชด!
“ผมต้องอธิฐานก่อนใช่มะ”
“อือ อธิฐานในสิ่งที่อยากได้ในปีนี้หรืออยากประสบความสำเร็จอะไรก็ว่าไป อย่านานล่ะ คนถือแบบกูเมื่อย!”
ผมไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะบ่นอะไร ผมประสานมือเข้าหากันก่อนจะหลับตาอธิฐานในสิ่งที่ตนคาดหวังในปีนี้ ผมอายุ 19 ปีแล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ใช้ชีวิตใหม่ๆ ผมคิดถูกแล้วที่ขอร้องและอ้อนวอนพี่เอฟให้มาช่วยเปลี่ยนแปลงผม ในตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ผมกำลังจะทำมัน ผมจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ผมจะทำให้ตัวเองมีความสุข ผมจะไม่คาดหวังกับความรักที่เป็นไปไม่ได้ แม้มันจะยากไปหน่อยก็เถอะ
และเรื่องสุดท้าย… ผมขอให้ชีวิตผม เจอคนที่รักผมอย่างแท้จริง ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างคนอื่นเขา
ฟู่ววว!
ผมเป่าเทียนที่ปักขนมใส่ไส้จนดับ ก่อนที่ผมจะลืมตาขึ้นและพบว่าพี่เอฟมองมาที่ผมอย่างตั้งใจ อะไรดลใจให้ผมหยุดจ้องหน้าเขานานเกินความจำเป็น สุดท้ายผมก็ต้องละสายตาออกจากเขาเสียเอง
ทำไมอธิฐานเรื่องความรักแล้วต้องลืมตามาเจอหน้าเขาคนแรกด้วยฟะ!
“อธิฐานว่าไร ขอให้หล่อวันหล่อคืนอะดิ” ได้ทีก็เริ่มแซะผมเลยนะ!
“ไม่บอกหรอก” ผมยักคิ้วให้เป็นเชิงกวนตีน พี่เอฟทำท่าจะทุบผมก็รีบเบี่ยงตัวหลบ “แล้วไข่ตุ๋นมาม่านี่พี่จะทำหรือเปล่าครับ ผมหิว”
“นั่งรอไปก่อน กูทำเอง”
“หู้ย พ่อบ้านจัง”
“ถึงกูจะจัดงานวันเกิดให้ ใช่ว่าจะมากวนตีนกูได้นะไอ้หน้าบาน”
ผมหุบยิ้มในทันทีที่ถูกเรียกแบบนั้น คำก็หน้าบานสองคำก็หน้าบาน คอยดูเหอะ ถ้าผอมเพราะเลิกกินโซเดียมได้เมื่อไร หน้าผมจะวีเชฟแล้วอย่ามาชมว่าน่ารักแล้วกัน!
พี่เอฟจัดการหิ้วข้าวของทุกอย่างที่ผมซื้อมาเข้าไปในครัวทันที ส่วนผมก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปรอบๆ ห้องและของขวัญที่พี่เอฟให้มา
เขาบอกว่าเขาวาดเองใช่มะ ฝีมือไม่ได้แย่เลยแหะ ถึงว่า ทำไมถึงไปวาดรูปขายที่งานแบกะดิน
ไหนขอดูไอ้การ์ดสีชมพูของน้องชายสุดที่รักหน่อยสิ
‘ถึงพี่คณิตอันเป็นสุดที่รัก’
แค่คำแรกมาก็ดูออกแล้วว่ามึงตอแหลเนี่ย บ้านมึงสอนให้ซื้อขนมใส่ไส้แทนเค้กวันเกิดเหรอ
‘ผมอาจไม่ได้ร่วมงานวันเกิดพี่เป็นปีที่สิบ แต่ผมก็ซาบซึ้งในความดีที่พี่มีต่อผมมาตลอด ผมจึงมอบเค้กราคาแพงและการ์ดใบนี้ให้พี่เก็บเอาไว้ ในวันเกิดพี่ผมมีภารกิจที่ต้องรีบลงทะเบียนจองรองเท้าอดิดาสรุ่นลิมิเต็ดในเวลาห้าโมงเย็น ผมขออภัยที่อยู่กับพี่ด้วยไม่ได้ในค่ำคืนนี้ ขอให้มีความสุขมากๆ นะพี่ โตขึ้นมาอีกหนึ่งปีมีผัวไวๆ จ้า’
เด็กผี!
ใครเขาสั่งเขาสอนให้มึงอวยพรแบบนี้วะ!
อยากจะขย้ำกระดาษในมือแล้วเคี้ยวกลืนลงท้อง แต่ก็ทำได้เพียงเก็บมันไว้ที่ลิ้นชักบนหัวเตียงแทน ชาลีมักจะส่งการ์ดอวยพรให้ผมทุกเทศกาล ไม่ค่อยมีของขวัญอะไรให้หรอก นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มีขนมใส่ไส้มาให้เนี่ย แต่ถ้าให้ดีไม่มีก็ได้ไอ้ห่า
ผมหันกลับมาสนใจมือถือในมืออีกครั้ง วันนี้เป็นวันเกิดผมแท้ๆ แต่ในเฟซบุ๊กกลับไม่มีใครอวยพรผมเลย อาจเป็นเพราะผมดูไร้ตัวตนและใช้รูปการ์ตูนขึ้นโปรไฟล์ด้วยแหละ คนเลยไม่ค่อยสนใจอะไร ผ่านแล้วก็ผ่านเลยกันไป
ติ้ง!
LIME RADIN : HBD น้าคณิต รับเพื่อนเราทีดิ นี่อุตส่าห์พลิกแผ่นดินหาเลยนะ
จู่ๆ เมจเสจเฟซบุ๊กก็ดังเตือนก่อนจะเด้งรูปวงกลมๆ ขึ้นมาพร้อมข้อความในกรอบฟ้าของใครบางคน พอเห็นชื่อเฟซก็พอจะเดาออกได้ในทันทีว่าใคร
KANIT : เอ้า ไปเอาเฟซมาจากไหน
LIME RADIN : ลองนึกๆ ชื่อนายดูอะ แล้วก็ไปหาเอาในกลุ่มมหาวิทยาลัย เจอเฉย555555555
LIME RADIN : โตขึ้นหนึ่งปีแล้วนี่ บรรลุนิติยัง
KANIT : เข้าผับยังไม่ได้เลยเหอะ แต่ขอบใจมากนะเว้ยที่มาอวยพร
LIME RADIN : ไว้ถ้าเจอกันจะเลี้ยงข้าวนะ แล้วก็…
LIME RADIN : วันเฟรชลุคอย่าลืมโหวตเราด้วยนะ J
จบบทสนทนา ผมก็ทำได้เพียงอ่านไม่ตอบ เพราะผมมไกล้ารับปากหรือปฏิเสธอะไรลงไป ผมปิดมือถือทันทีเพราะพี่เอฟทำอาหารเสร็จแล้ว ก่อนที่เขาจะเอามาวางไว้ที่โต๊ะกระจกคู่โซฟา
ผมไม่โหวตใครเลยได้ปะวะ จะให้ผมลำเอียงโหวตไลม์ทั้งที่รูมเมทอย่างพี่เฟอก็ลงด้วยอะนะ
“ทำหน้าหมาเมายาคุมอีกแล้ว เป็นไรมึง”
ทันทีที่พี่เอฟวางจานชามและกับข้าวลงบนโต๊ะ ผมก็นั่งจมปุ๊กลงกับพื้นในทันที ก่อนที่เขาจะทักผมที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ไลม์ทักมาอวยพรอะพี่ ไม่มีไร” ผมว่าไปตามตรง แต่ก็ไม่ได้บอกเรื่องโหวตไรนั่น
“แล้วทำหน้าเซ็งไมวะ ทำไม มันบอกชอบมึงหรือไง”
“ถ้าเขาบอกชอบเพราะคงทำหน้าดีใจไปแล้วพี่”
“เหรอ”
“ผมประชดไหมล่ะ แหม่”
ผมรีบแก้ต่าง พี่เอฟส่งช้อนซ้อมและยื่นชามที่มีไข่ตุ๋นมาม่ามาให้ ส่วนอีกจานที่เขาเอามาก็มีผัดผักที่ดูท่าว่าจะผัดไม่สุกด้วย…
“เออ กูลืม” คนตรงหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “ มีความสุขมากๆ ล่ะ เลิกปากหมาและกวนตีนชาวบ้านได้แล้วนะ เดี๋ยวจะตายก่อน 20”
“พี่มั่นใจนะ ว่านี่อวยพร”
“อย่าไปกวนตีนใครเขาล่ะ กวนตีนแค่กูก็พอ จะได้ไม่ตายไว”
ผมหึในลำคอ นี่ไม่เรียกอวยพร แต่เขาเรียกเหน็บแนมชัดๆ ผมจัดการกินไข่ตุ๋นมาม่าตรงหน้าด้วยอาการหิวโหยในทันที ดูท่าพี่เอฟจะชอบอาหารนี้มากเลยแหะ เขาคงรักอาหารจืดๆ เหล่านี้จริงๆ อย่างที่พี่ทอยบอก
“ทำไมพี่ชอบกินอาหารรสไม่จัดอะ เห็นพี่ทอยบอกพี่ชอบกินจืดๆ”
ถามไปก็ยัดไข่เข้าปากไป
“กูเป็นคนท้องไส้ไม่ค่อยดี กินพวกรสจัดๆ แล้วก็จะป่วยไปสามสี่วัน กูเลยเลี่ยงที่จะกินของพวกนี้” พี่เอฟเล่าออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาจดจ้องอยู่กับผัดผักที่ไม่สุกของเขา “รู้งี้ก็ดี เวลาจะทำอะไรให้กูกินก็อย่าทำรสจัด เข้าใจ?”
“งี้กะเพราะถาดที่คณะผมพี่ก็กินไม่ได้อะดิ ป้าแกน่ะทำรสจัดมากเลยนะพี่”
“ก็สั่งแบบรสอ่อนดิ ยากไร”
“ไม่อร่อยตายเลย”
“เออ พูดถึงกะเพราถาด ไหนว่าจะพากูไปกิน ป่านนี้กูยังไม่ได้ลิ้มลองที่เขาว่าอร่อยนักอร่อยหนาเลย มึงแกล้งลืมเหรอ”
ได้ทีก็รีบทวงเลย ถ้าลืมกูจะพูดเรื่องกะเพราขึ้นมาทำหอกอะไรวะไอ้พี่มึง
“เปล่าลืม ไว้ถ้าพี่กับผมว่างพร้อมกับเมื่อไร ผมจะพาไปให้ทันก่อนร้านปิดแล้วกันนะครับ”
พูดเสร็จก็จะก้มหน้ากินต่อ แต่คนตรงหน้ากลับยื่นนิ้วก้อยส่งมาให้ผม ผมชะงักช้อนคาปากก่อนจะขมวดคิ้วให้กับท่าทีงงๆ ของพี่แก
อะไรของเขาวะน่ะ
“สัญญา” ว่าไม่พอยังกระดิกนิ้วก้อยเชิญชวนอีก “ถ้าผิดคำสัญญาของให้หน้าบานกว่าเก่า”
“ผมไม่ผิดคำพูด สัญญา”
“เกี่ยวก้อยดิ”
“ต้องเกี่ยวด้วยเหรอ”
“อือ”
ไม่รู้ว่าผมควรจะขำไหม แต่นาทีนี้พี่แกดูมุ้งมิ้งจนผมอยากจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายช็อตนี้เก็บไว้เลยอะ แม้สีหน้าเขาจะไม่ได้อารมณ์อยากจะเกี่ยวก้อยแต่การกระทำของเขามันคะยั้นคะยอสุดๆ
“อึ๊บ” ผมคงกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว รู้ตัวอีกทีก็เผลอหลุดขำออกมาซะงั้น
“หัวเราะไร”
สีหน้ายังคงโหดแต่นิ้วก้อยนี่ยังยื่นมาที่ผมไม่หยุดหย่อน
“ผมไม่ชินที่พี่ทำแบบนี้อะ หน้าพี่นิ่งเกินกว่าจะยื่นนิ้วก้อยมาสัญญงสัญญา ฮ่าๆ”
“สัญญาสิเว้ย อย่าลีลา”
คนตรงหน้าเริ่มเดือดจนหูเปลี่ยนสี ไม่รู้ว่าโกรธหรือกำลังเขินผมกันแน่
“อะๆ สัญญาครับ ว่าจะพาไปกินให้ทันก่อนร้านปิด”
“เออ!”
พอผมยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยว เจ้าตัวก็ปรับโหมดเป็นคนใจโฉด ดึงนิ้วก้อยกลับโดยไม่สนใจใยดีอะไรผมอีก
ดูดิ เคี้ยวผักยังทำหน้าเหมือนโมโหใครมาจะสิบปี

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โโอ้ยยยย -บ้า เป็นคนน่ารักอย่างนี้ก็ได้หรอ พี่เอ๊ย ยิ้มให้น้องมันเห็นหน่อยก็ได้