ตอนที่ 16 : ll ปรึกษา (รัก) ll EP.11 :: เป็นตระกูลขี้ตื๊อ [100%] 2/2
ผมพยายามสตาร์ทโรเบิร์ตอยู่นานสองนาน แต่แล้วความพยายามที่สะสมมาก็ล้มเหลว เพราะรถของผมได้มรณภาพตามกาลเวลาไปแล้ว ผมพยายามมองขีดเส้นตายของถังน้ำมัน ปรากฏว่าผมเติมมาเต็มถัง จึงตัดเรื่องน้ำมันหมดไปได้เลย โช๊คมอเตอร์ไซค์ผมดูแล้วมันก็ทำงานมาหนักหนาพอตัว
ลูกจะมาลาโลกตอนนี้ไม่ได้นะ
“รถเป็นไรอะ”
“เฮ้ย”
ผมตกใจถึงขนาดที่ว่าร้องออกมาเสียงหลง พี่ทอยยืนมองสภาพรถผมก่อนจะยิ้มอ่อนเบาๆ
“ตกใจไรขนาดนั้น เห็นก้มๆ เงยๆ มาจะห้านาทีแล้ว รถเป็นไร”
“รถเสีย สตาร์ทไม่ติดเลยพี่”
“แล้วทำไมไม่ใช้ไดเกียวโฟร์ทีล่ะ เพราะใช้แล้ว…” ผมมองหน้าพี่ทอยนิ่ง ที่อยู่ๆ ก็พูดสโลแกนโฆษณาน้ำมันเครื่องขึ้นมาเฉย “ไม่ตลกเหรอ ฮ่าๆ”
“ผมรีบไปซื้อของด้วยน่ะครับ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ทุกครั้งไม่เคยเสียมาเสียเอาวันนี้ Y_Y”
“รถเก่ามากเลยแหะ”
พี่ทอยนั่งยองๆ อาสาดูอาการโรเบิร์ตใหเ เขาสำรวจรถผมอย่างตั้งใจ ผมรีบนั่งลงข้างๆ เขาเพื่อสำรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้น
“มันนานพอๆ กับอายุผมเลยพี่ ไม่ดิ มันมากกว่าผมเกือบสี่ปีอะ”
“ไม่เปลี่ยนหน่อยเหรอ” พี่ทอยหันมาทำหน้าตลกใส่
ผมรู้อยู่แก่ใจว่ามันทั้งเก่าทั้งตกรุ่น แต่ให้ทำไงได้ นี่เป็นของขวัญชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้ผมและพ่อก็รักมันมากด้วยอะ
“ผมก็อยากเปลี่ยนแหละพี่ แต่นี่มันของแทนใจพ่อผมอะ ผมเลยไม่ค่อยอยากเก็บเงินซื้อคันใหม่”
“อ่า เข้าใจแหละ” พี่ทอยพยักหน้า “แต่ให้พี่พูดตรงๆ นะ มันเดดสะมอเล่แล้วอะ ถึงให้ซ่อม ก็คงต้องเปลี่ยนอะไหล่หลายตัว เกือบหลายพันเลยนะ เราไหวเหรอ”
ไม่รู้พี่ทอยดูโหงวเฮ้งกำลังทรัพย์จากหน้าตาหรือเปล่า แต่บอกได้เลยว่าพี่เขาคิดถูกแล้ว ผมไม่มีเงินที่จะมาซ่อมหรือใช้จ่ายไปกับของชีวิตประจำวันขนาดนั้น ปัจจุบันมีเงินเก็บก็มีไม่มากพอ ผมต้องใช้จ่ายค่าเทอมนั่นนี่อีก แม่ไอ้ชาลีใช่ว่าจะมาดูแลผมเหมือนลูกคนนึงซะเมื่อไร คนเราก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเองอะเนอะ
“ไม่อะครับ” ผมส่ายหน้า
น้ำตาจะไหล ลูกกูมาตายอะไรเอาวันนี้วะเนี่ย แม้จะรู้ตัวดีว่ามันต้องเสียชีวิตเข้าสักวัน ผมพยายามประคับประคองพามันไปหาช่างซ่อมรถบ่อยๆ ในช่วงนี้ แต่จนแล้วจนรอดมันก็คงสู้ชีวิตไม่ไหว
“แล้วเราจะไปไหน พี่ไปส่งให้ได้”
“ผมต้องไปซื้อของที่โลตัสแถวๆ หอผมก่อนน่ะครับ วันนี้จะทำอาหารกินที่หอ”
“กับไอ้เอฟ?”
“ครับ”
“อย่างไอ้เอฟเนี่ยนะทำอาหารกินเอง น่าทึ่งแหะ” พี่ทอยแอบแขวะเพื่อนด้วยความขำขัน “งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง พี่ผ่านพอดี ส่วนโรเบิร์ตเราน่ะค่อยหาวิธีเอากลับแล้วกัน พี่คงช่วยแบกมันขึ้นรถพี่ไม่ได้หรอก”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะตบหัวโรเบิร์ตสองสามทีเป็นเชิงลา ต่อไปนี้ผมคงต้องใช้บริการพี่วินหน้าหออย่างจริงจังแล้วสินะ…
ไม่ดิ ผมมีพี่เอฟทั้งคนนี่นา
พี่ทอยอาสาพาผมมาส่งที่โลตัสเอ็กเพรสแถวๆ หอผม ในตอนแรกผมก็บอกให้พี่เขาส่งแค่ตรงนี้ เพราะเดี๋ยวผมก็เดินกลับได้ แต่เจ้าตัวบอกจะช่วยผมถือของ ผมก็เลยไม่คิดจะปฏิเสธอะไร ไหนๆ ก็มีคนมาช่วยเลือกดูของแล้ว ดีจะตายจะได้รู้ว่าควรเลือกอะไรยังไงดี
ผมรับหน้าที่ถือตะกร้า ส่วนพี่ทอยก็ดูรายการจากมือถือของผมที่พี่เอฟส่งมาให้ สรุปมีแค่สี่อย่างที่เขาอยากได้แค่นั้น จำเป็นต้องใช้ให้มาซื้อไหมวะ ตัวเองก็ขี่รถผ่านโลตัส แวะมาซื้อหน่อยก็ไม่ได้
“นี่จะทำไข่ตุ๋นมาม่ากินกันสินะ”
“หะ” ผมเงยหน้ามองพี่ทอยที่พูดพร้อมกับจ้องยี่ห้อไข่ที่เรียงรายอยู่หลายแพ็ค “ไข่ตุ๋นทำไมเหรอครับ”
“เห็นส่วนประกอบก็ดูออกแล้วว่าจะทำไข่ตุ๋นมาม่าของโปรดไอ้เอฟมัน พี่รู้ เพราะแม่งชอบกินอะไรจืดๆ”
“พี่เอฟไม่กินเผ็ดเหรอครับ”
“ไม่เชิงอะ แต่อาหารที่มันกินมีแต่ของจืดๆ จืดเหมือนหน้ามันแต่ก่อนอะ ฮ่าๆ”
ผมแอบผงะกับคำพูดพี่ทอยไปนิดๆ ที่เคยแอบคิดว่าสองคนนี้ไม่ลงรอยกันท่าจะจริงแหง เพราะต่างคนต่างก็ไม่ได้แสดงออกว่าเกลียดกัน แต่คำพูดที่เหน็บกันบ่อยๆ ก็มักอาจทำให้ไม่พอใจกันบ้าง
หน้าจืดนี่แอบแรงสำหรับผมนะ หรือผมจิตใจอ่อนไหววะแม่ง
ผมหันไปเลือกผักชีที่ซีนไว้ในถุงอย่างดี หาต้นที่ไม่ค่อยช้ำและไม่แตกหัก ระหว่างนั้นพี่ทอยก็เอาไข่ที่เลือกได้มาใส่ตะกร้าก่อนจะโน้มตัวมาดูผักกับผม กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยเตะเข้ามาที่จมูกผมอีกครั้ง ทำเอานึกหวนวันนั้นที่เดินเข้าตึกคณะครั้งแรกเลย
“พี่ทอย…” ผมเรียกเจ้าตัวที่หันมาเลิกคิ้วรับ “พี่ใช่คนที่มาเป่าแมลงให้ผมที่ตึกคณะศิลปะกรรมหรือเปล่าอะ”
“โอ๊ะ”
อยู่ๆ เจ้าตัวก็ยืนตัวตรงแถมยังร้องอุทานออกมาเหมือนตกใจในคำถามผม
“ครับ?”
“คณิตนี่เอง! พี่นึกตั้งนานว่าเคยเจอเราที่ไหน พี่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก”
“พี่คือคนนั้นเหรอ”
“อือ พี่เอง คนที่ถามเรื่องอาจารย์พรจันทร์อะ”
“คือ ขอบคุณอีกรอบนะพี่ ผมไม่ทันเห็นหน้าพี่เลยอะ เดินเร็วมาก” ผมหัวเราะแก้เขินนิดๆ
“เฮ้ย ไม่เป็นไร เห็นเราขยี้ตาแล้วแอบหงุดหงิดอะ เลยเป่าให้ ไม่ต้องขอบคุณหรอก” พี่ทอยเอามือมาแตะไหล่ผม “โลกกลมเนอะ เพิ่งคุยกันไปทั้งที่ไม่รู้จักตอนนี้มารู้จักกันซะแล้ว”
รอยยิ้มที่พี่ทอยส่งมาทำเอาผมแอบอิจฉาที่เขามีใบหน้าที่ดูดีจนน่ามอง จะทำหน้านิ่งก็น่ามอง จะหัวเราะก็น่ามอง แบบนี้สินะที่ผมเคยอ่านเรื่องเล่าว่าพี่อินเลิฟ เขาเป็นสุภาพบุรุษ มีรอยยิ้มที่น่ารัก และมองไม่เบื่อเวลาได้อยู่ใกล้ๆ
อย่างน้อยเรื่องเล่านี้ก็เป็นเรื่องจริงอยู่เรื่องนึงล่ะวะ
เราสองคนจัดการนำของไปวางเคาน์เตอร์และจ่ายเงินในงบที่มีให้แค่สองร้อย เพราะผมไม่ได้กดเงินมาเผื่ออะไรทั้งนั้น ถ้าเกินก็คงหยิบยืมพี่ทอยไปก่อน แต่โชคดีที่มันไม่ถึงสองร้อยด้วยซ้ำ
“พี่ไม่ต้องไปส่งผมหรอก ผมเดินไปได้ อยู่แค่นี้เอง” ผมชี้ไปยังซอยทางเข้า
“จะเดินไปจริงๆ ดิ”
“น่าพี่ ถ้าพี่เอารถยนต์เข้าซอยมันก็กลับรถยากเหมือนวันที่พี่มาส่งพี่เอฟกับผมอีก ผมเดินกลับได้ สบายมาก”
“ถ้างั้นกลับดีๆ มีอะไรให้ช่วยไลน์มานะ”
พี่ทอยยื่นมือถือคืนให้ผม ลืมไปเลยว่าพี่แกถือมือถือผมเอาไว้ตลอด ผมมองหน้าจอก็พบว่ารายชื่อที่แอดไปใหม่เป็นไลน์ของพี่ทอย
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรๆ เลิกพูดคำว่าขอบคุณได้แล้ว พูดคำอื่นน่ะเป็นไหม”
“คำว่าไรเหรอครับ”
“เกะกะ!”
ไม่ทันที่พี่ทอยจะได้เอ่ยคำบางคำ ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งก็ดันไหล่ผมให้หลบทางเดินเข้าโลตัสราวกับหาเรื่อง พอมองแผ่นหลังที่เดินเข้าไปพร้อมกับสวมชุดบอลคุ้นตาที่มักใส่ประจำเวลานอนก็ทำให้รู้ว่าแม่งคือไอ้พี่เอฟคนดีของสาวๆ มหาวิทยาลัยนั่นเอง
“ไอ้เอฟนี่”
พี่ทอยมองตามไปพร้อมกับผมก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา
“พี่กลับก่อนเลยก็ได้ครับ ไว้ยังไงผมจะทักไปคุยนะครับ”
“ไม่มีธุระอะไรก็คุยได้นะ พี่ไม่กัด”
“คร้าบบบ”
ผมตอบน้ำเสียงสดใสก่อนจะรีบถือถุงอย่างทุลักทุเลเข้าไปที่โลตัสและหาบุคคลป่าเถื่อนเมื่อกี้
พี่เอฟกำลังก้มๆ เงยๆ มองน้ำอัดลมในตู้แช่เย็นอยู่ พอพี่เขาเห็นผมเดินไปยืนข้างๆ เจ้าตัวก็หันมามองผมหน้านิ่งไร้อารมณ์ซึ่งความสงสัย
“ทำไมมากับมัน รถมึงไปไหน”
พี่เอฟถามพลางมองเครื่องดื่ม ไม่ได้มองหน้าผม
“รถผมเสีย คาดว่าคงใช้งานไม่ได้แล้ว”
“ไม่โทรตามกูอะ”
“ผมคิดว่าพี่คงรีบ ไม่งั้นพี่ก็คงไม่รีบขี่มอไซค์หนีผมกลับหอหรอกจริงไหม”
ผมไม่ได้พูดเพื่อประชดนะ แต่ทำไมประโยคผมมันเหมือนกำลังงอนพี่แกอยู่ก็ไม่รู้
“ตั้งแต่ไม่ใส่แว่นนี่งอนเก่งเนอะ”
“ไม่เกี่ยวซะหน่อย”
ผมยู่ปากเดินตามพี่เอฟที่หยิบน้ำอัดลมออกมาสองกระป๋อง ก่อนจะรีบไปจ่ายเงินและเดินออกมาจากโลตัสในทันที ดูเหมือนว่าพี่แกจะไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์ออกมาแหะ
“โรบอทมึงจอดอยู่ไหน”
“หา?” ผมหันไปเลิกคิ้วสงสัย
“โรบอทอะ”
“โรเบิร์ตไหมล่ะพี่” ไม่เคยเรียกชื่อลูกกูถูกสักที! “จอดไว้ใต้ตึกเรียนรวมครับ มันคงไม่มีใครขโมยหรอกพี่ สภาพเบอร์นั้น”
“เพิ่งรู้?”
ยังจะมายอกย้อน!
“แล้วพี่ออกมาซื้อของทำไมพี่ต้องให้ผมออกมาซื้อคนเดียวด้วยอะ…” ได้ทีผมก็รีบบ่น แต่คนด้านข้างผมกลับไม่ตอบซะงั้น “ผมรู้แล้วนะว่าพี่จะทำเมนูอะไร”
ผมทำหน้าเหนือพลางชูถุงหิ้ว แต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจอะไรแถมยังเปิดกระป๋องน้ำอัดลมกระดกกินหน้าตาเฉย
“ไร”
“ไข่ตุ๋นมาม่า!”
ผมทำท่าเซอร์ไพรส์ แต่ก็นั่นแหละ รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอะไรเลย
งอนว่ะ ไม่มีอารมณ์ร่วมเล้ยยย
เราสองคนเดินมาเงียบๆ จนมาถึงที่หอผม พี่เอฟทักทายลุงยามก่อนจะส่งน้ำอัดลมอีกกระป๋องไปให้ ผมมองตามการกระทำของเขา
เอ้า ก็นึกว่าซื้อมาเผื่อกันเสียอีก
“ขอบใจนะไอ้หนุ่ม”
ลุงยามก้มหัวขอบคุณ ผมก็เลยต้องก้มกลับตามมารยาท
ผมกับพี่เอฟขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นหอผมทันที คนตัวสูงดึงถุงออกจากมือผมพร้อมกับพยักเพยิดหน้าเป็นการสั่งให้ผมไขกุญแจเข้าไป ผมจัดการดึงกุญแจที่ห้อยกับกุญแจรถเขามาไขทันทีก่อนจะเปิดประตูเข้าไปข้างในอย่างไม่เข้าใจว่าตั้งนมนานไม่ช่วยถือของ แต่มาช่วยถือเอาตอนนี้อะนะ
แอ๊ด…
ภาพตรงหน้าผมทำอึ้งไปอยู่หลายนาที ห้องของผมถูกตกแต่งด้วยกระดาษโฮโลแกรมที่เขียนชื่อผมเอาไว้แล้วแปะอยู่ที่กำแพง พร้อมกับภาพวาดภาพหนึ่งที่ตั้งพิงเอาไว้บนเตียง มันคือภาพวาดการ์ตูนผู้ชายใส่แว่นและกำลังนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่
ผมหันมามองพี่เอฟที่ยังคงหน้านิ่ง เขายักไหล่ให้เป็นเชิงกลบเกลื่อนความเขิน
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ไอ้รูมเมท”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ๊ากกกกกกกกกกกกน่ารักจางงงงงงเนยยยยยยยย
อิดออออก เขินนนนนนนนน 7>~<
ว้อยยยยย เขิน อิพี่เอฟๆๆๆๆๆๆๆ การกระทำสวนทางกับคำพูดจริงจริ๊ง
มีจัดเซอร์พ้อเซอร์ไพรให้น้องนิดด้วย
น่ารักกกกกกกกก