ตอนที่ 14 : ll ปรึกษา (รัก) ll EP.10 :: เป็นแมทช์อยู่ปี 1 [100%] 2/2
“อะ ซี๊ด…”
ผมหรี่ตาพลางซี้ดปาก นี่ไม่ใช่ฉากเอ็นซี แต่เนื่องจากความปวดและการนวดพร้อมละเลงยาลงบนไหล่เมื่อครู่
พอกลับมาจากคณะ สิ่งที่ทำอย่างแรกเลยก็คือการถอดเสื้อทิ้งลงบนตะกร้า แล้วมานั่งทายาลงบนแขนที่ช้ำจากเขียวกลายเป็นม่วงภายในไม่กี่ชั่วโมง
เด็กสินกำแม่งรุนแรงแบบนี้ทุกคนเลยไหมวะ
ติ้ง!
CHALEE : พี่ เมื่อไรผมจะได้เรียนกราฟฟิกกับเพื่อนพี่เอฟอะ
ไม่ทันที่จะหายเครียดจากอีกคน ไอ้ตัวแสบเจ้าเก่าก็ทักเฟซบุ๊กที่ผมเปิดหน้าจอค้างไว้มาในทันที
ตอนแรกคิดว่ามันขอพี่เอฟเล่นๆ นี่ดูท่าจะจริงจังแหะ
KANIT : กูลืมบอกเขา
CHALEE : โห ไรพี่ นี่คอร์สเรียนพิเศษผมจะจบสิ้นเดือนนี้แล้วนะ ผมขี้เกียจกลับไปอยู่บ้านช่วงปิดเทอม
KANIT : แล้วเกี่ยวไรกับกลับบ้านไม่กลับบ้าน
CHALEE : ผมจะได้บอกแม่ว่าผมได้เรียนศิลปะฟรีจากเพื่อนพี่ แล้วก็จะได้อยู่หอพี่คณิตไปจนจบปิดเทอมไง
KANIT : อยากนอนหอเพื่อนช่วงปิดเทอมว่างั้น?
CHALEE : แหม่ พี่นี่ฉลาดสมกับเป็นพี่ชายสุดที่รักผมจริงๆ
KANIT : เออ ไว้กูจะบอกพี่เขาให้แล้วกัน แต่ขึ้นอยู่กับเขานะว่าจะสอนไม่สอนอะ กูไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้น
CHALEE : ได้จ่ะ
การพิมพ์คีย์บอร์ดมือเดียวแม่งลำบากแบบนี้นี่เอง
ตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับรู้สึกถึงอาการชาเหมือนคนแขนหายไปเลย ดีที่มันเป็นแขนซ้าย ถ้าแขนขวาคงมีน้ำตาแตก
โอ๊ะ!
นี่กี่โมงแล้ววะ…
ผมรีบมองหน้าจอโน้ตบุ๊ก พอเห็นว่าตอนนี้เวลาสองทุ่มกว่าๆ ผมจึงรีบยกวิทยุเครื่องเล็กเจ้าเก่าขึ้นมาเปิดคลื่นเจ้าประจำในทันที
(คลับซันเดย์ที่จะเป็นเพื่อนคุยให้คุณยามราตรี ผมคิวปิด...)
(ผมอินเลิฟครับ)
(‘ยินดีรับปรึกษาปัญหาหัวใจพร้อมกับเพลงเพราะสบายๆ สามารถโทรมาขอหลังไมค์ที่เบอร์เดิม 038-888-xxx ได้นะครับ!)
เสียงร่าเริงตามสไตล์ดีเจทั้งสองดังขึ้นเป็นจังหวะพอดีที่ผมกดปุ่มเปิด ที่ผมกลับมาฟังพวกเขาอีกครั้งก็เพราะผมอยากปรึกษาเรื่องราวบางอย่างกับดีเจคลับซันเดย์ และแน่นอนว่าผมไม่ปรึกษาไอ้ดีเจคิวปิดแน่ๆ
ตามความคิดของผม ผมเดาได้เลยว่าดีเจอินเลิฟต้องเป็นพี่ทอยแน่ๆ เพราะลักษณะท่าทางและนิสัยมันตรงตามที่ผมเดาไว้ทุกประการ ยกเว้นก็แค่หน้าตาที่ดูดีกว่าในจินตนาการของผม
พอนึกถึงพี่ทอยแล้วนึกถึงกลิ่นน้ำหอมวันนั้นเลย เขาคือคนเดียวกับคนที่มาช่วยปัดเป่าแมลงออกจากตาผม ทำไมช่างเป็นคนดีขมองอิ่มขนาดนี้วะ
(วันนี้พี่คิวปิดอยากเปิดประเด็นอะไรครับ)
ดีเจอินเลิฟเริ่มเปิดหัวข้อชวนอีกฝ่ายพูดเรื่องราวในวันนี้ ผมค่อยๆ ยื่นแขนนาบบนโต๊ะคอมไปให้สุดแล้วค่อยเอียงหัวลงไปนอนบนแขนตัวเองเป็นการนอนฟังที่ได้อรรถรสไปอีกแบบ
(พี่อินเลิฟเคยได้ยินเรื่องราวความรักเกี่ยวกับความใกล้ชิดไหมครับ)
(ใกล้ชิด?) พี่อินเลิฟทวน
(ใช่แล้ว เราจะเคยเห็นในกรณีแอบรักเพื่อนอะไรแบบนี้น่ะครับ พี่อินเลิฟก็ต้องมีโมเมนต์นี้ใช่ไหมล้า)
เสียงเอฟเฟคปรบมือดังขึ้น ผมแอบหัวเราะออกมาเบาๆ พอนึกหน้าพี่สัจจะกำลังหยอกล้อกับพี่ทอยแล้วมันน่าขำชะมัด เขาต้องอึดอัดแค่ไหนวะที่ต้องมาตีหน้าร่าเริงทำเสียงจอแจใส่กันเนี่ย
(แล้วความใกล้ชิดของพี่คิวปิดนี่หมายถึงการแอบรักเพื่อนเหรอครับ)
(จะพูดว่างั้นก็ได้ครับ แต่บางที คนที่ไม่ใช่เพื่อนแต่ใกล้ชิดกันมากๆ ก็อาจมีหวั่นไหวเป็นเรื่องธรรมดานะครับ)
(เอ๋ พูดแปลกๆ นะเราน่ะ)
(ถ้าอยากรู้ว่าความใกล้ชิดทำให้คนรักกันได้ได้อย่างไร ทางบ้านก็ลองโทรมาเล่าประสบการณ์ให้เราสองคนฟังสิครับ ไม่ว่าจะอยู่คณะไหน ปีอะไร ก็สามารถร่วมแชร์ประสบการณ์ด้านความรัก หรือปรึกษาเราได้เลย แล้วมาเจอกันหลังจากฟังเพลงจบทั้งห้าเพลงนะครับผม)
‘แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องมาเขิน ฉันพูดจริงๆ เธอมีเสน่ห์มากมาย จะน่ารักไปไหน อยากจะได้แอบอิง ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์…’
เพลง คนมีเสน่ห์ ของพี่ป้างดังขึ้นดับความเพลินที่จะฟังเสียงดีเจทั้งสองทันที ผมเคาะนิ้วไปตามจังหวะเพลงที่แล่นเข้ามาในหู พลางคิดว่าผมควรจะโทรปรึกษาเขาเลยไหม เพราะไหนๆ มันก็เป็นช่วงพักของดีเจอยู่แล้ว
แล้วถ้าไอ้พี่สัจจะมันรับอะ…
ช่างแม่ง!
ตู๊ดดดด ตู๊ดดดดด
(สวัสดีครับ พี่อินเลิฟรับสายครับ)
เยส! ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากได้ยินปลายสายเอ่ยชื่อตัวเองที่ไม่ใช่คนที่ผมคาดเดาไว้
“คือผมอยากจะโทรมาปรึกษาอะไรบางอย่าง” ผมเริ่มประเด็น
(งั้นถือสายรอสักครู่ได้เปล่า ไว้คุยกันหน้าไมค์)
“เอ่อ คือผมแค่อยากจะปรึกษาแบบลับๆ เงียบๆ รู้กันแค่สองคนพี่กับผมอะ”
ไม่รู้ว่าผมจะกระซิบกระซาบไปเพื่ออะไร ทั้งที่การคุยโทรศัพท์มันก็ได้ยินแค่สองคนเท่านั้น เว้นแต่ฝั่งนู้นจะเปิดลำโพงให้คนเขาได้ยินทั่วสตูอะ
แต่จะว่าไป น้ำเสียงของพี่อินเลิฟผมก็เดาไม่ออกแหะว่าน้ำเสียงเขาคล้ายพี่ทอยมากไหม ดูเหมือนว่าเขาจะใช้โปรแกรมดัดเสียงในการพูดคุยด้วยแหะ
(งั้น คุยกับคิวปิดไหม)
“ไม่ๆ ผมอยากคุยกับพี่”
(ทำไมอะ)
“อ่า…คือผมรู้สึกว่าพี่น่าจะให้คำปรึกษาได้ดีกว่าพี่คิวปิดอะ”
(เราชื่ออะไร) อยู่ๆ ปลายสายก็ดันอยากรู้จักเฉย แค่ต้องการหาคนปรึกษาสักคนแบบลับๆ นี่มันยากจังวะ (อายุ ปีไหน คณะอะไร)
“คือ…”
“…”
“ผมชื่อแมทช์ ปี 1 คณะมนุษย์ครับ”
เอาเหอะ แค่โกหกชื่อจริงนิดหน่อยเขาคงไม่ได้อยากจะทำความรู้จักแบบลึกซึ้งอะไรขนาดนั้นหรอก
(อืม อยากปรึกษาอะไรอะ ไหนเล่า แต่ให้แค่สามนาทีนะ เพราะจะเข้ารายการแล้ว)
“สมมตินะพี่ ถ้าพี่เพิ่งรู้ว่าพี่ไปชอบคนเดียวกับพี่ที่สนิทและไว้ใจอะ โดยที่เราไม่รู้ว่าพี่ที่สนิทก็ชอบคนเดียวกับเรามาก่อน พี่จะบอกเขาไหม”
(บอกดิ แต่มันก็มีหลายกรณีนะ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากเก็บเป็นความลับไหม เราอยากจะสู้หรืออยากจะถอยอะ)
“ผมว่าผมควรถอยดีไหมอะ เพราะผมสู้พี่คนนั้นไม่ได้เลย”
(ทำไมอะ เขาหล่อกว่าเหรอ)
“ประมาณนั้นอะพี่”
ผมทิ้งความสิ้นหวังรดใส่วิทยุอย่างหมดแรง พอนึกถึงหน้าตัวเองกับหน้าพี่เอฟแล้วหมดหวังหนทางที่จะสมหวังเลย
(สู้ดิ มั่นใจ ถามใจตัวเองดูว่าที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มีความสุขใช่ไหม ถ้าเราไม่มั่นใจในตัวเอง เราจะไปจีบเขารอดเหรอ อีกอย่างความรักน่ะเราอย่าไปคาดหวังกับอีกฝ่ายมากเลย พอเราคาดหวังมากมันก็จะเจ็บมากรู้ไหม) พี่อินเลิฟทำน้ำเสียงหึกเฮิมใส่เฉย (มิตรภาพระหว่างเรากับพี่คนนั้นมันมีมากหรือมีน้อย)
“ผมไม่รู้อะ ผมเดาใจพี่เขาไม่ถูกหรอก”
(อ่า…) พี่อินเลิฟดูเหมือนกำลังครุ่นคิด (เราคิดกับพี่คนนั้นในเชิงไหน เอ่อ… หมายถึง เรานับถือพี่คนนั้นระดับไหน)
“พี่เขาช่วยเหลือผมตามคำขอร้องผม แม้มันจะต้องแลกมากับข้อแลกเปลี่ยนหลายอย่างก็เถอะ พี่เขาอาจจะปากหมาไปบ้าง ทำห้องผมรกบ่อยๆ แต่ผมก็รู้สึกดีที่มีพี่เขาอยู่ข้างๆ อะ ผมอุ่นใจมากกว่าตอนอยู่คนเดียวอีก”
(แล้วระหว่างคนที่เราแอบชอบกับพี่คนนั้น เราอยากอยู่กับใครมากกว่าอะ)
“…”
ดูเป็นคำถามที่ไม่น่าคิดยาก แต่มันดันทำผมติดสตั้นไปเลย นั่นสิ
อีกคนก็เป็นคนที่ไม่เคยสนใจอะไรผมเลยแม้ว่าผมจะตามจีบเขาแค่ครั้งเดียวก็เหอะ แต่วันที่เราเจอกันที่ห้องส่งวิทยุ เขากลับทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยคุยกับผม แค่ทักทายผมเป็นมารยาทเขายังไม่ทำเลย แถมยังมีสีหน้าที่อึดอัดจนผมก็พอดูออกว่าเขาอึดอัดใคร
แหงล่ะ คงเกลียดขี้หน้าผมไปแล้ว
ส่วนพี่เอฟ รายนั้นทะเลาะกับผมได้ทุกวี่ทุกวันแถมยังเอาแต่หาว่าผมเถียงนั่นนี่อยู่ตลอด ผมก็ไม่ได้อยากอยู่กับเขามากหรอก แต่ก็อย่างที่บอกอะ พอมีเขามาอยู่ด้วย การใช้ชีวิตผมก็ดูมีสีสันขึ้นมามากกว่าแต่ก่อน แถมช่วงนี้ผมก็รู้สึกว่าเขาซื้อนั่นนี่มาให้บ๊อยบ่อย และประโยคส่งท้ายเวลาเอาของมาให้ก็คือ ‘เอาเงินมาจ่ายกูด้วยล่ะ’ ไม่รู้ป่านนี้ผมเป็นหนี้พี่แกไปเท่าไร
ถ้าให้เลือกเหรอ…
(เอาล่ะครับ กลับมาที่ดีเจสุดหล่อทั้งสองที่จะอยู่กับคุณไปในค่ำคืนนี้นะครับ)
ผมมองมือถือตัวเอง รู้ตัวอีกทีพี่อินเลิฟก็ตัดสายไปแล้ว และมาโผล่อีกทีก็จัดรายการเลย
(หลังไมค์นี่เข้ามาปรึกษาเรื่องราวความรักกันหลายรูปแบบมากเลยนะครับ ไหนจะแอบรักเพื่อน แอบรักรุ่นน้อง แอบรักรุ่นพี่ ไหนจะความสับสน ความลับที่มีต่อคนใกล้ตัวอีก ถ้าใครยังสับสนให้เราลองถามหัวใจตัวเองดูซ้ำๆ นะครับ ว่าสิ่งที่ตัวเองปิดบังอยู่มันอึดอัดมากแค่ไหน ผมเชื่อครับว่า การได้บอกความจริงอะไรออกไป แม้มันจะดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่มันทำให้เรารู้สึกปลดปล่อยน้า ดีกว่าเก็บมาคิดคนเดียว หัวยุ่งตายห่า)
พี่อินเลิฟว่าเสร็จเสียงเอฟเฟคขำๆ ก็เด้งขึ้นมา รวมไปถึงเสียงหัวเราะของพี่คิวปิดที่ดูเฮฮาแตกต่างจากตัวจริงเสียเหลือเกิน
(ก่อนที่เราจะไปพบกับสายหน้าไมค์ที่จะมาคุยกับเราใสค่ำคืนนี้ เราไปฟังอีกเพลงดีไหมพี่คิวปิด)
แทนที่ผมจะได้ฟังสายจากทางบ้าน แต่ดีเจกลับพูดเหมือนว่าจะเปิดเพลงคั่นเวลาอีกรอบอย่างงั้นแหละ
(ดีสิครับ) พี่คิวปิดเสริมทัพเห็นด้วย (งั้นเราไปฟังแนวเคป๊อปๆ ที่มีคนขอกันเข้ามาบ้าง)
(งั้นเราไปฟังเพลง DAY1 ของ K-will กันเล้ยยยย ใครที่โทรมาทันถือสายรอไว้สักครู่นะครับ)
เพลงจังหวะที่ไม่เร็วมากหรือช้าเกินไปดังขึ้น ผมไม่รู้ความหมายของเพลงหรอก แต่คิดว่าคงเป็นเพลงรักดีๆ อีกเพลง พอฟังไปฟังมามันเพลินจนเริ่มหิวขึ้นมานิดๆ แหะ มันไม่เกี่ยวหรอก
ผมมองไปที่มาม่าบนตู้เย็นก็ทำได้แค่กลืนน้ำลายเอือกใหญ่ พี่เอฟบอกไม่ให้ผมแอบกินมาม่าตอนกลางคืนเพราะโซเดียมจากมาม่าจะทำให้เรามีเหนียง หน้าบาน และตัวบวม
แต่ผมทนไม่ไหวอะ…
ติ้ง!
เสียงไลน์ทำผมสะดุ้งขึ้นจากการเช็ดน้ำลายที่ไหลย้อยลงบนโต๊ะคอมเมื่อครู่ ผมรีบหยิบมือถือมาดูข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอทันที
F : แดกเหี้ยไรไหม กูจะซื้อไปฝาก
จะว่าไป…
การมีพี่เขาอยู่ด้วยมันก็ดีกว่าที่คิดเยอะเลยแหะ

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องงงง ยังไงกับพี่คนนี้เี หืมๆ