ตอนที่ 9 : ll แฟนผมเป็นตากล้อง ll EP.08 :: เขาเป็นรูมเมทกัน [100%]
พรึ่บ
ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนทันทีที่มาถึงห้องไอ้คิวก่อนจะจัดการขว้างกระเป๋าเข้าไปที่มุมห้องด้วยความเหนื่อย
เมื่อคืนผมนั่งวางแผนจัดตารางตัวเองจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน พอมาเรียนก็รู้สึกเพลียๆ แถมยังต้องมาเจอแฟนเก่าที่ทำเอาผมอยากหลบหน้าเธอทุกเมื่ออีก ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเธอไม่มีเค้าโครงความเป็นแฟนเก่าผมอยู่เลย ในทางกลับกันเธอดูเฉยเมยทำเหมือนผมเป็นเพื่อนร่วมห้องที่เคยเรียนด้วยกันซะมากกว่า
จริงๆ โลกใบนี้กลมพอตัวเลยนะ ทั้งคิว ผม พิมพ์ ไหนจะไอ้เกมส์กดอีกที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่ไอ้เกมส์ผมเพิ่งจะมาคุยกันก็ช่วงมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ มันช่วยอะไรผมหลายๆ อย่างนะ ยิ่งเรื่องไอ้คิวนี่มันก็ช่วยตลอด ถ้าผมไม่ได้มันผมก็ไม่รู้จะตามไอ้คิวยังไงอะ
“อยากกินอะไรปะ เราจะได้ทำให้” คนเป็นคนเจ้าของเอ่ยถามผมไม่ได้ตอบแต่เลือกที่จะยกเท้าขึ้นเพื่อถอดถุงเท้า “งั้น…กินข้าวกล่องแช่เย็นในตู้แล้วกัน”
เจ้าของห้องจดการพูดเองเออเอง ผมกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงก่อนจะเปิดกล้องถ่ายรูปที่ชาร์ตมาเต็ม ลองเอาไปถ่ายมันตอนทำอาหารดีกว่า น่าจะได้รูปที่ดูอบอุ่นสาวๆ คงกรี๊ดวี๊ดว้ายน่าดู
ผมลุกขึ้นตามไอ้คิวไปที่ห้องครัวที่ติดกับระเบียงห้อง เหมือนว่าจะเอากล่องข้าวแช่แข็งตามเซเว่นมาอุ่นไมโครเวฟธรรมดา ผมเดินไปยืนข้างๆ มันก่อนจะกดถ่ายรูป คนถูกถ่ายหันมาทำหน้าเหวอเล็กน้อยในการกระทำของผม
“ไหนลองใส่ผ้ากันเปื้อนดิ” ผมว่า
ไอ้คิวที่ถูกสั่งอย่าว่าง่ายจึงหันไปคว้าผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่มาใส่ มันคือผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อนลายตุ๊กตาน่ารักๆ นี่ผู้ชายเขาเลือกผ้ากันเปื้อนลายนี้กันเหรอวะ -_-
“ใส่แล้วให้เราทำไงต่ออะ”
"กระโดดลงไปจากระเบียง"
"โอเค"
"ไอ้สัด กูพูดเล่น"
ผมรีบเข้าไปดึงตัวไอ้คิวทันทีที่มันทำท่าจะกระโดดลงไปข้างล่าง นี่ไม่ใช่ตึกเตี้ยๆ ด้วยนะ ลงไปแล้วพิการใครจะรับผิดชอบเล่าเฮ้ย
"เป็นห่วงเราด้วย"
"กูแค่ไม่อยากติดคุกโทษฐานผลักมึงตกตึกต่างหาก ไอ้ฟาย"
"ด่าเราแบบนี้เดี๋ยวก็..."
"ก็อะไร" ผมถามเมื่อเห็นว่ามันยกยิ้ม แม้จะเกรงกลัวในคำคำพูดมันลึกๆ แต่ผมเลือกที่จะถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าวแล้วจัดการถ่ายมันทันที “ยืนหันหน้ามายิ้มให้กล้องเฉยๆ กูจะถ่าย”
ผมรีบรัวชัตเตอร์ไม่ยั้งในตอนนี้ไม่รู้ว่ามีกี่รูปได้ แต่ที่แน่ๆ มันเยอะพอที่จะถ่ายทันในสองสามวันอะ ไอ้เด็กแอดมินนั่นมันไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามรูปซ้ำ ผมก็รัวสิครับรออะไร
ติ้ง!
ผมหยุดรัวนิ้วเมื่อไมโครเวฟแจ้งเตือนว่าได้เวลาอาหารเย็นของเราแล้ว กลิ่นข้าวแกงกะหรี่หมูทงคัตสึหอมฟุ้งในทันทีที่ไอ้คิวเอาออกมาจากไมโครเวฟ ผมรีบสะพายกล้องแล้วช่วยมันเอาอีกกล่องนึงออกมาเพื่อให้มันจับถนัดไม่ร้อนมือ
“เอาไปวางไว้ที่โต๊ะทานข้าวตรงนั้นเลยก็ได้นะ” ไอ้คิวชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับสองคน ตอนมาครั้งก่อนนี่ไม่เห็นโต๊ะนี้นี่นา แต่ดูท่าว่าจะใหม่ด้วยคงซื้อมาต้อนรับรูมเมทสินะ “ขอโทษนะเราไม่ได้ตุนอาหารดีๆ ไว้ต้อนรับรูมเมทเลยอะ กินแบบนี้ไปก่อนเนอะ”
มันว่าก่อนจะนั่งฝั่งตรงข้ามกับผม ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพราะเท่านี้ก็รู้สึกว่ามันทำให้ดีมากพอแล้ว ผมไม่ได้อยากจะใจอ่อนกลับไปเป็นเพื่อนมันนะ แค่ผมอยากทำหน้าที่นี้ให้ดีไม่มีวี่แววเรื่องราวทะเลาะเข้ามาทำลายบรรยากาศ ไหนแม่งต้องมาช่วยถ่ายหนังสั้นให้ผมอีก ทำดีกะแม่งเพื่อหวังผลแค่ไม่กี่วันมันไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก…
“เออ แล้วพรุ่งนี้มีงานที่ไหนปะ” ผมว่าขึ้นในขณะที่ไอ้คิวกำลังซัดข้าวแกงกะหรี่เข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย “เผื่อกูจะไปด้วย”
“พรุ่งนี้มีถ่ายรูปเชิญชวนน้องมางานโอเพ้นเฮาส์อะ จะไปเหรอ”
“อืม”
ผมตอบในลำคอเบาๆ ก่อนจะตักข้าวกิน ความอร่อยเหมือนเคยสัมผัสรสชาตินี้นี่มัน…
“ข้าวแช่เย็นร้านป้าตุ๊อะ ที่ป้าเขาเคยขายในโรงอาหารโรงเรียน จำได้ปะ”
เหมือนคนตรงข้ามจะรู้ความคิดประหนึ่งมานอนอยู่ในหัวกูเอ่ยขึ้น ผมพยักหน้าเมื่อนึกออก ร้านนั้นเป็นร้านที่ผมกับมันกินด้วยกันตลอดแหละครับ แต่ไม่ยักคิดว่าป้าแกจะทำธุรกิจข้าวแช่แข็งกับเขาด้วย
“แล้วมึงใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาเกือบสามปี คิดบ้าอะไรถึงอยากได้รูมเมทวะ”
ผมเปิดประเด็น ผมเพิ่งมารู้เมื่อตอนตามถ่ายรูปมันนี่แหละว่ามันอยู่แถวนี้ แอบใกล้จนอิจฉา ไม่ตื่นเช้าๆ เพื่อมายืนรอรถเมล์มาเรียนแบบผมด้วย
“แม่เราอยากให้เราหาเมทน่ะ จะได้มีเพื่อนไว้ปรึกษาบ้างแถมค่าหอมันก็เพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัว แม่เราแอบบ่นๆ เราไม่อยากให้เขาต้องมากังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเลยให้หาเพื่อนมาอยู่ด้วยซะ”
"มีเพื่อนไว้คอยปรึกษา?" ผมทวนคำพูดของมันอย่างตกใจ "ไม่มีเพื่อนเลยจริง เหรอ สักคนล่ะ"
"ไม่มีอ่ะ เรากิจกรรมเยอะ ก็มีแค่เพื่อนคนรู้จักที่ไม่ได้สนิทเหมือนแบบเพื่อนสนิท"
"ทำไมไม่เปิดใจหาเพื่อนไว้คบบ้าง"
"ไม่เอาดีกว่า" มันส่ายหน้าพลางเขี่ยข้าวไปมา "เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนในอดีต"
ผมหยุดคำพูดที่จะถามต่อไปในทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงของมันแบบนั้นบวกกับคำพูดที่ผมพอจะรู้ว่ามันหมายถึงเหตุการณ์อะไร
เปลี่ยนเรื่องดีกว่าสัดเอ้ย
“แล้วตอนนี้แม่ทำงานอะไรอะ”
ผมพูดพลางตักมันฝรั่งต้มใส่จานมันด้วยความเคยชิน ผมชะงักมือไปในทันทีที่เผลอทำแบบนั้นไป จะตักคืนมันก็ไม่ใช่เรื่อง…
“ไม่เป็นไร เรารู้นายไม่กินตักมาให้เราเหอะ” ไอ้คิวยกยิ้มขึ้น ผมเม้มปากก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ “แม่มีกิจการทำสปาที่หาดใหญ่อะ ส่วนพ่อก็ไปร่วมหุ้นกับเพื่อนทำสวนผลไม้ที่ระยอง”
“ดีเนอะ ครอบครัวฐานะดีขึ้นแล้วใช่มะ”
“ก็ดีนะ เราพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดูดี หาเอเจนซี่ช่วยพาไปแคสนั่นนี่ พอได้เงินมาเลี้ยงตัวเองบ้างอะ”
ผมเงยหน้ามองมันเพื่อพิจารณาเค้าโครงหน้าตาเดิมของมันเมื่อครั้งอดีต แต่ภาพตอนนี้มันลบภาพเหล่านั้นจนผมจำไม่ได้เลยว่าหน้าเก่ามันออกไปแนวไหน รู้แค่ว่ามันต่างกับตอนนี้มากๆๆๆ อะ…
นัยน์ตากลมโตมีถุงใต้ตาแบบอายดอลลี่ ไหนจะจมูกที่โด่งรับใบหน้า ริมฝีปากอวบเด้งได้ที่และผิวพรรณดูคุณหนูนี่อีก…
“มึงศัลยกรรมปะ” ผมเผลอลั่นปากออกไป รู้ว่ามันไม่ควรถามเพราะเสียมารยาทแต่ในสมัยนี้เขาเปิดกว้างแล้วปะวะ ทำก็คือทำ ภูมิใจจะตายมีเงินทั้งทีก็ทำแม่งจะไปเสียหายอะไร “หรือแค่ดัดฟันเหมือนที่บอกพ่อกูจริงๆ”
“ไม่ทำดิ ไม่เชื่อนายบีบจมูกเราก็ได้อะ”
ไม่ว่าเปล่ามันยังยื่นหน้ามาให้ผมบีบ ด้วยความขี้เสือกที่มีอยู่แล้วในตัวผมจึงวางช้อนแล้วเอื้อมมือไปจับแกนจมูกโด่งของมันด้วยความสงสัย จมูกนิ่มๆ ไม่แข็งซิลิโคนอย่างที่นึก ผมบิดไปมาอย่างเบามือเพราะถ้ามันทำมาจริงแล้วผมเกิดทำจมูกแม่งเบี้ยว คงไม่มีปัญญาจ่ายแน่ๆ
ผมจับมันไปมาอย่างมันส์มือ แต่พอเผลอไปสะดุดสายตาที่มันมองมา ผมจึงรีบชักมือกลับแล้วหันมากินข้าวตรงหน้าต่อในทันที
“อืม ไม่ทำก็ดีแล้ว อิจฉาเนอะโตมาแล้วหน้าตาดีได้โดยไม่พึ่งมือหมอ”
“เราก็อิจฉานาย ที่นายน่ารักมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้โดยไม่พึ่งมือหมอ”
มันว่าติดขำ ผมเกือบสำลักข้าวจนต้องคว้าแก้วน้ำมาซัดเอือกๆ เพราะกลัวติดคอ ผมมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันต้องการที่จะกวนตีนผมหรือปั่นประสาทอะไรกันแน่ เพราะพักหลังมันเริ่มพูดจาแปลกๆ ใส่กันอะ
ผมต้องใช้วิชาจิตวิทยาที่เรียนมาให้แตกฉานซะแล้วมั้ง…
“ตอนที่กูต่อยมึงในเหตุการณ์วันนั้น มึงโกรธกูปะ” ผมถามในประเด็นอดีต มันเงยหน้ามามองผมก่อนจะทำหน้านึก
“จำไม่ได้อะ เราไม่ใส่ใจ”
“จะไม่จำไม่ได้ได้ไงอะ กูต่อยมึงเลยนะเว้ย”
“เราไม่ชอบจำเรื่องราวที่ไม่สำคัญกับใจตัวเองอยู่แล้วอะ เราจำแต่เรื่องราวดีๆ”
ผมถึงกับมองบนไปหนึ่งแปด มันไม่จำหรือมันไม่อยากจำกันแน่ รู้ปะถ้าผมโดนต่อยในตอนนั้นผมคงเกลียดอะ ใครมาต่อยเราเราก็จำฝังลึกไว้ในสมองไม่ใช่เหรอวะ
“แล้วจำอะไรได้บ้าง”
“จำได้ว่าเคยเป็นเพื่อนนาย”
เฮ้อ…
เหมือนผมกลายเป็นคนบาปที่มาเกลียดพ่อพระแบบแม่ง ผมเกาหัวด้วยความเครียดที่อยู่ๆ ก็ผุดมาดื้อๆ จนในที่สุดก็เลือกที่จะเงียบและจบบทสนทนาในอดีตของเราสองคนซะ
ผมมองหน้ามันที่เต็มไปด้วยสีหน้าที่ดูแล้วมันใสซื่อจริงไม่มีจุดประสงค์ร้ายอะไรทั้งนั้น แม้จะรู้ว่าเรื่องราวของเราที่ต้องมาเจอกันอีกครั้งมันจุดประเด็นที่ผมดันเผลอไปลบรูปมัน ผมจึงไม่อยากคิดว่ามันจะกลับมาแก้แค้นกวนตีนเรื่องราวในอดีตอะไร
“เช็ดปากด้วยละ แก้มมึงเลอะ” ผมดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะส่งให้มันลวกๆ เมื่อเห็นคราบแกงกะหรี่ติดมุมปากมันแล้วเกะกะตาชะมัด กินยังไงให้มันไปเผื่อแก้มขนาดนั้นวะ เป็นเด็กไปได้ “มุมขวา”
“ตรงนี้เหรอ” มันเช็ดมั่วซั่วไปหมดแต่กลับไม่โดนคราบเลอะนั่นสักนิด “ขวามือนายหรือเรา”
“ขวามือมึง”
“เช็ดให้หน่อยดิ เรามองไม่เห็น”
มันว่าไม่พอยังยื่นกระดาษทิชชู่ที่ผมเพิ่งส่งให้ไปเมื่อกี้มาให้ผมอีก
“มึงเป็นง่อยเหรอ”
“เรามองไม่เห็น”
“ไม่” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง คนตรงหน้าดึงมือกลับไปเช็ดปากตัวเองอีกรอบ แต่พอผมมองมันก็ไม่หายคราบนั้นไปเสียที “เอามา”
ผมโน้มตัวไปแย่งกระดาษจากมือมันพร้อมกับจิปากอย่างไม่พอใจ ผมจัดการเช็ดคราบเลอะนั้นเบามือ แต่ดูเหมือนว่าคนถูกเช็ดจะเกร็งตัวจนผมต้องหันไปมองมันว่าเป็นอะไร
ในระยะเพียงแค่คืบในตอนนี้มันแทบจะสัมผัสลมหายใจกันเลยด้วยซ้ำ ผมที่เช็ดเสร็จก็คว้ามือมันมาแล้วยัดทิชชู่กลับแบบขอไปที
“ขอบคุณนะ”
“อืม”
ผมคว้าแก้วน้ำมาดื่มจนหมด แต่พอเห็นคนตรงหน้าที่ยิ้มหน้าบานเป็นจานข้าวหมาก็ถึงกับตรงหยุดการกระทำทั้งหมด
"..."
“ยิ้มไร”
ผมพูดเมื่อเห็นว่ามันยิ้มออกมาแป้นแล้นแถมไม่ตอบมันยังลุกขึ้นเอื้อมมือมาหยิบจานผมไปเพื่อเอาไปล้างที่ห้องครัว ผมมองตามหลังคนที่ถูกถามแต่ไม่ยอมตอบไปด้วยสีหน้าที่ผมก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน
“…”
“กวนตีน”
ผมพูดไล่หลังกลับไป รอเจ้าของห้องทำอะไรจนเสร็จผมจึงลุกขึ้นเตรียมชาร์ตแบตกล้องสำรองเอาไว้ ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูในกระเป๋าเตรียมตัวอาบน้ำ ผมเตรียมเสื้อผ้ามาแค่สี่ชุดเท่านั้นนี่รวมชุดนิสิตด้วยนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่ถาวรอยู่แล้วนี่ เดี๋ยวพอทำภารกิจจบ ผมก็ได้เป็นอิสระสักที
“จะอาบน้ำเหรอ” ไอ้คิวที่โผล่มาจากระเบียงเอ่ยถามผมขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันที่มันถอดเสื้อนิสิตออก เผยให้เห็นเสื้อกล้ามนี่รัดแน่นเผยสรีระอันเป็นที่หมายตาของคนทั่วไป ยกเว้นผมไว้คนนึงนะ -*- “พวกสบู่ ยาสระผมหรือยาสีฟันนายใช้เลยก็ได้นะไม่ต้องเกรงใจ”
“ฉิบหาย ลืมแปรงสีฟัน…”
ผมสบถขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมแปรงสีฟันไว้ที่บ้านไม่ได้พกมา นี่ต้องใช้นิ้วแปรงเหมือนตอนไปค่ายจริงๆ เหรอวะ แต่แล้วคนตรงหน้าผมก็เบียดตัวเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะทำการแกะอะไรบางอย่างแล้วยื่นมาตรงหน้า
มันคือแปรงสีฟันสีชมพูที่ดูมุ้งมิ้งเกินจะเป็นแปรงผู้ชาย
“เรามีสำรองอะ”
“ใครจะไปใช้ สีหวานกว่าหน้ามึงอีก” ผมว่าก่อนจะขมวดคิ้วเครียด
“หรือนายจะใช้ของเราก็ได้เราไม่ถือ”
“กูถือ!”
“วางดิ เดี๋ยวเมื่อย”
“…”
“…”
“…”
“สงสัยไม่ขำ…”
มันว่าไม่พอยังหันหลังกลับไปนั่งที่โต๊ะคอมเงียบๆ ปล่อยให้ผมส่ายหน้ากับมุกห้าบาทสิบบาทของมันอย่าปลง ผมยกแปรงสีชมพูขึ้นดูก่อนจะเข้าห้องน้ำและวางมันที่อ่างล้างหน้า ผมจัดการชำระล้างร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันก่อนจะเปิดอุณหภูมิน้ำให้อุ่น
แกร๊ก…
เป๊ะ….มึงนี่มันพล็อตนิยายวายเป๊ะ…
น้ำหยุดไหล และไงผมควรตะโกนเรียกไอ้คนข้างนอกให้เขามาช่วยดูถูกมะ…
แล้วเราสองคนก็จะเปียกไปด้วยกัน แฮปปี้ไหมละมึง
กูไม่ทำหรอก!
ผมจัดการคว้าผ้าขนหนูพันรอบเอวก่อนจะแหงนมองดูฝักบัวที่หยุดการทำงานไปกะทันหัน ดีตรงที่ล้างสบู่จนหมดตัวแล้วไม่งั้นนะได้คันคะเยอเสมือนสังคังแดกแน่ๆ
กึก
ผมเอื้อมมือไปปรับฝักบัวก่อนจะหมุนดูว่ามันขัดข้องตรงไหน ดูท่าว่ามันจะเสียในส่วนเครื่องปรับน้ำอุ่นนี่สิ…
“นี่ เงียบเลยเป็นไรเปล่า”
เสียงตะโกนจากข้างนอกดังขึ้น ทำให้ผมต้องเดินไปเปิดประตูเพื่อให้มันรู้ว่ากูยังไม่ตาย
“เครื่องปรับน้ำอุ่นมึงเสีย”
“เอ้าจริงดิ”
“กูจะโกหกเพื่อ?”
ผมพูดเพียงเท่านั้นเจ้าตัวที่เป็นเจ้าของก็เดินเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะแหงนหน้ามองเครื่องปรับน้ำอุ่นที่ไม่ยอมทำงานแถมไฟที่ติดเป็นสีเขียวในตอนแรกยังดับหายไปอีก
“สงสัยเจ๊งแล้วอะ นายมือหนักอะดิ” คนแหงนมองหันมาโทษผมเฉย
“กูอาบน้ำปกติ อย่ามาโทษกูนะเว้ย”
“อืม” นอกจากจะไม่เถียงหรือหาเรื่องมาใส่ร้ายผมต่อ แววตามันยังมองมาที่หน้าอกผมอย่างสนใจ ผมรีบคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนอยู่มาบังร่างกายอันกำยำตัวเองทันที แม่งโรคจิต! “คงต้องโทรหาป้าเจ้าของหอให้มาดูพรุ่งนี้แล้วอะ เสียทั้งเครื่องทำน้ำอุ่นทั้งฝักบัวขนาดนี้คงซ่อมเป็นวัน”
มันยักไหล่ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำมาพร้อมผม ดูเหมือนว่าคนที่ไม่ได้อาบน้ำจะเป็นแม่งนั่นละ
“มึงจะไม่อาบน้ำ?”
ผมถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่ามันถอดเสื้อกล้ามทิ้งลงตะกร้าและหันมาสวมเสื้อยืดขาวเตรียมนอน
“เราจะอาบยังไงอะ ฝักบัวมันพังขนาดนั้น”
“อี๊ เหม็นตายเลยมึง”
“พูดเหมือนว่าเราจะนอนกอดกันงั้นแหละ”
แม่งดับประโยคทุกสรรพสิ่งที่ผมพร้อมจะเอ่ย ผมหันไปรื้อเสื้อกับกางเกงบ็อกเซอร์ในกระเป๋าเป้ ก่อนจะสวมอย่างระมัดระวังไม่ให้อะไรใต้ผ้าขนหนูมันโผล่แพร่มๆ จนไอ้คิวสังเกตเห็นแล้วเอามาพูดล้อผม
แม้ช่วงตอนวัยมัธยมปลายเราสองคนจะเคยอาบน้ำด้วยกันมาสองสามครั้งก็เหอะ แต่นั่นมันตั้งกี่ปีแล้ว แถมสถานะเราสองคนมันห่างจนกลายเป็นคนแปลกหน้าไปเลยด้วยซ้ำ
“มึงอยู่ล่างกูอยู่บน”
ผมยืนชี้เตียงกับพื้นสลับกัน คนบนเตียงแต่แรกนั่งมองผมตาปริบๆ งงเหี้ยไรมึง
“เราอยู่บนนายอยู่บนดิ จะไปนอนล่างทำไม” มันว่าอย่างงงใจ อันที่จริงมันนอนได้เว้ย แต่กูไม่อยากนอนกับมึงอะ มึงแม่งอันตราย “เตียงตั้งหลายฟุต เราคงไม่กลิ้งทับกันหรอก”
“งั้นกูนอนล่างเอง”
“ปวดหลังนะ”
“เรื่องของกูน่า นอนไปเหอะ”
ผมโน้มตัวเอื้อมไปหยิบหมอนและผ้าห่มอีกผินมาปลูกข้างเตียงแบบลวกๆ ก่อนจะจัดการล้มตัวลงนอนในทันที ดีที่ผ้าห่มหนาพอจะรองรับหลังผมได้ ไม่งั้นคงนอนปวดตัวทั้งคืนแน่ ผมที่คิดอะไรออกจึงลุกขึ้นหยิบกล้องบนหัวเตียงมาถ่ายรูปไอ้คิวเล่น คนถูกถ่ายแอบหน้าเหวอไปนิดๆ
“ถ่ายทำไมอะ จะนอนแล้วนะ”
ไอ้คิวว่าก่อนจะยื่นมือมาทำท่าจะปิดกล้อง
“แค่สามสี่รูปให้กูไม่ได้ไง” ผมบ่น มันย่นคิ้วแสดงอาการง่วง
“พรุ่งนี้นายก็คงได้ถ่ายแล้ว นอนเถอะ”
“ไม่”
ผมกดชัตเตอร์พร้อมกับหลบหลีกไอ้คิวที่พยายามแย่งกล้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย จนมันโน้มตัวลงมาแล้วร่างสูงของมันก็ค่อยๆ ไหลลงมาจากเตียงและ…
ตุบ
แชะ!
เป็นจังหวะเดียวกันที่ตัวมันลงมาทับตัวผมพอดีกับนิ้วที่กดถ่ายรูปหน้ามันอย่างระยะประชิด ผมรีบวางกล้องไว้ข้างๆ ตัวและดันคนบนร่างให้ลุกขึ้นนั่ง หนักฉิบหายเลยเว้ย!
“สัด หล่นมาได้”ผมบ่นอุบก่อนจะจับไหล่ตัวเองที่ถูกมันทับเต็มแรง ไอ้คิวนั่งขำผมที่เห็นท่าทีผมบ่นมันไปแบบนั้น “ขำไรมึง”
“ขำนายบ่นอะ เหมือนผู้หญิงไม่มีผิด”
“ไปไกลๆ ปะ อาบน้ำก็ไม่ได้อาบยังจะมาใกล้กูอีก”
“แล้วใครมันทำฝักบัวเราพังอะ ยังมาทำบ่น”
“ไอ้…” เดี๋ยวนี้ปากคอเราะร้ายกล้าเถียงด้วยแหะไอ้บ้านี่ “จะนั่งบนที่นอนกูอีกนานมะ”
“นาน”
นอกจากจะกล้าได้กล้าเสียมันยังเถียงคำไม่ตกฟากด้วยนะครับผม
“ชักจะกวนตีนละไอ้คิว”
“ขึ้นไปนอนข้างบนเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ดูห่างเหินกันนะ”
“ไม่ กูจะนอนล่าง มึงไม่อาบน้ำด้วยกูไม่นอนด้วยหรอก”
นั่นเป็นข้ออ้าง ปกติผมก็ไม่อาบน้ำนอนครับ ขี้เกียจ ส่วนวันนี้เป็นกรณียกเว้น ผมอยากสะอาด -_-
"ถ้าเราอาบนายจะนอนบนหรือไง"
"ถ้าอาบได้กูก็นอนให้ได้" ผมท้าเพราะรู้ว่ามันอาบไม่ได้หรอก
“งั้นเราไปอาบก็ได้” มันรีบลุกขึ้นผมมองตามมันอย่างสงสัย
“อาบ? อาบยังไง”
“ที่ฉีดก้น”
ฉลาดอีก!
มันว่าไม่พอยังเดินคว้าผ้าขนหนูเข้าไปข้างในห้องน้ำอย่างว่าง่าย ผมกัดฟันกับความดื้อรั้นและความพยายามที่หาอะไรมาเทียบก็ไม่เจอ เสียงน้ำแรงๆ กระทบพื้นห้องน้ำดังขึ้นทันทีที่ประตูปิดลง แสดงให้เห็นถึงการลงทุนของแม่งมากแค่ไหน
ผมเหวี่ยงผ้าห่มที่ตัวเองนั่งทับอยู่ขึ้นไปข้างบนเตียงก่อนจะปาหมอนตามไปติดๆ ผมขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างจำยอมและเอาหมอนข้างกั้นเอาไว้เป็นอาณาเขตของสองเรา
เออ! กูนอนบนเตียงก็ได้ เห็นแก่ความพยายามของมึงเฉยๆ หรอกนะไอ้คิว!
“โอ้ย!”
ไม่ทันที่ผมจะได้บ่นกับแม่งในใจเสร็จ เสียงโวยวายก็ดังมาจากห้องน้ำ ด้วยสัญชาติญาณของมนุษย์ที่มีเป็นทุนเดิม ทำให้ผมรีบเดินไปบิดลูกบิดประตูห้องน้ำในทันที
และวินาทีนั้นภาพตรงหน้าที่ผมเห็นคือคนเปลือยเปล่ากำลังยืนจับหัวตัวเองแล้วหันหน้ามาทางประตูที่ผมยืนอยู่ และสิ่งที่ผมเห็นเป็นอันดับแรกของระดับสายตาผม…
“เชี่ยเอ้ย”
ผมหันหลังในทันทีที่เห็นมังกรกินหมี่ของมันกำลังเริงระบำท่ามกลางหยดน้ำแพรวพราว ผมหลับตาเพื่อให้สมองส่วนซ้ายส่วนขวาลบภาพเมื่อกี้ไปสักที
ไอ้เหี้ย ติดตากู T^T
“อ่า…โทษๆ”
ผมได้ยินเสียงฟึบฟั่บของผ้า เป็นการบอกได้ว่ามันเอาผ้ามาคลุมส่วนต้องห้ามของมันแล้ว ใจผมรู้สึกไม่ดีนักที่เห็นอะไรแบบนั้นไป ผมพยายามรวบรวมสติและหันไปมองมันนิ่งเหมือนไม่ตกใจ
แต่จริงๆ แล้วแทบอยากจะกระโดดออกนอกหน้าต่างแล้วตะโกนดังๆ ว่า ฟาคยูววว!
“เป็นไรมึง” ผมถามมันไป เป็นห่วงก็ไม่ใช่เรียกว่าเสือกจะไพเราะกว่า
“ฝักบัวตกใส่หัวเราอะดิ เราว่าจะซ่อมเพื่อใช้ได้ แต่เราเผลอไปซุ่มซ่ามซะก่อน”
มันว่าไปพลางลูบหน้าผากตัวเองไป แสดงถึงจุดที่มันถูกฝักบัวตกใส่หัวอย่างเต็มแรง ผมเดินเข้าไปก่อนจะกระชากมือมันออกและพบว่ามันมีรอยบากไม่ลึกมากแต่ดูออกมาถูกของแข็งฟาดเต็มแรง
“ห้อเลือดด้วยว่ะ” ผมพูดก่อนจะดึงแขนมันออกมา ตัวของมันยังเปียกชุ่ม หยดน้ำที่เกาะที่ปลายเส้นผมหยดใส่แขนผมเป็นว่าเล่น “มึงนั่งตรงนี้แปป กล่องยาอยู่ไหน”
“ตรงหัวเตียง”
ผมรีบหันไปหยิบกล่องยาปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาทันที แล้วพรุ่งนี้แม่งต้องไปถ่ายรูปโปรโมทโอเพ้นเฮ้าส์อีก หัวแตกแบบนี้เปลืองแรงคนรีทัชตายห่า
“โง่ฉิบหาย”
แม้ปากจะบ่นแต่มือผมก็จับสำลีชุบแอลกอฮอล์เพื่อซับเลือดที่เริ่มไหลซิบออกมานิดๆ คนถูกกระทำร้องซี๊ดเบาๆ จนผมต้องขมวดคิ้วมองหน้ามัน
“เราแสบ”
“ทนหน่อยดิ เป็นผู้ชายห่าไรแค่นี้ก็ร้อง”
“ทำเหมือนนายไม่เคยร้อง” คนตรงหน้าต่อร้องต่อเถียงจนผมแอบกดมือหนักๆ ให้ไอ้คิวมันสะดุ้งเล่น “นี่นายจะช่วยให้เราหายหรือทำเราให้หนักกว่าเดิมเนี่ย”
“หุบปากไปเหอะ กับคนอื่นกูยังไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลย มึงแม่งโชคดีสัดๆ เก็บความดีของกูเอาไว้แล้วมาชดใช้คืนกูซะ”
“ชดใช้ในรูปแบบไหนดีอะ”
สายตาบ๊องแบ๊วกับคำถามใสซื่อมองมาที่ผม ความสำออยเมื่อกี้นี่หายไปเลยนะ
“เลิกกวนประสาทกูได้ละ รำคาญ”
“เอ้า เราถามจริงจังนะเนี่ย อยากให้เราชดใช้แบบไหนก็บอกเรามาดิ”
“…”
“หืม นึกอยู่เหรอ”
“ไว้กูบอกทีหลัง แต่ตอนนี้ช่วยเงียบๆ แล้วอยู่นิ่งๆ ทีครับ”
ผมพูดแทบไม่มองสายตาที่มันมองลงมาที่ผมเลยสักนิด ในตอนนี้ผมนั่งชันเข่าอยู่ที่พื้นมีมันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คู่โต๊ะคอม ทำให้ระดับสายตาของผมต่ำกว่าใบหน้าของมันค่อนข้างมาก ผมเลยต้องแหงนหน้าและเอื้อมมือทำแผลให้มัน
“มือเบาจัง”
“แหงล่ะ เห็นกูถึกๆ มือน่ะเบาสุด”
“นุ่มด้วย”
“เสร็จละสัด”
ผมพูดเสร็จก็กดแผลมันไปหนึ่งทีหลังจากแปะพลาสเตอร์ให้มันเรียบร้อย คนถูกกระทำเอามือลูบๆ หน้าผากตัวเองมียู่ปากเล็กน้อยเหมือนถูกขัดใจ ผมรีบเก็บกล่องปฐมพยาบาลไว้ที่เดิมและกระโดดลงเตียงเพื่อเตรียมตัวนอนต้อนรับเช้าวันใหม่
“เอาหมอนมาคั่นยังกับนางเอกกลัวพระเอกข่มขืนในละครหลังข่าว” ไอ้คิวเอ่ยทักที่เห็นว่าผมเอาหมอนข้างมาคั่นตามที่มันพูด “เอาออกไปเหอะ เราไม่ทำอะไรนายหรอกไว้ใจได้”
“คนแบบมึงนี่แหละที่ไว้ใจไม่ได้”
“เรียนจิตวิทยามายังไงน้าถึงดูคนไม่ออก”
“เออ กูไม่ได้ตั้งใจเรียนแต่แรกจะทำไม”
ผมว่าก่อนจะคว้าหมอนข้างที่วางคั่นเอาไว้ฟาดไปที่ตัวไอ้คิวอย่างหมั่นไส้
“นอนดีกว่า พรุ่งนี้ตื่นเช้า”
มันไม่สนว่าผมจะด่าจะว่ามันยังไง คนร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นล้มตัวลงนอนด้วยสายตายียวน มันปรับสภาพหมอนให้สูงกว่าปกติก่อนจะหันหน้ามาทางฝั่งผม ไม่ยอมหลับด้วย
“มองไร”
“มองรูมเมทไง”
“ปิดไฟ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
อันตราย อันตรายสุดๆ!
“ปิดดิมันอยู่ฝั่งนายไม่ใช่ฝั่งเรา”
มันยักคิ้วแสดงทิศทางของโคมไฟที่อยู่ข้างเตียงผม ผมเลิ่กลั่กก่อนจะเอื้อมมือไปกดสวิตซ์ปิด ทันที่ทีโคมไฟดับลง แสงสว่างริบหรี่ในห้องยังคงมีอยู่ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าไอ้คนข้างๆ มันยังไม่ยอมหลับตานอนสักที
“นอนได้ละ มองกูอยู่ได้ เดี๋ยวกูฝันร้ายไอ้ห่า”
"ฝันดีนะ"
ไอ้คิวยิ้มขึ้นนิดๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางหันหน้าออกไปอีกทางซึ่งไม่ใช่ฝั่งผม ผมลงนอนด้วยจิตใจที่หวั่นไหว แม้จะรู้ดีว่ามันคงไม่พิเรนทร์ทำอะไรอย่างที่หัวผมนึก แต่มันอดไม่ได้ที่จะต้องหันหน้าไปหามัน
ในตอนนี้คนด้านข้างกำลังนอนหันหลังให้ผม แผ่นหลังกว้างที่ไม่ถูกปิดบังจากผ้าห่มทำให้ผมสังเกตลมหายใจที่เคลื่อนตัวเข้าออกได้ชัดเจน…
จริงๆ มึงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกไอ้คิว…
แต่เพราะมึงทำตัวให้กูจดจำฝังลึกในเรื่องนั้น กูให้อภัยกับเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้จริงๆ
แม้คำว่าฝันดีของมึงจะกลั่นออกมาด้วยความจริงใจแค่ไหน แต่มึงกับกูก็ยังคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก…

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไรต์ด้วย หลอกล่อเก่ง
เชียร์ให้มาร์ชเมโล่ใจอ่อนเร็วๆ
แต่ว่านะ 'ร่างกายกำยำ' ช่างกล้าพูด 55555
//จู่ๆมันก็คิดขึ้นมาอ่ะ ว่าพี่คิวเป็นคนปล่อยข่าวจริงๆหรอ?