ตอนที่ 8 : ll แฟนผมเป็นตากล้อง ll EP.07 :: เขาเป็นใคร? [100%]
04.50 PM.
“เพราะฉะนั้นทฤษฎีการให้คำปรึกษาย่อมมีหลากหลายขั้นตอน โดยเฉพาะแนวปฏิบัติในการให้คำปรึกษาแบบเกสตัลท์ คำปรึกษาแบบนี้นิสิตอาจจะเคยได้ยินมาบ้างในช่วงปีสอง มีใครจำไม่ได้มั่งคะ”
อาจารย์สาวสวยที่เป็นที่น่าดึงดูดใจของคนในคลาสทำเอาทุกคนตั้งใจเรียนยกไม้ยกมือเป็นพิเศษ ส่วนผมก็นั่งดูรูปในกล้องไปเรื่อยๆ ไร้ความสนใจในวิชาดังกล่าว
“มึงจะย้ายเข้าหอไอ้คิววันนี้เลยเหรอ”
ผู้ชายด้านข้างถามด้วยความอยากรู้ สีหน้ามันดูตกใจจริงจังที่เห็นว่าผมเอาจริงทำจริงขนาดนี้
“อืม” ผมละสายตาหันไปตอบมันสั้นๆ
“เรียนจิตวิทยามาสามปี ทำไมมึงถึงไม่ทันคนเอาซะเลยน้าไอ้มาร์ชเอ้ย”
“ไม่ทันคนอะไรวะ กูไปเพราะต้องการได้รูป ไม่ใช่ถูกมันเป่าหูหลอกให้หลงกลอะไรสักหน่อย”
“สรุปมึงเกลียดมันจริงแน่เหรอวะ” ไอ้นิวยังคงดูสงสัยไม่หาย “กูว่ามึงไม่ได้เกลียดจริงหรอก มึงยังเหลือเยื่อใยในความเป็นเพื่อนมันอยู่ใช่ไหมล่ะ กูดูออกกูเรียนมา”
“เรียนไรมึง เกลียดก็คือเกลียดดิวะ”
“พวกต่อต้านความรู้สึกลึกๆ นึกคิดในจิตใจ ไอ้พวกปากแข็ง”
“ไอ้นิว”
“ไม”
“เดี๋ยวได้โดนส้นตีนกู รำคาญ แค่อาจารย์พูดหลักวิชาการกูก็ปวดหัวจะตายอยู่แหละ มึงช่วยเอาวิชาพวกนี้ออกไปจากหัวกูทีได้ไหม”
ผมบ่นก่อนจะผลักหัวไอ้นิวที่ยื่นมาใกล้เกินความจำเป็นออกห่างให้ไกล เป็นจังหวะที่อาจารย์สาวสวยหันมาเจอะพวกเราคุยกันพอดิบพอดี
“เมธาวิน”
นั่นไง เรียกกูจนได้!
“ครับจารย์” ผมวางกล้องลง ก่อนจะชะเง้อตอบอาจารย์ที่ดูท่าจะดุเอาเรื่อง
“ขั้นตอนในการปรึกษามีกี่ขั้นตอน”
ฉิบหาย…
ผมยิ้มแป้นแล้นนิ่ง ก่อนจะหันไปขอความอ้อนวอนจากเพื่อนสนิทนามว่านิวให้ช่วยผมที เมื่อกี้ไม่ได้ฟังด้วยสิ พอหันไปปุ้บ เจ้าตัวเพื่อนยากกลับแกล้งนอนนิ่ง เหลือเพียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะคล้ายคนหลับจริง
ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ และหันไปส่ายหน้าให้อาจารย์รู้ว่าผมตอบไม่ได้ครับบบบ
“ขอโทษครับ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง "เมื่อกี้ผมไม่ได้ฟังที่อาจารย์สอน"
"ฉันเห็นเธอเอาแต่ดูรูปในกล้องแถมยังมัวแต่คุยกับนิธิตลอดทั้งคาบ ไม่เคยตั้งใจเลยนะเธอน่ะ"
"ครับ"
ผมก้มหน้ารับผิด ทำไมเทอมนี้ถึงเป็นเทอมที่โดนแต่อาจารย์ดุวะ กูไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้วะเนี่ย
“ฉันสังเกตว่าเธอพกกล้องห้อยคอมาตลอด เธอเรียนฟิล์มนิเทศหรือไงเมธาวิน”
“เปล่าครับ…” ผมรีบปฏิเสธในความคิดของจารย์ “ผมเอามาทำงานพิเศษนิดหน่อยน่ะครับ”
“งานอะไร” ทำไมต้องอยากรู้ขนาดนี้ด้วยวะ…
“งานถ่ายภาพเพื่อเสริมรายได้น่ะครับ”
ผมแถแท่ดๆ ว่าไปเรื่อย ดูจากสีหน้าของอาจารย์และเพื่อนร่วมคลาสที่ดูสนอกสนใจไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ ไอ้นิวมึงมาหลับเหี้ยไรตอนนี้ฮะ แสดงดีเหลือเกินไอ้เวรเอ้ย
“ไหนๆ เธอก็มีกล้องแล้ว ฉันว่าเธอน่าจะทำหนังสั้นเกี่ยวกับจิตวิทยาได้สักเรื่องนะ”
“หา…”
นอกจากเสียงตกใจจะเป็นเสียงผมแล้ว คนนอนอยู่ข้างๆ ยังสะดุ้งตื่นมาร้องไปพร้อมผมอย่างไม่เชื่อหูด้วยคน
“แค่หนังสั้นห้านาที เรื่องเกี่ยวกับคำปรึกษาด้านจิตวิทยา ทำได้ใช่ไหม ฉันให้เวลาเธอหนึ่งอาทิตย์ แค่เธอกับนิธิสองคน หานักแสดงจะเป็นคนในคลาสนอกคลาสก็ได้ตามใจเธอ”
“…”
“แต่ฉันขอให้หนังเรื่องนั้น เข้าใจในทฤษฏีที่ฉันอธิบายในคาบวันนี้อย่างละเอียด เลิกคลาสได้จ่ะ”
ทันทีที่ถูกสั่งงานจากอาจารย์อันเป็นที่รัก ผมกับไอ้นิวถึงกับกอดคอกันด้วยความปลงในใจ นิธิไม่ใช่ใคร มันคือชื่อจริงไอ้นิวเนี่ยล่ะครับ
บอกเลยว่าผมอยากจะค้านแต่กฎการสอนของอาจารย์คือคำไหนคำนั้น ผมกลายเป็นคนมีงานในคลาสซะงั้น
“เพราะมึงเลยไอ้นิธิ เสียงมึงดังจนอาจารย์ดุกูเลยเห็นไหม”
ผมหันไปโทษคนที่แกล้งหลับก่อนหน้านี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แค่พกกล้องกูกลายเป็นคนมีงานเพิ่มไปเลยแม่ง
“เหี้ยไร อย่ามาโทษกูไอ้เมธาวิน กูแค่จะสั่งสอนมึงให้ทันคน มึงดันพูดแทรกเสียงดังจนอาจารย์หันมาเลย”
ผมทะเลาะกันไปกันมาจนทุกคนในห้องต่างพากันทยอยออกไปทีละคนสองคน เหลือเพียงเราที่ออกเป็นคนสุดท้ายของห้อง
แต่พอก้าวออกมานอกห้องปุ๊ปคนที่มารออยู่หน้าห้องกลับทำผมชะงักเท้าทันที ไม่ต่างอะไรกับไอ้นิวที่ดูท่าจะสงสัยไม่ต่างจากผม
เสื้อโปโลสีแดงแสดงถึงคณะรัฐศาสตร์ทำเอาผมขมวดคิ้วสงสัยในตัวเธอว่ามาทำอะไรแถวนี้ ผมสั้นสีน้ำตาอ่อนถูกดัดลอนหลวมๆ บวกกับการแต่งหน้าที่ไม่จ๋าเกิน เธอพ่วงตำแหน่งดาวคณะรัฐศาสตร์ด้วยแหละ ความน่ารักบวกกับความสวยเลยทำให้เธอโดดเด้งมาแต่ไกล
“พิมพ์” ผมเรียกชื่อเธอแม้จะดูตกใจแต่ผมพยายามคีพสติตัวเองให้นิ่งไว้ “มาทำอะไรอะ”
“อ๋อ เรามีเรียนคลาสต่อไปที่ห้องนี้อะ…ไม่ได้เจอกันตั้งนานสบายดีปะ”
“ก็ดี…เรียนอะไรเหรอ"
"เรียนจิตวิทยาเพิ่มเติมน่ะ ไม่ใช่วิชาหลักอะไรหรอก" เธอว่าก่อนจะยิ้มกว้าง คนตัวเล็กหันไปยิ้มให้ไอ้นิวเป็นการทักทาย "แล้วนี่เลิกเรียนแล้วเหรอ"
"อือ เมื่อกี้อะ"
"อ๋อ..." เธอพยักหน้าเข้าใจ แต่ดูท่าว่าจะไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนี่เนอะ...
"งั้นเราไปก่อนนะ”
“อืม บาย”
ผมเดินเลี่ยงออกมาทันทีกับไอ้นิวด้วยความนิ่งสงบ มันเป็นบทสนทนาที่สั้นจนหาความเชื่อมโยงระหว่างสองเราไม่ได้เลย ไอ้นิวไม่ได้รู้จักเธอและคงไม่คุ้นหน้าเธอมาก่อน จึงหันไปมองเธอสลับกับมองผมอย่างสนใจก่อนจะหยุดมองผมด้วยแววตาที่มีคำถามมากมายอยู่ในหัว
“พิมพ์นี่ ใช่…”
ไอ้นิวขมวดคิ้วนึกครุ่นคิด เมื่อดูท่าว่ามันจะพอจำชื่อได้ลางๆ
“อือ แฟนเก่ากูเองตอนมัธยมปลายไง”
“เอ้า! เรียนนี่เหรอวะ” ไอ้นิวเกาหัวยกใหญ่ มันคงไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเธอมากหรอก เพราะผมเล่าเท่าที่จะพอเล่าได้ก็เท่านั้น “แต่น่ารักสัด จีบ”
“จีบเหี้ยไร เดี๋ยวโดนตีนไอ้นิว มึงกับกูมาตกลงกันก่อนว่าจะเอาไงเรื่องงาน ส่วนเรื่องแฟนเก่ากูน่ะช่างเหอะ”
ผมพูดปัดเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องงานที่จารย์สั่ง ก่อนเราสองคนจะมานั่งคุยงานกันที่หน้าตึกคณะเพื่อรอไอ้คิวมารับผมไปที่หอด้วย จริงๆ ที่ปัดประเด็นเรื่องพิมพ์เพราะผมไม่อยากนึกถึงอดีตต่างหาก แน่นอนว่าคนถูกบอกเลิกคือผมเอง และเรื่องราวทุกอย่างที่ทำให้ผมต้องเลิกกับเธอ
เพราะไอ้คิว…
ผมกับพิมพ์คบกันมาได้สองปีกว่าๆ จนถึงมัธยมศึกษาปีที่หก ผมได้เจอเพื่อนใหม่อย่างไอ้คิว ในตอนนั้นผมรู้สึกสงสารมันจริงๆ นะ มันแทบจะไม่มีเพื่อนเลยสักคน เพราะหน้าตาและการแต่งกายของมันดูไม่น่าเข้าหาสุดๆ
มันใส่แว่นหนาเตอะ เสื้อผ้าเก่าๆ สีหมองๆ แถมตัวยังดูมอมแมม เอาเป็นว่าแม่งต่างจากตอนนี้ยังกับนรกกับกาแล็คซี่อะ…
เหมือนว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่กิจกรรมกีฬาสีค่อนข้างวุ่นวายและพิมพ์เองก็เป็นดัมเมเยอร์ของโรงเรียน ผมไม่ได้ไปเฝ้าเธอแต่กลับมาติวหนังสือกับไอ้คิว ผมรู้นะว่าแฟนตัวเองช่วงนั้นฮอตและมีคนมากหน้าหลายตาใครๆ ก็แอบชอบใช่ไหมล่ะ
ผมจึงเป็นศัตรูของหนุ่มๆ ที่คอยจ้องจะงาบเธอไปเป็นแฟน แต่ผมไม่แคร์ ในเมื่อได้พิมพ์เป็นแฟนแล้วผมต้องกลัวใครมาสอยอะ
‘นายไม่ไปเฝ้าแฟนเหรอ’
คำเอ่ยสงสัยจากไอ้คิวตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันน่ารักและดูใสซื่อจนผมหลงคิดว่ามันคือเพื่อนที่ดีที่สุด ผมส่ายหน้าก่อนจะหันมาตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อที่จะเข้าคณะมนุษย์ศาสตร์ ผมอยากเรียนเอกเศรษฐศาสตร์สุดๆ และตั้งเป้าหมายที่จะเรียนกับไอ้คิวให้ได้ด้วย
จนดูเหมือนว่าพักหลังพิมพ์กับผมเริ่มทะเลาะกันมากขึ้นเพราะไอ้คิว พิมพ์อยากให้ผมเลิกคบกับมันเพราะมันดูไม่น่าคบ ในตอนนั้นผมคิดว่าพิมพ์ไม่มีเหตุผลมากพอที่จะมาตัดสินคนจากภายนอกอะ แต่เอาจริงๆ ไอ้คิวกลายเป็นคนที่ติดผมไปด้วย เวลาไปกินข้าวกลางวันหรือไปไหน คิวมันจะมารับมาส่งตามผมไปทุกแห่งอาจเป็นเพราะเราเป็นเพื่อนข้างบ้านกันด้วยมั้ง
และทุกอย่างคือจุดเปลี่ยน พอมีหลายปากมากความทุกคนบอกพิมพ์ว่าผมกับไอ้คิวเป็นเกย์และแอบคบกัน ผมตลกกับข่าวลือนั่นมาก แต่เชื่อไหมว่ามันใหญ่โตจนพิมพ์เชื่อจริงๆ และข่าวนั้นเป็นข่าวที่มาจากปากไอ้คิวเอง
มันไปบอกทุกคนว่าผมคือแฟนมัน กำลังหาทางเลิกกับพิมพ์เพื่อมาคบกับมัน ผมควบคุมสติและถามไอ้คิวว่ามาจากปากมันจริงไหม แต่ไอ้คิวเลือกที่จะไม่ตอบผม…
และผมเพิ่งมารู้ว่าไอ้คิวเอารูปผมในทุกๆ วันไปลงเฟสโดยที่ผมไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวและทุกคนกลับล้อผม ล้อพิมพ์ว่าพิมพ์มีแฟนเป็นเกย์ พิมพ์อายจนต้องบอกเลิกผมไป…ผมโกรธไอ้คิวมากที่ไม่ยอมพูดหรือเลือกที่จะบอกความจริงว่าเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่มันพูดประโยคสั้นๆ กับผมว่า...
‘ถ้าเธอไม่ไว้ใจนายมากพอ เราว่านายเลิกกับเธอน่ะถูกแล้วนะ…’
ตอนนั้นผมเลยซัดหน้ามันไปหมัดนึงเต็มแรง…
ผมไม่รู้ว่ามันต้องการอะไรจากผม แต่มันมาทำให้ผมเลิกกับคนที่ผมรัก ผมยอมไม่ได้จริงๆ…
นี่แหละครับ สาเหตุที่ผมกับมันเลือกที่จะเกลียดและทะเลาะกันจนตัดขาดความเป็นเพื่อนไปในที่สุด…
“เฮ้ยมาร์ช มึงเหม่อไรเนี่ย”
ผมสะดุ้งออกจากความคิดทันทีที่ถูกคนตรงหน้าเอามือมาตบหัวเบาๆ ผมส่ายหน้าให้มันก่อนจะจัดการล้วงสมุดจดขึ้นมา แม้ว่ามันจะว่างเปล่าก็เหอะ
“กูไม่ได้จดไรเลยว่ะ มึงจดบ้างปะ” ผมถามไอ้นิวที่นั่งแคะขี้ฟันมองสาวๆ กำลังเดินลงบันไดไปทีละคนสองคน “ไอ้นิว มองแต่ผู้หญิงสนใจกูหน่อย”
“กูก็ไม่ได้จด”
“ซวยล่ะ มึงไปหาเลคเชอร์จากคนที่จดวันนี้มาหน่อยดิ ขอให้ใครถ่ายส่งมาในไลน์ก็ได้ ถ้าไม่มีเนื้อหาแบบนี้พวกเราทำหนังสั้นไม่ได้นะเว้ย”
“มึงเชื่ออาจารย์ด้วยเหรอ เผลอๆ แกสั่งแกอาจจะลืมก็ได้ ไม่ต้องส่งหรอกหนังอะ”
“มึงมั่นใจ? อาจารย์ความจำดีกว่าเมมโมรี่ในมือถือมึงอีกกูจะบอกให้ ไม่งั้นเขาไม่เรียกชื่อจริงมึงถูกทั้งๆ ที่มีเด็กในห้องเกือบสองร้อยคนหรอกสัด”
ผมว่าขึ้น ไอ้นิวเบะปากคล้ายจะร้องไห้ เวลาว่างในการเล่นเกมส์มือถือเกมส์โปรดมึงจะหายไปหนึ่งส่วนสี่ของชีวิตเพราะมึงต้องเอาเวลาเหล่านั้นมาทำหนังสั้นไอ้ห่า
ว่าแต่จะเอาใครมาแสดงดีวะ ปกติผมพูดธรรมดาก็แทบจะไม่รู้เรื่องอยู่แหละ ถ้าให้มาแสดงหนังล่ะก็ แม่งต้องกลายเป็นหนังตลกไปในที่สุดเชื่อผมดิ
“แฟนมึงมา”
ไอ้นิวว่า ในหัวตอนแรกผมนึกว่ามันหมายถึงพิมพ์ แต่พอหันไปมองกลับเป็นไอ้คิวที่กำลังเดินมาด้วยท่าทางเร่งรีบ ผมหันไปปาปากกาในมือใส่มันอย่างอารมณ์เสีย แฟนบ้านมึงสิ
ไอ้ขี้ชงเอ้ย!
“นี่เลิกเรียนกันนานแล้วหรือยังอะ”
หน้าตาใสซื่อถามขึ้น ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะหันมาสนใจในสมุดว่างเปล่าของตัวเองเพื่อวางแผนในการทำงานครั้งนี้
“มึงจะกลับเลยปะ กูจะได้กลับหอ” ไอ้นิวว่าเมื่อเห็นว่าไอ้คิวลงมานั่งข้างผมอย่างเคยชิน “คิวมีรถนี่เนอะ คงไม่ต้องให้กูไปส่งหรอกใช่ปะ”
“นั่งก่อน ยังไม่ได้คุยเรื่องงาน” ผมเอื้อมมือไปคว้าชายเสื้อให้มันนั่งลง จะรีบชิ่งหนีไปไหนสัด อย่ามาทิ้งภาระอันใหญ่หลวงให้กู
“โห กูหิวอะ”
ไอ้นิวฟึดฟัด ก่อนที่คนข้างๆ ผมจะเอากระเป๋าเป้มาวางบนหน้าตักตัวเองและหาอะไรบางอย่างยื่นให้ไอ้นิวด้วยท่าทางนิ่ง
“พอดีซื้อมาตั้งแต่บ่ายเรายังไม่ได้กินเลยอะ นายกินไปก็ได้นะ”
ไอ้คิวถือแซนด์วิชในกล่องใสที่มีขายตามโรงอาหารของคณะส่งให้แก่ไอ้นิว เพราะความตะกละของเพื่อนตัวเองที่มีเป็นทุนเดิมมันยิ้มรับก่อนจะคว้ามากินด้วยความกระหาย เรื่องของกินนี่ไว้ใจแม่งเลย
“ขอบใจมาก”
“ยี่สิบบาท”
ไอ้คิวว่าไม่พอยังแบมือด้วยสีหน้านิ่ง ไอ้นิวที่กินอย่างเอร็ดอร่อยในช่วงแรกถึงกับค้างกลางอากาศ ผมนี่หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไอ้สัดจี้เวอร์
“ไม่ได้ให้กูฟรีหรอกเหรอ”
“เรายังไม่ได้บอกเลย”
“…”
“…”
“….”
“ยี่สิบบาท”
ทันทีที่จบคำว่ายี่สิบบาท ไอ้นิวถึงกับข่มตากัดฟันล้วงเงินในกระเป๋าเสื้อส่งให้ไอ้คิวด้วยรอยยิ้มที่ผมดูออกทันทีว่ามันไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายได้ ผมกลั้นขำเพราะไม่งั้นผมจะเสียลุคที่คีพเอาไว้ต่อหน้าไอ้คิวไปซะหมด
“มาช่วยกันคิดหน่อยดิ ว่าในเซคเราใครมันจะมาเล่นหนังให้เราได้มั่งวะ”
ผมว่าขึ้นก่อนจะเคาะปากกาที่ปากตัวเองครุ่นคิด คนไม่เกี่ยวในจิตวิทยานั่งมองผมตาแป๋ว ส่วนไอ้นิวก็กินไปคิดไป ผมไม่สามารถนึกถึงใครได้เลย แล้วยิ่งมาเล่นหนังด้วยแล้วเนี่ย อย่าว่างั้นงี้ คนเรามีความเห็นแก่ตัวและความขี้เกียจเป็นทุนเดิม อะไรที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์มักจะไม่ค่อยมากันหรอก ยกเว้นแต่ว่ารักเพื่อนช่วยเพื่อนจริงอะ ซึ่งเซคผมมีผู้ชายอยู่แค่ห้าคน และผู้ชายเหล่านั้นแค่กิจกรรมมหาวิทยาลัยมันแทบจะไม่มาเหยียบเลยมั้ง แล้วถ้าเป็นผู้หญิง…ผมกลับนึกถึงใครไม่ออกเลยอาจเป็นเพราะไม่ได้สนิทกับใครสักคนด้วยแหละ
คือปีนึงผมก็ต้องเปลี่ยนเซคไปเรื่อยๆ เพื่อนก็เจอกันไม่ซ้ำหน้า มีแต่ไอ้นิวเนี่ยที่ผมย้ายไปเซคไหนมันก็ตามมาทุกเซค กลายเป็นว่าเราสนิทกันเพียงสองคนเท่านั้น แม้ไอ้นิวจะรู้จักคนมากหน้าหลายตา แต่คนพวกนั้นก็แค่คุยกับมันเป็นมารยาทอะ มันปากร้ายจะตาย -_-
“จีจี้ไหม กูชอบ นมใหญ่ดี” ไอ้นิวว่าขึ้นก่อนจะทำหน้ากรุ่มกริ่ม
จีจี้คือฝ่ายสันทนาการของคณะ นมนางใหญ่เท่าหัวผมแน่ะ อยากถามมากว่าเวลาเต้นนางหนักบ้างไหม แต่ใครจะไปถามวะ นมชาวบ้าน
“จะมาเหรอวะ งานนางก็มีเยอะนะ ไหนจะกิจกรรมไหนจะไปเป็นพริตตี้ที่โรงเตี้ยมอีก”
โรงเตี้ยมคือผับแห่งหนึ่งใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าเธอทำงานที่นั่นจนกระทั่งผมก้าวเท้าเข้าไปในผับเท่านั้นแหละ โอโห้ ดูมมาจาเลดูมมาจาเลดูม
“ไม่มาหรอก กูพูดไปงั้น”
“สัดนิว”
“ช่วยออกความเห็นนะเว้ย อย่าด่ากันดิ”
ไอ้นิวว่าเสร็จก็ปากล่องใส่แซนด์วิชลงถังขยะอย่างแม่นยำ ผมนึกเท่าไรก็นึกใครไม่ออกนอกจาก…
“หืม”
คนข้างๆ หันมาเลิกคิ้วใส่ผมเมื่อเห็นว่าผมหันไปเหล่มองมันอย่างพินิจ มันเล่นทั้งซีรี่ย์ห่อหมกวัยหมกมุ่น ไหนจะซีรี่ย์เรื่องพี่รหัสวายร้ายกับนายขายกะทิ มันเล่นผ่านกล้องตั้งสองสามอีพี ผมว่ามันเล่นดีนะ ยิ่งซีรี่ย์เรื่องล่าสุดที่พระเอกนายเอกเป็นคู่วายแล้วมันเล่นเป็นเพื่อนพระเอกอะ ที่แอบเดินไปร้านขายกะทิของนายเอกแล้วขโมยเอามาให้พระเอกอะ ฉากนั้นโคตรลุ้น ตื่นเต้นสัดๆ แอบคิดในใจว่าแม่งเล่นเป็นขโมยได้สุดจริงๆ
เออ ผมแค่ดูผ่านตา เห็นเพื่อนในห้องแชร์กันลงเฟส ผมเผลอกดเองไม่ตั้งใจจะดูสักหน่อย -_-
“มาช่วยเล่นหนังสั้นให้หน่อยดิ” ผมพูดนิ่ง ไอ้นิวถึงกับกระอักไปในทันที
“งานส่งอาจารย์เหรอ”
“อือ เล่นแค่แปปเดียว หนังห้านาทีเองมั้ง ไหนๆ มึงกับกูก็เป็นรูมเมทกันแล้วนี่”
ผมใช้ความเป็นรูมเมทในเกิดประโยชน์ เสียเวลาทำหนังเพิ่มคงไม่ตายหรอก
“เล่นให้ได้นะถ้ามีบทให้เราอ่านอะ…” มันพยักหน้ารับ
ผมรู้สึกอยากยิ้มออกมาแต่ก็ทำได้แค่พยักหน้าเข้าใจ ถ้ามันมาเล่นหนังให้ผมแล้วอาจารย์เปิดให้เพื่อนดูคงมีแต่เสียงกรี๊ดกร๊าดจากบรรดาติ่งของมันแน่ๆ
“กูเขียนบทให้ก็ได้นะ เดี๋ยวไปขอสรุปจากจีจี้ให้” ไอ้นิวเสริม
“ไปขอสรุปหรือไปขออะไร พูดดีๆ”
“แหม่ เห็นกูเป็นคนแบบไหนกันนะเพื่อนรัก”
“กูขอบทภายในพรุ่งนี้นะ” ผมว่า ไอ้นิวถลึงตาตกใจ “กูรีบ”
“มึงบ้าเหรอ เขียนบทนะไม่ใช่เขียนไดอารี่ประจำวัน ไอ้ห่าขอเวลาสองสามวันดิ มีเวลาถ่ายตั้งอาทิตย์นึงแน่ะ รีบไปไหน”
ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะยกมุมปากเหล่ตาไปทางไอ้คิวให้ไอ้นิวมันรู้ว่าผมไม่ต้องการที่จะเจอหน้าไอ้คนข้างๆ อีก มึงยิ่งยืดเวลากูยิ่งอยู่กับมันนานขึ้นรู้ไหมเนี่ย
“กูไหว้ล่ะ พรุ่งนี้เหอะ”
“สี่วัน”
"ลดหน่อย"
"สามวัน"
"อีกนิด"
"สองวันขาดตัว ไม่ลดแล้วสัด" ไอ้นิวต่อรอง
จนสุดท้ายผมก็ทำได้แต่กัดฟันและตอบมันไปสั้นๆ ว่า
“เออ!”
ผมเก็บสมุดเข้ากระเป๋าเมื่อตกลงอะไรกันได้
“แล้วหนังนี่มีแค่เราแสดงคนเดียวเหรอ…”
ไอ้คิวที่ดูสงสัยไม่หายหันมาถามผมกับไอ้นิว เออลืมนักแสดงอีกคนเลยว่ะ ถ้าเป็นหัวข้อเกี่ยวกับคำปรึกษาก็ต้องมีคนให้คำปรึกษาและคนที่มาปรึกษานี่ถูกมะ
“ใครจะมาเป็นนางเอกวะ” ผมเกาหัวคิดหนัก
“มึงไง”
ส่วนไอ้คนตรงข้ามก็เสนอออกมาทันที ผมที่จะเอื้อมมือไปตบหัวมันก็ต้องพ่ายแพ้เพราะทันทีที่มันพูดจบไอ้นิวก็รีบเผ่นออกจากจุดนี้กลับบ้านไปในทันที ทิ้งไว้เพียงเราสองคนที่นั่งมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“มองไรมึงคิว” ผมถามก่อนจะลุกขึ้น
“มองนางเอก ฮ่าๆ”
มันว่าไม่พอยังหัวเราะออกมาจนผมต้องทำท่ากระโดดถีบ ไอ้คนตรงหน้าหลบได้ทันยังกับฝึกมาดี
“ไปหานางเอกมาให้กูดิ กูคิดไม่ออก”
“เราไม่สนิทกับผู้หญิงคนไหนเลยอะ”
มันว่าขึ้น ก็จริงแหละ มันเคยมีคนสนิทไหมตั้งแต่มัธยมจนมาถึงมหาวิทยาลัยก็เห็นแม่งเดินคนเดียวมาตลอด ใช้ชีวิตสันโดษได้ไงวะ อยากทำแบบมันบ้างแต่ผมเป็นพวกพึ่งพาตนเองไม่ได้อะ T^T
“ไว้ค่อยนึกแล้วกัน ตอนนี้กูง่วง อยากนอน”
“ไม่ถ่ายรูปเราเหรอ”
“ถ่าย แต่พรุ่งนี้ก็วันเสาร์นี่ กูไว้รวบยอดพรุ่งนี้เลย” ผมทำท่าจะลงบันไดหน้าคณะแต่แล้วก็รู้สึกปวดหนึบกลางลำตัว ฉี่จะแตกไอ้สัดเอ้ย “ไปเข้าห้องน้ำแปป”
ผมรีบหันหลังกลับไปยังห้องน้ำเพราะเกิดอาการปวดฉี่กะทันหัน มีไอ้คิวที่รับกระเป๋าที่ผมส่งให้ไปอย่างร้อนรน มันยืนรอผมอยู่หน้าห้องน้ำไม่หือไม่อืออะไร จนเมื่อผมทำธุระเสร็จก็ทำการล้างมือล้างไม้ แล้วเดินออกมาด้วยความโล่ง
“มาร์ช” ผมรับกระเป๋าจากไอ้คิว คนตรงหน้าเรียกผมเสียงค่อยแถมยังไม่ยอมมองหน้าผมแต่กลับมองไปข้างหลังผมจนผมต้องหันไปมอง “นั่นพิมพ์นี่”
ผู้หญิงคนที่เจอก่อนหน้านี้เดินมาเหมือนจะลงมาเข้าห้องน้ำ เธอชะงักเท้าเมื่อเห็นเราสองคนมองเธอไม่วางตา ผมหันไปจะพูดอะไรบางอย่างแต่เธอกลับยิ้มแล้วก้าวเข้ามาหาพวกเราแทน
“คิวปะ” เธอชี้ไปที่คนร่างสูงเหมือนไม่มั่นใจ คนถูกทักพยักหน้าเบา “ยัง…สนิทกันอยู่อีกเหรอ”
เหมือนว่ามันจะไม่ใช่คำถามที่ควรถาม เพราะหลังจากผมเลิกกับเธอไป ทุกคนมีหน้าที่ไปสอบที่นั่นที่นี่และไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ผมไม่รู้ว่าเธอรู้ไหมเรื่องที่ผมกับไอ้คิวไม่ได้คบกันเป็นเพื่อนแล้ว แต่ข่าวที่ผมต่อยหน้ามันก็ดังอยู่นะ หรือว่าเธอเลือกไม่สนใจก็ไม่รู้
ใครจะไปรับได้เนอะ มีแฟนทั้งคนแต่เสือกเป็นเกย์เฉย
ไอ้เหี้ยตลกว่ะ
“ก็ไม่ได้โกรธอะไรกันนี่”
คนโกหกคือผมเอง…
ถามว่าผมโกรธเธอไหม ก็โกรธที่เธอไม่ฟังเหตุผลในตอนนั้น คอยเอาแต่จะเลิกกับผมท่าเดียว ผมไม่เลือกใครทั้งนั้น ผมขออยู่คนเดียวจะดีกว่า
“แล้วคบกันในฐานะไหนเนี่ย ฐานะเดิมปะ” แม้จะพูดติดขำแต่ผมกลับไม่ขำด้วยสักนิด ฐานะเดิมของเธอคงหมายถึงเป็นแฟนกันสินะ ไอ้คิวที่เหมือนจะพูดแทรกเธอจึงรีบเอ่ยปากขัดก่อน “เราเข้าห้องน้ำก่อนนะ ไว้เจอกันครั้งหน้า”
เธอว่าเสร็จก็หันหลังเข้าห้องน้ำไปไม่หันมามองเราอีก ไอ้คิวถอนหายใจออกมาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่มันเลือกที่จะหุบปากไปในทันที
“กลับหอเราเถอะ”
ไอ้คิวว่าขึ้น ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมเถียงกับมันน้อยที่สุด ผมเหนื่อยเกินที่ต้องมาแบกความรู้สึกโง่ๆ ของตัวเอง ผมมองหน้ามันก็นึกถึงพิมพ์ พอผมมาเจอพิมพ์ผมก็นึกถึงเหตุการณ์วันนั้น เหตุการณ์ที่ไม่มีใครอธิบายความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายให้ผมได้เลย
“วันนี้มึงเอารถหรือจักรยานมาอะ”
ผมถามเมื่อเห็นว่ามันเดินมาที่ลานจอดจักรยานแทนที่จะไปลานมอเตอร์ไซค์
“อ๋อ พอดีตอนเช้ามอเตอร์ไซค์ยางแบนอะ เลยเอาไปซ่อมที่อู่ นายซ้อนท้ายจักรยานเราไปได้ใช่ปะ”
“ได้ดิ ตอนม.6 ยังซ้อนได้ทำไมตอนนี้…”
ผมหยุดพูดเมื่อลืมตัวไปว่าดันนึกถึงอดีตเมื่อครั้งที่เราสองคนสนิทกัน ไอ้คิวยกยิ้มก่อนจะเข็นจักรยานออกมา มันเป็นคันเดิมเพิ่มเติมคือปรับสภาพให้ดูใหม่น่าปั่นกว่าเก่า
ผมจัดท่าให้ทะมัดทะแม่งก่อนจะซ้อนมันแล้วจัดการยกกล้องขึ้นแอบถ่ายมันตอนปั่นจักรยาน คนปั่นปั่นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีท่าทีจะส่ายไปส่ายมาเลยสักนิด
“เออ กูถามหน่อย เมื่อกี้มึงจะพูดกับพิมพ์ว่าอะไร”
ผมวางกล้องไว้ตามเดิมแล้วถามความสงสัย มือข้างนึงจับชายเสื้อแน่น
“เปล่า เราแค่จะขอตัวกลับ เราไม่อยากคุย”
“ไร้สาระ มึงทำให้กูกับพิมพ์ทะเลาะกันแล้วยังมีหน้ามาทำให้กูกับพิมพ์ไม่คุยอีกเหรอ”
“…”
“ไหนๆ ก็มาเป็นรูมเมทกันแล้วมึงช่วยบอกเหตุผลหน่อยดิว่าทำไมตอนนั้นมึงถึงไม่บอกเหตุผลกับกู ที่มึงไปป่าวประกาศกับคนอื่นว่ามึงกับกูเป็นแฟนกัน”
ผมถามเสียงนิ่งไม่มีความโมโหหรืออะไรทั้งนั้น ผมพยายามจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด เพราะโมโหไปก้ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมานี่จริงไหม
“เหตุผลของเราไม่มีหรอก” มันว่า ผมถอนหายใจ มันยังคงปากแข็งเสมอต้นเสมอปลายนี่นะ “เอาเป็นว่า นายรู้ว่าเราผิด เราว่ามันดีต่อความรู้สึกนายแล้วจริงๆ”
“อะไรวะ งง”
“อย่ารู้อะไรที่มากกว่านั้นเลย คนเราอะยิ่งรู้เยอะยิ่งมีแต่ความเสียหาย มันไม่คุ้มหรอก เราว่านายเกลียดเราแล้วเรารับผิดชอบให้นายหายเกลียดเรา เราโอเคกว่าอะ”
“…”
“ความรู้สึกของนาย เราขอรับผิดชอบเอง”
เอาเป็นว่า ผมจะไม่ถามอะไรมันอีกแล้ว ไม่อยากรู้เหตุผลบ้าบออะไรของมันอีกต่อไป ยิ่งผมอยากรู้เท่าไร ความเครียดในหัวผมก็ทวีมากเท่านั้น…
มึงจะมารับผิดชอบความรู้สึกกูทำไมวะ ในเมื่อรู้ว่ากูจะเกลียดมึงถาวรขนาดนี้…
กูไม่เข้าใจมึงจริงๆ ว่ะคิว…


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เกลียดชิบชะนีที่มาทำให้ผช.ของฉันสั่นคลอน ยัยพิมพ์!!!