ตอนที่ 26 : ll แฟนผมเป็นตากล้อง ll EP.23 :: เขาควรบอกทุกอย่าง [120%]
“อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา”
“สาธุ”
ผมยกมือไหว้ทันทีที่ไอ้คิวจัดการสวดบทกรวดน้ำพร้อมกับรินน้ำในแก้วลงรากต้นไม้หน้ารีสอร์ต
ถามว่ากรวดให้ใคร ผมกรวดให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงรอบตัวผมนี่แหละครับ เผื่ออะไรๆ ในชีวิตจะดีขึ้นบ้าง จากที่จะได้อยู่ในห้องอย่างมีความสุขกลับกลายเป็นว่าทุกอย่างดูอึดอัดไม่มีใครพูดใครจา พอถึงเวลานัดรวมผมเลยชวนไอ้คิวมากรวดน้ำกันก่อนจะได้สบายใจกันทั้งคู่
หลังจากทำอะไรเสร็จแล้วผมกับไอ้คิวก็ตรงดิ่งมาที่ลานรวมพลที่เดิมในทันทีพร้อมกับแบกกล้องตัวโปรดมาด้วย ทุกคนแต่งตัวพร้อมลุยกันเต็มที่ โดยเฉพาะผมกับไอ้คิวที่ดันใส่เสื้อยืดสีกรมพื้นเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย จะไปเปลี่ยนก็เสียเวลาผมเลยใส่ๆ มันออกมานี่แหละ กลายเป็นเป้าสายตาไปในทันทีแถมยังได้ยินมีคนพูดว่าผมกับไอ้คิวใส่เสื้อคู่ด้วย
คิดกันไปเอง -_-
“ที่เรานัดกันมาซะเย็นเลยเป็นเพราะวันนี้เราจะไปนั่งถ่ายพระอาทิตย์ตกกันค่ะ วิวสวยๆ บรรยากาศสวยๆ กับผู้หญิงสวยๆ ที่มีอย่างจำกัดในค่ายนี้” พี่ป่านว่าก่อนจะหัวเราะออกมา “แต่ทีงี้เราอยากให้ทุกคนได้ใช้อุปกรณ์ขากล้องและเลนส์ไวด์ ใครมีสองอย่างนี้บ้างคะ”
หลังจากที่เรานั่งกันเป็นระเบียบตรงจุดเดิม พี่ป่านก็ถามขึ้น ผมหันไปมองรอบๆ ก็พบว่ามีไอ้ทิวและอีกหลายคนเลยที่มีอุปกรณ์ดังกล่าว ดูผมกับไอ้นิวจ๋อยไปเลย
“ไอ้เหี้ย เลนส์ไรนะกูงง” ไอ้นิวหันมาถามด้วยความสับสนในใจ
“เลนส์นี่ไง” ว่าเสร็จผมก็ยื่นกล้องตัวเองให้มันดู เลนส์ไวด์ก็คือเลนส์สำหรับถ่ายภาพมุมกว้างซูมเข้าซูมออกปรับระยะ บลาๆ “เขาเรียกเลนส์ไวด์”
“อ๋อ กูมีถ้างั้น แต่ไอ้ขากล้องนี่กูไม่มีแน่นอน แค่กระเป๋าเสื้อผ้ากูหนักจะแย่ให้แบกอุปกรณ์กล้องเยอะแยะอีกได้ตายห่าพอดี”
“เรามันมือสมัครนี่เนอะ ดูดิมาครั้งแรกก็เล่นให้ถ่ายพระอาทิตย์ตกกันเลย รูปคนกูถ่ายยังเบลอ”
ผมบ่นอุบก่อนจะหันไปมองไอ้คิวที่ยกมือค้างไว้ รายนี้เตรียมพร้อมทุกอย่าง เห็นมันไม่ค่อยเล่นกล้องแต่อุปกรณ์นี่ครบครัน
“ยืมของเราไหม” ไอ้คิวเลิกคิ้วถามผมที่หันไปมองมัน
“ดูก่อนว่ะ ถ้าถ่ายทันจะยืม” ผมว่าขึ้น
ทั้งแอมและพี่ป่านกวาดสายตามองพลางนับทีละคนว่ามีใครบ้างที่เตรียมอุปกรณ์มาครบ
“จากการยกมือแล้วพี่มองด้วยตาเปล่าก็พอเดาได้ว่าครึ่งต่อครึ่งเลยนะคะทั้งที่มีและไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าว งั้นไม่เป็นไรค่ะ จับคู่กันเนอะ อยากคู่กับใคร…”
พรึ่บ
ทันทีที่ได้ยินคำว่าอยากคู่กับใครผมรีบหันไปคว้ากอดไหล่ไอ้คิวเป็นการบ่งบอกทุกคนว่าผมจองตัวมันแล้ว สายตาของเหล่าน้องๆ ผู้หญิงและผู้ชายบางคนหันมามองแรงผมกันเป็นแถบ
ฮ่าๆ ช่วยไม่ได้นะครับ พี่มือไวกว่าครับโผมมมมม!
“คู่กับกู” ผมยักคิ้วให้มัน ไอ้คิวยิ้มขึ้นนิดๆ ปฏิเสธกูไม่ได้หรอกบอกเลย
“มีเศษเหลือเหรอคะ…”
พี่ป่านถามใครบางคนขึ้น ผมหันไปมองก็พบว่าเป็นพิมพ์ที่ยังไม่ได้คู่ ลืมไปเลยว่าไอ้เกมส์ยังไม่มาที่ค่ายเลยนี่หว่า…
ส่วนไอ้เนียร์ก็ไปจับคู่กับใครไม่รู้ ผมเลือกที่จะไม่สนใจมัน เพราะผมรู้ว่ามันมองมาทางนี้ตลอด หันไปทีไรสายตามันก็ปะกับผมทุกที
“ค่ะ” เธอตอบก่อนจะชายมามองมาที่ผมกับไอ้คิว “เดี๋ยวพิมพ์ไปอยู่กับสองคนนั้นก็ได้ค่ะ”
“อ่า ดีเลย ฝากผู้หญิงตัวเล็กๆ ไว้คนด้วยนะคะน้องมาร์ช น้องคิว”
พี่ป่านไม่ไถ่ถามพวกผมเลยว่าจะตกลงด้วยหรือเปล่า แต่เอาเหอะ มันคงไม่มีอะไรน่าอึดอัดไปกว่าการที่มีรูมเมทเป็นไอ้เนียร์และไอ้เกมส์แล้วมั้ง
หลังจากที่แต่ละคนมีคู่ถ่ายรูปของตัวเองได้แล้ว เราก็ลุกขึ้นเดินตามแอมหัวหน้าชมรมไปยังทางขึ้นเขาหลังรีสอร์ตในทันที ผมพกแค่เพียงกล้องกับเลนส์มาแค่นั้น ส่วนไอ้คิวก็แบกกระเป๋าสัมภาระของมันด้วยท่าทางเก้งๆ กังๆ จนผมอดที่จะช่วยถือกล้องของมันไม่ได้ พิมพ์ก็เดินตามเราสองคนมาเงียบๆ แม้จะมีช่วงที่ผมเผลอตัวหันไปลอบมองเธอด้วยความเป็นห่วงว่าเธอจะกลิ้งตกลงเขาไปบ้างก็เหอะ
“คิว เดี๋ยวคิวช่วยสอนพิมพ์เรื่องปรับแสงทีนะ”
ไม่ทันไร เธอรีบก้าวเท้ามายืนข้างขนาบกับไอ้คิวในทันที ผมยืนอยู่ฝั่งซ้ายไอ้คิวส่วนพิมพ์ก็ยืนอยู่ฝั่งขวา ผมไม่ได้หันไปสนใจอะไร แต่หูของผมมันได้ยินหมดทุกประโยคนี่ดิ
“เราไม่ค่อยเก่งหรอก ถามไอ้ทิวไม่ก็แอมดีกว่า” ไอ้คิวตอบเธอไป
“แหม่ อย่ามาหลอกพิมพ์เลย อุปกรณ์ครบขนาดนี้ไม่เก่งก็บ้าแล้ว” พิมพ์หัวเราะออกมา “น่า สอนพิมพ์เถอะ สัญญาว่าจะตั้งใจฟังเป็นอย่างดี”
“เอางั้นเหรอ”
ไอ้คิวหันมาพูดกับผมเฉย ผมหันไปยักไหล่แสดงอาการว่าแล้วแต่มึงดิไม่เกี่ยวกับกู แต่ก็น่าจะรู้ไหมว่ะว่ากูไม่อยากให้ยุ่งอะ
“มาร์ชไม่โอเคอะไรหรือเปล่า”
พิมพ์ถามผมในทันที ผมไม่ได้ตอบเธอเพราะเป็นจังหวะที่เราเดินมาถึงจุดที่พอดีที่จะถ่ายวิวพระอาทิตย์ตกได้ เราไม่ได้ไปถึงจุดสูงสุดของภูเขาแต่เราเลือกเนินที่มีระดับสูงพอที่จะมองวิวรีสอร์ตและบริเวณรอบด้านได้อย่างชัดเจน
“มึงสอนพิมพ์ก็ได้” ผมพูดกับไอ้คิวเบาๆ เจ้าตัวมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ “แค่สอนนี่ ไม่ได้ไปทำอะไรกันสักหน่อย”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่รู้สึกเจ็บใจตัวเองแปลกๆ เราสามคนนั่งลงฟังคำอธิบายของแอมที่แนะนำการถ่ายรูปอย่างละเอียด ผมไม่ได้สนใจที่จะฟังแอมพูดเท่าไร เพราะข้างๆ กำลังวุ่นวายกับการแนะนำปรับแสงโฟโต้ให้กันอยู่ ผมรู้ว่าไอ้คิวไม่ต้องฟังแอมมันอธิบายเรื่องการถ่ายรูปหรอก เพราะเจ้าตัวก็เก่งในระดับหนึ่งเช่นกัน แต่บางทีเห็นว่ามันไปใส่ใจพิมพ์ก็รู้สึกขัดหูขัดตาอะ
เออ ผมผิดเองที่ดันใจดีบอกให้มันไปสอนพิมพ์ เลยต้องมานั่งหน้าบูดเป็นตูดหมาเงียบๆ อยู่คนเดียวตรงนี้ไง
“เข้าใจเนอะ”
ไอ้คิวถามทวนพิมพ์ก่อนจะหันมาหาผมพร้อมกับเขยิบมานั่งชิดผมจนติดเป็นปาท่องโก่ ผมหันไปจิปากไม่สบอารมณ์นิดๆ
“สอนเสร็จแล้วไง” ผมถาม
“อืม มันไม่ยากหรอก” ไอ้คิวยิ้มขึ้นแต่ผมก็แอบเหล่พิมพ์ที่มองผมนิ่งไม่ได้ “เป็นไรอะ ไม่พอใจเหรอ”
ไอ้คิวถามจนผมต้องดึงสายตากลับมาเลิกคิ้วมองมัน อะไร ใครไม่พอใจ ไม่มีเว้ย
“เปล่า”
“แหน่ ตอบสั้นอีกแหละ ดูดิคิ้วขมวดเชียว”
“มึงมานั่งแทนที่กูดิ๊”
“ทำไมอะ” ถึงเจ้าตัวจะสงสัยแต่มันก็เขยิบมานั่งที่ผมด้วยสีหน้างงงวย
ผมจัดการลุกขึ้นไปนั่งแทนที่ไอ้คิวทันที กลายเป็นว่าตอนนี้ผมนั่งคั่นมันกับพิมพ์เรียบร้อย ผมหันไปยิ้มให้ผู้หญิงด้านข้างตามมารยาท (ทราม) ของตัวเอง
“กูเห็นแล้วอึดอัดแทน” ผมว่าด้วยน้ำเสียงกระซิบ
“ไม่นะ เราว่ามาร์ชน่าจะอึดอัดมากกว่าเราเสียอีก”
“หึ กูเห็นมึงนั่งข้างพิมพ์กูอึดอัดกว่าอีก”
ผมตอบไปตามจิตสำนึกตัวเอง แต่พอมาทวนคำพูดเมื่อกี้ก็รู้สึกหน้าวูบขึ้นมาไม่ได้ ไอ้คิวที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเบาๆ แถมเบะปากคล้ายกำลังแซวผมอยู่ในใจลึกๆ
“ไม่พอใจอะไรพิมพ์หรือเปล่า”
เสียงเล็กๆ ถามผมขึ้นทำเอาผมหันกลับไปมองคนด้านข้างทันที ไอ้คิวไม่ได้สนใจอะไรเราสองคนคงเป็นเพราะกำลังเตรียมจัดขาตั้งกล้องอยู่ ผมหันไปถอนหายใจทิ้งใส่เธอด้วยสีหน้านิ่ง
“นิดนึง”
“เรื่อง?” เธอถามกลับ สีหน้า แววตา คำพูดทุกๆ อย่างของเธอในตอนนี้ไม่เหมือนพิมพ์คนเก่าของผมสักนิด “มาร์ชไม่โอเคที่เรากำลังตามจีบคิวใช่ปะ”
“…”
“ตกลงยังไงกันแน่ มาร์ชกำลังหวงเพื่อนหรือมาร์ชกำลังหวงก้าง”
เธอถามด้วยประโยคที่เกรี้ยวกราดแต่น้ำเสียงเบาเกินกว่าที่ทุกคนจะได้ยิน
“จะหวงยังไงก็ช่างเหอะ แต่พิมพ์ไม่ระอายใจบ้างเหรอว่ากำลังเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเพื่อนแฟนเก่าตัวเองอะ มันแย่นะเว้ย”
ผมพูดขึ้นในขณะที่ทุกคนเดินไปยังจุดถ่ายภาพรวมทั้งไอ้คิวที่หยุดมองผมกับพิมพ์คุยกันอยู่ แต่แล้วเจ้าตัวก็เดินมาตรงเราสองคน ผมลุกขึ้นพร้อมกับพิมพ์ทำเหมือนว่าทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่ให้ดูสีหน้าผมกับเธอตอนนี้ คงเดาออกว่าเรื่องที่คุยมันไม่โอเคทั้งสองฝ่าย
“งั้นไว้พิมพ์จะมาคุยกับมาร์ชเป็นการส่วนตัวแล้วกัน”
เธอทิ้งประโยคไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินไปยังจุดที่ทุกคนรุมตั้งกล้องกันอยู่ ผมมองเธอก่อนจะเคลื่อนสายตามาที่คนตรงหน้าที่ยืนมองผมนิ่งคล้ายต้องการคำตอบ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ผมปัดประเด็น
“เห็นอยู่ว่ามี ทะเลาะกันเรื่องเราใช่ป่ะ”
“มึงนี่หลงตัวเองชะมัด”
“ใช่ปะ”
ไอ้คิวไม่หลงกลกับการเปลี่ยนประเด็นของผมสักนิด ผมเม้มปากครุ่นคิด มันแปลกๆ ปะวะถ้าผู้ชายคนนึงต้องมาคอยตามหวงตามห่วงเพื่อนผู้ชายกับผู้หญิงคนหนึ่งเนี่ย
“เออ” สุดท้ายผมก็แพ้แม่ง “กูหงุดหงิดเห็นมึงกับพิมพ์คุยกันแล้วกูไม่ชอบ”
“อ๋อ หึง”
“ไร มึงอย่ามามั่ว กูแค่กลัวมึงไปตกหลุมรักพิมพ์เข้าให้ต่างหาก แล้วถ้าวันนึงมึงคบกันแล้วฝ่ายนั่นบอกเลิกมึงขึ้นมา น่าสงสารแย่ กูไม่อยากมานั่งปลอบคนอกหัก”
“J”
“ยิ้มเหี้ยไร ฟังกูบ้าง นี่เตือนเว้ย”
ผมเดินเฉียดตัวมันไป สองมือประคองกล้องแน่นไม่ใช่เพราะกลัวตกแต่ผมกำลังร้อนรนจนมือไม้มันไม่อยู่สุขต่างหาก เหมือนตัวเองโดนต้อนจนมุมยังไงไม่รู้
ถ้ามันรู้ว่าผมคิดกับมันยังไง ผมต้องถูกมันปั่นประสาทไม่หยุดไม่หย่อนแหง
“อย่างที่แนะนำไปเลยนะครับ เราต้องดูมุมแสงของพระอาทิตย์ดีๆ บวกกับเวลาที่พระอาทิตย์ตก วันนี้แอมไปคำนวญในเว็บมาแล้ว พระอาทิตย์น่าจะตกช่วงหกโมงครึ่งพอดีครับ มุมที่เราตั้งกล้องตรงนี้เลย”
ผมยืนให้ความสนใจกับคำแนะนำของแอมจนมีคนข้างๆ ที่มาลั่นชัตเตอร์ใส่ผมจนต้องผงะหันไปมองมัน
“ถ่ายกูทำไมเนี่ย ไปตั้งกล้องดิ” ผมหันไปว่าไอ้คิวที่ไม่ยอมเอากล้องไปจัดมุมเหมือนคนอื่นสักที “ไม่ถ่ายหรือไง”
“ถ่าย แต่เราอยากถ่ายมาร์ชด้วยนี่นา”
“ถ่ายกูตอนไหนก็ถ่ายได้ ไปตั้งกล้องครับ”
ผมดันตัวมันให้เอากล้องไปเตรียมถ่ายพระอาทิตย์ตกเพราะเวลาใกล้จะถึงแล้ว ไอ้คิวจัดการตั้งขากล้องบวกกับปรับแสงตั้งค่านั่นนี่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ทุกคนเงียบเหมือนนัดกันมาและดูตั้งใจที่จะกดชัตเตอร์เตรียมพร้อมให้กับภาพตรงหน้า
พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนที่ลับหายไปจากท้องฟ้า ผมมองไอ้คิวที่ดูจดจ่อกับหน้ากล้องทำให้ผมเห็นบุคลิกจริงจังของมันไปอีกแบบ ผมยกกล้องขึ้นถ่ายคนตรงหน้าอย่างอัตโนมัติ ยิ่งพอได้แสงสวยๆ จากพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าแล้ว ภาพในกล้องผมที่ออกมามันดูดีมากจนเหมือนเป็นช่างภาพอาชีพเลย
ผมลดกล้องในมือลงเมื่อไอ้คิวหันมามองผม ทุกคนเหมือนว่าจะถ่ายภาพในทริปนี้กันครบแล้ว ต่างคนต่างตื่นเต้นที่ได้จับกล้องและถ่ายภาพที่สวยที่สุดของบรรยากาศของบรรยากาศค่ำคืนจะมาถึง
“สวยปะ”
ไอ้คิวยื่นกล้องมาให้ผมดู ภาพที่ออกมาเหมือนกับวอลเปเปอร์ตามอินเตอร์เน็ตไม่มีผิด ราวกับถูกปรับแต่งจากโฟโต้ชอปมาแล้วยังไงยังงั้น
“ขนาดมึงไม่ตั้งใจฟังที่เขาแนะนำนะเนี่ย”
“คนเก่งไม่ต้องฟังก็ทำได้ครับ J”
ผมดึงมุมปากแสดงถึงความหมั่นไส้ ก่อนจะเก็บข้าวของเตรียมตัวเพื่อหาของกิน ผมหันไปมองรอบๆ กลับไม่พบผู้หญิงที่เอาแต่ต่อร้องต่อเถียงกับผมเมื่อครู่จนผมอดกังวลไม่ได้ว่าเธอไปไหนกันแน่
“หาใครเหรอ” ไอ้คิวถามขึ้นเมื่อเห็นผมหมุนรอบตัวเองสามร้อยหกสิบองศา “นิว?”
“เปล่า พิมพ์อะดิ”
“อ่า…” ไอ้คิวพยักหน้ารับก่อนจะชะเง้อหาไม่ต่างจากผม “คงลงไปแล้วมั้ง”
“งั้นเหรอวะ”
“เป็นห่วงพิมพ์เหรอ”
น้ำเสียงดูน้อยใจเอ่ยถามผมจนผมรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้
“ผู้หญิงนี่เนอะ หายไปมันน่าห่วงจะตาย”
“อ๋อ”
“มึงน้อยใจ?”
“นิดหน่อย”
“ขี้งอนเป็นผู้หญิงไปได้มึงนี่นะ”
ผมว่าก่อนจะจับมือมันเดินลงเนินเขาเมื่อทุกคนเริ่มทยอยลงกันแล้ว มันอาจจะเป็นการจับมือแบบแอบๆ เพราะถูกกระเป๋าไอ้คิวบังไว้ก็เหอะ ผมก็ง้อคนไม่เป็นนี่หว่า ทำแบบนี้อาจจะทำให้ไอ้คิวมันรู้สึกหายน้อยใจได้บ้าง เดี๋ยวก็คิดว่าผมเป็นห่วงพิมพ์ออกนอกหน้าอีก
พอเรามาถึงที่พักพี่ป่านจัดแจงข้าวกล่องและน้ำเตรียมเอาไว้เพื่อให้เรานำไปกินที่รีสอร์ตได้ ผมกับไอ้คิวเลือกที่จะเอามานั่งกินที่โต๊ะหินอ่อนบริเวณหน้าห้องเพราะบรรยากาศตกดึกที่นี่ลมเย็นสุดๆ ยุงก็แทบไม่มีซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกมาก ทุกคนในค่ายก็เลือกที่จะเอาอาหารมื้อเย็นมากินกันหน้าห้องเพื่อดูดดื่มความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่ เลยทำให้รีสอร์ตดูครึกครื้นกันมากกว่าปกติ
“กูแดกด้วยยยย”
เสียงของเพื่อนสนิทผมรีบปี่เข้ามาร่วมวงแจมนั่งกินข้าวด้วยกันทันที รวมไปถึงไอ้ทิวที่เดินเข้ามานั่งด้วย พวกเราสี่คนนั่งกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยที่โต๊ะข้างๆ คือไอ้เนียร์ที่นั่งกินข้าวโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น
จะว่าไป ผมก็แอบสงสารมันจริงๆ นะ มันมาเข้าค่ายอีกส่วนหนึ่งก็เพราะผม…แต่ให้ทำไงได้วะ ผมกลับไปรู้สึกปกติกับมันแล้วไม่ได้จริงๆ อะ
“หน้าดูกังวลนะพี่มีอะไรเปล่า”
ไอ้ทิวถามผมขึ้น ผมรีบละสายตาจากไอ้เนียร์มามองมันในทันที
“หะ ว่าไงนะ”
“น้องเขาถาม ว่ามึงเป็นไรหรือเปล่า ดูกังวล”
ไอ้นิวย้ำคำถามของไอ้ทิวอีกครั้ง คราวนี้คนด้านข้างผมก็สงสัยตามไปด้วยอีกคน
“กูแค่ไม่เห็นพิมพ์น่ะ” ผมตอบเลี่ยงไป แต่ก็นะ ต่อให้เลี่ยงแค่ไหนคนด้านข้างผมก็ดูจะเริ่มน้อยใจอีกแล้ว “ยิ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวด้วยอันตรายจะตาย”
“ลองไปดูที่หน้าห้องพิมพ์ไหม”
ไอ้คิวเสนอคำแนะนำขึ้นมาซึ่งทำให้ผมรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“งั้นกูไปดูเอง มึงกินข้าวไปเหอะ” ผมห้ามไอ้คิวทันทีที่ทำท่าจะลุกขึ้นตามผมมา “แป๊ปเดียว”
ผมยิ้มขึ้นนิดๆ เพื่อคลายความกังวลให้แก่มัน อย่างน้อยผมจะได้เคลียร์ปัญหาระหว่างผมกับเธอให้จบๆ ไปด้วย สำหรับผมมันไม่ใช่การแย่งไอ้คิวออกมาจากเธอ แต่มันคือการให้เธอหยุดเอาไอ้คิวไปเป็นของเล่นของเธอต่างหาก ที่ผ่านมาผมเจ็บกับสิ่งที่ผมเจอมามากพอแล้ว ผมไม่อยากให้คนที่ผมรักอีกคนต้องมาเจออะไรที่เหมือนผม
ผมเดินมาหยุดที่หน้าห้องของเธอและพบว่าเธอไม่ได้หายไปอย่างที่ผมกังวลใจไว้เลยสักนิด เธอนั่งกดมือถืออยู่คนเดียวที่โต๊ะหินอ่อนหน้ารีสอร์ตก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าเป็นผม...
“มาแล้วเหรอ”
เธอพูดทักทายผมเหมือนว่าเรานัดกันมายังไงยังงั้น ดูเป็นเรื่องตลกที่จู่ๆ จากแฟนเก่าก็กลายเป็นคนที่คุยกันแล้วอึดอัดที่สุด ผมนั่งฝั่งตรงข้ามเธอเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดเกินไป เพราะในตอนนี้ก็มีบางคนที่เดินผ่านไปผ่านมาคอยเฝ้ามองเราสองคนอยู่ ผมไม่อยากให้มันดูล้ำเส้นเกินไปจึงต้องทำตัวให้ดูห่างเหินกับเธอสักหน่อย
“นึกว่าหายไปไหน” ผมพูดแซว เธอหัวเราะออกมาเบาๆ
“ทำไมอะ คิดถึง เป็นห่วงเหรอ”
“เปล่า”
ผมตอบกลับทำลายความคิดเข้าข้างตัวเองของเธอไปในทันที สีหน้าดูเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้อยากใจร้ายแต่เธอใจร้ายกับผมก่อนนะ
“เข้าเรื่องแล้วกัน” เธอยิ้มสู้แต่แววตาเธอดูจะโกรธผมไม่ใช่น้อย มันไม่ต่างอะไรกับผมในตอนนี้สักนิด “มาร์ชช่วยเปิดทางให้พิมพ์คุยกับคิวได้ไหม ถือว่าขอร้อง”
“แล้วเราไปขวางทางเธอตอนไหน” อย่าโมโหไอ้มาร์ช มึงต้องใจเย็น
“พิมพ์ชอบคิวมากจริงๆ นะ พิมพ์เชื่อว่าเขาต้องดูแลพิมพ์ได้” น้ำเสียงสั่นเครือจนผมเริ่มรู้สึกตลกที่เธอกำลังเข้าดราม่าหน้าตาเฉย “พิมพ์ดูออกนะว่ามาร์ชคิดยังไงกับคิว”
“เฮ้อ” ผมพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับหัวเราะให้กับคำพูดเธอ “ทำไมรู้ดีกว่าตัวเราอีกอะ”
“มาร์ชไม่ได้คิดกับคิวแบบเพื่อนอย่างที่บอกหรอก ใครๆ เขาก็ดูออกว่ามาร์ชกับคิวกำลังอยู่ในสถานะไหนกันแน่”
“สถานะไหน”
“มากกว่าเพื่อนไง”
พิมพ์พูดแทงใจดำผมเข้าเต็มแรง ไม่รู้สึกโกรธแต่รู้สึกชาวาบเข้าที่ต้นคอเหมือนกำลังถูกจับได้คาหนังคาเขาอะไรทำนองนั้น แถมมันยังเป็นคำพูดที่มาจากผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่พังความรักของเธอและผมลง คนที่พังความสัมพันธ์ดีๆ ของผมและคิวลงเช่นกัน
“อืม” ผมพยักหน้า รู้สึกตลกกับเธอนิดๆ “ถ้ารู้ว่ามาร์ชกับคิวกำลังเริ่มต้นกันในสถานะอะไร แล้วพิมพ์จะเข้ามายุ่งกับเราสองคนทำไม”
“เพราะพิมพ์อยากให้คิวดูแลพิมพ์เหมือนที่ดูแลมาร์ช”
“ว่าไงนะ” ตัวของผมแทบจะเข้าไปกระชากคอเธอ แต่ผมยังพอมีสติที่จะห้ามตัวเองได้อยู่ “พูดใหม่ดิ”
“พิมพ์ขอคิวได้ไหม”
“…”
“พิมพ์คิดว่าคิวดีพอที่จะดูแลพิมพ์มากกว่าใครทุกคนที่ผ่านเข้ามา พิมพ์อยากได้คนดีๆ แบบคิวจริงๆ นะ”
อึ้ง งงแดก…
ผมถึงกับแดกจุดไปราวๆ สองนาทีได้ ได้แต่มองคนตรงหน้าที่ยังคงมองหน้าผมไม่หลบสายตาไปแต่อย่างใด เหมือนเธอแน่วแน่แล้วว่าเธอมีจุดประสงค์อะไร เธอแค่ต้องการขอไอ้คิว
ขอเอาไปจากชีวิตผมแค่นั้น
“พิมพ์” ผมเรียกเธอ แม้ในตอนนี้ตัวเองจะดูรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ตาม “พิมพ์กำลังแกล้งหรือแก้แค้นอะไรเราหรือเปล่า”
“เปล่า” คำตอบที่ผมหวังกับพังลงไม่เป็นท่า “พิมพ์อยากให้คนที่ดีพอมาดูแลพิมพ์ พิมพ์ไม่เคยได้รับสิ่งดีๆ ในความรักเลยรู้ไหมมาร์ช ขนาดตอนคบกับมาร์ช มาร์ชยังใส่ใจพิมพ์ไม่พอเลย พิมพ์อยากได้คนที่ดูแลพิมพ์ดีพอแค่นั้น”
“แล้วรู้ได้ไงว่าไอ้คิวจะดูแลพิมพ์ได้”
“เพราะพิมพ์ดูจากที่คิวดูแลมาร์ชไง”
“เหอะ…มันเหมือนกันซะที่ไหนพิมพ์” ผมพูดเพื่อให้เธอคิดได้บ้างแต่ก็ไม่เลย ไม่เลยสักนิด “คิวมันไม่ได้ชอบพิมพ์ไง”
“จะบอกว่าคิวชอบมาร์ชเหรอ” เธอพูดดักขึ้นสายตาแข็งกร้าวจนผมเริ่มกลัว “แล้วทำไมพิมพ์จะทำให้คิวชอบไม่ได้บ้างล่ะ”
“ตลกไปใหญ่แหละพิมพ์”
“คอยดูแล้วกันนะ”
“…”
“ผู้หญิงต้องเกิดมาคู่กับผู้ชาย ต่อให้โลกมันเปิดแค่ไหน ถ้าสร้างครอบครัวให้ไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์นะมาร์ช”
“นี่…”
ปัง!!!
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูวววว~~…”
ผมหยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้ เมื่ออยู่ๆ เสียงของพลุกระดาษก็ดังขึ้นตัดบทสนทนาของเราสองคน บวกกับไฟรอบรีสอร์ตดับลงอย่างพร้อมเพรียง เสียงร้องเพลงอวยพรวันดังขึ้นมาพร้อมกับแสงเทียนจากเค้กวันเกิดนับสิบเล่ม คนที่ถือเค้กนำขบวนมาคือไอ้เกมส์กด คนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามันทั้งวันในวันนี้ บรรดาคนในค่ายต่างปรบไม้ปรบมือถือลูกโป่งออกมาด้วยสีหน้าร่าเริง ผมเห็นลูกโป่งที่เป็นอักษรภาษาอังกฤษเรียงกันเป็นชื่อของพิมพ์ และทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้าผมเกิดในวันนี้
วันนี้วันเกิดของพิมพ์สินะ
“รู้หรือยังว่าพิมพ์ต้องการคนใส่ใจมากแค่ไหน ขนาดแฟนเก่าที่เคยคบกันมาสองปีกว่าๆ ยืนอยู่ตรงหน้าพิมพ์แท้ๆ เขายังไม่คิดจะอวยพรพิมพ์หรือจำวันเกิดพิมพ์ได้ด้วยซ้ำ”
เธอหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงประชดเต็มที่ ผมมองไปยังผู้คนที่ยังร้องเพลงไม่หยุดหน้าผมชาเหมือนโดนตบจากคนตรงหน้ามาประมาณสิบครั้ง
“…”
“ไม่ว่าจะครบรอบ วันเกิด หรือวันสำคัญอะไรก็ตาม ระยะเวลาที่คบกันมาพิมพ์ไม่เคยถูกใส่ใจจากมาร์ชเลยแม้แต่น้อย หรือจะเป็นเรื่องที่พิมพ์ไปเจอเหตุการณ์ที่เสียใจมา มาร์ชไปอยู่ไหนมาเหรอ…เคยไถ่ถามพิมพ์ไหม เคยเป็นห่วงพิมพ์ไหม ก็ไม่”
“…”
“ที่เราเลิกกันไปมันเป็นความผิดมาร์ช ไม่ใช่พิมพ์ รู้ไว้ด้วยนะ”
เธอพูดพร้อมกับกลั้นน้ำตาก่อนจะหันไปยิ้มให้กับทุกคนที่เดินตรงดิ่งเข้ามาอวยพรเธอ ผมยืนตัวแข็งทื่อ ผมรับรู้คำพูดของพิมพ์ได้ทุกประโยค ไอ้คิวที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินมาจับมือผมเอาไว้แน่น ในตอนนี้ใครจะทำอะไรกับผมก็คงไม่รู้สึกแล้ว แม่งชาไปหมดทั้งตัวเพราะคำพูดของพิมพ์เพียงไม่กี่คำแต่มันแทงใจดำผมฉิบหาย
ผมไม่เคยใส่ใจเธอ ไม่เคยจำเรื่องราวของเธอ ไม่เคยดูแลเธอ ไม่เคยปลอบใจเธอ หรือทำอะไรเพื่อเธอ
จริงอย่างที่เธอพูด…
จริงทุกอย่าง…
“ที่เรามาช้าเพราะเราไปซื้อเค้กมาอะ”
ไอ้เกมส์พูดขึ้นเมื่อพิมพ์เตรียมอธิษฐาน
“ถึงว่า หายไปไหน” เธอพูดติดตลก เสียงโห่แซวทำเอาผมวูบชา “จะขอพรแล้วนะ”
เธอกุมมืออธิษฐาน ทุกคนเงียบเพื่อให้เธอมีสมาธิแน่วแน่ ผมมองเธอนิ่งพยายามคิดทบทวนในหัวตัวเองว่าผมทำผิดอะไรไป จากที่คิดว่าเธอผิดมาตลอด มันกลายเป็นผมผิดหน้าตาเฉย
ที่เธอต้องไปแอบคบไอ้เกมส์ก็เพราะผมดูแลเธอไม่ดีเหรอ เป็นเพราะผมเอาแต่คอยเล่น คอยใส่ใจไอ้คิวในตอนนั้นเหรอ เธอเลยเข้าหาคนที่ดูแลเธอได้ดีกว่าผม
“ขอให้สวยวันสวยคืนนะพิมพ์ ขอบคุณที่คอยให้เราช่วยเหลือนะ”
ไอ้เกมส์พูดขึ้นหลังจากที่พิมพ์เป่าเทียนจนดับ เธอไม่ได้ใส่ใจคนที่ถือเค้กอยู่แต่กับหันมาสบตาไอ้คิวคนที่ยืนจับมือผมอยู่ข้างๆ ณ วินาทีนั้นผมสั่งให้ตัวเองจับมือมันแน่น แน่นกว่าครั้งไหนๆ ที่มันจับผมเสียอีก
“พิมพ์ขอของขวัญจากคิวได้ไหมอะ”
เธอพูดขึ้น ทุกคนรายล้อมรอบตัวเธอต่างลุ้นในคำขอของเธอ รวมไปถึงผมที่ใจเต้นแทบจะทะลุร่างออกมาอยู่ร่อมรอ
กดดันเสียกว่าตอนลุ้นผลเกรดอาจารย์ฝ้ายอีก แม่ง
“อืมได้ดิ อยากขออะไรอะ” ไอ้คิวตอบกลับ เธอยิ้มขึ้นและนั่นคงเป็นยิ้มที่ดูดีใจสุดๆ ของเธอ
“ต่อจากนี้ พิมพ์ขอเริ่มต้นคุยกับคิวได้ไหม”
“โหววววววววววววว”
“กรี๊ดดดดดดดด ม่ายยยยย”
เสียงโหร้องของชายหนุ่มที่เฝ้ามองอยู่รอบๆ บวกกับเสียงเด็กสาวปีหนึ่งที่เป็นแฟนคลับไอ้คิวต่างร้องออกมาจะเป็นจะตาย สีหน้าไอ้เกมส์นิ่งไปในทันทีเหมือนกับผมไม่มีผิด ผมหยุดหายใจไปชั่วขณะเพื่อรอไอ้คิวตอบกลับเธอในแบบที่ผมต้องการให้ตอบ
“คุยเรื่องอะไรดี”
ไอ้คิวไม่ได้ตอบตกลงแต่มันถามเธอกลับ ไม่ใช่เพราะมันกวนตีนแต่มันถามเหมือนต้องการอยากรู้จริงๆ
“ก็คุยแบบที่คนเริ่มต้นสานความสัมพันธ์เขาคุยกันไง”
“อ๋อ” มันพยักหน้าขานรับ ผมใจเต้นจนรู้สึกอึดอัดอยากให้มันปฎิเสธออกไป “คงไม่ได้อะ”
เยส!
เยส! ไม่เคยดีใจเหี้ยไรขนาดนี้เลยเว้ย!
“ทะ ทำไมอะ…”
กลายเป็นว่าทุกคนในตอนนี้เงียบเพราะกำลังอึ้งในคำปฎิเสธของไอ้คิวอยู่ สีหน้าไม่สู้ดีนักของพิมพ์ก็ทำเอาทุกคนเหวอเช่นกัน
“เพราะเราคงชอบคนที่เคยหักหลังแฟนเก่าตัวเองไม่ได้อะ เราไม่อยากเป็นแบบนั้น อ๋อ แล้วก็…” ไอ้คิวเหมือนนึกอะไรขึ้นได้เลยล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋ากล้องของตัวเอง และพบว่านั่นคือเมมโมรี่การ์ดใส่กล้อง “เราแยกรูปของเธอกับเกมส์ในตอนม.6 ให้แล้วนะ เรากลัวว่าเธอจะลืมมันน่ะ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดนะ J”
ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงรูปอะไร เพราะคนที่ดูตกใจไม่แพ้พิมพ์เลยก็คือไอ้เกมส์ รายนั้นถึงขั้นเดินมาจับตัวพิมพ์ให้ถอยห่างไอ้คิวในทันที เธอรับเมมฯ จากมือไอ้คิวไปด้วยสีหน้าที่ซีดจนเห็นได้ชัด ผมมองหน้าไอ้คิวที่ไม่ได้แสดงความสะใจหรือรอยยิ้มอะไรขึ้นมา
“เห้ย! รุมดูอะไรกันวะ แยกย้ายๆ เซอร์ไพรส์วันเกิดเสร็จแล้วเว้ย!”
ไอ้นิวรับหน้าที่แหกปากแยกวงล้อมของไทยมุงในทันทีเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีนัก ทุกคนต่างแยกย้ายอย่างไม่เต็มใจเท่าไรเพราะนิสัยคนไทยเรื่องเผือกขอให้บอก
“ขอโทษที่ต้องปฎิเสธพิมพ์นะ แต่เราคงชอบคนที่เคยข่มเหงเราเมื่อก่อนไม่ได้จริงๆ” ไอ้คิวว่าขึ้น
ในตอนนี้ผมเห็นแค่เพียงไอ้เกมส์กำลังดึงมือพิมพ์ไปจับแน่น มันคงทำจนกลายเป็นความเคยชินเหมือนผมกับไอ้คิวในตอนนี้ ผมไม่รู้สึกเจ็บแต่รู้สึกโง่ซ้ำโง่ซ้อนต่างหาก ไม่รู้ว่าปล่อยให้เพื่อนคาบแฟนตัวเองไปแดกหน้าตาเฉยได้ไง
“แปลว่ามาร์ชก็รู้เรื่องนี้มาตลอดใช่ไหม”
พิมพ์ถามผมขึ้นบ้าง ผมอึกอักแต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับเธอไป ไอ้เกมส์หน้าเหวอขึ้นมาทันที
“มาร์ช กู…”
“ไม่ต้องพูด” ผมยกมือห้ามไอ้เกมส์ที่กำลังจะโพล่งออกมา “ถ้ามึงจะอธิบายหรือขอโทษกูมึงไม่ต้องหรอก”
“…”
“กูไม่อยากเข้าใจเรื่องของมึงกับพิมพ์แล้วล่ะ มันสายสำหรับกูไปนานแล้ว” ผมพยายามเก็บอารมณ์หน่วงลึกๆ ของตัวเองเอาไว้ “กูพยายามจะไม่คิดโกรธมึง แต่ถ้ายังไงนาทีนี้เป็นต้นไปช่วยทำเหมือนว่ากูไม่ใช่เพื่อนมึงด้วยนะเกมส์”
ผมพูดจบเพียงแค่นั้นก็เดินออกจากจุดนี้ในทันที ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังวิ่งตามมาและผมรู้ดีว่ามันคือใคร เมื่อมาถึงจุดลับตาคน ผมจึงรีบหันหลังกลับไปกอดมันแน่น
ในตอนนี้ นาทีนี้กูขอกอดมึงอยู่อย่างนี้ไปตลอดได้ไหมวะ
“หายอึดอัดแล้วนะ”
เสียงไอ้คิวทำเอาผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ มันใช้มือหนาจับที่หัวผมเบาๆ เป็นการปลอบ หน้าผมซุกอยู่ที่ไหล่มันมีเพียงกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เตะเข้าจมูกผมเป็นระยะๆ
“ไอ้เหี้ย กูนึกว่ามึงจะตอบตกลงคุยกับพิมพ์เสียอีก”
“ร้องไห้ปะเนี่ย”
“ร้องเหี้ยไร เปล่าร้อง”
ผมผละออกจากตัวมันเพื่อให้มันดูชัดๆ ว่าผมไม่ได้ร้อง จะร้องทำห่าไรไม่ได้เสียใจเว้ย กูดีใจอยู่
“ยิ้ม” มันเอื้อมมือมาดึงแก้มทั้งสองของผมอย่างพละการ “อย่างน้อยก็เลิกกังวลว่าเราจะไปคุยพิมพ์ได้แล้ว”
“ใครกังวลมึง ไม่มี๊”
“อ่ะ งั้นเราไปบอกพิมพ์ว่าเปลี่ยนใจแป๊ป”
“สัด” ผมดึงแขนมันทันทีที่มันทำท่าจะหันหลังกลับ “กูต่อยมึงแน่”
“กล้าทำ?”
“ท้า?”
“โธ่ ไม่ท้าก็ได้ เดี๋ยวนึกต่อยจริงขึ้นมาไม่อยากเจ็บแก้มไปสามวันเหมือนตอนม.6 อะ”
ผมส่ายหน้าให้กับคำพูดมันนิดๆ มันสามารถพูดอดีตที่เจ็บปวดให้กลายเป็นเรื่องตลกได้ไงวะโคตรเก่ง
“มึงว่า พิมพ์กับเกมส์จะเกลียดเราสองคนไหมวะ”
“ไม่รู้ดิ เราว่าไม่น่าหรอก เขาคงจะรู้สึกผิดบ้างคงไม่เกลียดหรือโกรธอะไรเราขนาดนั้นหรอก อย่างมากก็แอบเคือง”
ผมมองไปยังรีสอร์ตของพิมพ์ ไฟทุกดวงยังคงเปิดอยู่ คาดว่าสองคนนั้นคงยังต้องคุยกันอีกยาว ผมสงสารพิมพ์นะ รู้สึกผิดต่อเธอในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาด้วย ทั้งเรื่องที่ผมไม่เคยสนใจใส่ใจเธอเลย ไหนจะต้องมาคอยกั้นขวางความรักของเธออีก
แต่ทำไงได้ เธอจะมาเอาไอ้คนตรงหน้าผมไปนี่ ผมก็หวงของผมปะวะ
“กูรู้สึกผิดที่แต่ก่อนไม่เคยใส่ใจอะไรพิมพ์เลย แม้แต่วันนี้ที่เป็นวันเกิดพิมพ์แท้ๆ กูยังลืมเลยอะ” ผมถอนหายใจออกมาเพราะรู้สึกเกลียดตัวเองแปลกๆ “เพราะกูไม่สนใจในความรักจนมันกลายเป็นการปล่อยปละละเลยปะวะ พิมพ์เลยเลือกที่จะมีคนอื่น”
“เราไม่รู้นะว่าระหว่างพิมพ์กับนายเคยมีเรื่องราวอะไรกันมาก่อน แต่เราอยากให้นายลืมมันไปเถอะ ทุกอย่างมันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว พิมพ์เลือกทางของเธอ นายก็เลือกทางของนาย เริ่มต้นใหม่กับความรักครั้งใหม่เถอะนะ J”
คำพูดหล่อๆ ของไอ้คิวทำเอาผมแอบเบ้ปากเบาๆ มันคงรู้ว่าผมหมั่นไส้เลยทำเป็นเกาหัวแก้เขินใส่ผมซะงั้น
“มึงก็อย่าใจอ่อนกับใครง่ายๆ แล้วกัน ถ้าจะชอบใครมาขออนุญาตกูก่อนด้วย”
ผมพูดดักมัน เป็นไปได้มึงอย่าชอบใครเลยจะดีกว่า กูผ่านน้ำร้อนมาก่อนมึงเว้ย ความรักมันเจ็บปวดจะตาย
“ถ้าชอบคนตรงหน้านี่ต้องขอก่อนปะ”
จู่ๆ ไอ้คิวก็คว้าตัวผมไปโอบไหล่หน้าตาเฉย ผมมองหน้ามันไม่พอใจนิดๆ
“ทะลึ่ง”
“เรายังไม่ทันทำอะไรมาร์ชเลย ว่าเราทะลึ่งซะงั้น” มันพูดลอยหน้าลอยตา “สรุปต้องขอก่อนปะครับถ้าจะชอบเนี่ย”
“แล้วตอนนี้มึงไม่ได้ชอบหรือไง”
“ชอบดิ”
“แล้วมึงขอกูยัง”
“ยัง”
“…”
“เงียบไมอะ”
เอ้า พอมาเรื่องแบบนี้ล่ะโง่จังนะไอ้คชา!
“ก็กูไม่ได้ห้ามไม่ให้ชอบนิ มึงชอบไปดิ ชอบกูถือเป็นข้อยกเว้น”
"^_____^"
ยิ้มมมม
ยิ้มใหญ่เลยนะไอ้สัด!

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ส่วนคิวมาร์ช ปล่อยให้เค้าจีบกันต่อไป~