ตอนที่ 5 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 04 ll เขาถามเรา แปลว่าเขาใส่ใจ {LOADING 100%}

GENG :: พี่ครับ ยังอยากกินข้าวกับผมอยู่ไหม?
O_O
ฉันรีบขยี้ตากับสิ่งที่เห็นบนหน้าจอมือถืออีกครั้ง ข้อความจากไลน์น้องเก๋งเด้งขึ้นมาแถมยังเหมือนว่าเขาชวนฉันไปกินข้าวอีกด้วย ฉันไม่รอช้ารีบก้มหน้าก้มตาพิมพ์ตอบเขาไปโดยทันที ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อย่าเล่นตัวเลยโอกาสทอง
NEW’KOI :: เอ้า ว่างแล้วเหรอ
ฉันกดส่งไปพลางส่ายตัวไปมาเพราะความเขิน วันนั้นก็เกือบได้กินข้าวกับน้องเขาอยู่แล้วแต่แอนมันดันมาขัดจังหวะซะก่อน เลยกลายเป็นมื้อนกไปโดยปริยาย
“ว่างแล้วครับ”
ฉันเงยหน้ามองผู้ชายที่เดินมาตรงโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ ร่างสูงยิ้มให้ฉันชั่วครูก่อนจะค่อยๆ นั่งลง ฉันเผลออ้าปากค้างเพราะความตกใจเล็กน้อย เขาเดินมาหาฉันเลยเหรอ TT
“ระ เราไปไหนมาเหรอ” ฉันเอ่ยถามขึ้นเมื่อคนตรงหน้านั่งลง เขามองของในมือตัวเองนิ่ง จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาถืออะไรมาด้วย
“…”
“เก๋ง” ฉันเรียกคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องอะไรจากฉันเลย “ได้ยินพี่หรือเปล่า”
“…”
ฉันขมวดคิ้วพลางโบกมือไปมาตรงหน้าเขา แต่ไม่ยักจะมีวี่แววว่าคนข้างหน้าจะหันมามองหน้าฉัน
“เก๋ง!!!”
“คะ ครับ!”
เก๋งสะดุ้งตัวโหย่งก่อนจะเงยหน้ามองฉันด้วยสีหน้าเลอะละ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาเป็นอะไร คิดจะว่างก็ว่างแถมเดินมาหาฉันอีก แล้วยังมีหน้ามานั่งเหม่อเรียกเท่าไรก็ไม่ได้ยิน อาการแบบนี้นี่มัน…
“เราป่วยเหรอ” ฉันถามด้วยความสงสัย
“นิดหน่อยครับ…” เก๋งเกาหัวแก้เก้อ สีหน้าเขาดูเหมือนปกตินะ แต่แววตาเขานี่ไม่ใช่เก๋งคนเดิมสักนิด “ว่าแต่พี่อยากกินอะไรเหรอ”
คนตรงหน้ารีบตั้งคำถามเสนอเมนูกับฉันโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันใช้นิ้วเคาะหัวตัวเองพลางครุ่นคิด ในตอนแรกฉันก็เตรียมร้านที่จะพาเก๋งไปกินอยู่หลายที่เลยนะ แต่พอเห็นเขาบอกไม่ว่างฉันเลยยุบความคิดทั้งหมดลงถังขยะไป ไม่มีลิสต์ในหัวแล้วตอนนี้
“พี่…คิดไม่ออก” ฉันตอบเก๋งไปตามความจริง คนตรงหน้าแอบหัวเราะออกมานิดๆ ก่อนจะทำท่านึกคิดพอกัน
“พี่แพ้อาหารอะไรหรือเปล่า?” น้องเก๋งถามฉันอีกครั้ง ทำให้ฉันรีบพูดออกไปโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย
“พี่ไม่แพ้อะไร แพ้อย่างเดียว…”
แพ้หน้าน้องไง เห็นทีไรใจเต้นเร็วทุกที
“หืม??” น้องเก๋งเลิกคิ้วสงสัยกับคำพูดกำกวมของฉัน
“อ๋อ เปล่าๆ พี่หมายถึงไม่แพ้อะไรเลยไม่แพ้แม้แต่อย่างเดียว ฮ่าๆ”
“ผมแพ้อาหารทะเล” อยู่ๆ เก๋งก็บอกฉันขึ้นมาดื้อๆ “ที่พี่เอาส้มตำปูมาให้ผม ผมกินไม่ได้จริงๆ เลยไม่ขอรับไว้ดีกว่า ขอโทษนะพี่”
ฉันพยักหน้ากับคำบอกเล่าของน้องเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรหรอก ฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเลยแหะ มัวแต่เลือกของที่ตัวเองชอบจนลืมไปว่าเขากินได้ไหม
“แล้วเราชอบกินอะไรล่ะ”
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันแอบถามของชอบเขาไปเลยดีกว่า
“ผมชอบพวกขนมเค้ก นมปั่นอะ มันจะไม่ใช่ข้าวอะดิ” น้องเก๋งยิ้มแหยๆ
“งั้นเราไปร้านนมปั่นหน้ามหา'ลัยกันเถอะ”
ฉันลุกขึ้นก่อนจะชวนเขาไปทันทีโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น จริงๆ ฉันไม่ได้หิวอะไรมากมายหรอก แต่โอกาสแบบนี้กว่าจะมาหาเรายากจะตาย เมื่อมันมาเราก็ควรที่คว้ามันไว้เหมือนที่เจ้มิ๊วเคยเอ่ยสอนฉัน
เก๋งพยักหน้าด้วยสีหน้ามึนๆ ก่อนจะลุกตามฉันมา พลันสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นกล่องดนตรีในมือเขา มันเหมือนกล่องลูกแก้วที่มีหิมะอยู่ด้านใน แต่หุ่นตุ๊กตาในนั้นเป็นรูปอะไรฉันก็ไม่แน่ใจแหะ
“พี่สนใจเหรอ”
อยู่ๆ น้องเก๋งก็ชูสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองมาที่ฉัน และพอมองมันดีๆ มันคือตุ๊กตาผู้ชายร่างสูงกำลังกลางร่มให้ผู้หญิงที่กำลังอุ้มแมวตัวน้อยอยู่ น่ารักจังแหะ
“ซื้อไปให้ใครเหรอ ดูมันยังใหม่อยู่นี่” ฉันเงยหน้าถามขณะที่เก๋งยังมองของในมือตัวเองไม่ละสายตา
“ของผมซื้อไว้นานแล้วล่ะครับ” เก๋งยิ้มเจื่อนๆ อีกรอบ ดูสีหน้าเขาเริ่มไม่ดีขึ้นเลยแหะ “ถ้าพี่อยากได้มัน…”
“ไม่ๆ พี่ไม่อยากได้หรอก พี่แค่เห็นว่ามันน่ารักดี” ฉันรีบโบกมือปฏิเสธเมื่อเห็นว่าเก๋งยื่นกล่องดนตรีมาให้ฉัน มันก็น่ารักอยู่หรอก แต่ว่าเขาคงซื้อเอาไว้ให้คนอื่นล่ะมั้ง มันดูเป็นของขวัญมากกว่าจะซื้อมาเล่นเองนี่นา
เก๋งพยักหน้ารับก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าสะพายหลังสีดำของตัวเอง ฉันเลือกที่จะพาเก๋งเดินลัดเลาะให้ห่างสนามบอลมากที่สุดเพื่อที่อีตาทีจะได้ไม่ต้องมาสกรีมให้ฉันฟังเรื่องบ้าบอหรือพรากน้องเก๋งไปจากฉันอีก
“ผมขอถามอะไรพี่อย่างนึงได้ปะพี่”
ระหว่างที่เราเดินมาได้สักพัก จู่ๆ เก๋งก็เอ่ยปากพูดขึ้นทำให้ฉันต้องชะงักเท้าหยุดเดิน เก๋งกำสายกระเป๋าทั้งสองข้างแน่นสายตาของเขาพยายามหลบฉันตลอดเวลา นั่นจึงทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาต้องการอะไร
"ถามมาเลย" ฉันหันไปตอบเขาด้วยท่าทางสบาย
"พี่มีเพื่อนสนิทกี่คนเหรอ"
คำถามของเก๋งทำให้ฉันยิ้มออกมาเบาๆ เขากำลังใส่ใจประวัติฉันอยู่น่ะสินะ
"มีแค่แอนคนเดียวอะ เก๋งน่าจะเคยเห็นมันตอนที่เรารับรับน้องแล้วนะ คนเดียวกับที่มาเรียกพี่ที่โรงอาหารอะ"
ฉันอธิบายถึงเพื่อนรักอย่างออกอรรถรส เก๋งพยักหน้ารับรู้เหมือนกำลังสนใจกับสิ่งที่ฉันพูด เวลาเขากำลังจดจ้องมองฉันพูดนี่เขินชะมัด
"สนิทกันมากเลยเหรอ" น้ำเสียงสงสัยเอ่ยขึ้น ฉันได้แต่พยักหน้ารับแบบไม่ต้องคิดอะไรให้เยอะแยะ
"ทั้งชีวิตพี่มีมันคนเดียวนั่นแหละที่เข้าใจกันมากที่สุด"
"แล้วพี่ไม่มีแฟนเหรอครับ"
O///O
อยู่ๆ ใบหน้าฉันก็ร้อนผ่าวออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ จริงๆ มันไม่ใช่ประโยคที่ชวนเขินอะไร แต่เพราะคนตรงหน้าเป็นคนที่ฉันแอบชอบ คำถามนั้นเลยดูเหมือนว่ากำลังเปิดทางให้เขารับรู้ว่าฉันโสดนะแก จีบได้ ให้อาหารเป็น
"มะ ไม่มีอะ..."
"อ๋อ งั้นผมถามอีกทีสิ" เก๋งก้มลงมา หน้าของเขายื่นมามองที่ฉันเหมือนจดจ่อรอคำตอบจากปากฉันเพื่อความแน่ชัด
“ว่ามาสิ มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมจะถามว่า...”
“ว่า?”
“ถ้าคนที่พี่ชอบมาขอร้องให้เลิกคบเพื่อนสนิทพี่ พี่จะยอมไหมครับ”
คำถามของเก๋งเล่นทำเอาฉันน้ำลายจุกคอไปชั่วครู่ แววตากดดันเพื่อรอรับคำตอบแบบแนวแน่ของคนตรงหน้าทำให้ฉันต้องเลิกสบตาเขาก่อนจะค่อยๆ เดินไปตามทางฟุตบาทด้านหน้ามหาวิทยาลัย
“พี่คิดว่าคนที่พี่ชอบเขาคงไม่มาพูดกับพี่แบบนั้นหรอก” ฉันตอบเก๋งโดยไม่มองหน้าเขา
“ทำไมอะ”
“เพราะพี่ชอบคนดี ถ้าเขาพูดแบบนั้นแปลว่าเขาก็ชั่วแสนจะชั่วแล้วล่ะ”
ฉันหันไปยิ้มให้เก๋งที่มองมาที่ฉันอย่างเข้าใจ ไม่รู้ว่าเขารู้ไหมว่าฉันชอบเขา แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าใครมาพรากแอนกับฉันออกจากกัน คนๆ นั้นคงไม่ใช่คนดีสำหรับชีวิตฉันหรอก คนดีๆ เขาไม่ทำให้เพื่อนแตกแยกจริงไหม
“เป็นผม…ถ้ามีใครมาชอบผม ผมก็ไม่บอกให้เขาเลิกคบกับเพื่อนหรอก”
อยู่ๆ เก๋งก็หัวเราะออกมาเหมือนไม่ค่อยเต็มใจจะหัวเราะซะเท่าไร วันนี้เขาแปลกมากนะว่าไหม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สบายของแท้เลยล่ะ
“ถามพี่ทำไมอะ หรือมีคนมาสั่งให้เราเลิกคบที”
ถ้าเป็นอีตานั่นน่ะรีบๆ เลิกไปเลยก็ได้ ไม่ถูกชะตากับมันจริงๆ นะ ผู้ชายบ้าไรกวนประสาททั้งซีกซ้ายซีกขวาพร้อมกันเหมือนถูกกรมปศุสัตว์ฝึกมาดียังงั้นแหละ
“ผมแค่สงสัยเฉยๆ น่ะพี่ไม่มีอะไรหรอก” เก๋งเอามือวางบ่นบ่าฉันก่อนจะจับไหล่ฉันหมุนขวาเพื่อเข้าร้านนมปั่นขึ้นชื่อหน้ามหาวิทยาลัย ฉันเพิ่งได้มาที่นี่เป็นครั้งที่สาม เพราะช่วงนี้แอนไม่ค่อยว่างมากับฉันเลย เป็นเพราะมันเป็นเด็กกิจกรรมด้วยแหละ
ฉันชอบร้านนี้ตรงที่เจ้าของร้านเป็นอปป้าหล่อๆ สามคนแถมเป็นคนเกาหลีแท้แต่พูดภาษาไทยได้อย่างชัดแจ๋ว ร้านนี้มักชอบเปิดเพลงเกาหลีวงสุดโปรดของฉัน และมีออฟฟิเชียลหลายวงไว้ให้ดูเล่นอีก เก๋งนี่เดินเข้ามาในร้านแบบไม่เขรอะเขินอะไรเลย เสมือนว่ามาประจำงั้นแหละ
“อันยอง คอเรียคาเฟ่ยินดีต้อนรับครับ”
พนักงานหน้าร้านรีบเปิดประตูให้พวกเราขณะโค้งตัวลงเป็นการทักทาย เก๋งรีบโค้งตัวกลับเป็นมารยาทตามด้วยฉัน ภายในร้านตกแต่งออกแนววินเทจน่ารักๆ ดูไม่หรูหราอะไร เรียบๆ ง่ายๆ สบายตา เน้นสีน้ำตาลอ่อนและสีครีมเป็นหลัก เสียงเพลงจากวงไอดอลชายคนโปรดทำให้ฉันแอบพึมพำไปตามจังหวะเพลง นี่ถ้าไม่เกรงใจฉันคงเต้นโคฟเวอร์เข้าร้านไปแล้วนะเนี่ย แต่มีเก๋งอยู่ข้างๆ ฉันเลยห้ามตัวเองไว้ได้ทัน เราเลือกนั่งโต๊ะที่ติดกับกระจกร้านเพื่อที่จะมองออกไปดูวิวด้านนอกได้ เมนูทั้งหลายทั้งปวงวางบนโต๊ะก่อนที่เก๋งจะหัวเราะออกมาจนฉันต้องเงยหน้ามองพนักงานที่หน้าตาบูดเบี้ยวส่งมาที่ฉัน
“มองไรเจ๊” เสียงทีดังขึ้นทันทีที่ฉันกับเขาสบตากัน ฉันไม่ได้มาที่นี่นานมากจนเขาเปลี่ยนพนักงานเสริฟเป็นคนไทยสัญxไปตอนไหนเนี่ย
“พูดกับลูกค้าดีๆ หน่อยดิวะ” เก๋งตีมือทีเป็นการเตือนเบาๆ “แล้วนี่เลิกเล่นบอลแล้วมาทำงานเลยเนี่ยนะ”
“อาบน้ำแล้ว อย่าจับผิด จับผิดเจ๊คนนี้ดีกว่า”
อยู่ๆ ทีก็พยักหน้ามาที่ฉันเป็นเชิงบอกว่า เจ๊ที่ว่าคือตัวฉันเอง ฉันเบ้ปากมองบนแบบคนไม่พอใจไปชั่วครู่ จริงๆ เก๋งไม่น่าคบกับเพื่อนที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้วแบบนี้ได้นะ คงเหมือนกับที่ฉันและแอนคบกันมั้ง พอๆ กันนั่นล่ะ ไม่ว่ามันล่ะ -*-
“จับผิดอะไร เป็นพนักงานทำงานไปเลย”
ฉันพูดพลางเปิดเมนูเหมือนไม่สนใจแม้สายตาเขาจะจดจ้องเหมือนจะกินหัวฉันไปก็เถอะ
“จะงาบเพื่อนผมเหรอพี่ ไม่ดีมั้ง” ทีพูดอีกครั้ง
“เอานมสดคาราเมลปั่นแล้วก็…”
“เออเก๋งมึงรู้ยังว่าเจ้เขา…”
“สามร้อย ไปหลังร้านกับพี่หน่อยค่ะลูก”
ฉันพูดเสร็จก็ลุกขึ้นก่อนจะใช้แขนล็อกคอผู้ชายหัวทองลากเข้าหลังร้านไปโดยไม่บอกผู้จัดการร้านที่ยืนเป็นเกาหลีงงกิมจิอยู่ที่เคาน์เตอร์ เมื่อเรามาถึงหลังร้านที่เป็นห้องครัวล้างแก้วล้างจาน ฉันจึงปล่อยแขนที่คล้องคอทีออก คนตรงหน้าแบมือมาที่ฉันพร้อมกับกระดิกมือเป็นการเร่ง ฉันถอนหายใจทิ้งก่อนจะล้วงกระเป๋าตังค์และยื่นให้เขาไปสามร้อยฟรีๆ
ทุ่มเทกับอปป้าฉันยังไม่ทำขนาดนี้เลยนะ
“พี่จะปิดปากผมแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอก วันใดวันนึงผมก็ต้องบอกมันอยู่ดี”
“ฉันบอกเอง นายก็เก็บปากนายเอาไว้ร้องเพลงชาติตอนแปดโมงเช้าเถอะ”
ฉันพูดเสียงดุเผื่อคนตรงหน้าจะเกรงกลัวอะไรมาได้บ้าง แต่ดูท่าว่าเขาจะไม่นับถือฉันเลยสักนิดแถมยังเริ่มปะทุความกวนตีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนฉันปวดหัว
“ทำไมถึงชอบเพื่อนผม” ทียื่นหน้ามาหาฉันจนเกือบจะติดชิดจมูกฉันอยู่แล้ว พอมามองใกล้ๆ นี่ เหล็กดัดฟันสีชมพูกับสายตาบ๊องแบ๊วนี่มันอะไรกัน เด็กสมัยนี้งานดีพรีเมี่ยมขนาดนี้เลยเหรอ ผิวขาวเนียนที่เนียนยิ่งกว่าชะนีนี่อีก… “ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้รู้จักนิสัยส่วนตัวอะไรกันขนาดนั้น พี่ชอบเพื่อนผมที่หน้าตาใช่ปะ”
คำถามตรงไปตรงมาของคนตรงหน้าทำให้ฉันแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบาก กลิ่นแป้งเด็กอ่อนๆ บนตัวของเขานี่มันชวนทำให้เคลิ้มชะมัด แม้จะไม่ใช่กลิ่นผู้ชายจ๋าแบบเก๋งที่ฉันสัมผัสการดม (?) ด้วยการแอบชนแขนเขาเล็กน้อยมาแล้วก็เถอะ แต่กลิ่นธรรมชาติแบบนี้มันก็แอบน่าหลงได้เหมือนกันนะ
“อืม” ฉันเลือกที่จะตอบตรงๆ
“แล้วถ้าเก๋งมันนิสัยไม่ได้ดีเหมือนหน้าตาตามที่พี่เห็นอะ พี่ยังชอบอยู่เหรอ”
“ชอบ” ฉันพูดออกไปโดยไม่คิด “ถ้าเขานิสัยแย่ให้ฉันเห็นเมื่อไร ฉันจะเลิกชอบไปเอง แต่ถ้าเขานิสัยแย่เพราะนายมาไซโคบอกฉันว่าเขาแย่แบบนี้ ยังไงฉันก็ยังชอบอยู่ดี”
“มันเป็นเกย์นะ”
คำขู่เดิมๆ ของคนตรงหน้าแอบทำให้ฉันหัวเราะออกมา เกย์บ้าอะไรไม่สนใจผู้ชายเลยเนี่ยนะ ถ้าเกย์จริงเขาคงมองอปป้าหน้าร้านแบบไม่คาดสายตาแล้วเหอะ
“อย่าหลอกคนแก่เลยที พี่ผ่านมาเยอะแล้ว”
“งั้นแล้วแต่พี่แล้วกัน” ทียักไหล่แบบไม่ใส่ใจคำพูดฉันอีก เขาเก็บเงินใส่เอี้ยมสีดำประจำร้านก่อนจะถอยหลังห่างจากฉันไปหนึ่งก้าว “จีบเก๋งจีบยากหน่อยนะพี่”
“ทุกคนก็ล้วนแต่จีบยากหมดล่ะ”
“ไม่นะ”
“…”
“ยกเว้นผมไว้คนนึง จีบง่ายได้ง่ายแถมฟรีวายฟายที่ห้องด้วย :)”

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หึหึหลอกจูบเด็กมันตรงนั้นเลยค่ะข้อหาชอบอ้อยคนมีอายุกว่าเยี่ยงนี้5555555555
แต่เก๋งจ๋าที่หนูถามพี่เขาออกไปแบบนั้นหนูต้องการจะสื่ออะไรกับพี่เขาลูกถ้าคนที่พี่ชอบขอให้พี่เลิกคบกับเพื่อนสนิทพี่จะเลิกไหม
เป็นฉันนี่ตั๊นกับคำถามของแกนะบทจะตีมึนก็ตีซะง่ายๆแบบนี้เลยหรือปวดหัวแทนนิ้วก้อนจริงๆค่ะ
#ทีมทีสายอ่อยย
เด็กมันยั่ว นิ้วก้อยทำไง
ทีก้อยทีก้อยทีก้อยยย #ทีมที 5555555