ตอนที่ 29 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 28 ll เราคบกันครั้งแรก ต้องทำความประทับใจแก่เขา {LOADING 100%} อ่านทอล์คด้วยน้าาา

28
เราคบกันครั้งแรก ต้องทำความประทับใจแก่เขา
“แกล้อฉันเล่นเหรอก้อย!”
“ก้อยจะพูดเล่นทำไมเล่า”
ฉันพูดเสร็จกลิ้งตัวอยู่บนเตียงนอนสีขาวของเจ้มิ๊วด้วยอาการเขินที่ยังค้างคาไม่หายตั้งแต่เมื่อวาน เจ้มิ๊วอ้าปากค้างพลางทำหน้าตกอกตกใจกับเรื่องที่ฉันเล่าไปทั้งหมด ดูท่าว่าคนฟังเรื่องนี้จะช็อกไปในระยะยาวเลยแหะ
“ไอ้เด็กเก๋งเนี่ยนะจะมาขอคบกับแก ทั้งๆ ที่แกตามจีบนางมาตลอดถูกมะ”
คิ้วเจ้ขมวดเป็นปมจนฉันอดกลั้นขำไม่ได้ ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียงและส่งสายตาจริงจังให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คู่โต๊ะเครื่องแป้ง รอยยิ้มของฉันกว้างจนแทบจะอมโลกได้อยู่แล้วมันเป็นหลักประกันยืนยันไม่พอหรือไงว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง
ตอนฉันได้ยินเก๋งขอคบ ฉันทั้งตบหน้าทั้งหยิกแขนตัวเองไปหลายรอบ ผลปรากฏว่าฉันไม่ได้ฝันไปจริงๆ สติของฉันในตอนนั้นกระเจิงหายไปหมด ความรู้สึกอื้อตื้นตันวิ่งรอบตัวฉันไม่หยุดหย่อน ผิดถูกอะไรฉันไม่สนได้แต่พยักหน้าให้เขาไปอย่างว่าง่าย แถมรอยยิ้มดีใจของเก๋งยังทำเอาระทวยไม่หาย ใจฉันแทบวายใครจะรู้บ้าง ณ จุดนั้นมันแทบอยากจะหวีดออกมามากแค่ไหน
“เก๋งลองขอคบดูอะ ก้อยยังไม่รู้เลยว่าเขารู้สึกยังไงกับก้อยบ้าง ในตอนนั้นไม่มีอารมณ์อยากถามแล้วอะ คบก็คบสิ รอมาตั้งนาน”
“ร้ายแรง…” เจ้เบ้ปากให้กับประโยคที่ดูคล้ายว่าเห็นแก่ตัวสุดๆ ของฉัน “ถ้าเด็กนั่นมันแค่เหงาหรือแค่อยากมีเพื่อนฉันจะขำให้ อายุปานนี้แล้ว เขาไม่มาล้อเล่นกับความรักแล้วนะ”
ประโยคคุ้นๆ เหมือนฉันเพิ่งได้ฟังจากปากแอนมาหมาดๆ ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่า สิ่งที่แอนต้องการจะสื่อว่าเก๋งเข้ามายุ่งกับฉันเพราะมีเหตุผลอะไรหรือเปล่า ในตอนนี้เขาขอฉันคบแล้วนี่ เหตุผลแรก จะสำคัญอะไรล่ะว่าไหม
ตื้อเท่านั้นที่ครองโลกนี่ใช้ได้ผลในสถานการณ์ของฉันเสียจริง
“ไม่หรอก เก๋งเป็นรักแรกของก้อย ก้อยเป็นรักแรกของเก๋ง ดูโรแมนติกมะ”
ฉันพูดไปก็แอบเขินไป แม้จะไม่ชินปากที่พูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนั้น ฉันยังรู้สึกหน้าร้อนท้องมวนเหมือนตามเก๋งครั้งแรกไม่มีผิด ขนาดฉันจะได้คบกับเก๋งแล้วนะ
“เรียกแฟนได้ยัง” คำถามของเจ้ทำเอาฉันหยุดกัดหมอนข้างและชะงักงันมองเจ้แล้วคิดตาม “ขอคบน่ะ เขาขอคบในฐานะอะไร แบบแฟนเหรอ”
ฉิบหาย…
นี่ฉันกับเก๋งขอคบในฐานะอะไรอะ…
“ลืมถามว่ะเจ้…” ฉันเกาหัวหงุดหงิดตัวเอง รีบเหลือเกิน พอตอบตกลงเขาเสร็จก็วิ่งขอตัวกลับบ้านเพื่อจะไปกรี๊ดที่บ้านต่อให้สะใจ แถมคุยโทรศัพท์ด้วยกันเมื่อคืนก็คุยปกติไม่ได้มีคำว่าฟงแฟนอะไรให้ได้ยินเลยอะ
“เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ คู่แกเนี่ย” เจ้ทำหน้าเอือมกลอกตาไปมา
“แหม่ ขอคบคงเป็นแฟนแหละ จะเป็นอย่างอื่นได้ไงอะ ขอคบเป็นเพื่อนไม่มีใครเขามาขอแบบนี้กันหรอกเจ้” ฉันพูดตามหลักเป็นจริง เขินทั้งคู่ขนาดนั้น ขอคบเป็นเพื่อนซะที่ไหนล่ะ
“งั้นแกก็ต้องไปเดท”
เจ้มิ๊วย้ายที่นั่งมานั่งบนเตียงข้างฉัน สีหน้าสงสัยของฉันส่งไปให้คนตรงหน้าแสดงให้เห็นว่าพูดอะไรอะ ไม่เข้าใจ
“ต้องเดทด้วยเหรอ” ฉันตีหน้างง เจ้พยักหน้าให้แทนคำตอบ
“คบกันแรกๆ ก็ต้องเดท…” เจ้ทำหน้าชวนเคลิ้มเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวที่ฉันคาดเดาว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ “แต่ถ้าอยากข้ามขั้นล่ะก็ แกก็ต้อง…”
“ต้อง…”
ฉันลุ้นคนตรงหน้าว่าจะพูดอะไรออกมา เจ้ยิ้มให้ก่อนจะตบไหล่ฉันเบาๆ
“แกต้องได้กันสักครั้งหนึ่ง รับรองวันรุ่งขึ้นขบวนแห่ขันหมากมาแน่นอน”
“โอ๊ยเจ้!” ฉันเรียกคนตรงหน้าอย่างหัวเสีย ความคิดอื่นของเจ้นี่ไม่เคยรอดพ้นไอ้เรื่องบนเตียงเลยอะ “ให้ก้อยมีความรักใสๆ บ้างเหอะ เก๋งยังเด็กนะเจ้”
“อิบ้า ปีหนึ่งแล้วเด็กบ้าอะไร เผลอๆ ในมือถือนางมีหนังเอวีสามพันเรื่องสะสมเป็นคอลเลคชั่นเลยมั้ง” พอเจ้พูดถึงเรื่องแบบนี้ ถ้านึกหน้าเก๋งตอนกำลัง… “แกคิดไรยัยก้อย!”
ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อเจ้ใช้มะเหงกเขกกระบาลเข้าให้
“กลับมาที่เรื่องเดทเถอะเจ้”
ฉันรีบเปลี่ยนประเด็นที่เริ่มโยงไปไกลยกใหญ่ เดทคือการชวนกันไปที่ไหนสองต่อสองใช่ปะ ฉันคิดที่ดีๆ ไม่ออกเลยแหะ
“เดทครั้งที่แล้ว แกพาเก๋งไปสนามบินใช่ไหม”
ฉันกลอกตานึก จริงสินะ เราสองคนเคยเดทกันมาครั้งหนึ่ง แม้ว่าครั้งนั้นเก๋งจะไม่ได้เต็มใจจะไปด้วยก็เถอะ ฉันชวนเขาแถมยังเออออเองว่านั่นเป็นเดทแรกของเราสองคน ทั้งๆ ที่ยังไม่เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ
“ใช่ แต่ครั้งนี้เจ้คิดให้ก้อยเถอะ ก้อยคิดเองคงไม่พ้นพาเก๋งไปติ่งด้วยแน่ๆ”
“คิดได้นี่ยะ”
คำแขวะบวกกับสายตากัดจิกรุนแรงมองมาที่ฉัน ก็คนมันไม่เคยไปไหนนอกจากที่แบบนั้น
“หรือว่าก้อยควรจะโทรถามเก๋งดีว่าอยากไปที่ไหน อยากกินอะไร หรืออยากซื้ออะไรหรือเปล่า ก้อยจะได้พาไป อะไรแบบนี้ดีปะเจ้”
ฉันคิดวางแผนเป็นตุเป็นตะ นี่คืออนาคตที่ฉันเคยวาดฝันจะทำให้อปป้าเลยนะ แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ฉันมีตัวจริงแล้ว ฉันควรเอาการลงทุนที่เคยหวังไว้กับอปป้ามาลงที่เขาให้หมด
“นี่เปย์ผู้ชายเหรอ” คำถามเหยียดเต็มๆ หน้าฉัน พอมานึกได้ว่าฉันกำลังเอาความเปย์มาคิดแผนการนี่นา… “นี่เก๋งไม่ใช่อปป้าแกนะ ที่แกจะซื้อจะทุ่มทุนอะไรให้นางก็ได้ ในความเป็นจริงขณะนี้เราเป็นเลดี้ ผู้ชายต้องเปย์เราจ่ะหนูถึงจะถูก”
“ก้อยกลัวเก๋งเป็นฝ่ายเสียเปรียบฝ่ายเดียวนี่” ฉันยู่ปากอย่างรู้สึกผิด
เคยทุ่มทุนเพื่อผู้ชายอย่างศิลปินไอดอลมานักต่อนักไม่เคยเสียดาย ฉันก็อยากทำแบบนั้นกับคนที่ฉันรักบ้าง แต่บางทีฉันก็กำลังเกินขอบเขตไปจริงๆ นั่นแหละ
“แกลองทำพวกของ DIY ทำมือกิ๊บเก๋ให้นาง นางก็น่าจะดีใจแล้วนะเจ้ว่า” เจ้เสนอบางอย่างขึ้นมา ทำเอาฉันตาลุกวาวเสมือนเจอทางสว่าง “แกเคยทำอะไรแบบทำมือบ้างอะ ทำให้เก๋งเลย”
“ก้อยเคยทำเองอยู่อย่างหนึ่ง และดูท่าว่าจะสวยที่สุดเท่าที่ก้อยเคยทำมาเลยอะ”
“เออ นั่นแหละ แกก็ทำไปให้เก๋ง” เจ้เห็นด้วยกับฉัน ฉันพยักหน้าตอบแสดงความเข้าใจในคำพูดเจ้ “ว่าแต่แกจะทำอะไรอะ”
“เป็นของที่มองจากที่ไกลก็สามารถเห็นได้อย่างแน่นอน”
“โอ้โหอลังการ ต้องเป็นลูกโป่งบอลลูนกิ๊บเก๋เซอร์ไพรส์การคบกันแน่ๆ”
“หึ ไม่ใช่อะ”
ฉันส่ายหน้าให้เจ้เมื่อคำตอบที่เจ้ตอบมันผิดอย่างสิ้นเชิง
“แล้วอะไรวะ”
เจ้ย้อนถามกลับทำให้ฉันเขินม้วนอาย พอคิดถึงตอนที่ฉันจะเอาไปให้เก๋งก็เขินแล้วอะ ฉันส่งสายตาจริงจังให้คนข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงมั่นใจและแน่วแน่ออกไปทันที โดยไม่ลังเลในคำตอบอะไรทั้งนั้น...
“ป้ายไฟ”
“เอาไว้ชูหน้างานบวชลูกแกเถอะ!”
เจ้ทำหน้าเอือมระอาบวกน้ำเสียงเหมือนถูกขัดใจอย่างเห็นได้ชัด
“ก้อยทำอะไรไม่เป็นสักอย่างอะ รู้อยู่ว่าก้อยเคยมีแฟนกับเขาซะที่ไหน”
ฉันสีหน้าสลดเมื่อนึกถึง เจ้มิ๊วตบไหล่ฉันเบาๆ เป็นเชิงปลอบ
บางทีก็รู้สึกโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างนอกจากรู้สถานที่อปป้าจะไปไหน นอนโรงแรมอะไร ตารางงานมาวันไหน ฉันรู้มากสุดและเซียนสุดในชีวิตมีแค่นั้นแหละ พักหลังไม่ได้ตามเกาหลีแล้ว เพราะฉันมัวแต่จดจ่อจริงจังกับเก๋งเพียงคนเดียว เรื่องบางเรื่องฉันยังแยกแยะเอาเกาหลีออกจากความรักจริงๆ ไม่ได้เลยอะ
เคยเกือบเผลอเรียกเก๋งว่าอปป้าด้วยล่ะ คัมซามีดาไหมละแก
“ทำครัวไง แกทำอาหารพอกินได้ในระดับหนึ่ง ลองชวนเก๋งไปบ้านดู เขายังไม่เคยไปบ้านแกเลยไม่ใช่ พ่อแม่แกไม่อยู่ด้วยถือโอกาสทองจับนางปล้ำในซิงค์ล้างจานแม่ง”
“เจ้!”
“แหม่ อรรถรสปะละ”
เจ้ทำหน้าทำตาเขินกับความคิดตัวเอง ฉันพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองนึกภาพนั้นอยู่ ไม่งั้นเจ้าเลือดกำเดาคงได้ไหลมาอีกแน่ๆ ยิ่งเซ้นซิทีฟกับเรื่องนี้อยู่
บางทีการทำอาหารให้เก๋งกินอาจเป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้นะ ถึงมันไม่อร่อยอะไรมากมาย แต่ทุกครั้งเวลาทำให้เปาโลกิน รายนั้นก็กินหมดตลอดแม้ปากจะบ่นว่ารสชาติงั้นๆ ก็เถอะ
ติ้ง!
เสียงเตือนเดิมๆ ดังขึ้นมาในขณะที่ฉันยังใช้หัวคิดในการต้อนรับวันแรกคบของเรา มันต้องประทับใจสิ เพราะกว่าจะคบกันได้ฉันต้องแบกหน้าแหกไปแล้วไม่รู้กี่รอบนี่เนอะ
ฉันเลื่อนหน้าจอมือถือเข้าแอพฯ ไลน์ก่อนจะดูชื่อคนที่ส่งข้อความมา และมันก็เป็นชื่อของคนที่ถูกกล่าวถึงในหัวข้อบทสนทนาวันนี้เสียด้วยสิ
GENG :: ไปไหนกันดี J
เก๋งส่งข้อความมาเหมือนรู้ใจว่าฉันอยากจะชวนเขาไปเดท ฉันปิดปากเก็บอาการไม่ให้มันกรี๊ดออกมา แม้พักนี้เก๋งจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาให้ฉันก่อนตลอด แต่ฉันก็ยังไม่ชินหรือทำตัวเป็นปกติได้สักที จนกระทั้งตอนนี้ฉันยังเห็นเก๋งเป็นคนที่ฉันแอบชอบอยู่ ใกล้เขาก็เหมือนมีพลังงานทำให้ฉันหน้าร้อนอยู่ตลอด
ทุกคนต้องมีโมเม้นแอบชอบบ้างล่ะ ถ้าเกิดมาแล้วไม่เคยมันก็แปลกอยู่นะ และทุกครั้งที่เราได้เห็นได้เจอคนที่แอบชอบ เรามักจะทำเหมือนว่าไม่สนใจอะไรเขา แต่ข้างในนี่แทบจะวิ่งรอบกรุงเทพอยู่แล้ว แค่เขาหันมาสบตามันก็สามารถทำให้เราเก็บไปเพ้อเป็นตุเป็นตะได้
นี่แหละ อาการที่ฉันเป็นอยู่ประจำ และมันแก้ไม่เคยหายสักที
คนเป็นแฟนกันนี่เขินแฟนคงไม่ผิดหรอกมั้ง
NEW’KOI :: เก๋งมาบ้านพี่ไหมละ เก๋งยังไม่เคยเข้ามาในบ้านเลยนี่
เหมือนฉันกำลังแรดชวนผู้ชายเข้าบ้านแสดงความอ่อยยังไงไม่รู้แหะ
GENG :: จะทำอาหารเลี้ยงเก๋งเหรอ
/ ส่งสติ๊กเกอร์หมูสูดกลิ่นอาหาร
ฉันยิ้มนิดๆ จนเจ้มิ๊วที่นั่งอยู่ข้างฉันยังต้องกระแอมให้ฉันหยุดเขินสักที แหม่ เก๋งเขาดูเหมือนรู้ทันไปซะหมดเลยนี่นา
NEW’KOI :: จะลองเสี่ยงตายดูไหมล่ะ
GENG :: เอาดิ แฟนทำทั้งที
หึ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!
ฉันเบิกตากว้างใจคึกโครมก่อนจะยื่นหน้าจอให้เจ้อ่านเพื่อย้ำความมั่นใจที่เจ้แอบสบประมาทฉันไว้เมื่อครู่
เห็นไหมว่าฉันกับเขาอยู่ในฐานะแฟนนนนน
“ย่ะ อวดเข้าไป อวดเหมือนแกอวดอัลบั้มเกาหลีเลย อิหอยดอง”
เจ้ทำอาการอิจฉาแรงใส่ฉัน ฉันได้แต่ยิ้มเหยียดมุมปากเหมือนคนได้ชัยชนะครั้งนี้ไป เจ้มิ๊วคงหมั่นไส้ฉันถึงขนาดต้องลุกขึ้นถีบหลังฉันเบาๆ แต่ฉันไม่โกรธ ตอนนี้กำลังอารมณ์ดีกับคำเมื่อกี้อยู่ โหะ โหะ โหววววว
มือฉันสั่นจนพิมพ์ข้อความไม่ได้ มันดูเหมือนเปลี่ยนพลิกชีวิตฉันไปเลยอะ จากคนที่ไม่เคยมีแฟนแถมยังตามเขามาตลอด ไหงไปๆ มาๆ เขากลับมาขอฉันคบดื้อๆ ทั้งที่ฉันยังไม่บอกความในใจเลยด้วยซ้ำ
NEW’KOI :: เดี๋ยวพี่จะกลับบ้านพอดี เก๋งรอที่หน้าหมู่บ้านเลยนะ พี่กำลังไปแหละ
ฉันปิดหน้าจอทันทีที่พิมพ์ข้อความนั้นเสร็จพร้อมหยิบกระเป๋าใบเดิมขึ้นมาสะพายและลุกเพื่อจะกลับบ้านไปหาคนที่รออยู่ปลายทาง
ฉันจะไปเดทอะแก ตื่นเต้นเป็นเพื่อนหน่อย (ทำหน้าระรื่นรอรับส้นเท้าเต็มเปี่ยม)
“จะกลับแล้ว?” เจ้ถามทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นว่าฉันลุกเตรียมจะออกนอกห้อง
“อืม เก๋งจะไปที่บ้านก้อยอะ” ฉันพยักหน้ารับ “ก้อยมีแฟนแล้วนะเจ้ ยินดีหน่อยยย”
ฉันเดินกลับไปหาเจ้ที่ทำหน้างอนเมื่อเห็นว่าฉันจะกลับ ฉันดึงแก้มเจ้ยืดออก หน้าเจ้นี่มองไปมองมาเหมือนกุ๋ยช่ายนะเนี่ย ใส่จิ๊กโฉว่สักนิดนี่เคี้ยวเพลินเลยมั้ง
“จ้า ขอให้รักกันนานๆ ถามเด็กนั่นด้วยว่าทำไมถึงมาขอเป็นแฟน เห็นอะไรในตัวเรา ลองถามดู”
ฉันพยักหน้าอันแสนบานของตัวเองให้กับเจ้ ก่อนจะถอนสายบัวก่อนจาก เจ้โบกมือบ๊ายบายกลับมาตามมารยาท ฉันรีบสาวเท้าออกจากตึกคลับของเจ้ และมองหามอเตอร์ไซค์เพื่อกลับบ้านเหมือนปกติ
ไม่นานนักวินมอเตอร์ไซค์ที่ฉันรอก็ขี่ผ่านมาพอดี ฉันจัดการโบกและซ้อนท้ายเป็นการด่วน เราจะปล่อยให้ฝ่ายนั้นมายืนรอเราทั้งที่อากาศอบอ้าว มีแดดร้อนๆ ไม่ได้หรอก
เมื่อบอกเส้นทางพี่วินเป็นอันเรียบร้อย มอเตอร์ไซค์รีบมุ่งหน้าไปยังจุดหมายอย่างทันที ระหว่างทางฉันพยายามส่งข้อความบอกเปาโลว่าจะมีแขกมาบ้าน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ใช้โซเชี่ยลทุกช่องทางในขณะนี้
คงไม่อยู่บ้านสินะ
ฉันเก็บมือถือลงกระเป๋าไว้ตามเดิม สายตาเหลือบเห็นมือถืออีกเครื่องของที ฉันยังไม่ได้เอาไปคืนเขาเลยอะ ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมแรกยิ่งคงไม่ได้เจอกันแน่ๆ ฉันลองกดเปิดเครื่องดูก็พบว่าเครื่องไม่ติด สงสัยจะแบตหมดแหะ ไว้เดี๋ยวถึงบ้านฉันค่อยชาร์ตไว้ให้เขาแล้วกัน
“จอดตรงนี้เลยค่ะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นสั่งพี่วินให้เบรกรถเมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้านและรีบลงรถจ่ายเงินเขาไป โชคดีที่มันมีป้ายรถเมล์เล็กๆ ไว้ให้เก๋งนั่งรอ เขาจะได้ไม่ร้อนมาก ฉันทำเวลามาถึงที่นี่ได้ภายในสิบนาที ถือว่าไม่นานหรอกเนอะ
“เก๋งรอนานไหมอะ”
ฉันวิ่งไปหาผู้ชายที่นั่งรอฉันาก่อนแล้ว เก๋งยิ้มพลางส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาลุกขึ้นทันทีที่ฉันเดินเข้าไปหา
“พี่ไปไหนมาเหรอ” เก๋งเอ่ยถามในขณะที่เราสองคนกำลังเดินเข้าซอยในหมู่บ้านฉัน
“ไปหาเจ้มิ๊วมาน่ะ คนที่เป็นเจ้าของคลับคนนั้นไง”
“อ๋อ…” เก๋งทำหน้านึกออก “คนที่แอบลวนลามเก๋ง เก๋งจำได้”
ฉันชักเท้าไปนิดๆ เขาจำเจ้ได้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมไม่บอกฉันอะ TT
“เก๋งจำเจ้เขาได้ด้วยเหรอ” รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำผิดอะไรบางอย่างไว้ ตอนนั้นเป็นตอนที่ฉันส่งเจ้ไปเพื่อเล่นละครนี่หว่า เก๋งจะรู้ไหมว่าฉันเคยรังควานเขาเนี่ย
ซาแซงตัวแม่ของเขาก็ฉันนี่แหละ
“จำได้ดิ” เก๋งหันมาทำหน้ามั่นอกมั่นใจ แต่ฉันนี่รู้สึกเหมือนถูกจับโป๊ะไปเต็มๆ “ตอนนั้นพี่ส่งเขามาคุยกับผมเหรอ ตลกอะ”
และเขาก็รู้ด้วยว่าฉันส่งเจ้ไป -_-
“เปล๊า เจ้เขาจำผิดคนจริงๆ” ฉันยังคงตีเนียนเล่าความเท็จใส่เขา
“อย่ามาโกหกเก๋งนะ” เก๋งเอามือมาดึงแก้มฉันเบาๆ เหมือนเป็นการลงโทษ แทนที่ฉันจะโกรธหรือทำหน้าตึงตังใส่เขา ฉันกลับยิ้มและพยายามหลบสายตาตลอด ไม่ชินอะ ยังไงฉันก็ไม่ชิน “เขินไรอะ แค่นี้ก็เขิน”
เก๋งยังคงเอียงคอทำหน้าทำตาล้อฉัน กะจะให้ลงไปดิ้นเลยมั้ง
"หยุดได้แล้ว" ฉันปัดเบี่ยง เก๋งทำหน้าตางงกับคำพูดฉันไปเล็กน้อย
"หยุดอะไรอะ" คนด้านข้างถามด้วยน้ำเสียงสงสัยจริงๆ
"หยุดน่ารักได้แล้ว"
ฉันพูดไปด้วยท่าทางนิ่งและพยายามทำเป็นเฉยๆ แม้จะแอบอมยิ้มเพราะเขินจนจะแก้มแตกอยู่ก็เถอะ เก๋งก็น่าจะรู้ว่าฉันเขินจนหน้าแดง เขาก็เลยทำได้แค่หัวเราะออกมาไม่แกล้งล้อฉันอีก
ฉันล้วงกุญแจเตรียมไขเข้ารั้วหน้าบ้าน สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินกินไอติมมาแต่ไกล ท่าทางเดิมๆ กลายเป็นสิ่งประจำตัวของผู้ชายคนนั้น บวกกับสีผมสีใหม่ซึ่งเป็นสีดำขับปรับลุคเด็กให้ดูผู้ใหญ่ขึ้นอย่างน่าตกใจ ผู้ชายร่างบางชะงักงันทันทีที่มองเห็นฉันกับเก๋งกำลังไขรั้วหน้าบ้าน ฉันหันไปมองเก๋งที่กำลังมองผู้ชายคนนั้นอย่างแปลกใจ ทันทีที่กำลังอ้าปากจะบอกอะไรบางอย่างกับเก๋ง ผู้ชายคนนั้นก็รีบวิ่งพุ่งตรงมาหาโดยไม่ห่วงของกินในมือเลยแม้แต่น้อย
ฉันเบิกตาตกใจกับการกระทำของผู้ชายตรงหน้าที่พุ่งสวมกอดฉันพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่ ตัวฉันแข็งทื่อทันทีที่โดนอะไรแบบนั้น เก๋งผงะถอยไปนิดๆ เมื่อผู้ชายตรงหน้าตวัดหางตามองเขาด้วยสีหน้านิ่งก่อนจะหันมายิ้มตาหยีให้ฉันในคนละอารมณ์ ฉันอ้าปากพร้อมจะต่อว่าการกระทำอันจงใจกวนตีน จู่ๆ ผู้ชายที่สวมกอดฉันอยู่ก็เอ่ยดักทางอย่างรู้ทัน…
“ที่รักหายไปไหนมาครับ เค้ารอนานมากเลยอะ”
รอนานกับป้าแกสิ อิเปาโล!


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เปาโลอย่ามาแกล้งเก๋งของเค้านะะ