ตอนที่ 28 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 27 ll ถ้าเราพร้อม ให้บอกเขาได้เลย {LOADING 120%}


27
ถ้าเราพร้อม ให้บอกเขาได้เลย
"นี่อัปป้า นี่ออมม่า กุ๊งกิ๊งมีครบแล้วเนอะ!"
เก๋งพูดคุยกับแมวตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขจริงๆ ฉันเลอะละทำตัวไม่ถูกไปชั่วครู่เมื่อได้ยินประโยคที่อยู่ๆ เขาก็พูดคิดเองเออเอง
อัปป้า = พ่อ
ออมม่า = แม่
กุ๊งกิ๊ง = แมว = ลูก
แบบนี้ก็ได้เหรอ...
พอคิดเลือดก็ไหลสูบฉีดขึ้นใบหน้าเล่นทำเอาฉันต้องเบี่ยงหน้าหลบเพื่อปกปิดไม่ให้เขาจับได้ว่าฉันกำลังเขินอยู่ ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยเล่นพ่อแม่ลูกกับเพื่อน ทำไมความรู้สึกมันต่างกันแบบนี้นะ
“คะ คือพี่ลงไปข้างล่างก่อนนะ”
ฉันปัดเบี่ยงประเด็นเรื่องครอบครัวของกุ๊งกิ๊งทันที เก๋งรู้หรือเปล่าเถอะว่าอัปป้าออมม่ามันแปลว่าไร ถ้าเขารู้มันก็เหมือนมัดมือชกกันชัดๆ
ฉันหน้าแดงจนจะกลายพันธุ์เป็นมะเขือเทศอยู่แล้วเนี่ย
“งั้นผมไปด้วย เริ่มหิวแล้วอะ”
เก๋งรีบลุกขึ้นจากเตียงและวางกุ๊งกิ๊งให้นอนสบายใจเฉิบตามเดิม เขาลูบท้องแสดงถึงความหิวอย่างจริงจัง ฉันพยักหน้าให้กับประโยคของเขา ไม่วายยังแอบยกมือทาบอกตัวเองที่เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ว่ามันจะกระเด็นออกมาข้างนอกซะให้ได้
เก๋งเดินนำฉันลงไปข้างล่างก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะทานข้าวสำหรับครอบครัวเล็กๆ เรามาในช่วงที่แม่ของเก๋งจัดวางอาหารเสร็จพอดี เพราะฉันเห็นว่าแม่ของเขากำลังปลดผ้ากันเปื้อนพอดี
แม่เก๋งเงยหน้ามองมาเป็นจังหวะเดียวที่ฉันยกมือไหว้ท่านพอดี แม่เก๋งยิ้มให้ฉันเป็นการรับไหว้ ก่อนที่เก๋งจะเขยิบเก้าอี้ให้ฉันเพื่อนั่งข้างๆ เขา
“ขึ้นไปหากุ๊งกิ๊งกันมาเหรอ” แม่เก๋งถามพลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามพวกเรา ฉันพยักหน้าให้แทนคำตอบ “อะไรกันคะน้องเก๋ง ทีพี่อยากอุ้มกุ๊งกิ๊งแทบตายยังไม่ให้พี่ยุ่ง ทำไมคราวนี้น้องก้อยถึงได้เข้าไปจับมันได้ล่ะ”
แม่เก๋งแสดงสีหน้าเหมือนเคืองๆ แต่ก็แอบแฝงความหยอกล้อของสองแม่ลูกเอาไว้ เก๋งยิ้มส่งให้แม่ด้วยท่าทางเขิน ไม่ได้ตอบอะไรกับผู้เป็นแม่ไป
ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งเก็บอาการเขินเอาไว้ ไม่แสดงออกกระโตกกระตากดูออกนอกหน้าอะไร
“แล้วโก๋ไม่มาทานข้าวกับเราเหรอคะ”
ฉันที่เห็นว่าแม่เก๋งเริ่มลงมือตักหม้อไฟเสริฟให้พวกเรา จึงหันซ้ายขวาเพื่อมองหาสมาชิกครอบครัวอีกคน เขาออกไปข้างนอกตั้งนานน่าจะกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ
“ถามถึงเราทำไมเหรออออ”
ไม่ทันขาดคำ เสียงเจื้อยแจ้วจากคนที่ฉันเพิ่งเอ่ยถามถึงก็โผล่มาพร้อมกับถุงพลาสติกขนาดใหญ่ โก๋จัดการวางมันไว้บนโซฟาก่อนจะรีบเคลื่อนตัวมานั่งข้างแม่ตัวเองด้วยความหิว
“เห็นหายไปนานคิดว่าจะไม่มาร่วมโต๊ะด้วยกันน่ะสิ” ฉันพูดติดขำ
โก๋ยู่หน้าเล็กน้อย เขามองฉันสลับกับเก๋งไปมาจนฉันต้องเลิกคิ้วสงสัย
“นี่ก้อยโชคดีเกินผู้หญิงคนอื่นไปปะแม่” โก๋หยิบตะเกียบชี้ฉันพลางหันไปถามแม่ตัวเองอย่างสงสัย “ทีผมขอเอาเพื่อนสนิทมาบ้านแม่ก็ไม่ให้มา ลำเอียง”
โก๋ตัดพ้อแม่ตัวเองก่อนจะซัดหมูย่างบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย ฉันหันไปมองเก๋งที่มองพี่ชายตัวเองอย่างตลกในคำพูด
“เพราะแม่ไม่ถูกชะตาไงพี่ แม่เขาดูออกว่าใครดีไม่ดี” เก๋งรีบพูดขัดโก๋ คนเป็นพี่เงยหน้าขึ้นมาทั้งที่ปากยังคงคาบผักกาดใบโตอยู่ โก๋คายมันออกก่อนจะรีบเถียงทันควัน
“แค่คุยเรื่องซีรี่ย์เนี่ยนะดูออกเลยเหรอ เธอก็อีกคนทำบุญด้วยอะไรเนี่ยแม่ฉันถึงชวนมากินข้าวที่บ้าน บ้าจริง”
ป๊าป!
“น้องโก๋ขี้อิจฉาเหรอคะ”
โก๋ทำสีหน้าเจ็บปวดเมื่อแม่ตัวเองลงไม้ลงมือทุบเข้าที่แผ่นหลังเต็มๆ เขาไม่ได้ร้องโอดครวญอะไรออกมา เพียงแต่แอบมองแรงน้องตัวเองแบบเอาฮา ฉันรู้ว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องที่ท่าทางจะรักกันดี เขาไม่ได้โกรธอะไรกันจริงหรอก
“ดูเก๋งดิ ยิ้มหน้าบานเชียว ขืนคัดเลือกผู้หญิงให้ผมอยู่แบบนี้ แม่จะให้ผมขึ้นคานหรือไง อะ”
โก๋ยังเถียงแม่ตัวเองไม่เลิก ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าเอือมเลิกสนใจลูกชายคนโตก่อนจะจัดการส่งผักกาดสำหรับกินกับเนื้อหมูย่างมาให้ฉัน ขณะที่กำลังรับจากมือแม่ อยู่ๆ เก๋งก็เอื้อมมือมารับไว้เหมือนกัน ทำให้สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเรากำลังจับมือกันทางอ้อมยังไงอย่างนั้น
“แหม่ เบาๆ หน่อยค่า” แม่เก๋งเอ่ยทักขึ้น ทำให้เราสองคนชะงักมือออกจากกัน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับจานอาหารตัวเอง “แล้วเราสองคนคบกันหรือยังล่ะ”
“แม่!”
พรวด!
เก๋งรีบเงยหน้าเรียกผู้บังเกิดเกล้าเสียงดัง โก๋คว่ำปากล้อเลียนน้องตัวเองแถมยังบ่นมุบมิบๆ ทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉาเฉย ส่วนฉันก็ต้องปิดปากเพราะหมูในปากกำลังจะกระเด็นออกไป ก่อนจะคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อกลบเกลื่อนอาการตกอกตกใจกับคำถามของแม่เก๋ง
“น้องจะเรียกพี่ทำไมเสียงดังครึกโครมขนาดนั้นคะ พี่ถามเฉยๆ เองค่ะ ไม่ได้ทำรุนแรงอะไรกับน้องเลย” แม่ทำหน้าตื่นไปหาเก๋ง
“แม่ถามอะไรเกรงใจพี่ก้อยบ้างดิ พี่เขาเป็นผู้หญิงนะ” เก๋งเถียงแม่ทันควัน แต่ท่าทางเลอะละของเก๋งนี่ทำเอาฉันเผลอขำออกมา
“หนูก้อยคิดยังไงกับน้องเก๋งเหรอ พี่อยากรู้มากเลยอะ”
“เออนั่นดิ!”
สองคนทั้งแม่และลูกชายคนโตรีบเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฉันค่อยๆ กลืนหมูที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดลงคออย่างลำบาก พอแอบชำเลืองมองคนข้างๆ เขากำลังมองมาเหมือนรอคำตอบนั้นเหมือนกัน
“ก็…”
“กินกันเถอะ”
เก๋งรีบตัดบทจบและหยิบถ้วยกิมจิตรงหน้าตัวเองส่งมาให้ฉัน สายตาคนตรงหน้าทั้งสองมองไปทางเก๋งด้วยความผิดหวังแรง ฉันว่าแม่เก๋งคงอยากรู้คำตอบจริงๆ แหละ แต่ขืนฉันบอกต่อหน้าเก๋งแบบนี้ มันก็เหมือนกับบอกชอบเขาทางอ้อมไม่ใช่หรือไง เอาไว้ให้บอกต่อหน้าเขาเพียงสองคนเองจะดีกว่า
คิดว่าฉันควรถามเรื่องบางเรื่องที่ค้างคาใจฉันให้หายข้องก่อน ฉันถึงจะตัดสินใจบอกชอบเขาไป ถ้าคำถามที่ฉันถามได้คำตอบที่ชัดเจนพอนะ...
“น้องเก๋งน่ะ ไม่เคยมีแฟนเลยนะ น้องก้อยต้องดูแลน้องเขาดีๆ นะคะ น้องอาจจะทำอะไรขัดหูขัดตาไปบ้างอย่าถือสาเนอะ คนไม่เคยมีแฟนก็เป็นแบบนี้ล่ะ”
แม่เก๋งใช้ตะเกียบชี้หน้าลูกชายคนเล็กของตัวเองเหมือนกำลังแกล้งปั่นประสาทเก๋ง คนด้านข้างใช่ว่าจะนิ่ง เขายังคงทำท่าทำทางพยายามให้แม่ตัวเองหยุดพูดสักที แม่เขาก็ดูจะแกล้งเขาเรื่อยๆ เหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ
ตลกดีนะครอบครัวนี้ ดูมีความสุขจนทำฉันหุบยิ้มไม่ได้เลย
“มาถึงขนาดนี้แล้ว คบกันได้แล้วมั้ง ก้อยรู้ปะเก๋งมัน…ตุบ” เสียงท้ายสุดเป็นเสียงการปาตะเกียบอันแสนแม่นยำของเก๋งไปสู่หน้าอกพี่ชายตัวเอง โก๋ก้มมองตะเกียบชั่วครู่ก่อนจะเคลื่อนสายตากดดันไปที่น้อง “แกกล้าทำพี่เหรอ”
โก๋เริ่มเดือดดาดลงไม้ลงมือเอาตะเกียบตัวเองคีบหมูในจานของเก๋งกินอย่างบ้าคลั่ง ฉันหัวเราะออกมาเพราะมันตลกสุดๆ ที่เขาทะเลาะกันด้วยวิธีแบบนี้ แต่ก็ต้องหยุดหัวเราะกะทันหันเมื่อเห็นสายตาของแม่เก๋งมองมา แม้มันจะไม่ใช่สายตานิ่งจนน่ากลัว แต่การมองมาแบบนั้นก็เล่นทำเอาฉันเกร็งอยู่พอตัว
“ถ้าพร้อมแล้วบอกพี่นะ”
แม่เก๋งพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงจริงจัง โก๋และเก๋งหยุดแย่งเนื้อกันชั่วครู่พร้อมกับหันไปมองหน้าแม่ตัวเองด้วยความสงสัยไม่ต่างอะไรกับฉันในตอนนี้
อยู่ๆ ก็พูดมาแบบนั้น เป็นใครก็ไม่เข้าใจอะ
“คะ?”
“พร้อมเป็นลูกสะใภ้ของพี่ให้บอกนะ…” ฉันกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่ สายตาโก๋และเก๋งเคลื่อนมองเข้าหากันอย่างงงๆ ...
“พี่ยินดีต้อนรับ J”
”แม่เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ผมอาย”
เก๋งโบกใบผักกาดตรงหน้าแม่ตัวเอง เพื่อให้ท่านหยุดพูดเรื่องแบบนั้นออกมา ไม่รู้ว่าบรรยากาศในตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าอย่างไรกับคำพูดของแม่ แต่ที่แน่ๆ ฉันเขินจนอยากเอาหน้าตัวเองฟุบไปที่จานข้าวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด สายตาหยอกล้อของแม่เก๋งยังทำท่าล้อเลียนเก๋งอยู่เรื่อยๆ ผู้ชายข้างฉันพยายามห้ามปรามเพราะเขาก็คงเขินไม่แพ้กัน
มีเพียงผู้ชายตรงหน้าที่ได้รับตำแหน่งลุูกชายคนโตนี่แหละ ดูทำหน้าเหมือนกำลังกินเนื้อบูดยังไงก็ไม่รู้
พวกเราหยุดพูดเรื่องสะภงสะใภ้กันและตั้งหน้าตั้งตากินอาหารบนโต๊ะที่แม่เก๋งจัดแจงทำอย่างสุดฝีมือ จะว่าไปแม่เขาก็เก่งใช้ได้นะ รสชาติเหมือนมาจากท้องถิ่นดั้งเดิมเลย ฉันพอจะเคยได้กินร้านอาหารเกาหลีฝีมือแท้จากคนเกาหลีมาบ้าง แม่เก๋งนี่เทียบชั้นเดียวกันได้เลยนะเนี่ย
“พี่ทำอร่อยมากค่ะ ก้อยนี่อิ่มมาก”
ฉันยีฟันส่งยิ้มแฉ่งให้แม่เก๋งเป็นการขอบคุณพลางลูบท้องตัวเองแสดงว่าอิ่มเต็มที่ ตอนเราไปค้างมหาลัยกินมากสุดก็คงเป็นข้าวร้านอาหารตามสั่ง แม้เราจะไปไม่กี่วันแต่การได้กินอะไรดีๆ หลังจากกลับมามันช่างมีความสุขมากๆ เลยล่ะ
“อยากกินบ่อยๆ ก็อย่าลืมมาสู่ขอลูกชายพี่นะคะ สินสอดไม่แพงอาหารแมวหนึ่งถุง”
แม่เก๋งพูดติดขำนั่นจึงทำให้ฉันขำตาม เก๋งยังคงเบ้ปากเพราะคงห้ามแม่ตัวเองให้เลิกพูดเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว เก๋งนี่เวลาอายหรือเขินหูแดงเลยนะเนี่ย
“คงไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกค่ะ แค่พี่น้องร่วมคณะเท่านั้น”
ฉันพูดแต่เหมือนกำลังแทงใจตัวเองไปเต็มๆ บางทีก็อยากพูดออกไปประมาณว่า 'จะรีบมาสู่ขอนะคะ' แต่ฉันกลัวคนข้างๆ จะไม่เล่นด้วยน่ะสิ
“ผมอิ่มแล้วอะ” เก๋งวางตะเกียบในมือทันทีที่ทุกคนเริ่มหยุดกินกันบ้างแล้ว ฉันหันไปมองเขาที่ทำหน้าเหมือนถูกขัดใจอะไรบางอย่าง
“งั้นน้องก้อยกับน้องเก๋งก็ไปนั่งคุยนั่งเล่นกันที่ห้องรับแขกแล้วกันเนอะ” แม่เก๋งเริ่มจัดการจานชามที่อยู่บนโต๊ะ ฉันรีบลุกขึ้นช่วยท่านเป็นการด่วน “น้องไม่ต้องค่ะ พี่กับน้องโก๋จัดการส่วนนี้ได้ ไปนั่งเล่นกันเถอะ เดี๋ยวมันจะยุ่งไปกันใหญ่ ครัวเล็กนิดเดียวเอง”
แม่เก๋งห้ามฉันขึ้นทำให้ฉันต้องชะงักที่กำลังเก็บ
“แต่…”
“ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ตีตาย”
แม่เก๋งยกมือเตรียมพร้อมจะฟาดฉันจริงจัง เก๋งเข้ามาดึงแขนฉันให้เดินตามเขาไปทันที เก๋งพาฉันมาที่ห้องรับแขกก่อนที่เราสองคนจะนั่งบนโซฟาเงียบๆ พลางมองทีวีที่มีแต่ข่าว
“พี่รีบกลับหรือเปล่า”
เก๋งหันมาถามฉัน ในตอนนี้เหมือนว่ามันใกล้ถึงเวลาอึดอัดที่ฉันจะต้องถามคำถามที่ค้างคาใจระหว่างฉันกับเขายังไงไม่รู้สิ เอาไว้ก่อนนะ ฉันยังอยากเสพบรรยากาศแบบนี้อยู่ ไม่อยากรีบรับเรื่องดราม่า
“ไม่นะ เก๋งมีอะไรหรือเปล่า” ฉันเลิกคิ้วถาม
“ผมมีเรื่องจะบอกพี่ไง แต่เอาไว้ก่อน ให้พี่บอกผมก่อนดีกว่า”
เก๋งยิ้มมาให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่ใครเห็นก็เป็นอันต้องตายทันที เวลานี้เราต่างคนต่างนั่งมองหน้ากันเพราะฉันก็ยังไม่พร้อมบอก เขาก็ยังไม่พร้อมบอก ต่างคนต่างก็ไม่มีเรื่องบอก มันเลยทำให้ทุกอย่างดูเงียบไปหมด
“เก๋งเล่นทวิตหรือยังอะ” ฉันที่ไม่รู้จะคุยอะไรก็เลยเลือกประเด็นนี้ขึ้นถาม วันนั้นเขาเอาแอคเคาน์โก๋มาถล่มฉัน บางทีเขาคงอยากสมัครเพื่อเล่นบ้างอะไรแบบนี้
“จริงสิ ผมลืมบอกให้พี่ฟอลผมเลย”
เขาทำหน้าตื่นเหมือนเพิ่งนึกได้พอกัน ก่อนจะรีบล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋าและสไลด์หน้าจอกดไปที่แอพสีฟ้าทันที เก๋งเขยิบมานั่งชิดฉัน ฉันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเยอะมาก เพราะถ้าเงยปุ๊บ หน้าฉันจะติดแก้มเขาปั๊ป
ฉันหยิบมือถือตัวเองเพื่อเข้าทวิตบ้างก่อนจะยื่นมือถือในมือให้เก๋งหาแอคเคาน์ของเขาเพื่อที่ฉันจะได้ฟอลไว้ เก๋งจัดการกดฟอลตัวเองและยื่นมือถือคืนมาทันที ฉันลองเข้าไปที่ทวิตดู แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เล่นอะไรเลยเพราะเขาฟอลเพียงฉันคนเดียวแถมยังรีทวิตเพียงแค่อันเดียวด้วย ฉันลองเลื่อนหน้าจอดูว่าเขารีทวิตเรื่องอะไรไว้ แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เขารี นั่นจึงรีบทำเอาฉันกดปิดหน้าจอตัวเองแทบไม่ทัน
เขารีทวิตข่าวสนามบินที่มีรูปฉันขี่หลังเก๋งอยู่ แถมมันยังเป็นเรื่องเดียวอยู่บนหน้าทวิตเขาเด่นหลาซะด้วยนะ…
เขาจงใจที่จะรีมันนี่นา…
“ทำไมเก๋งรีทวิตแค่ข่าวนี้อะ…” ฉันก้มหน้าก้มตาพลิกมือถือตัวเองเพราะรู้สึกสับสนตัวเองไปหมด
คนไม่คิดอะไรเขาจะจงใจทำเรื่องแบบนี้หรือไง...
“ผมว่ามันน่ารักดีอะ แถมยังเป็นรูปคู่ของผมกับพี่รูปแรกด้วยนะ”
เก๋งพูดออกมาได้อย่างไม่อ้อมค้อม มันก็จริงที่รูปนี้เป็นรูปคู่ของเราสองคน แม้จะไม่ใช่รูปที่ตั้งใจถ่ายทั้งคู่ แต่มันก็ดูน่ารักและทำเอาฉันรู้สึกดี เวลาได้เห็นด้วยอะ
“มันจะทำให้เก๋ง…”
แชะ!
ฉันที่ยังพูดไม่จบ เสียงชัตเตอร์จากมือถือของเก๋งก็ทำเอาฉันหันขวับเป็นจังหวะเดียวที่ปากของฉันจรดแก้มเขาพอดี แทนที่เขาจะผงะหน้าออกหรือหยุดถ่าย เก๋งยังคงกดรัวนิ้วไม่ยั้ง เมื่อเห็นแบบนั้นฉันเลยผละปากตัวเองออกจากแก้มเขาทันที เก๋งยิ้มน้อยๆ พร้อมกับเลื่อนดูรูปที่ถ่ายเมื่อกี้ มันเป็นรูปคู่ที่ดูเหมือนคู่รักไม่มีผิด เพราะมันเป็นรูปที่ฉันหอมแก้มเขาอะ T^T
ก้อยแกทำอะไรลงปายยยย
“ผมจะส่งรูปให้พี่ทางไลน์นะ” เขาพูดพร้อมก้มหน้าก้มตากดมือถือตัวเอง ฉันคิดว่าเก๋งจะค่อยส่งหรือเอาไว้ทีหลัง แต่เขารีบจัดการส่งมาภายในไม่กี่วินาทีที่พูดกับฉันจบ ฉันรีบใช้มือปิดหน้าจอเมื่อการแจ้งเตือนไลน์เด้งขึ้นมา
อย่าลืมสิว่าหน้าจอฉันเป็นรูปเขา ถ้าเห็นขึ้นมาล่ะก็ งานเข้า!
“อะ อืม ขอบคุณนะ” ฉันรีบกลบเกลื่อนพูดขอบคุณเขาไป เก๋งมองการกระทำฉันชั่วครู่ พยายามจะไม่แสดงพิรุธอะไรแล้วนะ อย่ามองที่มือถือฉันแบบนั้นดิ
“อ้าวไอ้ทีมาได้ไงอะ”
เก๋งยกมือทักทายบุคคลที่มายืนตรงประตูทางเข้าบ้าน ทำให้ฉันรีบหันไปมองด้วยความตกใจ เขาหายป่วยแล้วเหรอถึงมะ…
พรึ่บ!
ฉันหันหน้าไปทางประตูเพื่อทักทายที แต่ความว่างเปล่าจุดนั้นกลับไม่มีใครยืนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว มือถือที่ฉันพยายามปิดบังเมื่อกี้ถูกคนด้านข้างดึงมันไปอย่างง่ายดาย เมื่อรวบรวมสติตัวเองได้ ก็รู้ทันทีว่าฉันกำลังถูกเขาใช้เล่ห์กลหลอกให้ตายใจ
น้ำตาฉันจะไหลลงมาให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อเห็นว่าเขาเลื่อนหน้าจอฉันเป็นที่เรียบร้อย เก๋งเลิกคิ้วทำหน้างงชั่วครู่ ก่อนจะจัดการทำอะไรสักอย่างในมือถือของฉัน เขาคงกำลังจะลบรูปตัวเองออกจากหน้าจอฉันแน่ๆ อะ
ไม่น่าเป็นโรคจิตซาแซงเอารูปเขาขึ้นมาตั้งเลยยยย
“คือพี่เห็นว่ารูปที่พี่ถ่ายเก๋งมันสวย พี่เลยเอามาตั้งหน้าจอเฉยๆ เก๋งอย่า…”
“นี่ ตั้งรูปนี้ดีกว่า” เก๋งส่งมือถือคืนมาให้ฉันอีกครั้ง พอมองหน้าจอดีๆ จากหน้าจอที่เป็นรูปเก๋งขณะเตะบอล คราวนี้เป็นรูปฉันกับเขาที่ถ่ายคู่กันเมื่อกี้ “ผมตั้งด้วยดีกว่า”
เก๋งหันไปง่วนกับหน้าจอตัวเองทันทีที่พูดจบก่อนจะยกมันขึ้นมาให้ฉันเห็นพลางยิ้มกว้าง
“จะตั้งหน้าจอคู่กันหรือไง ฮาๆ”
เมื่อเห็นว่าหน้าจอที่เขาตั้งก็เป็นรูปเดียวบนหน้าจอฉันเหมือนกัน ฉันหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินไปงั้นล่ะ หน้าจะบานจนระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้วอะ
“น่ารักออก ผมยังไม่เคยตั้งหน้าจอคู่กับใครเลยนะ นี่พี่คนแรกเลย”
อะไรๆ ฉันก็เป็นคนแรก นายก็เป็นผู้ชายคนแรกที่มาทำแบบนี้ให้ฉันเหมือนกันล่ะ เด็กบ้า!
ฉันหลุบสายตาลงทันทีเมื่อเขาหันมามองฉันด้วยแววตาไม่ปกติ มันเหมือนแววตาที่มีนัยอะไรแปลกๆ ฉันได้แต่ลูบมือตัวเองเพราะกำลังทำอะไรไม่ถูกแล้ว แบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า เรายังไม่ได้เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำนี่นา
“พี่ถามเราเลยได้ไหมอะ”
ฉันที่ทนไม่ไหวมันอึดอัดจนอยากระบายความในใจตัวเองและอยากถามเขาให้รู้แล้วรู้รอดว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันอยู่ตอนนี้เขาคิดยังไงกันแน่ เขาแค่เหงาหรือแค่อยากจะแกล้งฉันหรือเขาเข้ามาเพื่ออะไร ฉันอยากรู้เพียงแค่นี้
เก๋งลุกขึ้นก่อนจะถือวิสาสะจับมือฉันให้ลุกขึ้นเดินตามเขาไปแบบงงๆ เก๋งพาฉันลัดเลาะมาที่ทางหลังบ้าน ซึ่งเป็นเหมือนสวนหย่อมมีน้ำพุขนาดเล็กไว้ให้สูดบรรยากาศสดชื่นชมนกชมไม้ไปเรื่อย แม้จะไม่เข้าใจว่าเขาจะพาฉันมาที่นี่ทำไม แต่เขาคงอยากเก็บเรื่องที่เราสองคนเอาไว้เป็นความลับมั้ง
“ผมขอถามก่อนสักนิดได้ปะ” เขาถามฉัน สีหน้าดูกังวลจนฉันเริ่มลังเลใจเบา “คำถามที่พี่ถามผมมันยากมากไหมอะ”
เขาถามแบบนั้นออกมาแทนที่ฉันจะซีเรียสกว่าเดิม กลับกลายเป็นว่ามันทำให้ฉันยิ้มออกมาไม่รู้ตัว นี่ฉันแค่ถามความรู้สึกนะไม่ใช่ถามคำถามสอบเข้ามหาลัย กังวลจนสีหน้านี่ซีดไปหมดแล้ว
ฉันยกมือบีบแก้มเขาเพราะอดใจหมั่นเขี้ยวที่จะหลอกแตะอั๋งเขาไม่ได้
“หน้าซีดหมดแล้ว กลัวอะไร พี่แค่ถามคำถามเล็กน้อยเอง”
“ผมกลัวนี่นา เวลาคนจะถามอะไรแล้วเก็บไว้ถามนี่น่ากลัวจะตาย ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่ตอบยากและทำให้คิดหนักตลอดอะ” เขาเบ้หน้าก่อนจะยกมือมาจับมือฉันที่ยังจับแก้มเขาอยู่ “ถ้าพี่ถามยาก ผมเกรงว่าผมจะไม่ได้บอกคำถามผมอีกเลยน่ะสิ”
“คิดมาก” ฉันยิ้มออกไปแม้ในใจฉันก็กลัวไม่ต่างจากฉัน
กลัวคำตอบที่ได้รับมาคงจะเป็น ผมคิดกับพี่แค่พี่สาวนะ ผมคิดกับพี่แค่คนรู้จัก แต่สิ่งที่เขาทำมันให้ทุกอย่าง ไม่มีเพื่อนหรือพี่ที่ไหนเขาทำร่วมกันหรอกนะเก๋ง
บางทีความรู้สึกที่รับมันขึ้นในทุกๆ วัน มันก็สะสมจนรู้สึกอยากถามและเปิดใจกันให้รู้แล้วรู้รอด
สรุปเราเป็นอะไรกันแน่
“ในตอนแรกผมคิดว่าพี่แค่อยากเขามาหาผมเพราะผมเป็นเดือนคณะ แต่เมื่อนานๆ ไป ผมคิดว่าพี่แปลกกว่าคนทั่วไปที่ผมได้รู้จัก ผมขอโทษนะที่ความรู้สึกครั้งแรกที่ผมให้ไปมันอาจไม่ดีต่อความรู้สึกพี่พอสมควร”
จู่ๆ เก๋งก็เริ่มตีดราม่าเล่าความจนฉันใจวูบไปนิดหนึ่ง ฉันไม่เห็นว่าเขาจะทำลายความรู้สึกฉันเลยนะ ฉันว่ามันตลกออก เป็นฉันถ้ามีคนแบบฉันมาตาม ฉันก็กลัวและรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้เหมือนกันแหละ ซาแซงจะตาย
“อันนี้คือสิ่งที่เก๋งอยากบอกพี่หรือเปล่าเนี่ย”
ฉันลดมือลงจากหน้าเขา ในตอนนี้กลายเป็นว่าเรายืนกุมมือของกันและกันไปโดยปริยาย เหมือนจะมาสารภาพรักไม่มีผิด ตลกชะมัด
“ไม่อ่ะ สิ่งที่ผมถามมัน…”
“เก๋งถามพี่มาเถอะ เพราะยังไงเก๋งจะถามดีหรือถามร้ายพี่ก็ไม่โกรธเราอยู่แล้ว แต่แอบงอนนะ”
ฉันพูดติดตลก แต่เก๋งกลับไม่ตลก สีหน้าเขาซีดไปอีก นี่เขามีเรื่องอะไรที่ควรเครียดมากขนาดนี้เลยเหรอ
"สัญญาได้ไหม ถ้าผมตอบคำถามพี่ไม่ได้ พี่ห้ามโกรธผม" เขายกนิ้วก้อยขึ้นมาเป็นเชิงสัญญา
"ได้ แล้วเราก็ห้ามโกรธพี่ถ้าพี่ตอบคำถามเราไม่ได้ โอเคไหม"
ฉันเกี่ยวนิ้วก้อยกลับไป เก๋งพยักหน้าอย่างว่าง่าย สายตาดูมั่นใจของเก๋งลกับมาอีกครั้ง เขาเคยทำอะไรให้ฉันโกรธลงด้วยเหรอ ไม่เห็นฉันจะโกรธเขาลงเลยสักครั้ง มีแต่ฉันหันมาโกรธตัวเองอยู่ตลอดอะ
“งั้น…พี่กับผมถามบอกพร้อมกันนะ…”
เก๋งพูดเสียงค่อย ในใจเหมือนกำลังกังวล ฉันกุมมือเก๋งแน่นกว่าเดิมพยายามมองสายตาของเขาที่มองมา แววตาที่เต็มไปด้วยอะไรข้างในใจ ในตอนนี้ความเขินของฉันเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นแทน เขาจะถามอะไร และถ้าคำถามฉันถามออกไป คำตอบจะได้กลับมาไหม ฉันแค่อยากรู้แค่นี้
“โอเคได้…” ฉันพยักหน้าพยายามสูดลมหายใจให้สุดปอด ริมฝีปากอยู่ๆ ก็แห้งผากทำให้ฉันเม้มมันอย่างร้อนใจ มือของเก๋งเย็นเฉียบไม่ต่างอะไรกับฉัน “พี่นับหนึ่งถึงสามแล้วพูดพร้อมกันนะ”
เก๋งพยักหน้า เขาก้มมองฉัน สายตาเราสองคนมองกันอยู่อย่างนั้นไม่ได้เบี่ยงหลบไปไหน
“…”
“หนึ่ง”
“…”
“สอง”
“…”
“สาม…”
“เก๋งคิดยังไงกับพี่ / เรามาคบกันไหม…”

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฟินมาก อ่านไป เขินแทน ดั่งเปรียบเป็นก้อยเลย
ปลื้มมมม <3
สนุก น่ารักมากๆ