ตอนที่ 27 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 26 ll ถ้าเราเลือกเกิดได้ เราจะเกิดเป็นของรักของเขา {LOADING 100%}

26
ถ้าเราเลือกเกิดได้ เราจะเกิดเป็นของรักของเขา
“อ่า เสร็จแล้ว”
เก๋งยืดเส้นยืดสายหลังจากวางมือจากการวาดรูปของทีที่ทำค้างเอาไว้ ในตอนนี้งานทั้งหมดของทีและเก๋งเป็นอันเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงแค่ส่งให้ฝ่ายจัดงานนำผลงานของทั้งสองไปวางที่ซุ้มจัดกิจกรรมเพื่อประเมินคะแนนต่อไป
ฉันนั่งมองเขามาได้สักพักแล้ว ฉันไม่ได้ชวนเขาคุยอะไรหลังจากฉันกลับมาจากร้านอาหารตามสั่งเมื่อเช้า เก๋งเหมือนจะแวะไปที่เซเว่นแล้วกินแค่นมกับแซนวิชแค่นั้นเพราะเขาดูรีบปั่นงานให้เสร็จเร็วๆ ยังไงไม่รู้
เขาคงไม่ได้อยากที่จะอยู่ที่นี่นานๆ หรอกมั้ง
“เก๋งจะกลับเลยหรือเปล่า เพราะยังไงเราก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจัดงานอยู่แล้วนี่”
ฉันถามเขาขึ้นเมื่อเห็นว่าเก๋งลงไปนอนกับพื้นด้วยท่าทางเหนื่อยล้าจริงๆ เก๋งค่อยๆ เขยิบตัวเข้ามาหาฉันทั้งๆ ที่ตัวเองยังนอนอยู่ ก่อนจะเท้าคางกับพื้นมองมา
“แล้วพี่จะไม่กลับเหรอ” เขาพูดพลางเลิกคิ้ว
ฉันถอนหายใจออกมาพอเห็นว่าเขาทำท่าน่ารักใส่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนหรือไม่ก็ลืมเรื่องที่ต้องคิดทั้งหมดออกไป ฉันเชื่อว่าทุกคนเป็นหมดแหละ คนที่เราชอบมาทำตัวน่ารักใส่ต่อให้โกรธหรือมีเรื่องข้องสงสัยอะไรเกี่ยวกับเขา ยังไงก็ต้องแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรอยู่ดี
ฉันมองไปที่แอนที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับการจัดการงานอยู่ห่างๆ คนตรงหน้าก็มองฉันตาปริบๆ อย่างต้องการคำตอบ
“พี่ก็คงกลับล่ะ เพราะมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่แล้ว” สุดท้ายฉันก็บอกเขาไปตามตรง ก็ฉันมาที่นี่เพราะจุดประสงค์เดียวคือต้องการเจอเขา แต่ถ้าเขากลับ ฉันจะอยู่ต่อทำไมล่ะว่าไหม
“ถ้างั้นพี่ไปหาแม่ผมกันไหม ไหนๆ ก็จะกลับแล้ว แวะไปกินข้าวบ้านผมดีกว่า”
เก๋งดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ท่าทางของเขาดูดีใจที่เห็นว่าฉันจะกลับบ้านเหมือนกับเขา ฉันลืมเรื่องที่แม่เขาชวนฉันกินข้าวที่บ้านไปเลย ไม่รู้ว่าควรดีใจมากแค่ไหน มันก็รู้สึกดีที่บ้านของเขาดูต้อนรับฉันสุดๆ ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกโชคดีที่เป็นผู้หญิงที่แม่เขาโอเคสุดน่ะนะ
“ไปแบบกะทันหันแบบนี้แม่เราจะอยู่เหรอ”
“แม่ผมโทรมาหาผมเมื่อเช้า เขาถามผมว่าเมื่อไรจะกลับ ผมเลยบอกเขาว่าน่าวันนี้ไม่ก็พรุ่งนี้ แม่ก็เลยบอกให้ผมอย่าลืมเตือนพี่ให้มากินข้าวด้วย แม่จะได้ทำรอ”
“เอางั้นเลยเหรอ” ฉันยิ้มออกมาค่อยๆ ในใจก็ดีใจมาก อีกใจก็มีคำพูดของแอนวิ่งอยู่ในหัวว่าเขาเข้ามาดีกับฉันเพราะอะไรบางอย่าง ฉันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาต้องเข้ามาเลยนี่ มีแต่ฉันนี่แหละที่เข้าหาเขาอยู่คนเดียว “พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับเก๋งพอดีเลย งั้นไปบ้านเก๋งเลยก็ได้”
ฉันพูดแค่นั้น คนตรงหน้าขมวดคิ้วงงกับคำพูดของฉันที่ทิ้งท้ายแบบนั้นก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นเดินไปหาแอนเพื่อบอกลากลับบ้าน
“แอน ฉันกลับก่อนนะ งานเหลือนิดเดียวคงทำได้ใช่ปะ” ฉันถามแอนที่กำลังดื่มน้ำอยู่
“อ๋อ แกกลับก่อนเลย เดี๋ยวก็ใกล้เสร็จล่ะ” แอนพยักหน้าให้ฉัน เธอชำเลืองสายตาไปทางเก๋งก่อนจะกลับมามองฉันอีกครั้ง “เด็กนั่นกลับด้วยเหรอ”
“อืม เขาทำงานเสร็จหมดแล้วน่ะ ฉันกะว่าจะคุยเรื่องบางอย่างกับเขาด้วย”
“ชัดเจนได้แล้วนะก้อย แกจะมารักๆ เล่นๆ ไม่ได้แล้ว อย่าเป็นเหมือนฉันตอนนี้”
ฉันไม่เข้าใจในคำพูดแอนเท่าไร แต่ฉันสัมผัสได้ว่าเธอหวังดีกับฉันแม้ว่ามันจะกำกวมดูมีลับลมคมนัย แต่แอนเป็นคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เธอไม่อยากบอกความลับอะไร แต่คำพูดบางอย่างเธอก็เหมือนไซโคให้ฉันเกลียดเก๋งเอาซะดื้อๆ ฉันเข้าใจนะว่าแอนอาจจะเป็นห่วงฉัน บางทีประโยคบางประโยคก็ทำฉันคิดหนักเหมือนกัน
ฉันพยักหน้าให้เพื่อนก่อนจะหันกลับมาหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขึ้นมาแล้วเดินไปหาเก๋งที่ยืนรอฉันเพื่อกลับพร้อมกัน สายตาเก๋งมองแอนชั่วครู่ มันเป็นเพียงชั่วครู่ที่ฉันเห็นแล้วก็แอบตงิดใจเบาๆ สรุปสองคนนี้ไม่ถูกกันหรือทะเลาะอะไรกันมาแน่ อยากถาม แต่มันก็เป็นเรื่องของคนทั้งสอง ในตอนแรกเขาดูเหมือนไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำไม่ใช่หรือไง
“ของๆ ทีนี่เก๋งได้เอาไปด้วยปะ” ฉันเงยหน้าถามเขาเมื่อเราออกจากตึกคณะเรียบร้อย
“ผมเอาเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์มันแล้วอ่ะ เดี๋ยววันมาเรียนก็คงเอากลับเองแหละพี่”
ฉันพยักหน้าก่อนจะพยายามล้วงมือถือของทีเพื่อส่งให้เขา แต่อยู่ๆ เก๋งก็ดึงแขนฉันไปเรียกแท็กซี่ที่ขับผ่านในตัวมหาวิทยาลัยด้านในพอดี ฉันเลยต้องเก็บมือถือของทีเอาไว้ตามเดิมก่อน
ไว้ค่อยคืนวันอื่นก็ได้มั้ง
เราสองคนขึ้นแท็กซี่เพื่อนั่งไปที่บ้านของเก๋งทันที เก๋งก้มลงกดมือถือเหมือนกำลังจะส่งข้อความไปหาใครบางคน ถ้าให้ฉันเดาคงเป็นแม่เขานั่นแหละ เล่นบุกกลับบ้านไปดื้อๆ ถ้าไม่บอกแม่ฉันว่าอาจจะไม่ได้กินข้าวกันหรอกวันนี้
“จริงๆ ไว้ให้พี่ไปวันอื่นก็ได้นะ เราเพิ่งทำงานมาเหนื่อยๆ เลยนี่ เราต้องมาดูแลพี่อีก ไม่เหนื่อยแย่เหรอ” ฉันหันไปพูดกับเขาเมื่อเห็นว่าเขาเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงเป็นที่เรียบร้อย
“ผมอยากให้พี่ไปหาแม่ผมเร็วๆ นี่นา อยากรู้ว่าแม่ผมจะถามอะไรพี่ อีกอย่างมีพี่ทำไมผมต้องเหนื่อยด้วยอะ ไม่เห็นเหนื่อยเลย” เขาเอียงคอยิ้มส่งมาให้ฉัน รู้สึกดีแปลกๆ แต่เรื่องที่ฉันเตรียมจะถามเขากลับทำให้ฉันรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาดื้อๆ หรือว่าฉันควรเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ ไว้ก่อนจะถามเรื่องแบบนั้นกันนะ “ผมก็มีเรื่องจะบอกพี่เหมือนกัน เอาไว้ถึงบ้านผมค่อยบอก”
เขาพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ฉันอีก ถ้าไม่เกรงใจฉันคงเอื้อมมือไปบีบแก้มของเขาแล้วก็ได้ แต่ฉันยังพอมีสติยับยั้งชั่งใจตัวเองทัน เลยไม่พลีพล่ามทำแบบนั้นไป
รถแท็กซี่เคลื่อนมาจอดหน้าบ้านเก๋งเป็นจังหวะเดียวที่โก๋ออกมาเปิดประตูหน้าบ้านเหมือนว่าเขาจะไปไหนสักที่ ฉันและเก๋งรีบลงจากรถทันที ชายร่างสูงที่เพิ่งออกจากบ้านชะงักเท้ายืนมองเราที่ลงมาจากรถเป็นที่เรียบร้อย
“มาเร็วจังอะ” โก๋เอ่ยถามเก๋งที่ยืนยิ้มเหมือนกำลังเซอร์ไพรส์พี่ตัวเอง โก๋เคลื่อนสายตามามองฉันก่อนจะยกยิ้มให้เป็นมารยาท “แหม่ มาบ้านเราเนี่ยไม่กลัวแม่เราแล้วเหรอ”
ประโยคจิกกัดหยอกล้อของโก๋ ทำเอาฉันขยับเข้าไปตีไหล่โก๋เบาๆ ไม่รู้อาจเป็นเพราะเขินด้วย เขาชอบแกล้งฉันด้วยการเอาแม่ตัวเองมาขู่ฉันอยู่เรื่อย คงเพราะเห็นฉันเกร็งเวลาอยู่ต่อหน้าแม่ของเก๋งล่ะมั้ง
“แม่เตรียมอาหารเสร็จหรือยังอะ” เก๋งถามพี่ชายตัวเองพลางชะเง้อเข้าไปในบ้าน
“ใกล้แล้วล่ะ เข้าไปข้างในก่อนดิ เอาไรเปล่าจะไปเซเว่น” โก๋เลิกคิ้วถามน้องตัวเอง พอเห็นว่าเก๋งส่ายหน้าเขาจึงเลื่อนสายตามาที่ฉันเป็นเชิงถามคำถามเดียวกัน "ก้อยอะ"
“ไม่อ่ะ ไปเถอะ” ฉันปฏิเสธไปทันที โก๋พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินออกไปทันที
เก๋งจับไหล่ฉันดันตัวเข้าไปข้างในบ้าน ความรู้สึกคุ้นเคยเวลาเดินเข้าบ้านเก๋งกลับมาอีกครั้ง แต่แปลกที่คราวนี้ความเกร็งเหล่านั้นดันน้อยลง ฉันมองไปที่กองซีรี่ย์ที่ยังคงสูงตามเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง พอนึกถึงวันนั้นฉันก็ขำตัวเองไม่หาย มาเฝ้าคนป่วยแท้ๆ แต่กลับให้คนป่วยมาเฝ้าดูฉันนอนหลับแทนซะงั้น
"เก๋งมีเรื่องอะไรจะบอกพี่ปะ" ฉันถามเขาเพราะในใจฉันก็อยากรู้เต็มทนเหมือนกัน
"เอาไว้กินข้าวเสร็จดีกว่าผมค่อยบอก"
"งั้น พี่ไปช่วยแม่เก๋งทำครัวดีกว่า" เมื่อเห็นว่าเขายังไม่บอกอะไรฉัน ฉันจึงทำท่าจะเดินไปที่ครัว แต่ก็ถูกเก๋งดักทางเอาไว้พลางส่ายหน้าให้ฉันทำให้ต้องชะงักเท้าหยุดเดินอัตโนมัติ
"แม่ไม่ชอบให้ใครช่วยทำครัวยกเว้นพี่โก๋อะ"
"เอ้าเหรอ..."
ฉันหันหลังกลับเปลี่ยนใจไม่ไปช่วยแม่เก๋งทันทีที่ได้ยินประโยคบอกเล่าของเก๋ง ฉันมองไปรอบๆ บ้านเพื่อเก็บความทรงจำเก่าๆ พลางเดินไปที่โซฟาเพื่อเตรียมนั่ง แต่อยู่ๆ เก๋งก็ดึงมือฉันไม่ให้นั่งซะงั้น ฉันมองหน้าเขาพลางทำหน้าสงสัย เก๋งได้แต่ยิ้มแล้วก็ชี้ไปข้างบนห้องตัวเอง
“ไปข้างบนกันพี่” เขาพูดเพียงเท่านั้น ทำให้ฉันสำลักน้ำลายที่จุกคอ ฉันพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากพร้อมกับมองหน้าเขาด้วยอาการอ้ำอึ้ง เมื่อกี้…
“ไปทำไรอะ”
แม้คำถามฉันจะดูถามตรงๆ ซื่อๆ แต่การชวนขึ้นห้องมันไม่ใช่เรื่องที่สตรีแบบฉันควรจะขึ้นซะเท่าไร แต่ตอนนี้ขาของฉันก้าวเตรียมขึ้นบันไดไปก่อนเขาเสียอีก ยิ่งพอได้รับคำตอบชัดเจนจากเขา นั่นยิ่งทำให้ฉันรีบก้าวขึ้นไปแทบจะไม่ทัน…
“ไปดูของรักของหวงของผมไง ไม่อยากดูเหรอ J”
“หืม”
ฉันเบิกตาตกใจกับคำพูดเขาเล็กน้อย แม้มันจะดูกำกวมแต่เขาควรจะพูดให้ชัดเจนมากกว่านี้สักนิดไม่ใช่หรือไง
เก๋งไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้สงสัยอยู่แบบนั้นก่อนที่เขาจะรีบดึงแขนฉันขึ้นไปชั้นสองอย่างว่าง่าย การเป็นผู้หญิงของฉันไม่ได้ทำให้เขาเกรงใจที่จะลากไปไหนต่อไหนเลยสักนิด หรือเขามองไม่เห็นความเรียบร้อยของฉันตั้งแต่แรกก็ไม่รู้เหมือนกัน
เราสองคนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง มันเป็นประตูสีฟ้าอ่อนมีป้ายชื่อของเก๋งแขวนอยู่ทำให้รู้ว่านี่เป็นห้องนอนของเขาแน่นอน ฉันเงยหน้ามองเก๋งแบบไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขาจะพาฉันขึ้นมาบนนี้ทำไม
“เงียบๆ นะพี่” เก๋งยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้ฉันเบาเสียง ฉันพยักหน้าตอบกลับงงๆ เก๋งค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปแถมยังมีท่าทีที่ดูเหมือนย่องเบาไม่มีผิด แล้วฉันจะเขย่งเท้าเพื่อให้เบาตามทำไมอะ งงใจ
ทันทีที่ประตูเปิด เก๋งก็ดึงมือฉันเข้าไปข้างในด้วยความเงียบและปิดประตูอย่างเบามือที่สุด ฉันมองรอบๆ ห้องเขาก็ดูปกติไม่มีใครอยู่ในห้องนี้เลยด้วยซ้ำ ห้องสีฟ้าอ่อนดูสบายตาบวกกับการจัดห้องที่เรียบง่ายแต่ดูสวยหรูสไตล์ผู้ชาย แปลว่าเขาต้องชอบสีฟ้าแน่ๆ ถึงได้มีแต่ของสีฟ้าอยู่ในห้องล้วนๆ เลย
แต่ไม่ทันที่ฉันจะสำรวจรอบห้องดี สายตาฉันก็ไปปะทะเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่นอนสง่าอยู่บนเตียงของเขา สายตาคมเฉียวสีฟ้ามองมาที่ฉันนิ่ง ฉันก็นิ่งไม่แพ้กันเมื่อเห็นสิ่งนั้นจ้องเขม็งเหมือนว่าฉันกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลอะไรเทือกนั้น
“กุ๊งกิ๊ง~~” เสียงสองของเก๋งทำเอาฉันหันไปมองเจ้าตัวที่กำลังพุ่งไปยังสิ่งที่นอนอยู่บนเตียง เก๋งทำการจูบลูบหอมมันอย่างหมั่นเขี้ยวจนฉันอดอิจฉาในใจไม่ได้
ใช่แล้วล่ะมันคือแมวเปอร์เซียสีขาวสะอาด ตาสีฟ้า หน้าทู่เหมือนโกรธใครมาทั้งชีวิต หน้าโหดเหมือนเจ้าของไม่มีผิด แต่เจ้าของต่อให้หน้าโหดแต่พอยิ้มก็มีแต่ความน่ารักอะ ฉันยอมรับว่าไม่ค่อยโอเคกับสัตว์เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เท่าไร พอเล่นได้ แต่พวกมันมักไม่ค่อยอยากเล่นกับฉัน ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรือแพ้ขนของพวกมันเลยสักนิด
ฉันค่อยๆ เขยิบตัวเข้าไปนั่งข้างๆ เก๋งที่อุ้มแมวนามว่ากุ๊งกิ๊งขึ้นมาฟัดเหวี่ยงด้วยความคิดถึง นี่สินะของรักของหวงของนาง ไอ้เราก็นึกว่า….
“เก๋งเลี้ยงแมวด้วยเหรอ” ฉันปัดความคิดอุบาทว์ออกจากหัวโดยทันที ก่อนจะถามเขาด้วยสีหน้าที่สนใจจริงๆ แมวคลอเคลียไซร้ซอกคอขาวๆ ของเก๋งก็ทำเอาฉันเบ้ปาก
นี่ฉันกำลังหมั่นไส้แมวสินะ สินะ เหอะ -*-
“ครับ ผมเป็นคนขี้เบื่อ เวลามีกุ๊งกิ๊งมาเล่นด้วยก็ทำให้หายเบื่อไปได้ระดับนึง” เก๋งพูดพลางจับกุ๊งกิ๊งหอมไปอีกหนึ่งฟอดใหญ่ “นี่แหละของรักของหวงผม J”
เขายิ้มให้ฉันพลางส่งกุ๊งกิ๊งมาวางตักฉันหน้าตาเฉย ฉันเกร็งหน้าตักเล็กน้อยเพราะเสียวว่าแม่นางอาจจะเกิดอาการคึกโครมข่วนฉันขึ้นมาก็ได้ แม้ว่าบ้านฉันจะไม่มีสัตว์เลี้ยงเพราะไม่มีใครเลี้ยงเป็นเลยสักคน แต่ฉันก็พอที่จะเคยอุ้มแมวหมามาบ้าง
ฉันตัดสินใจวางมือลงบนตัวกุ๊งกิ๊งและทำการลูบเบาๆ ดูท่าว่ามันจะชอบและเลี้ยงง่ายกว่าที่คิด กุ๊งกิ๊งเริ่มคลอเคลียหน้าท้องฉันเบาๆ ชวนจักจี้จนฉันเผลอหัวเราะออกมาดื้อๆ
“มันน่ารักมากอะ คิดว่ามันจะดุเสียอีก” ฉันเอียงคอมองแมวบนตักด้วยความเอ็นดู เมื่อกี้แกยังมองแรงใส่ฉันอยู่เลย ดูตอนนี้สิเหมือนตุ๊กตาน่ากอดมากอะ “แบบนี้มันก็ติดเก๋งเลยล่ะสิ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเก๋งอีกครั้ง สายตาคนตรงหน้ามองมาที่ฉันทำเอาเผลอชะงักไปเล็กน้อย ฉันพยายามทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้เขินอะไร แม้ว่าแอคแทคเมื่อครู่จะทำฉันเป๋จนเสียหลักก็เถอะ
“มากอ่ะ ติดผมแถมยังชอบตามผมด้วย”
“ขี้อ้อนนะเรา” ฉันจิ้มไปที่จมูกกุ๊งกิ๊งเพราะหมั่นไส้
“ใช่ขี้อ้อนมากเลย”
แต่เหมือนว่านิ้วเย็นๆ ของคนตรงหน้าจะจิ้มมาที่จมูกฉัน ทำเอาฉันค้างอยู่แบบนั้น เก๋งยกยิ้มเหมือนว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันน่ารักมากมาย ฉันไม่ใช่แมวนะที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้เนี่ย
“ชักจะมากไปล่ะเก๋ง” ฉันพูดติดขำ เก๋งดึงมือออกมาและย้ายไปจิ้มตัวกุ๊งกิ๊งแทน
“กุ๊งกิ๊งเหมือนพี่ก้อยจะตาย ชอบตามผม ทำให้ผมหายเบื่อด้วย” ฉันไม่รู้ว่านั่นคือคำชมไหม แต่อย่างน้อยฉันก็เหมือนของรักของหวงของเขาเชียวนะ “น่ารักเหมือนกันด้วย ดูดิ”
ถ้าฉันสามารถลงไปดิ้นได้ ฉันคงลงไปที่พื้นให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อไรเขาจะเลิกทำตัวน่ารักและชมฉันแบบนี้เสียทีอะ
“ทีหลังห้ามไปพูดกับใครแบบนี้รู้เปล่า” ฉันพูดกับเขาแต่สายตากลับหลุบมองแมวบนตัก ฉันไม่ควรห้ามเขาด้วยซ้ำว่าเขาจะไปพูดแบบนี้กับใครเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่มันก็เรื่องจริงนี่นา ที่เขาไม่ควรไปพูดอะไรน่ารักๆ แบบนี้กับคนอื่น แม้ว่าเก๋งจะไม่คิด แต่คนฟังอาจคิดก็ได้นี่
แบบฉันตอนนี้ไง...คิดไปเองคนเดียวเนี่ย
“ผมพูดกับพี่คนเดียวอ่ะ”
แล้วดูเขาตอบฉันสิ จะตรงไปไหน -///-
"เก๋งคงรักมันมากเลยเนอะ"
"มากอ่ะ พี่โก๋ยังไม่ค่อยได้จับมันเลยเพราะผมหวง" เก๋งพูดแต่ตามองที่กุ๊งกิ๊งที่กำลังเคล้าคลอเคลียฉันไม่เลิก "พี่คนแรกเลยนะที่ผมให้อุ้มกุ๊งกิ๊ง ^^"
“พี่หิวแล้วอ่ะ เอากุ๊งกิ๊งไปเลย”
ฉันรีบเปลี่ยนประเด็นอ้างการกินข้าวขึ้นมาก่อนจะส่งตัวกุ๊งกิ๊งคืนเจ้าของ เก๋งรับมาพร้อมกับอุ้มมันด้วยท่าทางที่ดูรักมันมาก ดูเป็นผู้ชายน่ารักและอบอุ่นมากเลยนะ อิจฉาคนที่สามารถไปอยู่ในใจเก๋งได้จริงๆ
“อัปป้าไปเที่ยวมาตั้งนาน คิดถึงอัปป้าไหมคะ”
เก๋งพูดกับกุ๊งกิ๊งพร้อมกับยกขึ้นสูงเหมือนอุ้มเด็กเพื่อพูดคุยอะไรแบบนั้น แล้วเมื่อกี้เขาพูดแทนตัวเองกับแมวว่าอะไรนะ อัปป้าอย่างงั้นเหรอ
ดูเป็นพ่อของแมวที่น่ารักที่สุดเลยให้ตายสิ
“เก๋งนี่มีมุมแบ๊วแบบนี้ด้วยเหรอ นี่นึกว่าจะเป็นคนนิ่งๆ ไม่มุ้งมิ้งอะไรแบบนี้เสียอีก”
ฉันพูดพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน ยิ่งมองเขายิ่งเหมือนผลักตัวเองตกเข้าไปห่วงเขาซ้ำๆ อยากขึ้นมานะ แต่ก็ชอบลงไปเจ็บตัวทุกทีเลย
“ผมก็แสดงให้พี่เห็นคนเดียวนี่แหละ ใช่ไหมกุ๊งกิ๊งลูกอัปป้า”
เขาพูดพร้อมกับยื่นหน้ากุ๊งกิ๊งมาแตะแก้มฉัน เล่นเอาฉันผงะไปเล็กน้อยที่อยู่ๆ เขาก็เอาแมวมาจูบแก้มฉันแถมยังดึงไปจูบแก้มเขาต่ออีก
“นี่ ทำอะ…”
“อัปป้าไถ่โทษด้วยการเอาพี่ก้อยมาให้แล้ว ได้เจอแล้วดีใจไหมกุ๊งกิ๊ง”
“…”
เขาพูดกับแมวโดยไม่สนใจฉัน เก๋งชี้มาที่ฉันเป็นเชิงให้แมวเห็นด้วยกับประโยคของเขา ฉันหัวเราะพลางส่ายหน้าให้เขาแบบติดตลก คคนอะไรพูดกับแมวเป็นเรื่องเป็นราวเลยบ้าจริง นี่ถ้าไม่ติดว่าเก๋งน่ารักฉันคงคิดว่าบ้าไปแล้วนะ
“นี่ไงออมม่าของกุ๊งกิ๊ง น่ารักไหม”
“ดะ เดี๋ยวนะ…” ฉันรีบพูดขัดเขาขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาพูดประโยคแปลกๆ ออกมาที่ทำเอาฉันถึงกับหน้าแดงอย่างกะทันหัน "เมื่อกี้..."
ออมม่าเลยเหรอ…
ออมม่า อัปป้า นี่มัน…
“นี่อัปป้า นี่ออมม่า กุ๊งกิ๊งมีครบแล้วเนอะ!”


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เก๋งมันแอทแทครุนแรงมาก