ตอนที่ 26 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 25 ll เรางอนเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเรา {LOADING 100%}

25
เรางอนเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเรา
“น้องเขาฝากมาบอกค่ะว่า ถ้าอาการดีขึ้นจะกลับไปช่วยงานทันที ยังไงวันนี้น้องคงต้องนอนพักที่โรงพยาบาลก่อนนะคะ”
ฉันพยักหน้ารับรู้คำบอกกล่าวของนางพยาบาลสาวสวยทันที ทีไม่ได้เป็นอะไรมากแม้ว่าการช่วยเหลือจนทีฟื้นตัวจะเล่นทำเวลานานไปหน่อยก็เถอะ
“ถ้าน้องดีขึ้นแล้วฝากบอกเขาทีนะคะว่ากลับบ้านไปนอนพักได้เลย ทางนี้เดี๋ยวพวกเราช่วยจัดการงานน้องเขาเองค่ะ”
ฉันบอกนางพยาบาลไปก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับคำฝากของฉัน ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินว่าอาการของทีปลอดภัยดี เขาเป็นโรคภูมิแพ้กำเริบเฉียบพลัน ยิ่งพอมาเจอกับห้องที่มีฝุ่นเยอะๆ แล้วยิ่งไปใหญ่
ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเป็นอะไรแบบนี้จะดื้อเข้าไปในห้องนั้นทำไมนะ
ฉันหันกลับไปหาเก๋งที่ยืนประคองแอนอยู่ทางด้านนอกโรงพยาบาล ฉันพยายามตีสีหน้าปกติที่สุดเมื่อเห็นเก๋งโอบกอดแอนเอาไว้เพื่อให้เธอทรงตัวอยู่กับที่ เขาไม่ได้คิดอะไรหรอกก็แค่ช่วยเพื่อนฉันจากอาการบาดเจ็บเท่าไร อย่างี่เง่าสิก้อย
“ทีเป็นไงบ้างสรุป”
แอนถามไถ่ถึงคนที่นอนป่วยอยู่ด้านในทันทีที่ฉันมาถึง ฉันยิ้มให้แอนพร้อมกับส่ายหน้าบ่งบอกว่าทีไม่ได้เป็นอะไรมากมาย
“ฉันฝากบอกให้นางพยาบาลบอกทีว่าถ้าอาการดีขึ้นก็ให้กลับบ้านไปเลย ส่วนงานเดี๋ยวฉันสานต่อเอง” แอนพยักหน้าเหมือนโล่งอกไม่แพ้ฉัน ฉันเงยหน้ามองคนข้างๆ ที่ประคองเธอก่อนจะส่งยิ้มให้ไปแบบเจื่อนๆ “แล้วแกจะกลับบ้านไหม ไม่มีแกว๊ากคนเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก ฉันไหวอยู่ แต่ขอกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า พวกแกสองคนด้วยยังไม่ได้นอนกันเลยไม่ใช่เหรอ รอดูอาการทีมาจนตอนนี้ตีสามแล้วไม่ง่วงกันหรือไง”
แอนทักเรื่องเวลาก็ทำให้ฉันยกนาฬิกาขึ้นมาดูด้วยสัญชาติญาณ จริงด้วยแหะ นี่เรารอจนลืมเวลานอนกันเลยหรือไง
“พี่ก้อยจะไปนอนที่เต็นท์ก่อนไหม เดี๋ยวผมไปส่งพี่แอนที่ตึกเองก็ได้”
เก๋งรีบพูดอาสาเมื่อเห็นว่าเวลามันไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินไปไหนมาไหนจริงๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดเมื่อเห็นภาพตรงหน้าเนี่ย ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยากเข้าไปกระชากสองคนนี้ออกจากกัน แต่ฉันก็ทำได้แค่คิดอะ เขาแค่ช่วยประคองแอนเพราะแอนบาดเจ็บ ไม่ได้มายืนกอดกันโดยไม่มีสาเหตุหรือปัจจัยอย่างอื่นสักหน่อย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ช่วยประคองไปอีกข้างนึงดีกว่า ดูท่ายัยนี่จะตัวหนักน่าดู”
ฉันพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ แอนยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าฉันเป็นเชิงดุเล่นๆ ฉันรีบเข้าไปประคองตัวแอนอีกข้างทันที ในขณะที่ฉันวางมือไว้บนเอวแอน มันเป็นจังหวะเดียวกันที่เก๋งวางมือที่เอวแอนเหมือนกัน คราวนี้กลายเป็นว่าเก๋งกำลังแอบจับมือฉันจากหลังแอน มันก็รู้สึกดี แต่ฉันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาดื้อๆ จนต้องดึงมือออกและเขยิบไปวางกลางหลังแอนเพื่อเลี่ยงการแตะมือกันอีกครั้ง
“จริงๆ พวกแกสองคนไม่ต้องมาช่วยฉันก็ได้นะ ฉันเดินกลับเองได้”
แอนพูดขึ้นในขณะที่กำลังพาลัดเลาะเพื่อจะเข้าตึกคณะที่ห่างไม่ไกลแค่เอื้อม
“พี่อย่าดื้อดิ”
คำพูดของเก๋งทำให้ฉันเงยหน้ามองเขาเพราะคิดว่าเขาพูดกับฉัน แต่เปล่าเลย สายตาของเก๋งกลับมองลงมาที่แอนด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงจริงๆ เก๋งเหลือบสายตามามองฉันทำให้ฉันต้องก้มหน้าก้มตาประคองแอนไปต่อเหมือนไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น
เขาไม่ได้พูดประโยคนั้นกับฉันแค่คนเดียวหรือไง
“นี่ยังคิดอยู่นะว่าถ้าไม่มีใครผ่านมาช่วยเรา ฉันคงรู้สึกผิดต่อทีมากแน่ๆ ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ” แอนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดตัวเองในขณะที่เรามาถึงที่ตึกกันเป็นที่เรียบร้อย
“สรุปแกเข้าไปทำอะไรข้างในกันสองคน หืม”
ฉันเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยก่อนจะค่อยๆ พาแอนลงบันไดไปชั้นล่างของตึกคณะทันที
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับทีน่ะ ฉันเลยหาสถานที่คุยแล้วดันเผลอไปปิดประตู ไม่คิดว่ามันจะล็อกจากด้านนอก”
ฉันร้องอ๋อเมื่อได้ฟังเรื่องที่แอนเล่า ถ้าจะถามว่าคุยอะไรกันก็ดูเหมือนเผือกแบบครบสเต็ปไป แค่ได้รู้ว่าเข้าไปทำอะไรกันแค่นี้ก็พอล่ะ
ในตอนนี้เรามาถึงที่ๆ ทุกคนนอนกัน อาจเป็นเพราะมันเป็นเวลาตีสามทำให้ไม่มีใครตื่นขึ้นมาเพราะต่างหลับลึกกัน มีเพียงแค่ใครบางคนที่นั่งพิงเสากดโทรศัพท์อยู่คนเดียวในมุมมืด แสงสว่างบนหน้าจอมือถือทำให้ฉันหรี่ตามองเขา เขาหันมาทางเราและก็รีบลุกมาดูอาการแอนอย่างเร่งด่วน
“แอนเป็นไรวะ”
สีหน้าเหลอหลาของอัพ หรือที่ฉันเรียกว่าเฮดว๊ากไถ่ถามอาการอย่างสงสัย ก่อนจะช่วยประคองตัวแอน ฉันกับเก๋งจึงปล่อยให้อัพรับหน้าที่นี้ไป
“ถามแอนเอาเองล่ะกัน ฉันไปนอนก่อนนะ” ฉันพูดปัดเบี่ยงประเด็น “วันนี้ฉันอาจมาช่วยงานช้าเพราะยังไม่ได้นอนกันเลย แล้วก็น้องที่ชื่อทีป่วยกะทันหันฉันให้กลับบ้านไปแล้วนะ”
“โอเค ไปนอนกันเหอะ เราน่ะเป็นผู้ชายดูแลพี่ก้อยด้วย”
น้ำเสียงโหดๆ ผสมบังคับพุ่งตรงไปที่เก๋งที่ทำหน้าสำนึกผิดอยู่ข้างๆ ฉัน เขาพยักหน้ารับคำของเฮดว๊ากอย่างจำยอม ฉันยกมือบอกลาแอนก่อนจะดึงแขนเก๋งให้เดินกลับไปที่เต็นท์ ในตอนนี้ความรู้สึกของฉันมันนอยด์จนบอกไม่ถูกเลยสิ เนี่ยเหรออาการคนขี้หึงขี้หวงเหมือนในนิยายที่ฉันอ่านประจำ มันเป็นแบบนี้เองเหรอ
น่าอึดอัดตัวเองชะมัด
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าอะ”
เก๋งเอียงหน้ามาดักฉันก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่งจากยืนด้านข้างมายืนตรงหน้าฉันแทนเมื่อเรามาถึงหน้าเต็นท์ ฉันพยายามไม่มองหน้าเขา แม้ว่าในเวลาตอนนี้จะมืดมากจนมองหน้าคนตรงหน้าไม่ชัด แต่มันก็พอจะมีแสงรางๆ ให้เห็นแววตาบ้างละ
“เปล๊า” เสียงสูงเฉย ฉันกระแอ่มเพื่อปรับให้โทนเสียงมันเป็นปกติ แต่มันทำไม่ได้ ดูพิรุธไปเลยฉัน
“เอาดีๆ ดิ พี่บอกผมก็ได้ ผมจะได้หาทางแก้ให้ พี่ป่วยอ่อ”
ด้วยความที่ฉันเคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เขาถือวิสาสะจับต้องตัวฉันบ่อยๆ คราวนี้เขายกมือขึ้นมาอังหน้าผากฉันทันทีที่พูดจบไม่ปล่อยให้เว้นช่องตอบแต่อย่างใด เขาใช้มืออีกข้างจับหน้าผากตัวเองเหมือนวัดอุณภูมิปฐมพยาบาลเบื้องต้น
“พี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่ขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน”
ฉันปัดมือเขาออก แต่ฉันก็เบามากไม่ได้ใส่อารมณ์ในการปัดแต่อย่างใด เพราะฉันยังดึงสติตัวเองได้ว่าไม่สมควรไปทำอะไรรุนแรงใส่เขา
ต่อให้เราเป็นอะไรกัน ฉันก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับเขาอยู่ดี
เพราะเขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นใส่ฉันเลยสักครั้ง ฉันจะไปกล้าทำคนที่ฉันแอบชอบได้ยังไงว่าไหม
ฉันพยายามยิ้มให้เขาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องใส่ใจอารมณ์หงุดหงิดของฉันก่อนจะเปิดเต็นท์และเข้าไปนั่งเตรียมพร้อมจะลงนอน ไม่ใช่ประจำเดือนไม่มาเสียหน่อย แค่ฉันไม่ชอบที่เขาชอบทำตัวดีกับทุกคน เขาดีเกินไปหรือเปล่า ดีจนฉันคิดว่าฉันไม่น่าแอบชอบเขาเลยด้วยซ้ำ ดีจนฉันอยากปล่อยให้เขาไปเจอคนที่ดีกว่าฉันยังไงไม่รู้
เก๋งเข้ามาในเต็นท์ด้วยสีหน้าที่คิ้วพันกันอย่างเห็นได้ชัด เขาดูสงสัยกับอารมณ์ของฉันแบบจริงจังสุดๆ เขาใส่ใจรายละเอียดอารมณ์ของทุกคนบนโลกใบนี้หรือไง ไม่ต้องเข้าใจใครเพื่อเป็นห่วงเป็นใยเขาก็ได้มั้งเก๋ง บางทีคนเขาก็ไม่ได้อยากระบายหรอก เขาอาจจะอยากเก็บอาการนั้นไว้คนเดียวก็ได้
แต่ฉันดันเผลอเก็บอาการเหล่านั้นไม่หมด อาการออกชัดเจนจนเก๋งต้องมานั่งทำหน้าสงสัยฉันไม่เลิกเนี่ย
“ถ้าพี่ไม่บอกผมว่าพี่เป็นอะไรผมจะไม่นอน” เก๋งทำหน้าตาฟึดฟัดคิ้วผูกเป็นปมแถมยังทำท่ากอดอกมองฉันเพื่อกดดันให้ฉันเปิดปากอีก “พี่งอนผมเหรอ”
เขาถามขึ้นจนฉันแทบจะหลบสายตาไม่ทันเพราะกลัวเขารู้ว่าฉันคิดแบบนั้นแหละ เออฉันงอน แถมงอนแบบไม่ทราบสาเหตุ ไม่ทราบฐานะตัวเองด้วย!
“…” ฉันล้มตัวนอนก่อนจะดึงผ้าห่มและหันหน้าไปอีกทางเพื่อไม่ให้เขาเห็นสีหน้าของฉัน
“พี่งอนผมเรื่องอะไรอะ งง” น้ำเสียงงงงวยแบบจริงจังพูดกับฉัน ฉันหลับตาลงเพื่อตัดบทสนทนาทั้งหมด พูดคนเดียวไปเลยไอ้เด็กบ้า
“…”
“เรื่องพี่แอนเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย!”
ฉันดีดตัวขึ้นมานั่งเถียงเขาด้วยสีหน้าตึงตังทันทีที่เขาพูดประโยคแทงใจดำฉันขึ้นมา เก๋งยื่นปากออกมาเหมือนตัวเองรู้สึกผิด ฉันจิปากใส่ตัวเองที่ดันทำตัวเหมือนเป็นเด็ก ทั้งๆ ที่โตพอจนควรคิดว่าอะไรเป็นอะไรได้แล้ว ฉันควรแยกแยะเรื่องบางเรื่องบ้าง แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันหงุดหงิด!
“ถ้าไม่ใช่ แล้วพี่จะงอนผมทำไม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่เราจะไปช่วยไอ้ทีกับพี่แอน พี่ยังน่ารักกับผมอยู่เลย”
ไม่รู้ว่าเขาชมหรือเขาแค่พูดไปงั้น แต่อยู่ๆ ฉันก็อารมณ์เย็นลง ฉันไม่ใช่คนบ้ายอแต่เจอคำพูดน่ารักๆ จากปากเขาทีไรฉันก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาดื้อๆ
“พี่แค่ง่วงน่ะ เลยเป็นงี้แหละ อย่าใส่ใจเลย”
ฉันตัดจบพร้อมเตรียมตัวลงนอนอีกครั้ง แต่คราวนี้เก๋งก็ไหวตัวเข้ามาโอบตัวฉันก่อนจะดึงให้ตัวของฉันนอนลงเป็นจังหวะพอดีที่หัวของฉันไปวางไว้ที่หน้าตักของเขาอย่างแม่นยำ ฉันแน่นิ่งไปพลางทำตาปริบๆ นี่เขาเป็นบ้าอะไรถึงดึงตัวฉันเข้ามาแบบนี้อะ
“ผมจะลงโทษตัวเอง” เก๋งพูดพร้อมกับก้มลงมาประชิดหน้าฉัน ฉันจะเบี่ยงหน้าหลบก็ไม่ได้ ขืนเบี่ยงอาจจะหันไปซุกอย่างอื่นของเขาแทน “ผมจะนั่งหลับ ส่วนพี่ก็นอนตักผมไป ผมยอมเมื่อยเพื่อให้พี่สบายใจ”
“แต่…”
“ไม่มีคำว่าแต่ เก๋งว่าเก๋งต้องทำผิด เก๋งต้องโดนลงโทษเก๋งคิดถูกแล้ว”
ใบหน้าตึงตังของเขาทำฉันอมยิ้มเบาๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผิดอะไรเลย เป็นฉันต่างหากที่ผิด งอนโดยไม่มีสาเหตุ งอนเป็นตุเป็นตะ แต่ฉันกลับอยากอยู่แบบนี้ไปสักพัก ได้ใกล้เขาให้นานที่สุด เพราะบางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของฉันก็ได้ใครจะไปรู้นี่เนอะ
“อืม…”
ฉันพูดจบแค่นั้น ก่อนจะหลับตาลงเพราะความง่วงจริงๆ ความรู้สึกดีๆ ของฉันขอเก็บเป็นความทรงจำทีเถอะ ในตอนแรกฉันแค่อยากตามจีบเขาเพียงเพราะที่บ้านเอาแต่กดดันฉันว่าเป็นติ่งเกาหลีไม่มีแฟนแน่ๆ ฉันเลยเลือกจะจีบเขาเพราะหน้าตา แต่ไปๆ มาๆ ฉันแพ้เขาไปเต็มๆ ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะกับคนดีๆ อย่างเขาเลยด้วยซ้ำ แปลกเนอะ ที่เขาเคยจีบผู้หญิงคนนึงแต่ผู้หญิงคนนั้นดันปฏิเสธเขา
ทำไมนะ…ผู้หญิงคนนั้นถึงไม่เป็นฉัน
09.45 AM.
น่าแปลก…ที่ฉันคิดว่าตัวเองจะตื่นสายได้มากกว่านี้ แต่ฉันกลับต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่บนตักเก๋งไม่ได้ขยับไปไหน ส่วนคนที่ลงโทษด้วยการเป็นหมอนให้ฉันเขาก็ยังคงนั่งหลับจริงแถมยังหลับลึกไม่ล้มลงนอนแต่อย่างใด ฉันเลยจัดการค่อยๆ จับตัวเขานอนท่าปกติไม่งั้นขาของเขาคงจะใช้งานไม่ได้ทั้งวันแน่ๆ
ฉันออกมาจากเต็นท์โดยเลือกที่จะไม่ปลุกเก๋งขึ้นมา เขาคงเหนื่อยกับการปั่นงานมาทั้งคืน ให้เขาได้พักผ่อนบ้างเถอะ
ฉันตรงมาที่หน้าห้องน้ำและจัดการล้างหน้าตัวเองพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฉันงอนเก๋งได้ไม่นานจริงๆ แถมจะไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ อยากโกรธตัวเองที่ทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ แต่มาคิดอีกที มีสิทธิ์อะไรมากมายเหรอ ถึงต้องไปงอนเขาขนาดนั้น
ฉันประโคมน้ำล้างหน้าครั้งสุดท้าย ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเพื่อซับหน้า แต่พอล้วงไปที่กระเป๋าฉันก็พบกับโทรศัพท์เครื่องนึงที่ไม่คุ้นมือซะเท่าไร พอหยิบขึ้นมาฉันก็พบว่ามันเป็นมือถือของทีที่ฉันเก็บได้ตั้งแต่เมื่อคืน ฉันลืมเอาโทรศัพท์คืนเขาไปเลยแหะ แบบนี้เขาจะใช้ติดต่อคนอื่นจะทำไงล่ะ ฉันลองกดเปิดเครื่องและมันก็ติดขึ้นมาดื้อๆ ฉันเลื่อนปลดหน้าจอก็พบว่าเขาไม่ได้ใส่รหัสและที่สำคัญ…
หน้าจอยังเป็นรูปฉันอีกต่างหาก…
พอฉันเห็นอะไรที่กล้ำกลืนฝืนทนฉันจึงจัดการปิดหน้าจอและเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ทำไมเขาต้องชอบฉันอะไรขนาดนี้ด้วยล่ะ
เขากำลังกดดันความรู้สึกฉันอยู่หรือไง
“อ้าวก้อย ฉันกำลังจะไปปลุกแกไปกินข้าวด้วยกันพอดีเลยอ่ะ นี่กินไรยัง”
เสียงเรียกของแอนทำฉันหันไปมองก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าตัวเองเพื่อปกปิดสีหน้าเจื่อนๆ ของฉันเมื่อสักครู่
“ยังเลย จะไปกินเลยเหรอ น้ำฉันยังไม่อาบเลย”
ฉันพูดพลางยกเสื้อขึ้นมาดม แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เน่าอะไรมากมายนะ ยังพอไหวอยู่ในหนึ่งระดับ
“ไปกินก่อนเหอะ ฉันหิวจะแย่ ค่อยกลับมาอาบก็ได้” แอนไม่สนว่าฉันจะเน่าเพียงใด ยัยนี่รีบดึงตัวฉันเพื่อตรงดิ่งไปที่ร้านข้าวใกล้ๆ ทันที บางทีก็อิจฉาเพื่อนตัวเองที่ไม่ต้องมานั่งคิดมากเรื่องความรัก ในชีวิตแอนเคยสัมผัสคำว่าแอบชอบบ้างไหมนะ “แกจะกินอะไร”
ฉันสะดุ้งตื่นจากความคิดเมื่อเรามาถึงร้านข้าวและจัดการนั่งลงเพื่อเตรียมตัวสั่งเมนูกัน ฉันเลอะละไปเล็กน้อยก่อนจะก้มมองเมนูในมือและจัดการชี้ไปมั่วๆ เพื่อให้พ่อค้าที่ยืนรอจดเมนูได้ทราบถึงสิ่งที่ฉันต้องการ
“เอาข้าวผัดปูก็ได้ค่ะ” ฉันเงยหน้าบอกพ่อค้าอีกครั้ง ก่อนจะกลับมานั่งรินน้ำเปล่าใส่แก้วตัวเองด้วยจิตใจที่เหม่อลอยสุดๆ
“แกเป็นอะไรหรือเปล่าก้อย แลไม่มีสตินะ ไปนอนเพิ่มไหมแก”
แอนยื่นมือมาปัดไปปัดมาตรงหน้าฉันเอเห็นว่าฉันเอาแต่เหม่อลอยไม่ได้สนใจกับบทสนทนาของเพื่อนเลยสักนิด ฉันยิ้มส่งให้เพื่อนก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร
“ฉันนอนดึกมั้งเลยดูมึนๆ” ฉันพูดเพื่อให้เพื่อนตัวเองสบายใจ แต่ความจริงในหัวฉันกลับมีเรื่องเก๋งและก็เก๋ง ไม่รู้ว่าโดนล้างสมองไปตอนไหน มารู้ตัวอีกทีในตอนนี้ฉันก็มีชื่อเขาแล่นอยู่ในชีวิตประจำวันจนฉันคิดเล่นๆ ว่า ถ้าวันนึงชีวิตฉันไม่มีเขาขึ้นมา ฉันจะเป็นยังไงในตอนนั้น “แกหายดีหรือยัง”
ฉันเลิกคิ้วถามเพื่อนเมื่อเห็นว่ารอยช้ำเล็กน้อยบนแขนของเธอเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงจนดูน่ากลัวไปเลย
“ปวดๆ นิดหน่อยน่ะ แต่ฉันกินยาแล้วเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ เพื่อนแกถึกจะตาย”
แอนยักคิ้วทำท่าทางแมนๆ ส่งมา ดูไปดูมาแอนก็น่ารักมากๆ แต่ทำไมถึงไม่ค่อยมีใครมาจีบหรือมีแต่เพื่อนฉันไม่เคยบอกก็ไม่รู้ ยัยนี่เก็บความลับเก่งจะตาย เคยหลุดมาซะที่ไหน
“จะว่าไปก็แอบเป็นห่วงทีนะ ไม่รู้ว่าเขาอาการดีขึ้นมากหรือยัง ตอนเข้าไปช่วยฉันรู้สึกใจไม่ดีเลยแหะ” ฉันพูดพลางก้มลงดูดน้ำในแก้ว แอนเท้าคางก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันยังรู้สึกผิดกับเด็กนั่นไม่หายเหมือนกัน ถ้าเขาเกิดเป็นอะไรไปมากกว่านี้ ฉันจะโทษตัวเองยังไงไม่รู้เลย เหมือนฉันเห็นแก่ตัวมากเกินไป จนลืมละเลยความลำบากของเขาไปเลยน่ะ”
“แต่ตอนนี้ทีก็ไม่เป็นไรแล้ว แกไม่ต้องโทษตัวเองหรอก นายนั่นดูท่าทางซนยังกับลิง น่าจะถึกพอๆ กับแกนั่นล่ะแอน ฮ่าๆ”
ฉันหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศอึดอัดเหล่านี้ ฉันไม่น่าพูดประเด็นของทีขึ้นมาเลย พอพูดถึงเขาทีไร คนรู้สึกผิดเป็นฉันทุกที รู้สึกผิดที่เคยปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ที่เขาให้มา แต่ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเขามาช้า แต่เขาไม่ใช่สำหรับฉัน ยิ่งฉันตักเตือนตัวเองให้เปิดใจดูสักครั้ง ฉันก็ยิ่งเหมือนว่าตัวเองกำลังฝืน ฝืนในเรื่องที่รู้ตัวเองดีว่าคงทำให้เขารู้สึกดีด้วยได้ไม่นานหรอก
“ก้อย…” อยู่ๆ แอนก็เรียกฉันด้วยสีหน้าที่ดูมุ่งมั่น ฉันเลิกคิ้วตอบกลับไปเพื่อเป็นการขานรับคำเรียกของเธอ “ฉันมีเรื่องจะบอก คือว่ากะ….”
“ข้าวผัดมาแล้วครับ”
เป็นจังหวะเดียวที่ข้าวผัดที่ฉันสั่งมาเสริฟที่โต๊ะ ฉันก้มหัวให้คุณลุงเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสนใจคนตรงหน้าต่อ เมื่อกี้จะพูดว่าไรนะ
“แกจะบอกฉันว่าอะไรนะ?” ฉันทวนแอนอีกครั้ง คนตรงหน้ายิ้มให้ฉันค่อยๆ ก่อนจะหยิบช้อนส่งมาให้ฉัน
“ฉันจะบอกว่า รีบกินรีบไปช่วยงานของทีที่ยังไม่เสร็จได้แล้ว” แอนพูดกับฉันติดตลก ฉันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะก้มหน้าก้มตารีบกินตามคำสั่งเพื่อน
แววตาของแกนี่ไม่ได้หมายถึงประโยคที่จะต้องการสื่อแบบนั้นเลยนี่นา มีความลับใส่กันหรือไง
“เก๋งทำงานตัวเองเสร็จแล้ว เขากลับได้เลยไหมอะ” ฉันถามแอนที่ตั้งใจกินข้าวไม่ต่างจากฉัน แอนไม่ได้เงยหน้ามาคุยอะไร แต่เธอพยักหน้าเพื่อสื่อแทนคำตอบ
“แกจะกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันขอโทษที่ต้องเอาแกมานอนตากลมที่มหาลัยทุกคืนแบบนี้”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร แค่ฉันได้นอนกับน้องเก๋งก็ดีใจแล้ว” ฉันพูดไปก็ยิ้มเขินไป แอนยิ้มกลับมาให้ฉันเหมือนจะยินดีด้วยกับฉัน แต่แววตาของเธอกลับตรงข้ามกับสีหน้าอย่างสิ้นเชิง “แกไม่ชอบน้องเขาเหรอแอน ฉันสังเกตมาสักพักแล้วอะ”
ฉันตัดสินใจถามคำถามที่อึดอัดมานาน ฉันไม่รู้ว่าแอนทำไมถึงจงเกลียดจงชังเก๋งนักหนา ฉันไม่ได้คิดไปเองหรอกใช่ไหม เพราะเวลาฉันเห็นสองคนนี้เจอกันทีไรก็มักเขม่นกันทุกที ยกเว้นเมื่อคืน คงไม่มีเวลามาคิดเรื่องทะเลาะจนมันดูสนิทเสียฉันคิดว่าเคยสนิทมาก่อน
แอนชะงักมือที่ตักข้าวเข้าปากไปชั่วครู่ ก่อนจะวางมันลงและดูดน้ำตาม
“อืม” แอนตอบมาแค่นั้น สายตาที่มองฉันทำให้ฉันจ้องลึกเข้าไปกว่าเดิม “ฉันไม่คิดอะไรกับนายนั่นและไม่มีทาง แกไม่ต้องห่วงหรอก”
แอนพูดเหมือนรู้ความนัยของฉันจริงๆ ฉันไม่ใช่คนหวงก้างขนาดที่ต้องถามดักเพื่อนสนิทตัวเองว่าชอบเก๋งมากไหม แต่ฉันแค่สงสัยว่าเขาเคยสนิทกันมาเหรอถึงต้องทำตัวเหมือนบาดหมางอะไรกันแบบนั้น
“แกกับเก๋งเคยทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” ฉันถามไปด้วยความอยากรู้อีกครั้ง แอนวางช้อนก่อนจะวางเงินลงบนโต๊ะด้วยสีหน้านิ่ง
ฉันถามแค่นี้ ถึงกับกินไม่ลงเลยเหรอ
“แกลองไปถามเก๋งแฟนแกดูสิ เขาน่าจะให้คำตอบได้มากกว่าฉัน”
แอนปัดเบี่ยงไม่ตอบก่อนถอนหายใจออกมาเหมือนว่าคำถามของฉันมันไร้สาระเกินไป
“ฉันกับเก๋งยังไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย”
ฉันพูดเสียงเบา รู้สึกน้อยใจที่ความพยายามที่ทำมาหลายเดือนกลับไม่พัฒนาอะไร เพราะความไม่แน่ชัดของเก๋งและความคิดมากของฉันที่กลัวการปฏิเสธมากเกินไป ฉันไม่ชอบอะไรแบบนี้บางทีก็หงุดหงิดตัวเอง อยากเป็นเจ้าของเก๋งมากเท่าไร ยิ่งเหมือนว่าตัวเองฝันมากไปเท่านั้น
“ฉันชอบแกนะ” แอนพูดขึ้นมาดื้อๆ ทำให้ฉันเงยหน้ามองแบบไม่เข้าใจในประโยคกะทันหันเมื่อกี้ “ฉันไม่เข้าใจตัวเองว่านี่เป็นความรู้สึกของคนหวงเพื่อนเหมือนที่ใครหลายๆ คนบอกฉันหรือเปล่า แต่ฉันรักและเป็นห่วงแกมาก”
“ฉันก็รักแก เพราะแกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน” ฉันพูดพลางจับมือแอนที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ฉันไม่ได้อคติอะไรกับเก๋ง แต่ความรู้สึกฉันมันบอก…” แอนส่งสายตาจริงจังมาทางฉัน จนทำให้ฉันเริ่มใจกระตุกวาบขึ้นมา “เก๋งเข้ามาหาแกเพราะมีจุดประสงค์อื่น เขาไม่ได้คิดอะไรกับแกหรอก”
ยิ่งพอได้ยินประโยคตลกๆ นี่ยิ่งทำให้ฉันขำออกมาโดยไม่มีสาเหตุ ฉันมีประโยชน์อะไรถึงต้องมาหลอกเข้าหาฉันกัน ก็เห็นๆ อยู่ว่าฉันเองที่เข้าไปหาเขา
“บ้าน่า แกก็คิดมาก เก๋งไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรแบบนั้นหรอก” ฉันพูดให้ตัวเองสบายใจไปงั้นแหละ จากตอนแรกที่ไม่ได้สับสนอะไรมากมายขนาดนี้ ตอนนี้กลับมีเรื่องเข้ามาตีในหัวมากกว่าเดิมเสียอีก
“สักวันแกคงจะรู้คำตอบเอง ฉันไม่ได้คอนเฟิร์มให้แกต้องเชื่อฉัน แต่ฉันอยากให้แกชัดเจนกับนายนั่นเสียที ถ้าขืนปล่อยให้แกยังคงตามเด็กนั่นไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นว่าแกพยายามอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เหนื่อยบ้างเหรอก้อย แกลองถามตัวเองและทบทวนตัวเองหลายๆ รอบนะ”
“…”
“ว่าที่แกทำไป แกมีความสุขมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าแกคิดไปเองว่าตัวเองกำลังมีความสุข”
"..."
"ความรักของแกตอนนี้มันข้ามเส้นมาเยอะแล้ว มันไม่ใช่ศิลปินที่แกวิ่งตามประจำแล้วมองไกลๆ แกก็ยิ้มได้นะ มันเป็นความสุขที่ได้คนละแบบกัน"
"..."
"แกอย่าเป็นเหมือนฉัน ชอบเขาแต่สุดท้ายฉันก็สับสนตัวเอง จนต้องถอยออกมา เหมือนตอนนี้นี่ไง"
"..." ยัยนี่เคยชอบใครด้วยเหรอ
"หยุดวิ่งแล้วชัดเจนกันได้แล้วก้อย ฉันรักแกฉันคงทำได้เท่าที่จะทำได้นี่แหละ ขอตัวก่อนนะ"
แอนพูดจบก็ลุกออกไป ปล่อยให้ฉันสับสนและทบทวนคำพูดทั้งหมดของเพื่อนตัวเอง ความรู้สึกแบบนี้ฉันกำลังเล่นอะไรอยู่ ฉันกำลังเล่นกับความรู้สึกตัวเองงั้นเหรอ
ชัดเจนเหรอ...
แค่นี้มันยังไม่ชัดเจนมากพอสำหรับฉันอีกหรือไง



นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เรื่องราวแบบนี้เคยเกิดกับตัวเองนะ เพื่อนชอบผู้ชายคนหนึ่งแต่
ผู้ชายคนนี้นเคยมาจีบเราและเราปฏิเสธเขาเลยเข้าหาเพื่อนเราเหมือนจะประชด เราปล่อยไปประมณ2เดือนเราทนไม่ไหวเลยบอกเพื่อน เพราะเราคิดว่าเพื่อนเรารุ้จากปากเราจะดีกว่า เพื่อนเราก็อึ้งมีเสียความรุ้สึกเล็กน้อย แต่มันก็เคลียนะเคลียกับผู้ชายด้วย สามคนเลยผู้ชายยอมรับว่าตอนแรกจีบประชดแต่ตอนนี้เริ่มรุ้สึกดีด้วยเลยขอโอกาสจากเพื่อนเรา ตอนนี้ก็แต่งงานมีลูกสองคนแล้วล่ะ
แต่กับแอนไม่ใช่ถ้าบอกว่ารักเพื่อนทำไมไม่บอกความจริงแล้วให้ก้อยตัดสินใจเองว่าจะถอยหรือไปต่อ แล้วยังมาพูดเหมือนชอบเก๋งแต่ไม่กล้าอย่างงั้นแหล่ะ
**คอมเมนท์เยอะอย่าด่าเค้านะรุ้สึกอินมาก**
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
รอมาต่อน้าาาาาา