ตอนที่ 25 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 24 ll เวลาเราชอบใคร เราต้องมีอาการแบบนี้กับเขา {LOADING 100%}

24
เวลาเราชอบใคร เราต้องมีอาการแบบนี้กับเขา
“แกร้องไห้เหรอตุ๊ด”
ผมรีบเก็บเสียงสะอื้นและยกมือปาดคราบน้ำตาที่อยู่ๆ ก็ไหลลงมา น่าอายชะมัดต่อหน้าต่อตาผู้หญิงมาร้องไห้ให้เขาเห็นความขี้ป๊อดทำไมวะ
“ผมกลัว”
ผมพูดยอมรับความจริงแต่โดยดี ไม่ใช่เพราะว่าผมกลัวความมืดหรือกลัวผีอะไร ผมกลัวว่าผมจะหายใจไม่ออกแล้วเกิดแน่นิ่งไปดื้อๆ อ่ะ ไม่เอาอะ ผมยังไม่อยากตายทั้งๆ ที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะมาไม่ถึงปี แถมสถานที่ตายยังเป็นห้องเก็บอุปกรณ์อีก ต่อให้ชาติหน้าเกิดเป็นนักกีฬาก็ไม่อยากตายครับจุดๆ นี้ TT
“พูดจริงปะเนี่ย” พี่แอนหันมาทำหน้าทำตาไม่เชื่อผมสุดๆ ดีที่มันไม่ได้มืดอะไรมากมาย แม้จะมีหน้าต่าง แต่มันกลับเป็นหน้าต่างที่ถูกประตูกระจกปิดอีกที เราก็ออกไปไม่ได้อยู่ดีอะ “แสดงปะเนี่ย”
“โหพี่ ผมมมีอารมณ์มานั่งบีบน้ำตาเรียกร้องความสงสารหรอกนะ คิดดิ”
“เออ ไม่ต้องคิดมากฉันหาทางเปิดอยู่ มันล็อกจากข้างนอก สงสัยประตูลูกบิดมันล็อกค้างไว้มั้ง ฉันดันดึงมันมาปิดเองล่ะ ขอโทษล่ะกัน”
พี่แอนกล่าวยอมรับผิดโดยไม่โยนความผิดให้ใครทั้งนั้น เธอดึงกิ๊ฟติดผมสีดำของตัวเองที่ติดไว้ออกมา ก่อนจะจัดการง้างกิ๊ฟนั้นด้วยปากและทำการแงะมันออกเหมือนเคยทำเป็นงานถนัดงั้นแหละ
ผมยืนลุ้นตัวสั่นไปหมด พยายามยืนไม่ให้ตัวเองบังแสงที่เล็ดลอดออกมา สายตามุ่งมั่นของพี่แอนจ้องมองที่ลูกบิด ดูไปดูมานี่แมนไม่สมกับสารร่างเลยนะ ตัวก็เล็กหน้าก็หวาน แถมยังไว้ผมยาวสีน้ำตาล ดูยังไงก็เหมือนตุ๊กตาอะ แต่การกระทำกลับตรงข้ามกับที่เห็นสิ้นเชิง
“ได้ยังพี่” ผมลองเร่งเธอดูอีกครั้ง พี่แอนปากิ๊ฟในมือลงพื้นก่อนจะทำหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “อ่าว ทิ้งทำไมอะ”
“ไขไม่ได้ หมดหนทางแล้ว”
พี่แอนพูดจบก็เดินเบียดผมไปนั่งกับพื้นอย่างจำยอม ปล่อยให้ผมอ้าปากงงกับเรื่องที่จะต้องเกิดจริงๆ จังๆ นี่เราต้องติดอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มีแต่ฝุ่นลอยไปลอยมาเนี่ยนะ!
ไม่เอาอ่ะ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่!
"เฮ้ย พี่ มันต้องได้ดิ ในหนังยังทำได้เราก็ต้องทำได้”
ผมรีบก้มหน้าก้มตาหากิ๊ฟสีดำเมื่อครู่ แต่เพราะด้วยความมืดที่มีมากกว่าที่จะมองเห็นสิ่งดำๆ เล็กๆ ทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นมันได้แม้แต่เงา
“มานั่งเฉยๆ ได้ไหมตุ๊ด เดี๋ยวก็มีคนเดินผ่านอยู่ดี มันเป็นทางผ่านไปห้องน้ำแล้วค่อยเคาะเรียกก็ไม่สาย”
ผมหยุดมองหากิ๊ฟก่อนจะถอนหายใจออกมาและลงไปนั่งข้างๆ พี่แอนอย่างจำยอม แต่กว่าคนจะเดินมาเข้าห้องน้ำถ้าพวกนั้นมาเข้าเอาตอนเช้า เราไม่นอนเหงื่อแตกหายใจรวยรินกันแล้วเหรอ นี่มันแย่ยิ่งกว่าไล่ออกไปนอนข้างนอกกลางสนามบอลเหมือนสองคนนั้นเสียอีก
ไม่น่ามากับยัยนี่เลย ซวยฉิบหาย
“ผมต้องกินยา” ผมรีบพูดจุดประสงค์ที่ต้องรีบออกจากที่นี่ไปทันที “ผมต้องกินยาให้ตรงเวลาเพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้ ตอนกลางคืนผมหายใจไม่ค่อยออกยิ่งพอมาเจอฝุ่นแบบนี้ด้วย ผมกลัว”
น้ำตาผมคลอเบ้าออกมาอีกครั้ง มันมืดเธอคงไม่เห็นว่าผมกำลังอ่อนแอจริงๆ หรอก มันดูเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับผมมันไม่ตลกสักนิด ผมเคยลืมยามากินตอนเข้าค่ายที่โรงเรียนในช่วงนึง ตอนนั้นผมหายใจไม่ออกมันทรมานมากๆ ต่อให้หายใจทางปาก มันก็ไม่เพียงพอกับตัวผมจริงๆ วินาทีเฉียดตายในตอนนั้น มันไม่ได้ตลกอะไรเลย
“โธ่เว้ย!”
พี่แอนสบถออกมาพร้อมกับถีบลูกกรงใส่ลูกบอล เธอมองซ้ายมองขวา ก่อนจะหันมามองผม และยื่นมือเหมือนขออะไรบางอย่าง
“มีอะไรหรือเปล่าพี่”
“เอามือถือมา” เธอแบมือขอสิ่งที่ผมเพิ่งจะบอกเธอไปแท้ๆ ว่าแบตมันหมด “ชักช้าทำไมล่ะ ฉันจะโทรไปหาก้อย”
“แบตหมดอะพี่” ผมพูดพลางล้วงมือถือขึ้นมากดปุ่มเปิดเครื่องสาธิตให้เธอดู นี่ถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์มันแพงเธอคงคว้าโทรศัพท์ผมปาลงพื้นไปแล้ว
ดูสีหน้าที่โหดสัดรัสเซียซะเหลือเกินแล้ว ไม่น่ารอดหรอก
“งั้นก็เหลือแค่ทางเดียวนั่นแหละ รอคนเดินผ่าน พยายามฟังเสียงเท้าคนเดินแล้วกัน”
“เราตะโกนเรียกคนข้างนอกเลยได้ไหมพี่ เผื่อมีใครได้ยิน”
“เปล่าประโยชน์ เก๋งก้อยก็อยู่ไกลจากเรามาก คนในตึกคณะก็เหมือนกัน ในเวลานี้ไม่มีใครออกมานั่งเล่นข้างนอกแน่ๆ”
“เราต้องรอไปถึงเมื่อไรอะพี่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้”
ผมพ่นลมหายใจออกมาเหมือนกำลังจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่รู้ ผมพยายามเปิดปิดเครื่องอยู่เรื่อยๆ แต่มันดูแล้วเหมือนความพยายามของผมมันช่างเปล่าประโยชน์สุดๆ
“ฉันก็อยู่กับแกเนี่ย จะรู้อนาคตบอกแกได้ไหมล่ะตุ๊ด” พี่แอนทำหน้าเหวี่ยงตามประสาคนโหดทำกัน ผมเบ้หน้าอยากร้องไห้ออกมาดังๆ ก็ร้องไม่ได้ คนข้างๆ เป็นผู้หญิงยังไม่ร้อง อายตายเลยถ้าต้องมานั่งร้องไห้ต่อหน้าผู้หญิงตัวเล็กๆ เนี่ย
“ถ้าผมตายขึ้นมาล่ะพี่…”
ผมหันไปถามคนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้มีการกวนประสาทแต่อย่างใด ผมจริงจังแล้วในตอนนี้
“ไม่หรอกน่า เลิกคิดไปเองได้แล้วที”
ผมหันไปมองหน้าพี่แอนที่ไม่ได้หันมามองผม พี่เขาเรียกชื่อผมใช่ปะเมื่อกี้อะ…พอได้ยินชื่อตัวเองแล้วดูเหมือนมีคนสนิทเพิ่มเลยแหะ
ผมลองปัดความคิดที่ยังไม่เกิดขึ้นและหาอากาศสูดเข้าปอดเรื่อยๆ พยายามไม่คิดวิตกมันจะได้ไม่เกิด แกต้องไม่อุปาทานหมู่ อย่าคิดไปเองที แกยังสบายดีเว้ย
“ทำไมพี่ถึงหวงพี่ก้อยขนาดนั้นอะ”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในห้องมันเงียบเกินไป ผมจึงหันไปถามคำถามที่อยากรู้ด้วยตัวเอง จริงๆ ก็แอบตกใจเบาๆ ที่มารู้ว่าเพื่อนสนิทพี่ก้อยแอบชอบพี่เขาเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพี่ก้อยรู้ไหม แต่ผมคิดว่าถ้าพี่แอนสารภาพว่าชอบออกไป อาจจะมีเจ็บเหมือนผมก็ได้
พี่ก้อยเป็นคนมั่นคงและตั้งหลักแข็งแรงที่จะจีบเก๋งสุดๆ แค่คิดก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว
“ฉันไม่มีเพื่อนคนไหนดีเท่ามันแล้ว” พี่แอนตอบผม เธอก้มหน้าก้มตากลิ้งลูกบาสที่วางอยู่กับพื้นเล่น ผมเงยหน้าพยายามรับอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด ก่อนที่อาการจะกำเริบขึ้นมาจริงๆ “ฉันคิดว่าถ้าฉันจะมีคนรักสักคน คงต้องเป็นมันนี่แหละ”
“ผมเคยสารภาพบอกชอบพี่ก้อยไป” ผมเอ่ยขึ้นมาดื้อๆ พี่แอนดูตกใจถึงขนาดหันขวับมามองหน้าผมด้วยอาการอึ้งๆ “ผลลัพธ์ที่ได้คือผมนก”
“ก็น่านกอยู่หรอก ฮ่าๆ” คนข้างๆ หัวเราะใส่ผมยกใหญ่ มันดูเหมือนตลกแต่สำหรับผมนั่นคือสิ่งที่ผมเจอครั้งแรก ผมมีแฟนกี่คนๆ เขาก็ชอบผมกลับทุกคน ยกเว้นพี่ก้อย รู้สึกเหมือนแพ้ แพ้ไอ้เก๋งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ถ้าผมจะให้สองคนนั้นเกลียดกัน พี่ว่าผมเล่นสกปรกไหม…”
และคำถามที่ผมไม่เคยคิดจะถามใครก็เอ่ยออกมา พี่แอนพ่นลมหายใจลงพื้นแรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ
“ลองคิดดูนะ ว่าถ้าเราทำไป ก้อยจะหันมาชอบเราไหม ต่อให้สองคนนั้นเกลียดกันก็ใช่ว่าก้อยจะหันมาชอบเรานี่” พี่แอนพูดจนผมรู้สึกจุกอกเบาๆ “พี่ก็เคยพยายามพูดให้ก้อยเลิกชอบเก๋ง พี่เป็นเพื่อนสนิทมันแท้ๆ พี่ยังห้ามไม่ได้”
“…”
“ความรักความเกลียดมันบังคับความรู้สึกใครไม่ได้หรอกนะ” พี่แอนเลิกตบไหล่ผมก่อนจะหันไปเล่นลูกบาสลูกเดิม “ถ้ารู้ว่าใกล้แพ้ก็ให้ถอยออกมา ถ้ายังฝืนเหยียบเข้าไปแล้วดันใช้แผนโง่ๆ เข้าไปเล่น คนที่เจ็บจะไม่ใช่ฝั่งตรงข้าม แต่เป็นเรา”
ผมก้มมองมือถือก่อนจะกำมันแน่น ผมกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ ไอ้เก๋งเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมสนิทที่สุดในตอนนี้ เราเหลือกันอยู่สองคนหลังจากจบมัธยมมา แต่ผมกำลังเข้าไปพังความสุขของมันเพื่อความสุขของผม…ผมกำลังเล่นอะไรลับหลังเพื่อนตัวเองอยู่วะ
“เก๋งมันเคยบอกชอบพี่เหรอ” ผมถามขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าคนถูกถามจะเงียบไปจนบรรยากาศอึดอัดดื้อๆ ซะงั้น “ผมขอโทษที่ถามแบบนั้นแล้วกัน”
“อืม…เก๋งเคยบอกชอบพี่”
เธอตอบขึ้นทันที ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ไม่คิดจริงๆ ว่าเรื่องที่ผมรู้มาจะเป็นจริงทุกอย่าง
“พี่ไม่โกรธหรอกเหรอที่อยู่ๆ ไอ้เก๋งก็ไปสนิทกับพี่ก้อย”
“พี่ไม่มีสิทธิ์โกรธใครทั้งนั้น พี่โกรธตัวเอง” เธอพูดยิ้มๆ แต่ถ้าให้เดาแววตาคงไม่ได้ยิ้มตาม “พี่โกรธตัวเองที่ยังหน้าด้านหน้าทนไม่บอกเรื่องบางเรื่องกับก้อย พี่อึดอัดเวลาสองคนนั้นคุยกัน พี่มีความรู้สึกว่าเก๋งกำลังพยายามเอาชนะพี่ ทั้งๆ ที่เก๋งคงไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น แต่พี่อคติเกินไป พี่โกรธตัวเอง”
“ผมเข้าใจ แต่ถ้าพี่ก้อยมารู้ทีหลังว่าเก๋งเคยชอบพี่ล่ะ…พี่จะทำยังไง”
ถ้าเป็นความรู้สึกเราคงรู้สึกตลก เหมือนกำลังเป็นตัวตายตัวแทน ของสำรองยังไงไม่รู้ ในตอนแรกผมอยากจะบอกเรื่องนี้ให้พี่ก้อยรู้ซะ แต่มาคิดดู ความสุขของเพื่อนกำลังได้ดี ถ้าผมจะเล่นสกปรกกับความรู้สึกของเพื่อน ผมไม่กล้าทำแบบนั้นจริงๆ
“เรื่องนี้เก๋งต้องอธิบายให้ก้อยรู้เองว่าที่ยอมสนิทกับก้อยเพราะอะไร ส่วนพี่ถ้าก้อยจะโกรธก็ต้องปล่อยให้มันโกรธ ถ้าเก๋งอธิบายทุกอย่างได้ดี พี่ว่าก้อยมีเหตุผลพอที่จะรับฟังเหตุผลพี่ที่พี่ไม่บอกมัน”
“ทีงี้ล่ะหล่อเชียว ทีเมื่อกี้ล่ะให้ผมไปพังเต็นท์ …”
ผมเบ้ปากใส่คนข้างๆ ที่พูดจาหล่อคมคายต่างจากการบังคับผมเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง สรุปเป็นคนยังไงกันแน่วะผู้หญิงคนนี้
“ฉันลองใจแก ว่าแกจะกล้าเปล่า”
“แต่ดูจริงจังอะ ดูแบบหวงเพื่อนเกิน”
“สรุปนี่ฉันหวงเพื่อนไม่ใช่ชอบเพื่อนใช่ปะ รู้ความรู้สึกคนอื่นดีกว่าตัวฉันเองหรือไง”
น้ำเสียงแกมประชดใส่ไม่ยั้งมาที่หูผม ผมส่ายหน้าเอือมๆ ดูก็รู้แล้วว่าหวงเพื่อนไม่ได้ชอบเพื่อนเลยสักนิด ถ้าชอบจริงๆ คงไม่ปล่อยให้เพื่อนไปไหนต่อไหนกับเก๋งหรอก
“พี่เคยบอกว่าพี่เคยแอบชอบผู้ชายนี่ ความรู้สึกในตอนนั้นมันต่างกับชอบพี่ก้อยไหมล่ะ”
ผมเอ่ยบอกเธอให้เธอคิดตาม พี่แอนหยุดเล่นลูกบาสก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่
“ก็ต่างนิดเดียว”
“เวลาอยู่ใกล้พี่ก้อยรู้สึกอยากกอดปะ”
“ไม่อะ อยากเตะ”
“หัวใจเต้นเร็วไหมเวลาอยู่ใกล้ๆ”
“ปกตินะ”
“แล้วกล้าสบตาพี่ก้อยเปล่า”
“ก็มองเหมือนคนทั่วๆ ไปมองอะ”
“นั่นล่ะ” ผมดีดนิ้วสรุปความทั้งหมด “พี่หวงเพื่อน ไม่ใช่ชอบเพื่อน ผมรู้ที่พี่ทำไปเพราะแค่ไม่อยากให้พี่ก้อยลืมพี่หรือห่างจากพี่เกินไป"
เสียงจิปากเหมือนโดนขัดใจของพี่แอนทำผมแอบขำเบาๆ ผมค่อยๆ เขยิบไปใกล้ๆ พี่แอนก่อนจะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
ผมขอลองพิสูจน์อะไรบางอย่างสักนิดหน่อยเถอะ
“จะ จะทำไรเฮ้ย” เสียงเรียกร้องของคนตรงหน้าทำให้ผมยกยิ้มขึ้นมา “นี่!”
ลมหายใจของผมและพี่แอนใกล้ชิดกันเพียงแค่คืบ เสียงเต้นของหัวใจคนตรงหน้าท่ามกลางความเงียบภายในห้องเริ่มดังขึ้นและรัวเร็วจนผมอดขำไม่ได้ ผมยกมือขึ้นจับหน้าพี่แอนอย่างถือวิสาสะ พี่แอนชะงักกับการกระทำผมไปเล็กน้อย แต่ก็นั่งนิ่งไม่ได้ตอบโต้อะไร ผมจับค้างไว้แบบนั้น อุณหภูมิของใบหน้าเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจของเธอถี่มากกว่าเดิมเหมือนกำลังตื่นเต้นอะไรบางอย่าง
ผมเคลื่อนหน้าตัวเองเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมและเบี่ยงขวาก่อนจะกระซิบข้างหูเธอเบาๆ เพื่อให้เธอเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง
“ที่พี่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้….”
“…”
“นี่แหละอาการของคนที่กำลังตกหลุมรัก…รู้ยัง”
…
พี่แอนไม่ตอบอะไร ลมหายใจของเธอเริ่มถี่หนักขึ้นหนักขึ้นเหมือนกำลังระเบิดอารมณ์ จนกระทั่ง…
โครม!!!
“เพื่อนเล่นแกหรือไงไอ้ตุ๊ด!”
ตัวของผมกลิ้งหมุนกลับหัวกลับหางไม่เป็นท่าด้วยแรงถีบอันทรงพลังของร่างบางที่อยู่ๆ ก็ยกเท้าถีบหน้าอกผมอย่างเต็มแรง ผมรีบตั้งหลักตั้งตัวกลับมานั่งให้เป็นปกติ ก่อนจะเบ้หน้าจับหน้าอกตัวเองด้วยความจุก
ถีบมาได้ยัยทอมบ้าเอ้ย!
“พี่ถีบผมแบบนี้เดี๋ยวผม…”
ความรู้สึกในการหายใจของผมอยู่ๆ ก็เกิดอาการติดขัดภายในโพรงจมูกขึ้นมาดื้อๆ เดี๋ยวนะ มันจะเกิดกะทันหันอะไรแบบนี้เลยเหรอ…
อย่าคิดไปเองที มึงสูดลมหายใจเดี๋ยวนี้!
“เป็นไร หยุดบ่นไม ด่าฉันสิแม่จะถีบปากให้”
คนตรงหน้ายังคงบ่นด้วยน้ำเสียงดุเดือด ผมเริ่มหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ เหมือนว่าอาการไซนัสจะกำเริบอย่างกะทันหันจริงๆ ผมยกมือขึ้นจับจมูกเมื่อรู้สึกมันจะปวดๆ ขึ้นมาและเหมือนว่ามีอะไรอุดตันในรูจมูก มันอึดอัด อาการแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว
“พี่…”
ผมเรียกคนตรงหน้าได้เพียงประโยคสั้นๆ พยายามฝืนตัวเองสูดลมหายใจเข้าแต่ก็ไม่ได้ มันอื้อจนรู้สึกปวดบริเวณหูบริเวณกรามไปหมด ผมอ้าปากเพื่อรับอากาศเข้าแทนแต่ฝุ่นละอองภายในห้องทำให้เกิดอาการคันคอขึ้นมาดื้อๆ
ตัวของผมลงไปนอนกับพื้นอัตโนมัติ ผู้หญิงตรงหน้าคลานเข้ามาหาผมก่อนจะรีบใช้มือช้อนคอผมขึ้นและเขย่าตัวของผมเพื่อให้ได้สติ
ทำไมต้องมาเกิดอะไรตอนนี้ด้วยวะ
"ตุ๊ด แกเป็นอะไรเนี่ย"
“ผะ ผมหายใจไม่ออก”
“แกแกล้งพี่หรือเปล่า พี่ไม่ตลกด้วยนะเว้ย”
คนตรงหน้าพยายามตบหน้าผมเพื่อไม่ให้หลับไป ถ้าผมหลับผมก็ตายดิ ไม่เอาอะ ผมยังต้องหายใจอยู่บนโลกใบนี้สิ คนที่ผมแอบชอบยังไม่ได้รู้สึกดีกับผมเลย
มือของผมไร้เรี่ยวแรง โทรศัพท์ในมือหล่นลงพื้นไปดื้อๆ หูอื้อไปหมดไม่ได้ยินอะไรแล้วอ่ะ นี่โรคภูมิแพ้หรือโรคอะไรอะทำไมน่ากลัวแบบนี้นะ
"ฮืดดดด...” เหมือนตายทั้งเป็นเลยอะ
“แกตอบพี่ไอ้ตุ๊ด หายใจลึกๆ นะ อย่าเพิ่งเลิกหายใจนะ”
พี่แอนบอกผมแค่นั้น เธอรีบลุกขึ้นไปที่ประตูก่อนจะทั้งเคาะทั้งเตะ ผมอยากลุกขึ้นไปช่วยแต่เรี่ยวแรงแค่หายใจผมยังไม่มีเลยเหอะ
“…” ผมพยายามฮึดสูดลมหายใจอีกครั้ง แต่มันก็ทำไม่ได้ ยิ่งพยายามเท่าไร ยิ่งปวดโพรงจมูกเข้าไปยกใหญ่
“มีใครอยู่ข้างนอกไหม ช่วยพวกเราด้วย มีคนติดอยู่ในนี้!!!” เสียงคึกโครมจากฝีมือผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวกำลังตะโกนแหกปากเป็นงานถนัดตัวเองเรียกคนข้างนอกให้เข้ามาช่วย ทำไงดีผมยังไม่อยากตาย “มีใครได้ยินไหม! ช่วยพวกเราด้วย!”
สิ้นสุดประโยคนั้นของพี่แอน ผมก็รู้สึกไม่ไหวกับตัวเองแล้ว มันเหนื่อยแถมยังรู้สึกหายใจลำบากกว่าเก่า ยิ่งใช้ปากช่วยหายใจ คอของผมก็แสบไปหมด…
ผมจะตายเหรอ…
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พยายามเพื่อพี่ก้อยเลยเนี่ยนะ…
-NEWKOI SAY-
พลั๊ก!
“โอ้ย พี่ขอโทษ T^T”
ฉันยกมือขอโทษขอโพยผู้ชายที่นั่งระบายสีผลงานตัวเองอย่างประณีตอยู่ ฉันเผลอเอามือไปปัดโดนน้ำล้างพู่กันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหกกระเนระนาดไปหมด โชคดีที่เราไม่ได้วาดในเต็นท์แต่เลือกมานั่งวาดที่โต๊ะนั่งเล่นหน้าตึกคณะแทน ตอนนี้ก็ดึกมากพอแล้ว เราสองคนต่างคนก็นอนไม่หลับทั้งคู่ อันที่จริงฉันก็ง่วงแหละ แต่ฉันอยากมานั่งเฝ้าเก๋งวาดรูปนี่หว่า
“ไปห้องน้ำไหมพี่ เลอะหมดแล้วมั้ง”
เก๋งวางงานตัวเองลงกับโต๊ะ ก่อนจะชะเง้อมองสภาพฉันที่เปียกไปทั้งขา ฉันพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเพื่อจะไปล้างที่ห้องน้ำ เก๋งลุกขึ้นตามฉันจนฉันต้องยกมือห้าม
“เราไม่ต้องไปหรอก เก๋งวาดรูปไปเถอะ พี่ไปเองได้”
“มันมืดนะพี่ ให้ผมไปส่งแหละ ดีกว่าไปคนเดียว ไม่กลัวผีเหรอ”
คำถามแกมเป็นคำขู่ของเก๋งทำฉันน้ำลายหนืดคอขึ้นมาดื้อๆ ฉันมองไปรอบๆ ตัวก็ลืมเรื่องลือในคณะไปเลย ฉันหันกลับมามองเก๋งที่เลิกคิ้วถามฉันเป็นเชิงต้องการคำตอบว่ายังจะให้ไปเป็นเพื่อนอยู่ไหม ฉันพยักหน้าให้เขาไปโดยไม่ต้องคิด เล่นขู่ด้วยเรื่องแบบนี้เป็นใครใครก็ต้องกลัวปะ
“ก็ได้ รบกวนพาพี่ไปส่งด้วยค่า”
ฉันทำหน้าเหมือนประชดเก๋งเต็มที่ คนตรงหน้าหัวเราะเหมือนแกล้งฉันสำเร็จ ก่อนจะเดินตามฉันมาทางเข้าห้องน้ำ จะว่าไปมันก็ทั้งมืดทั้งเปลี่ยวจริงๆ นะ ถ้าเกิดปวดฉี่กลางดึกแล้วต้องมาคนเดียวก็แอบหลอนเบาๆ นะเนี่ย
ตึก ตึก ตึก!
O_O
ฉันหยุดชะงักเท้าไม่ก้าวเดินต่อ เมื่อเราสองคนมาถึงบริเวณห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา เก๋งรีบเดินเข้ามาขนาบข้างฉันทันที
“เสียงไรวะ…”
เก๋งพึมพำอยู่คนเดียว สายตาของฉันไม่กล้ามองไปรอบๆ ตัวเมื่อได้ยินเสียงอันไม่พึงประสงค์ดังออกมา เราสองคนต่างคนต่างหันมองหน้ากันเป็นสัญญาณว่าได้ยินทั้งคู่ ไม่ได้หูฟาดแต่อย่างใด
“ใครอยู่ข้างนอกช่วยพวกเราด้วย!”
ฉันถอยหลังไปยืนข้างหลังเก๋งทันทีที่ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องออกมาจากห้องเก็บอุปกรณ์ ขาของฉันแทบจะก้าวไม่ออก เก๋งหันมามองฉัน สีหน้าเราสองคนนี่ไม่ได้แตกต่างกันเลย…
“กะ เก๋ง…เรากลับเต็นท์เหอะ” ฉันหลับตาปี๋ พยายามดึงแขนเสื้อร่างสูงให้กลับ แต่เก๋งกลับเอามือมาแตะมือฉันเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร “จะเดินเข้าไปเหรอ”
ฉันเอ่ยถามเสียงสั่นเมื่อเก๋งก้าวเข้าไปตรงประตูที่กำลังสั่นเหมือนถูกเขย่าและดันตลอดเวลา เราสองคนสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่เก๋งจะตัดสินใจเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู ฉันพยายามเบี่ยงหน้าไม่มองเข้าไปข้างในเด็ดขาด แต่พอจัดการเปิดประตูเท่านั้นแหละ….
พลั๊ก!
ตุ๊บ!
อยู่ๆ ร่างบางของคนนึงก็ลงไปนั่งพับเพียบกับพื้น ผมเผ้าของเธอดูไม่เป็นทรง ลมหายใจถี่ๆ เหมือนเหนื่อยกับการพยายามออกจากห้องทำให้เธอดูอ่อนล้าเต็มทน เธอยกมือขึ้นจับแขนตัวเองด้วยท่าทางเจ็บปวด แต่เมื่อฉันก้มมองดูดีๆ นี่มัน…
“ยัยแอน!”
ฉันโพล่งออกมาเสียงดัง แอนไม่ตอบอะไรพวกเรา เธอชี้ไปข้างในแสดงให้เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ด้านใน ฉันรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่สนแล้วว่าภายในห้องมีอะไร ฉันก้มมองผู้ชายที่นอนเหมือนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันยกหัวของทีขึ้นมานอนบนตักก่อนที่เก๋งจะเข้ามาและสำรวจอาการเพื่อนตัวเอง
“โรคภูมิแพ้กำเริบอีกแล้วแน่ๆ” เก๋งพูดจบแค่นั้นก็รีบดึงตัวทีขึ้นประคองทันที
ฉันลุกขึ้นตามไปติดๆ และไม่ลืมที่จะเอาโทรศัพท์ทีเก็บใส่กระเป๋าตัวเองไว้ ฉันรีบเข้าไปหาแอนที่สภาพไม่ได้ต่างอะไรจากทีเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะประคองตัวแอนตามเก๋งไปติดๆ
“พี่แอนเป็นอะไรมากไหม”
เก๋งหันมาถามแอนที่ยกมือปฏิเสธส่ายไปมาเป็นเชิงคำตอบ หน้าตาเป็นห่วงของเก๋งทำให้ฉันต้องหันมามองแอนที่มือมีเลือดซิบ คงเป็นเพราะพยายามกระแทกประตูออกมา
“แล้วนี่เข้าไปติดด้วยกันได้ยังไง”
ฉันถามแอนขึ้น แต่เพื่อนรักกลับไม่ตอบอะไรมาอาจเป็นเพราะหมดเรี่ยวแรงจริงๆ เราสองคนพามาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ดีไปอย่างที่มันเปิดเหมือนโรงพยาบาลทั่วไปและไม่ไกลมากนัก พยาบาลรีบนำตัวทีเข้าห้องฉุกเฉินก่อนเป็นอันดับแรกเพราะอาการหนักสุด ส่วนแอนเลือกที่จะนั่งทำแผลด้านนอกแทน
ฉันนั่งข้างๆ แอนและส่งยาดมกับน้ำให้เพื่อนเผื่ออาการจะดีขึ้น เก๋งที่ส่งทีเข้าห้องฉุกเฉินเสร็จก็รีบมานั่งข้างแอนก่อนจะก้มไถ่ถามอาการอย่างร้อนรน
“พี่ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” เก๋งจับไหล่แอนเหมือนสนิทกันจริงๆ ฉันได้แต่พัดให้อากาศถ่ายเทไปทางแอน แต่สายตาก็มองเก๋งอย่างไม่เข้าใจ “ผมว่าพี่ไม่ไหวแล้วอะ พี่พักก่อนดีกว่า”
เก๋งไม่พูดจาอะไร เขาดูเหมือนเป็นห่วงเพื่อนฉันจริงๆ ถึงต้องรีบประคองหัวแอนเข้าซบไหล่ตัวเองโดยไม่สนว่ามันจะถูกหรือผิด ฉันหยุดพัดให้อากาศแอนก่อนจะกลับมานั่งทำตัวปกติ และเบี่ยงหน้าไม่มองภาพด้านข้าง
ภาพที่มีเพื่อนสนิทตัวเองกำลังซบไหล่คนที่ฉันชอบ…
นี่สินะที่เจ้มิ๊วบอกฉันเสมอ…
ว่าเก๋งดีกับทุกคนจริงๆ

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

#มีความหมั่นใส้เก๋ง
#มีความหมั่นใส้เก๋ง