ตอนที่ 23 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 22 ll เขาจำได้ ทำไมไม่บอกเรา {LOADING 100%}


22
เขาจำได้ ทำไมไม่บอกเรา
@09.30 PM.
“นอนกันกลางสนามบอลตรงนี้นะ มีไฟให้พร้อม ถ้าหิวหรืออยากกินอะไรก็ไปซื้อที่เซเว่นหน้ามหา'ลัยแล้วกัน ห้ามหนีกลับบ้านนะเว้ย”
ฉันยืนถือกระเป๋าและงานของเก๋งมองหน้าคนจัดการที่หลับที่นอนให้เราสองคนเพราะเขามีหน้าที่ในการเป็นสายเบ๊ที่แท้จริง ว๊ากเบ๊ยิ้มให้ฉันหนึ่งทีก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าตึกไปไม่อธิบายอะไรอีก
ฉันยังไม่ถามอะไรเลยนะ!
“ทำไมมีเต็นท์เดียววะเนี่ย” ฉันหันมามองที่นอนของเราสองคนที่ตั้งสง่ากลางสนามบอลที่บริเวณหน้าตึกคณะ แถมมันช่างกว้างซะเหลือเกิน มีไฟหนึ่งดวงกลางเตนท์เพื่อให้เราสามารถนั่งปั่นงานข้างในได้อย่างไม่ต้องเพ่งเล็ง “เก๋งอึดอัดแย่เลยแบบนี้”
ฉันหันไปมองหน้าเก๋งที่มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าขำๆ นี่ยังจะมาตลกอะไรอีกเนี่ย
“ไม่นะพี่ ผมยังไงก็ได้ พี่อะอึดอัดหรือเปล่า ผมนอนข้างนอกก็ได้นะ”
เก๋งชี้ไปที่โต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่ข้างสนามซึ่งเป็นโต๊ะที่เรานั่งกันประจำนั่นแหละ ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเบ้หน้าอย่างไม่เข้าใจในส่วนคำสั่งของอีตาเฮดว๊ากนั่น รู้ทั้งรู้ไม่ใช่เหรอว่ากฎปีหนึ่งคือห้ามคบกับใครในคณะจนกว่าจะจบเทอมหนึ่ง ทำไมเขาถึงยังให้ฉันมาอยู่กับเก๋งสองต่อสองแบบนี้ล่ะ
แกล้งกันชัดๆ ถ้าเก๋งโดนหมั่นนี่ฉันไม่แปลกใจอะไรเลยจริงๆ
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง เก๋งจะนอนข้างนอกได้ไง ยุงบินว่อนขนาดนี้เดี๋ยวก็ป่วย”
ฉันพูดเสร็จก็รูดซิบกางเกง เอ้ยไม่ใช่! ซิปเต็นท์เพื่อที่จะเอากระเป๋าและตัวเองเข้าไปข้าง ใน ช่างมันเถอะ ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว…
กำไรของฉันล้วนๆ มิขาดทุนแต่อย่างใด คริคริ
ฉันเบี่ยงหน้าหันไปหัวเราะด้วยความดีใจคนเดียวก่อนจะหันมาทำหน้าตาปกติมองเก๋งที่ยืนแข็งทื่อไม่ยอมเข้ามาในเต็นท์
“พี่ไม่อึดอัดที่นอนกับผมแน่นะ”
คนยืนนิ่งถามฉันเพื่อความแน่ใจ ในตอนนี้ฉันเข้ามานั่งในเต็นท์ด้วยสีหน้าที่ร่าเริงสุดๆ ดูหน้าพี่สิลูก อึดอัดมากไหมล่ะ ยิ้มร่าเป็นจานดาวเทียมนาซ่าอยู่แล้วเนี่ย
“ไม่หรอก เรานอนใกล้กันมาสองสามครั้งแล้ว อย่าคิดมากเลย”
ฉันพยักหน้าเรียกเขาเข้ามาอีกครั้ง มีที่ไหนผู้หญิงเรียกผู้ชายมานอนเนี่ย มีที่นี่แหละ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ แกรรรร~~~
เก๋งเข้ามาข้างในก่อนจะวางกระเป๋าสะพายหลังวางไว้ที่ปลายที่นอน ในเต็นท์มีฟูกนิ่มๆ ทำให้เราสองคนไม่ปวดหลังมาก ดูเหมือนจะเตรียมการมาดีเลยนะ -_-;
ในตอนแรกแอนเถียงเฮดว๊ากแทนฉัน แต่เมื่อเฮดว๊ากบอกให้แอนมานอนกับเก๋งแทนฉัน ฉันจึงใช้มือตีขาเฮดว๊ากไปหนึ่งทีโทษฐานขัดความสุขฉันแรงมาก แต่ยังไงแอนก็ไม่มานอนกับเก๋งอยู่แล้ว ทำให้เธอไม่สามารถช่วยอะไรเราสองคนได้เลย ส่วนทีที่จะขัดก็โดนสายตากดดันของว๊ากไป ทำให้เขาไม่เถียงหรือขัดอะไรขึ้นมา
“ผมว่าที่มันใกล้กันเกินไป เอากระเป๋ามากั้นไว้ดีไหมพี่”
“โอ๊ย อย่าเลยเกะกะ พี่นอนดิ้น”
ฉันรีบอ้างทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาคั่นกลางระหว่างเรา ไม่เอาอะฉันอยากดมกลิ่นน้ำหอมของเขาก่อนนอน ดูโรคจิตใช่มะ ฉันยอมรับ ฮ่าๆ
“คือผมกลัวอะ” เก๋งเริ่มถอดสีหน้าไม่ดีและมองมาที่ฉัน นี่เขากลัวว่าฉันจะปล้ำเขาหรือไง
เสียใจว่ะ…
“พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ย้ำความมั่นใจให้เขา ถึงจะเห็นว่าฉันชอบเขาแต่เรื่องแบบนี้ฉันก็ถือนะ
แต่ถ้ามีโอกาสเหมาะเจาะจริง ฉันวางก็ได้ ไม่ถือ เมื่อยมือ
“ไม่ๆ ผมไม่ได้กลัวพี่ทำอะไรผม ผมกลัวว่าผมจะทำอะไรพี่นี่แหละ”
ฉันชะงักไปนิดๆ จะเบิกตากว้างเพราะตกใจก็กลัวจะแอคติ้งเวอร์ไป เอาเป็นว่ายิ้มแหยๆ ส่งไปให้เขาเป็นมารยาทแล้วกัน
เข้ามาสิ ฉันจะนอนแผ่ให้
“จะทำอะไรอะ” ฉันยิ้มให้เก๋งอย่างตลก เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ยื่นหน้ามาใกล้ฉัน ทำให้ฉันกลั้นหายใจและหลับตาลงอัตโนมัติ ไม่ๆ เขาไม่ได้เมาแน่ๆ เพราะตอนนี้เขามีสติครบทุกประการ
“ผมติดหมอนข้าง” เก๋งพูดแค่นั้น ทำให้ฉันลืมตามองเขา และก็พบว่าเขาเอื้อมมือมาหยิบหมอนใบเล็กข้างๆ ฉันไป “ผมกลัวว่าผมจะไปกอดพี่น่ะสิ”
“อ่อ…” ฉันรีบทำท่าทีปกติไม่กระโตกกระตากเพราะความคิดลึกของตัวเองเมื่อกี้ “ไม่เป็นไร จะเอาขาก่ายพี่ขึ้นมาจนถึงคอก็ไม่เป็นไร”
แต่ถ้าถีบหน้าพี่อันนี้พี่เคืองมาก ดูกล้ามเนื้อขาที่ผ่านการเตะบอลมาหลายสนามแล้ว อาจจะพาฉันคอหักตายคาที่นอนก็เป็นได้
“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” เก๋งยิ้มออกมาเหมือนตลกกับคำพูดฉันก่อนจะวางหมอนของตัวเองเอาไว้เพื่อเตรียมนอน
ฉันก้มมองแขนเขาที่ถูกฉันแปะพาสเตอร์ไว้อย่างดี พอเห็นแผลแล้วฉันก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาดื้อๆ
“ยังเจ็บแผลอยู่ไหม” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่เจ็บหรอกพี่ แค่พี่ทำแผลให้ผม ผมก็หายแล้ว”
จะเอาให้ฉันเขินตายไปเลยมะ ฉันจะได้ดิ้นให้ดู ฉันรีบยกมือโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกลบความเขินที่เริ่มพรั่งพรูขึ้นมาดื้อๆ
“เราจะนอนก่อนก็ได้นะ พี่ขอเล่นโทรศัพท์ก่อน ถ้ากวนบอกพี่ได้นะเดี๋ยวพี่ออกไปข้างนอก” ฉันเปลี่ยนประเด็นและก้มหน้าปิดความเขิน
“ไม่อ่ะ ผมจะนั่งเป็นเพื่อนพี่ตรงนี้แหละ ค่อยนอนพร้อมกัน”
ค่อยนอนพร้อมกัน
นอนพร้อมกัน
พร้อมกัน…
ดูโรแมนติกจังเว้ย T^T ฉันไม่ไหวกับความอ่อยของเขาแล้วนะเอาจริงๆ
อยากกรี๊ด อยากหวีด อยากดิ้น เอาให้เหมือนอยู่หน้าคอนเสิร์ตอปป้าเลยให้ตาย
“ทำไมต้องนั่งเป็นเพื่อนอ่ะ นั่งเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอ”
ฉันพูดเสร็จก็หันไปแอบปิดปากกรี๊ดเงียบๆ เพราะความเขิน นี่พูดอะไรออกไปทำไมฉันถึงกล้าอะไรแบบนี้เนี่ยก้อย
“พี่เมาปะเนี่ย ฮาๆ”
เก๋งเลิกคิ้วขำฉันอย่างสงสัย ทำให้ฉันเบ้ปากเหมือนกำลังโดนขัดมุกหน้าตาเฉย ไม่คิดจะตอบฉันหน่อยเหรอว่านั่งเป็นแฟนไรงี้อะ
เล่นเป็นปะเนี่ย!
“ไม่รับมุกพี่เลยอะ” ฉันแกล้งงอนเขา
“อ่อ นั่งเป็นพี่น้องงี้เหรอ”
แล้วดูเขาตอบ -_-
“จ่ะ” ฉันหันไปจิปากใส่เขา ทำไมถึงยังตีมึนไม่รู้ว่าฉันแอบชอบสักที ฉันเป็นคนไม่เคยบอกชอบใครก่อนด้วย เขินนี่หว่า อีกอย่างถึงสมัยนี้ผู้หญิงจะบอกชอบผู้ชายก่อนกันเยอะแยะ แต่ฉันก็คงไม่มีความกล้าพออะ ยังกลัวอะไรหลายๆ อย่างอยู่เลย ถ้าคำตอบที่ได้รับมันตีกลับมาไม่ดี ในอนาคตฉันอาจจะไม่ได้มานั่งมาคุยข้างเก๋งแบบนี้หรอก
“งอนผมมากๆ เดี๋ยวผมจะลงโทษพี่” เก๋งตีหน้านิ่งพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เมื่อเห็นว่าฉันไม่สนใจเขา
ก็ไม่รับมุกฉันดีๆ อะ คนบ้าอะไรมานั่งเป็นพี่น้อง มีคนเขารับมุกนี้สักที่ไหน
“ก็เราไม่รับมุกพี่อะ”
“ก็ผมไม่รู้ว่ามันเป็นมุกนี่นา” เก๋งเบ้ปากเหมือนจะงอนฉันตอบ แกต้องง้อดิเก๋ง ไม่ใช่มางอนฉันกลับแบบนี้ “ผมไม่คุยกับพี่แล้ว”
เอ้า ฉิบหาย…
ฉันเลิกสนใจหน้าจอโทรศัพท์และหันมาสนใจคนตรงหน้าที่นั่งอมลมแก้มตุ๊บป่องอยู่ หน้าตาของเขางอนจริงจังจนฉันอดขำไม่ได้ ในตอนแรกฉันต้องงอนไม่ใช่เหรอ…
“เก๋งจะงอนพี่ทำไมเนี่ย พี่หายงอนแล้วก็ได้” ฉันรีบแก้ตัวเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มไม่สนใจฉันแล้ว กลายเป็นฉันต้องมาง้อเฉย
“คอยดูสิ พี่งอนผมอีกผมจะเป็นจูบครั้งที่สี่ของพี่”
“จะบ้าเหรอ เก๋งจะมา…” ฉันชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขาเมื่อกี้ “เดี๋ยวนะ…”
อยู่ๆ ร่างกายฉันก็วูบและร้อนขึ้นมาดื้อๆ ในตอนนี้มันวิ่งขึ้นมาร้อนที่หน้าฉันจนสัมผัสได้ และคาดว่ามันคงแดงจนคุมไม่อยู่แล้ว อาการแบบนี้ฉันเกิดขึ้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้เก๋ง ฉันไม่ชอบเอาซะเลยเพราะมันทำให้ฉันอยากจะหวีดออกมาให้ได้
“ตายแล้ววว ผมลืมไปเลยว่าลืมพู่กันไว้ที่ไอ้ที เดี๋ยวผมไปเอาที่ตึกก่อนนะพี่”
“เดี๋ยวๆ” ฉันจับแขนเก๋งเมื่อเห็นว่าเขาจะหนีประโยคที่เขาหลุดออกมาเมื่อครู่ “สรุปแล้วเก๋งจำเรื่องจูบคืนนั้นได้ใช่ไหม”
“ทีจะนอนหรือยังน้า เดี๋ยวผมรีบไปเอาก่อนนะพี่”
“นี่เก๋ง…”
“แล้วผมจะรีบมานอนนะครับ หมอนข้างของผม”
เก๋งไม่ตอบอะไรฉันเขาหันมายิ้มและรีบวิ่งออกจากเต็นท์ไปอย่างด่วน ฉันนั่งค้างกับความคิดที่ตีกันวุ่น สรุปแล้วเขาจำคืนนั้นได้ แถมยังจำได้อีกว่าจูบกันไปกี่ครั้ง…นี่เขาแกล้งเมาอย่างที่เจ้มิ๊วบอกจริงๆ สินะ!
แล้วทำไมแทนที่ฉันจะโกรธที่เขาโกหก ฉันกลับดีใจขึ้นมาไม่ถูก ฉันหุบยิ้มตัวเองไม่ได้เลยอะ…
ฉัยยกมือจับหน้าอกข้างซ้ายที่เต้นและเร็วจนคุมไม่อยู่…
เขาจะรู้สึกแบบนี้กับฉันไหมนะ…
-GENG SAY-
ผมเดินออกมาจากเต็นท์ เมื่อเห็นว่าห่างไกลพอสมควรผมจึงหยุดและยกมือจับหน้าอกตัวเอง ความรู้สึกวูบๆ นี่มันอะไรกันวะ อยู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมาดื้อๆ ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน มันรู้สึกดีมากเลยแหละ
หน้าก็เริ่มรู้สึกร้อนเหมือนอุณภูมิในร่างกายทำงานผิดปกติไปเยอะเลย...
ผมหันหลังไปมองทางนั้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพี่ก้อยไม่ได้วิ่งตามออกมาผมจึงเดินไปที่หลังคณะตึกศิลปกรรมศาสตร์ทันที พลาดหลุดปากเรื่องคืนนั้นไปจนได้ ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าแอบโกหกพี่เขาไว้ แล้วแบบนี้พี่เขาจะมองผมเป็นคนฉวยโอกาสเปล่าเนี่ย
ก็มาทำตัวน่ารักเองนี่หว่า….
“เอ้าเก๋ง”
อยู่ๆ เสียงทุ้มจากใครบางคนก็เรียกผมขึ้นทำให้ผมหันไปมองเจ้าของต้นเสียงนั่นอย่างไม่รีรอ ผู้ชายส่วนสูงที่พอๆ กับผมและเป็นรุ่นพี่ยิ้มทักทายมา หลังตึกค่อนข้างสว่างเพราะไฟเปิดทั้งวัน พี่เขาวางกีต้าร์ในมือไว้ก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะไม้เก่าๆ เดินมาหาผมเมื่อเห็นว่าผมหันไปมองเขา
"หวัดดีครับพี่” ผมยกมือไหว้ไปอย่างเป็นมารยาท เขาเป็นรุ่นพี่ในคณะผมเองและเป็นเพื่อนสนิทพี่โก๋ด้วยแหละ “ผมคิดว่าพี่รอผมไม่ไหวแล้วนะเนี่ย”
“ทำไมจะรอไม่ได้วะ น้องขอร้องทั้งที ฮาๆ”
พี่เขาใช้มือตบบ่าผมเบาๆ พอมาคิดอะไรได้บางอย่างก็รู้สึกผิดขึ้นมาดื้อๆ เลยแหะ
“ขอบคุณนะพี่ที่ยังช่วยผม”
"แกจะขอบคุณทำไมนักวะเนี่ย ในไลน์ก็ขอบคุณจะสิบบรรทัดอยู่ล่ะ" พี่เขาหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าผมยังคงทำท่าเกรงใจเขาอยู่ “แล้วบอกพี่ได้ยังว่าเลิกชอบแอนแล้วเหรอ”
คำถามแรกในการมาเจอกันของพี่เขาเล่นผมใจกระตุกวูบ ถ้าเมื่อก่อนได้ยินชื่อพี่แอนผมคงเขินๆ อายๆ ไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมกลับไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นในหัวเลยสักนิด
ผมกำลังตายด้านอะไรอยู่นะ
“ในตอนแรกผมแค่โกรธเขาที่เขาไม่ได้ชอบผม” ผมพูดด้วยสีหน้าไม่ดีพอควร “แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมควรปล่อยเขาไปในทางของเขาจริงๆ สักที”
"ปล่อยไปคืออะไร แกไม่ชอบแล้วเหรอ ทีตอนนั้นแกยังวานให้ฉันช่วยอยู่เลย" หน้าตาของพี่เขาดูตกใจกับความใจง่ายของผม "ความรักนะไม่ใช่เกมส์ คิดจะเข้ามาเล่นก็เล่น"
"แล้วถ้าความรักมันไปถึงทางตัน ผลสุดท้ายผมไม่ได้อะไรกลับมาเลยล่ะพี่" ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "จะให้ผมวนกลับไปเดินอยู่ในห่วงนั้นซ้ำๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันมีทางตันเนี่ยนะ"
"ทำลายกำแพงซะสิ"
"เขาก็ก่อใหม่อยู่ดีอ่ะพี่ ผมเหนื่อย เหนื่อยมากกับกำแพงที่เขาตั้งไว้"
"เราก็คิดได้นี่หว่า" พี่เขายกยิ้มขึ้นมาเหมือนเข้าข้างผมจริงๆ “แล้วที่แกทำอยู่ตอนนี้ประชดมันหรือเปล่า”
เพราะพี่ตรงหน้าสนิทกับพี่แอน เขาจึงใช้สรรพนามที่ดูสนิทกันได้เป็นอย่างดี ผมจะบอกยังไงกับประโยคคำถามของเขาดีล่ะ
“ผมคิดว่าผมล้มเลิกความพยายามเหล่านั้นไปหมดแล้วพี่” ผมสบตาพี่ตรงหน้าเพื่อย้ำความมั่นใจ “ผมคิดว่าต่อไปนี้ผมจะทำตามใจตัวเองแล้ว”
“สรุปคือตอนแรกที่แกยุ่งกับก้อยแกเพียงแค่ประชดแอนเหรอวะ”
คำถามตรงไปตรงมาทำให้ผมพยักหน้ารับผิดแต่โดยดี ในตอนนั้นผมคิดบ้าอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ทำแบบนั้นลงไปเหมือนเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองจนไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
จะด่าผมว่าเลวก็ได้นะ…
“ผมว่าพี่ก้อยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แถมพี่เขายังทำให้ผมยิ้มมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”
“ถามใจตัวเองดูแล้วนะว่าคนนี้ใช่แน่ๆ”
“…”
ผมเงียบลงแต่ยังไงความรู้สึกดีผมว่าพี่ก้อยมอบให้ผมมากกว่าพี่แอนหลายเท่ามาก ผมไม่น่าเล่นกับความรู้สึกของคนที่พยายามอะไรมากมายเพื่อผมเลย…
“สมมตินะ พี่มีขนมปังให้เราสองก้อน อีกก้อนเป็นร้านเจ้าประจำเก๋งเก๋งบอกมันว่าขนมปังของเขาอร่อยมาก เก๋งก็เลยกินมันทุกวันด้วยความเคยชิน กับอีกก้อนที่เป็นร้านมาเปิดใหม่ พยายามเรียกเก๋งให้มาลองกินแต่เก๋งก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะรับรสขนมปังก้อนนั้นเลยสักครั้ง จนวันนึงเก๋งก้าวเข้าร้านนั้นไปและลองชิมดู เก๋งรู้สึกว่ามันอร่อยและบริการเก๋งดีกว่าร้านที่เก๋งเข้าประจำ ต่อไปนี้เก๋งจะเลือกกินร้านไหน”
ผมไม่เข้าใจกับพี่เขาว่าจะพูดถึงขนมปังอะไรในเวลาตอนนี้ แต่ที่รู้ๆ ผมมีคำตอบทันทีที่ได้ฟังจบ
“ร้านใหม่ดิพี่ ในเมื่อเจอร้านที่ดีกว่าเราก็เข้าร้านใหม่”
“นั่นไง” คนตรงหน้าดีดนิ้วเหมือนรู้ทัน “ทุกคนก็คิดเหมือนกันหมดล่ะ เมื่อสิ่งใหม่มันดีกว่า จะเดินย้อนกลับเข้าไปพบกับสิ่งเก่าทำไม เปิดใจ”
พี่ชายยกมือขึ้นทุบอกตัวเองเป็นเชิงให้ผมคิดตาม
ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างเข้าใจทุกอย่าง นี่พี่เขาเรียนศิลปะหรือจิตวิทยาด้านการปรึกษาความรักกันแน่ มีทฤษฎีคิดตามอะไรขนาดนี้กัน
"ผมเปิดใจรับความพยายามของคนที่รักผมอยู่พี่"
"อย่าเดินกลับไปกินขนมปังร้านเจ้าเก่า พี่เชื่อว่าคนขายคงไม่ต้อนรับเราแล้ว อยู่กับร้านใหม่พนักงานใหม่ ที่รักเราเพราะเราอุดหนุนขนมปังเขาดีกว่าเนอะ"
“ขอบคุณครับพี่อัพ!”
ผมโผกอดคนตรงหน้าด้วยความดีใจ ผมเริ่มรู้ใจตัวเองมากขึ้นมาแล้ว
“เรื่องขนมปังเนี่ยเหรอ ฮ่าๆ” คนถูกกอดตบหลังผมเบาๆ
“เรื่องวันนี้ด้วยพี่”
“ไม่เป็นไร แกเป็นน้องไอ้โก๋ก็เหมือนน้องพี่”
“ถ้าพี่ไม่ช่วยผม ผมก็คงไม่ได้ใกล้ชิดพี่ก้อยจนรู้ใจตัวเองอะไรแบบนี้” ผมผละอ้อมกอดและยิ้มให้พี่อัพด้วยความดีใจ “พี่เป็นเฮดว๊ากที่ทำผมกลัวไปชั่วขณะเลยรู้เปล่า”
ใช่แล้วล่ะ…พี่อัพเป็นเฮดว๊ากเมื่อตอนกลางวัน คนที่บังคับให้ผมออกมานอนกับพี่ก้อย ผมขอร้องให้พี่เขาทำเรื่องทุกอย่างเองล่ะ…ผมคิดว่าถ้าผมได้อยู่กับพี่ก้อยสองคน เราคงได้คุยอะไรกันมากขึ้น ผมชอบนะ เวลาที่พี่ก้อยยิ้มเขินๆ และชอบทำท่าทีเป็นห่วงผม
เขาปกป้องผมได้และผมก็ปกป้องเขาได้เหมือนกัน
“ทีหลังอยากใกล้ชิดใคร อย่าใช้แผนนี้รู้ไหม เพราะถ้าเขารู้ทีหลัง บางทีเขาก็ไม่ได้สนุกไปกับเราหรอกนะ”
พี่อัพทำหน้าดุตักเตือนผม ทำให้ผมยิ้มแหยๆ กลับไป
“ต่อไปนี้ผมจะทำตามใจผมจริงๆ แล้วล่ะพี่”
“จะปล่อยแอนแล้วใช่ไหม” พี่อัพถามทวนผมอีกครั้ง ทำให้ผมพยักหน้ากลับไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
“ผมว่าเขาคงเกลียดผมเลยล่ะ ผมกำลังแย่งคนรักเขามา…”
“หมายความว่าไงวะ” พี่อัพเริ่มเลิกคิ้ว แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรไป “ถ้าจะบอกแอนชอบก้อยนี่คงไม่น่าใช่หรอก สองคนนั้นคบกันมานาน ไอ้แอนเป็นคนรู้ใจตัวเองซะที่ไหน พี่กับมันเข้ากิจกรรมด้วยกันทุกวัน มันไม่มีใครนอกจากก้อย มันห่วงเพื่อนจนคิดว่าตัวเองชอบก้อยน่ะสิ พี่ดูออก ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้หรอก ถ้ามันเจอคนที่ทำให้มันถามใจตัวเองได้ มันก็ไม่คิดโกรธอะไรกับแกแล้ว”
“จริงเหรอวะพี่”
“เออ เชื่อพี่เหอะ ไปนอนได้แล้วเดี๋ยวมีใครมาเห็นจะความแตกเอานะเว้ย รุ่นน้องยืนคุยกับเฮดว๊ากไม่ได้เข้าใจเปล่า”
พี่อัพสั่งเสียงดุทำหน้าทำตาสวมวิญญาณเฮดว๊ากเต็มที่
“รับทราบครับ!”
“อย่าทำอะไรเกินเลยกับก้อยนะเว้ย”
“โห พี่ ผมเป็นคนน่ารักนะไม่ทำอะไรหรอก” ผมยิ้มเขินให้พี่อัพไปที่เห็นว่าพี่เขาแซวมาแบบนั้น “ถ้ากอดล่ะไม่แน่ ฮาๆ”
“เดี๋ยวเตะแม่ง ไปนอนไป”
“ครับ J”
ผมหันหลังเดินออกจากหลังตึกทันทีที่โบกมือลาพี่เฮดว๊ากเสร็จ ตอนนี้ผมหุบยิ้มตัวเองไม่ได้เลย ยิ่งคิดถึงหน้าพี่ก้อยและครั้งแรกที่ได้เจอยิ่งทำให้ผมอยากจะกระโดดดีใจออกนอกหน้าเป็นบ้า…
‘เราน่ะ เปิดใจรับคนอื่นเข้ามาบ้าง ไม่ใช่ปิดกั้นรับแค่คนที่ตัวเองโอเค…’
‘รักคนที่เขารักเรา ดีกว่ารักคนที่เขาไม่รักนะ’
‘ความรักมันต้องไตร่ตรองและทำความเข้าใจนานๆ นะ ไม่ใช่คิดจะรักก็รักเลย’
จู่ๆ คำพูดของพี่แอนที่บอกผมวันนั้นก็แล่นเข้ามา มันจริงอย่างที่พี่เขาพูดทุกอย่าง ผมรีบเร่งความรักเกินไปก็ไม่เกิดอะไร ถ้าผมใจเย็นกว่านี้ ผมคงไม่ต้องห่วงและกังวลอะไรมากมายถึงขนาดนี้
…ผมจะลองศึกษาความรักจากคนที่ผมโอเคที่สุดในตอนนี้
ผมจะไม่รีบตัดสินใจว่าพี่ก้อยคือคนที่ใช่ แต่ตอนนี้ผมรู้อย่างเดียว…
ว่าเธอคือคนที่ผมชอบ…




นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แล้วยังไง ก้อนเขาจะรู้ความจริงมั้ยเนี่ยยย
555
55
มันถึงแปลกๆ????????