ตอนที่ 22 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 21 ll เขาแค่ปกป้อง ศักดิ์ศรีของเรา {LOADING 100%}


21
เขาแค่ปกป้อง ศักดิ์ศรีของเรา
@ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์
“แกแต่งหน้าเหรอวะก้อย”
ฉันยิ้มเจื่อนๆ ให้เพื่อนรักนามว่าแอนช้าๆ ก่อนจะหลบสายตาของเพื่อนร่วมคณะที่เริ่มหันมามองหน้าฉันทีละคนสองคนจากประโยคทักทายของแอน ฉันดึงแขนแอนออกมาอีกมุมนึงเพื่อหนีสายตาเหล่านั้นก่อนตีแขนมันเบาๆ ทักฉันซะเสียหลักเลยอิบ้า TT
“จะเสียงดังทำไมเนี่ยฉันอาย” ฉันทำหน้าเหยเก ในตอนนี้ทุกคนเอาข้าวของที่แบกมาจากบ้านไปเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะไปนัดเจอน้องที่ชั้น G ของตึกกัน
“ฉันขำหน้าแกอะ อะไรดลใจให้แต่งหน้าแบบนี้แกจะรำลิเกเหรอถาม”
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ฉันเริ่มใจแป๋วขึ้นมาตงิดๆ ก่อนจะยกมือลูบหน้าลูบตาตัวเองเผื่อมันจะจางลงไปบ้าง “ฉันอยากแต่งหน้าบ้างอะ จะได้น่ารักขึ้น”
“ไม่แต่งอะไรก็น่ารักมากแล้ว” แอนพูดกับฉันพลางยิ้มให้ ฉันยิ้มกลับแบบเขินๆ เอาดีๆ ดิ “ดูๆ เขินซะแก้มแดงกว่าเดิมอีก ไปล้างออกไป”
“ฉันอยากแต่งหน้าสวยๆ ไปเจอน้องเก๋งบ้างอะ ไปแบบจืดๆ น้องเบื่อหน้าแย่”
“…”
“เงียบไมอะ”
ฉันตีไหล่แอนเมื่อเห็นว่ามันมองฉันนิ่งไม่พูดอะไรกับฉัน แอนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะโอบไหล่พาฉันไปที่ๆ นึง ฉันเลิกคิ้วงงมันจะพาฉันไปไหนเนี่ย
เราสองคนมาถึงหน้าห้องน้ำก่อนที่แอนจะพาฉันมาหยุดที่หน้ากระจกอ่างล้างมือด้านนอกห้องน้ำเพื่อส่องสภาพตัวเอง ฉันชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไฮไลท์ที่ทามาเพื่อความฉ่ำวาวมันดูเยิ้มไปหมด ตายแล้ว สภาพอากาศประเทศไทยมันไม่เหมือนที่เกาหลีนี่หว่า ฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย TT
“ล้างออกเถอะ ไปหน้าสดนี่แหละ ถ้าแกคบกับเก๋งสักวันมันก็ต้องเห็นหน้าสดแกปะ เช่นตอนตื่นนอนไรงี้”
คำพูดของแอนทำเอาฉันเขินเบาๆ ทำไมเขาต้องมาเห็นฉันตอนตื่นนอนด้วยอะ นอนด้วยกันงี้เหรอ บ้า เขินๆๆ -///-
“แกมีทิชชู่ไหมอะ เช็ดออกให้ฉันที ฉันไม่อยากล้างหมดอะ เสียดาย”
อีกใจก็กลัวว่าหน้าจะสดไปด้วยล่ะ เอาแบบใสๆ เหมือนวัยรุ่นแต่งหน้าไปเรียนก็ได้อะ แอนพยักหน้าให้ฉันก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าของมันขึ้นมาซับความเยิ้มบนหน้าฉัน มือของแอนข้างนึงประคองหัวฉันไว้เพื่อไม่ให้มันเอนเอียงไปทิศทางอื่น ส่วนอีกข้างก็จัดการบรรจงเช็ดเครื่องสำอางที่เกินมาบนหน้าฉัน ฉันเกร็งตัวสุดขีดกลัวมันเผลอจิ้มตาฉันบอดขึ้นมาล่ะแย่
กึก...
เสียงชะงักเท้าของใครบางคนหยุดเดิน ฉันและแอนหันไปมองก็พบว่าเป็นที เขาเลอะละเหมือนไม่รู้จะไปทางไหนต่อระหว่างห้องน้ำกับทางกลับตึกคณะ
“เฮ้ย! เราน่ะปีหนึ่งนี่ ทำไมมาเดินที่นี่!”
เสียงดุดันของคนตรงหน้าฉันดังขึ้นจนทีผงะถอยไปหนึ่งก้าว แอนชี้หน้าทีอย่างเผด็จการ
“ผมมาเข้าห้องน้ำอะ ห้องน้ำในตึกมันล็อก”
“รีบๆ เข้าดิ มองหาญาติแกหรือไง” เพราะด้วยความเป็นพี่ว๊าก คำสั่งดุเดือดของแอนจึงใช้ได้ผลกับรุ่นน้องปีหนึ่งได้เป็นอย่างดี ทีเกาหัวเหมือนหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำชายไปด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เต็มใจอะไรนัก “ก้อย แกไปดูน้องที่ตึกก่อนได้เลย ส่วนเด็กนี่ฉันจะพาเข้าตึกไปเอง แอบมาสูบบุหรี่หรือเปล่าก็ไม่รู้ หน้าตาติ๋มๆ แบบนี้ร้ายนัก”
ฉันอยากจะหัวเราะออกมาและบอกกับมันว่าทีไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก เขาออกจะเป็นผู้ชายที่ดูไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นแต่ชอบโกหกฉันนั่นล่ะข้อเสียของเขา ฉันพยักหน้าให้แอน ก่อนจะเดินออกมาจุดนั้นและตรงดิ่งไปที่คณะตัวเองทันที ฉันหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดทำตัวปกติ ฉันไม่เคยจูบเขา ฉันไม่เคยทำหื่นใส่เขา ไม่เคยๆ ท่องไว้
“พี่มายืนทำอะไรตรงนี้อะ”
“แม่ร่วง!” ฉันสะดุ้งตัวโหย่งเมื่ออยู่ๆ ก็มีมือหนามาแตะที่ไหล่ฉันพลางเอ่ยทักทายเสียงดัง เก๋งยิ้มให้ฉันมาแบบงงๆ ฉันพยายามรวบรวมสติและยืนคุยกับเขาเป็นปกติ ฉันต้องปกติ ฉันต้องปกติ ท่องไว้ “คะ คือพี่กำลังจะเข้าไปจัดงานน่ะ เราเพิ่งมาถึงเหรอ”
“รถติดนิดหน่อยอ่ะพี่ ดีเลยลงไปชั้นล่างพร้อมกันดิพี่”
เก๋งชี้ไปที่บันไดทางลงไปที่ชั้นใต้ดินของตึกซึ่งเป็นสถานที่จัดนิทรรศการของปีหนึ่งนั่นแหละ ฉันก้มมองมือเก๋งเมื่อเห็นว่าเขาแบกรูปวาดของตัวเองมาสองภาพขนาดใหญ่พอตัว
“เราวาดเสร็จแล้วเหรอ…”
ฉันถามไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนกำลังจะผิดหวังอะไรบางอย่าง ถ้าเขาทำเสร็จหมดรวมภาพที่ฉันวาดให้ด้วย แบบนี้เขาก็มีสิทธิ์กกลับบ้านได้โดยไม่ต้องค้างน่ะสิ…
“เหลือตกแต่งอีกนิดๆ หน่อยอ่ะพี่ คงสองวันถึงจะสมบูรณ์”
อย่างน้อยก็สองวันอ่ะนะ…
“งั้นไปเอาภาพของพี่ข้างล่างกัน ถ้าเก๋งไม่พอใจจะวาดใหม่ก็ได้นะ”
เก๋งจะได้อยู่ที่นี่ต่อจนครบอาทิตย์ไงล่ะ…รู้งี้ไม่น่าเป็นคนดีวาดให้เขาเลยแหะ แบบนี้ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันมากขึ้นอ่ะดิ
เราสองคนลงมาข้างล่างก็พบว่ามีรุ่นน้องต่างสาขาหลายๆ คนกำลังจัดโต๊ะเพื่อแสดงผลงานตัวเองอยู่ บางคนก็รีบนั่งปั่นงานตัวเองให้เสร็จเพื่อจะได้ไม่ต้องมาถูกรุ่นพี่กดดันภายหลัง ฉันเคยโดนแบบนี้มาก่อนและรับรู้ดีว่าเวลามีรุ่นพี่กดดันงานมันต้องเร่งและเละมากแค่ไหน จากที่จะได้งานดีมีคุณภาพ กลับเป็นงานห่วยแถมโดนว่าอีก ไม่คุ้มเอาซะเลย ให้ฉันปั่นอยู่ที่บ้านยังดีซะกว่า
“เดี๋ยวผมเอาภาพของผมไปเก็บแปปนะพี่”
ฉันพยักหน้าให้เก๋งก่อนที่เขาจะเดินเอาภาพไปวางพิงบริเวณพื้นที่เก็บงานของทุกคนและเดินกลับมาหาฉัน สายตารุ่นน้องทุกคนมองมาที่เราสองคนเหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง ทำไมอิจหรือไง ฉันไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่ชูหน้าชูตาภูมิใจใส่คนในพื้นที่หมั่นใส้เล่นไปงั้นแหละ ฉันเดินนำเก๋งให้เขามาเอาภาพที่ฉันวาดให้เขาทันที
แต่ฉันลืมไปเลยว่า ฉันให้เพื่อนผู้ชายเก็บให้ ซึ่งมันดันเก็บไว้บนตู้ล็อกเกอร์ที่มีความสูงเลยหัวฉันไปอีกสิบระดับก็ว่าได้ เก๋งเลิกคิ้วมองฉันเมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมหยิบภาพมาให้เขาเสียที
“มันอยู่ด้านบนอะ” ฉันชี้ไปที่ด้านบนล็อกเกอร์พลางทำหน้าเจื่อน “เราหยิบเองได้ปะ พี่หยิบไม่ถึง”
“อ๋อ ได้ครับ บนนี้ใช่ปะ”
ฉันพยักหน้าก่อนจะถอยออกมาเพื่อให้เขาหยิบได้ถนัด แต่โชคร้ายที่มันดันมีหลายงานซึ่งฉันก็ไม่รู้ด้วยว่างานไหนเป็นของฉันเพราะฉันมองไม่เห็นน่ะสิ
“เก๋งจะรู้เหรอว่างานไหนอะ”
“กำลังจะถามพี่เลย มันมีหลายงานมากอะ ถ้าเอาลงมาเลือกก็คงไม่ไหวอะหนักพอตัวเลย”
เก๋งเลี้ยวมามองฉันสลับกับมองล็อกเกอร์เป็นนัยๆ ว่าจะทำไงดี
“งั้น…”
ไม่ทันที่ฉันจะได้ยื่นข้อเสนออะไร เขาก็ลงไปนั่งยองๆ กับพื้นอีกแล้ว ท่านี้เหมือนเดจาวูไม่มีผิด…
“ขี่หลังผมก็ได้พี่ แล้วก็เลือกดูนะ ผมว่าแบบนี้น่าจะเร็วกว่า เพราะพี่รู้ว่างานไหนของพี่อะ” ฉันยืนเลอะละหันซ้ายขวาเผื่อจะมีใครเดินมาเห็นเราสองคนหรือเปล่า ดีนะส่วนล็อกเกอร์ตรนี้มันเป็นมุมอับ คนไม่ค่อยเดินเข้ามากัน “ขึ้นมาเหอะพี่ แบกพี่วิ่งผมยังทำมาแล้วเลย”
เขาจำได้ด้วยอะ…
ฉันเขยิบไปใกล้เก๋ง ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวเพื่อขึ้นหลังเขา เก๋งกระชับขาฉันแน่นและฮึดลุกทันทีทำให้ฉันไม่ทันตั้งตัวต้องรีบโอบกอดคอเขาไว้แน่น
“พี่เกือบตกแน่ะ จะลุกก็ไม่บอก” ฉันตีหลังเก๋งเบาๆ กลิ่นยาสระผมของเขาตีจมูกฉันด้ยอะ หอมมากเลยแหละ แถมไม่ใช่กลิ่นเดิมที่ฉันเคยดมตอนสนามบินด้วย -.,-
“ผมกะจะแกล้งพี่เฉยๆ ฮาๆ” เก๋งหัวเราะเหมือนแกล้งฉันสำเร็จจริงๆ ฉันพยายามเบี่ยงหน้าอกไม่ให้โดนหลังเขา ไม่ใช่เพราะฉันหวงตัว แต่ฉันกลัวเขาสัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจฉันต่างหาก “ถ้าให้ขยับทางไหนบอกผมนะพะ…”
จุ๊บ!
เหมือนกาลเวลาหยุดค้างสต๊อปภาพนี้ไว้เนิ่นนานไม่เดินไปไหน เก๋งหันหน้ามาในช่วงประจวบเหมาะในขณะที่ฉันกำลังจะโน้มตัวเพื่อหาภาพ ทำให้ฉันเผลอยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มเขาโดยบังเอิญ เมื่อตั้งสติได้ ฉันจึงผงะหน้าออกมา
“ขอโทษๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
ฉันรีบร้อนรนกล่าวคำขอทากับเขาพลางรีบหาภาพตัวเองยกใหญ่ เสียงหัวเราะเบาๆ ของเก๋งยิ่งทำให้ฉันคิดหนัก เขาไม่พูดอะไรเลยต่อจากนั้น บ้าที่สุดเลยเว้ย!
วันแรกก็เอาเลยหรือไง!
“วันที่ผมคอลไปหาพี่ พี่ไม่สบายอยู่เหรอ”
“ฮะ…” ฉันเอ่ยถามทวนเขาอีกรอบแล้วหยุดการหาภาพไปชั่วขณะ
“ผมเห็นพี่เลือดออกจมูกและก็วางสายผมไปเลย พี่ไม่สบายเหรอ”
น้ำเสียงแกมเป็นห่วงทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาเบาๆ จะบอกเขาตรงๆ ว่าเปล่า พี่หื่นจนหน้าร้อนเลือดเลยไหลแบบนี้ก็ดุทุเรศไปนะจริงๆ
“อากาศมันร้อนน่ะ พี่ไม่ได้เปิดแอร์ในห้องด้วย ร่างกายมันเลยรวน”
“นั่นดิ ผมว่าคงผลพวงที่พี่โดนบอลกระแทกหัวไปด้วยแหละ” ยิ่งพอนึกภาพอุบาทว์ที่ฉันลงไปนั่งกองกับพื้นแทนที่จะแมนๆ ปกป้องเก๋งได้ กลับเป็นตัวเองที่ลงไปในสภาพเหมือนพร้อมจับกบเต็มที่ แถมเลือดกำเดาก็ไหล ขายขี้หน้าชิบ
“พี่ก็ว่างั้นแหละ” ฉันมองหัวเก๋งแต่มือยังทำท่าค้นภาพด้านบนอยู่ ฉันอยากอยู่แบบนี้กับเขาไปนานๆ จัง เหมือนโรคจิตเนอะ แต่ช่างสิ การได้ทำอะไรเพื่อใกล้คนที่ชอบถึงจะถูกตราหน้าว่าโรคจิตฉันก็ยอมอะ
“ พ พี่!” น้ำเสียงสั่นๆ ของเก๋งดังขึ้นหลังจากที่เขาเงยหน้ามองบนเคาน์เตอร์ ฉันสะบัดความคิดทั้งหมดออกจากหัวและหันมาสนใจภาพข้างบนแทน แต่ฉันว่าคงไม่ทันแล้วล่ะ…
โครม!
เหล่าบรรดาภาพวาดผ้าใบและกระดาษร้อยปอนด์ที่วางซ้อนกันนับร้อยค่อยๆ ประโคมหล่นทับเราสองคน และผลสุดท้ายคือฉันและเก๋งลงไปนอนจมกองกระดาษด้วยกันทั้งคู่ ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แอบเจ็บก้นนิดหน่อยเพราะลงกระแทกลงโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันอยู่ใต้ร่างของเก๋งที่เกราะกุมบังกองนั้นไว้ เขาหยีตาแสดงความเจ็บเล็กน้อย ทำให้ฉันรีบดีดตัวและปัดกระดาษพวกนั้นออกจากตัวเก๋งทันที
“เป็นไรไหม” น้ำเสียงและสีหน้าฉันเริ่มไม่ดีเท่าที่ควร ฉันสังเกตเห็นรอยบาดของกระดาษที่แขนข้างขวาเขาด้วย ก้อยเอ้ยแกไม่น่าเหม่อเลยจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้น แอนรีบวิ่งมาที่ฉันก่อนจะพยุงตัวฉัน เมื่อฉันลุกขึ้นยืนได้ ก็รีบเข้าประคองตัวเก๋งให้ลุกขึ้นทันที ตอนนี้เลือดเขาไหลไม่หยุดเลยอะ
“แอนแกพาเก๋งไปปฐมพยาบาลที” ฉันรีบดึงแขนแอนมาจับตัวเก๋งอย่างเร่งด่วน แอนมองฉันชั่วครู่ด้วยสายตานิ่งไปก่อนจะพยักหน้ารับและโอบไหล่เก๋งเพื่อพาไปปฐมพยาบาลทันที
“ผมไม่ไป” เก๋งรีบปฏิเสธการช่วยเหลือของแอน เขาไม่ยอมเดินไปตามแรงของแอน
“น้องคะ เลิกดื้อหรืออวดเก่งสักทีเถอะ เลือดไหลขนาดนี้ อยากตายหรือ…”
“ผมจะไปกับพี่ก้อย”
เก๋งแกะมือของแอนออก และเดินมาโอบคอฉันเพื่อที่จะให้ฉันประคองทันที ขาของเก๋งมีอาการกระเผลกคงเป็นเพราะพวกกองผ้าใบทับขาเขาแน่ๆ ฉันมองหน้าแอนที่สีหน้าเจื่อนไปนิดๆ ฉันพยักหน้ารับและรีบพาเก๋งออกจากจุดนี้ทันที
“จะเล่นแบบนี้กับฉันใช่ไหม”
คำพูดของแอนส่งท้ายตามหลังเราสองคนมา ฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันว่าเธอแค่ขู่เพราะความเป็นพี่ว๊ากแล้วเจอน้องขัดใจนั่นแหละ แต่เสียงพูดเบาๆ ของเก๋งที่พึมพำกลับไปก็เล่นฉันขมวดคิ้วงงไม่แพ้กัน
“ไม่ได้เล่น ผมเอาจริง”
ฉันเลิกสนใจเรื่องของสองคนนี้และรีบพาเก๋งไปปฐมพยาบาลตรงลานว่างในที่จัดงานทันที สายตาทุกคนหันมามองกันอย่างสนใจบางหยุดทำงานและตั้งใจเผือกออกนอกหน้าอย่างชัดเจน ยังดีที่มีแอนเดินตามมาติดๆ ยัยนั่นเลยใช้สายตามองคนเหล่านั้นเพื่อกดดัน น้องๆ เลยหันไปทำงานกันไม่สนเราสองคนอีกเลย
เก๋งนั่งด้วยท่าทางเจ็บๆ นิดๆ วันแรกฉันก็พาเขามาเจ็บตัวเลยเหรอ บ้าฉิบยัยก้อย ถ้าเขาหายหล่อไปจะทำไงอะ
ฉันจะรับผิดชอบด้วยการเป็นแฟนเองไม่ต้องห่วง -.,-
“เก๋งเจ็บตรงไหนเปล่านอกจากข้อเท้ากับแผลที่แขน”
ฉันถามในขณะที่เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ ยังดีที่มีกล่องยาตั้งเอาไว้ให้ แอนยืนมองเราสองคนอยู่ใกล้ๆ ฉันไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปกินเกาเหลากันตอนไหน แต่ตอนนี้ฉันขอสนใจคนที่ฉันเป็นห่วงที่สุดก่อนดีกว่า เจ็บขนาดนี้จะทำงานไหวไหมเนี่ย
“แค่แขนอย่างเดียวครับ ส่วนตรงอื่นไม่ได้เจ็บอะไรมาก” เก๋งยิ้มให้ฉันค่อยๆ ฉันกดสำลีไปตรงแผลเบาๆ คนถูกกระทำซี้ดปากแสบนิดๆ ฉันพยายามเบามือสุดล่ะนะ T^T
“พี่ขอโทษ” ฉันแบะปากเหมือนรู้สึกผิดเต็มทนทั้งทำเขาเจ็บ ทั้งหาเรื่องเดือดร้อนมาให้เนี่ย
“ไม่เป็นไรพี่ เลิกขอโทษผมได้แล้ว”
ไม่รู้ว่าเขาพูดรักษาน้ำใจฉันไหมแต่ยังไงฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีอะ
“เก๋งมึงเป็นไรอะ”
ทีที่วิ่งมาจากส่วนไหนของโลกไม่รู้ รีบวางภาพวาดตัวเองไว้ใกล้ๆ ตัวและเข้ามานั่งข้างๆ เพื่อนตัวเองด้วยสีหน้างงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทันทีที่เขาถามเก๋งเสร็จสายตาของเขาก็หันมาเจอฉันที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเก๋งพอดี ฉันจะหาพวกอีกครั้งก็พบว่าแอนเดินไปดูงานไกลๆ เสียแล้ว อึดอัดอีกแล้วเวลาเห็นหน้าหมอนี่เนี่ย
“ล้มนิดหน่อยว่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก” เก๋งตอบเพื่อนไปเป็นช่วงจังหวะที่ฉันแปะพลาสเตอร์ยาให้เก๋งพอดี เพื่อนเขามาแล้วงั้นฉันต้องออกจากจุดนี้แล้วล่ะ
“พี่ขอตัวนะ”
ฉันพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าฉันไม่ได้เกรงใจแต่ฉันอึดอัด ยิ่งพอรู้ว่าเขาชอบฉันแทนที่จะชอบเก๋งจริงๆ ฉันยิ่งอึดอัด อยากตะโกนออกไปแทบตายว่าฉันไม่ชอบ แต่ฉันทำไม่ได้จริงๆ ฉันรู้ว่าการถูกปฏิเสธเจ็บปวดมากแค่ไหน
“นั่งเป็นเพื่อนผมตรงนี้ล่ะพี่ ช่วยผมแก้งานด้วยไง ผมเจ็บแขนนะคงทำไม่ถนัดหรอก”
น้ำเสียงอ้อนๆ นี่เล่นฉันเลอะละสองจิตสองใจทุกที ฉันมองหน้าเก๋งสลับกับหน้าที เป็นเชิงให้ทีขอตัวไปที่อื่นสิ นี่มันที่ของฉันกับเก๋งนะเว้ย
“กูช่วยมึงทำก็ได้นี่ไม่ต้องรบกวนพี่เขาหรอก”
และทีก็เสนอเข้ามาหน้าตาเฉย ฉันแอบถอนหายใจเบาๆ และลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะไปหาแอน แต่อยู่ๆ เสียงดังคล้ายๆ เคาะไม้ก็ดังขึ้นไกลๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพี่ว๊ากมาแล้วล่ะ
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งและนั่งลงข้างๆ เก๋งทันที ทุกคนก้มหน้าลงอัตโนมัติเพราะเป็นกฎบังคับที่นี่ ว่าถ้าพี่ว๊ากลงเมื่อไรก็ให้ก้มหน้าได้เลย และทำไมฉันต้องทำวะ ทั้งๆ ที่ฉันก็อายุเท่าพวกมันเนี่ย
“งานถึงไหนแล้วครับ!”
เสียงตะโกนดังขึ้นก่อนจะเผยผู้ชายสามคนที่ใส่เสื้อสีดำกางเกงสีดำและหมวกสีดำเดินลงมาชั้นที่พวกเราจัดกิจกรรมกันอยู่ คนที่ตะโกนเมื่อกี้คือหัวหน้าพี่ว๊ากหรือเฮดว๊ากอยู่ปีสามเท่าฉันแต่นางเรียนสาขาการแสดง แน่นอนว่านางแสดงได้โหดสมกับฝีมือการเรียนมาจริงๆ หลายๆ คนมองว่าเขาเป็นคนโหดด้วยบุคลิกที่นิ่งและหน้าตาจัดได้ว่าหล่อเข้ม เขาก็เลยได้รับตำแหน่งนี้ไป ตัวจริงของหมอนี่ก็เป็นผู้ชายใจดีทั่วไปล่ะ
“พี่ผมถามน่ะไม่ได้ยินเลยเหรอ”
ส่วนนี้คือตำแหน่งยุยงหรือตำแหน่งกดดัน คนได้รับตำแหน่งนี้มักไม่ค่อยพูดแต่ชอบย้ำคิดย้ำทำ งานจะเร่งได้เพราะคนตำแหน่งนี้คอยถามคอยย้ำให้กระตือรือร้นนี่แหละ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเด็กปีสองสาขาการแสดงเหมือนกัน
“กำลังทำกันอยู่ครับ”
คนตอบคือทีที่ยกมือตอบรุ่นพี่ทั้งสามออกไป
“ไหนอะ”
คนนี้คือว๊ากสายเบ๊ คอยถามคอยดูแล คอยกระซิบถามรุ่นน้องว่าไหวไหมไหวเปล่า ฉันคิดว่าตำแหน่งนี้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร ยิ่งบวกกับหน้าของเขาด้วยแล้วฉันยิ่งไม่กลัวเข้าไปอีก เพราะหน้าตาของเขาน่ารักจนฉันโกรธไม่ลงเลยแหละ หมอนี่เรียนปีสามสาขาเดียวกับฉัน
ถ้าถามว่าแอนมีหน้าที่อะไร นางก็เป็นพี่ว๊ากสายระเบียบเนี่ยล่ะ ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรส่วนมากจะไปยำรุ่นน้องผู้หญิงมากกว่า เอาจริงๆ คนพวกนี้นิสัยดีหมด ทุกอย่างล้วนเป็นการแสดงเพื่อกดดันรุ่นน้อง
แต่เอาจริงๆ ปะ…ฉันไม่ชอบเรื่องแบบนี้เท่าไร
“พี่ก็ดูสิครับ” ทียังคงปากกล้าเอ่ยบอกรุ่นพี่ด้วยประโยคที่สื่อในเชิงกวนๆ สุดขีด
เสียงหัวเราะของเฮดว๊ากดังขึ้นก่อนจะเดินมาทางพวกเรา ทำไมเขาถึงเป็นคนเรียกมือเรียกเท้าแบบนี้นะ
“กวนตีนเหรอ”
เฮดว๊ากถามก่อนจะนั่งย่อๆ เพื่อมองหน้าทีชัดๆ
“ผมเปล่า ผมแค่บอกให้พี่มองไปที่ๆ จัดสิครับว่าพวกเรางานถึงไหน แค่นั้น”
“ไหนเอางานมึงมาสิ”
ว๊ากสายกดดันเดินเข้ามานั่งกดดันติดๆ ฉันเริ่มน้ำลายหนืดคอดื้อๆ ถึงฉันจะรู้ว่าสามคนนี้อายุพอๆ กับฉัน แต่ตำแหน่งที่พวกเขาได้รับยังไงมันก็เป็นตำแหน่งที่ถูกมอบและฉันก็ไม่สามารถเหิมเกริมอะไรกับเขาได้เลย
อยู่ๆ เก๋งก็คว้ามือฉันไปจับเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มดึงชายกระโปรงตัวเองเพราะความกดดัน ฉันไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เท่าไร แต่พอมีเก๋งอยู่ข้างๆ ฉันกลับรู้สึกปลอดภัยยังไงไม่รู้
ทีเอื้อมมือไปหยิบผลงานตัวเองส่งให้พี่ว๊ากดู เฮดว๊ากรับมาก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อดูเสร็จ
“มึงปีไรแล้ว” เฮดว๊ากถามทีขึ้น คนถูกถามไม่ตอบได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่เถียงไรออกไป “ฝีมือยังกับอนุบาล ทำใหม่!”
พรึบ!
เมื่อเห็นว่าเฮดว๊ากลุกขึ้นพร้อมจะใช้เท้าเหยียบงานของที ฉันจึงโน้มตัวกอดงานของเขาเอาไว้ เฮดว๊ากชะงักเท้าตัวเอง ก่อนจะพ่นลมหายใจและนั่งย่อๆ เหมือนเดิม เขาใช้นิ้วสะกิดฉันเมื่อเห็นว่าฉันเสล่อเป็นฮีโร่ปกป้องงานน้องหน้าตาเฉย ทั้งทีและเก๋งต่างเงียบทั้งคู่แต่หน้าตาดูเหมือนจะอึ้งไปจริงๆ ที่เห็นว่าฉันขัดขวางพี่ว๊ากแบบนั้น
“อย่าทำงานน้อง” ฉันตวัดหางตาสั่งคำสั่งขั้นเด็ดขาดกับเฮดว๊าก เขาหัวเราะออกมาด้วยแววตาสมเพชเต็มทน
“เพื่อนเธอหรือเปล่าแอน” เฮดว๊ากชี้มาที่ฉันพลางมองไปที่แอนที่ยืนเฉยๆ ไม่แสดงสีหน้าอะไร “ทำไมทำตัวเป็นซุปเปอร์เกิร์ล รักน้องในคณะมากเลยเหรอครับ”
“งานทุกงาน ทุกคนตั้งใจทำงานเป็นอย่างดี นายมีสิทธิ์อะไรถึงมาทำลายงานน้องเขาดื้อๆ พิเศษมาจากไหนวะ”
เพราะความเหลืออดและเลิกแสดงท่าทีกลัวเขาเพราะเดือดกับการกระทำของเขาเต็มทน ฉันจึงพ่นคำบ่นไปยาวเหยียด สีหน้าพี่ว๊ากที่เหลืออีกสองคนเริ่มถอดสี เพราะคนนึงก็เพื่อนร่วมสาขาอีกคนก็รุ่นน้อง มีคนเดียวที่ไม่เกรงใจฉันก็เฮดว๊ากที่เรียนคนสาขากับฉันนี่แหละ
“ก้อย” เสียงแอนเรียกฉันพลางทำหน้าทำตาเหมือนให้ฉันยอมๆ เขาไป ไม่อ่ะ ถึงฉันจะไม่ชอบทีมากแค่ไหน แต่การกระทำที่รุ่นพี่จะทำรุ่นน้องมันทำแบบนี้ไม่ได้อะ
“มันเป็นแฟนเธอหรือไง” คำถามของเฮดว๊ากถามฉัน ทำให้ฉันสะอึกไปนิดๆ
“ไม่ใช่ แต่เขาคือรุ่นน้องที่ฉันสนิท”
ถ้าคนข้างๆ ฉันล่ะไม่แน่ เป็นแน่ในอนาคตนะ
“แล้วจะเสล่อรับหน้าแทนมันทำไม งานห่วยๆ ต้องเจอบทลงโทษเว้ย!”
เสียงตะคอกใส่หูฉัน ทำให้ฉันหลับตาปี๋ แต่เหมือนว่าอยู่ๆ ร่างกายฉันก็ถูกมือหนาจับเอาไว้ก่อนจะเขยิบเข้ามาและดึงภาพออกไปจากฉันก่อนจะส่งให้ทีเจ้าของที่แท้จริงไป
“พี่เลิกว่าพี่ก้อยเถอะครับ”
เสียงของเก๋งทำให้ฉันลืมตาและก็เห็นว่าเขาเงยหน้าปะทะสายตากับเฮดว๊ากอย่างกล้าหาญ แล้วยิ่งเก๋งมีใบหน้าที่ไม่ค่อยลงรอยกับชาวบ้านเวลาทำหน้าตานิ่ง ยิ่งแล้วใหญ่ มันยิ่งเรียกเท้าได้เป็นอย่างดีมากกว่าตอนพูดเสียอีก
“แล้วนี่ใคร เด็กปีหนึ่งสาขาอะไร” เฮดว๊ากถามด้วยน้ำเสียงหัวเราะเต็มทน ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วนะว่านี่เอาพวกนี้มากดดันงานหรือทำให้งานช้ากว่าเดิมกันแน่ “เก่งมากนักเหรอ”
“ไม่เก่งหรอกครับ แต่ผมแค่บอกให้พี่เลิกด่าพี่ก้อย” น้ำเสียงนิ่งบวกกับหน้านิ่งนี่มันวอนตีนสุดๆ เลยอะ T^T
“ทำไมครับ เขาเป็นแฟนน้องเหรอถึงพี่จะว่าไม่ได้”
“ถ้าใช่ พี่จะทำไมครับ”
ฉันหันขวับไปมองหน้าเก๋งไม่ต่างอะไรกับทีและแอนที่หันมาทำหน้าตกใจไม่แพ้กัน ทุกคนเข้าสู่โหมดเงียบโดยทันที เฮดว๊ากมีอาการอึ้งไปนิดๆ ซึ่งน้อยกว่าฉันนิดหน่อย ฉันอึ้งและมึนกว่าอีก
“อวดดีทั้งคู่จริงๆ!”
เฮดว๊ากลุกขึ้นก่อนจะยกยิ้มมุมปากเหมือนกำลังแพ้ที่เถียงเก๋งไม่ได้ สายตาของเก๋งมองไปที่เฮดว๊ากไม่วางสายตาและฉันเชื่อว่าสามคนนั้นคงกลัวสายตาเก๋งไม่แพ้กันหรอก
“คือ…” ฉันที่จะอธิบายอะไรบางอย่างเก๋งก็จับมือฉันไว้เป็นการปิดปากฉันเฉย
“งั้นคืนนี้สองคนก็ไปซะ!”
คำสั่งพร้อมเสียงเด็ดขาดออกมาจากปากเฮดว๊าก ฉันลุกขึ้นเตรียมจะไปข้างนอกทันที
“ฉันไปเอง เก๋งอยู่ทำงานไป” ฉันหันไปบอกเก๋งสลับกับมองหน้าเฮดว๊ากด้วยสายตาไม่พึงพอใจสุดๆ
“ฉันบอกว่าคืนนี้ ไม่ใช่ตอนนี้!” เฮดว๊ากตะโกนอีกครั้ง “ไปกันสองคนทั้งคู่โทษฐานเหิมเกริมพี่ว๊าก”
“หมายความว่าไง…”
“ไปนอนที่เตนท์กลางสนามบอลด้านนอกทั้งสองคน ห้ามเข้ามานอนรับแอร์ในเวลาตอนกลางคืนที่ตึกจนกว่างานในคณะจะเสร็จ! เข้าใจนะครับ!”
“หา!”
เสียงตกใจไม่ใช่ฉันและเก๋งแต่เป็นคนทั้งตึกเนี่ยล่ะ!

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เข้าทางก้อยเลยค่าาาาา