ตอนที่ 20 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 19 ll เขาจะจำอะไรได้ เราอย่าไปหวังเลย {LOADING 100%}


19
เขาจะจำอะไรได้ เราอย่าไปหวังเลย
10.00 AM.
“งั้น…ผมกลับบ้านก่อนนะครับ”
“กลับดีๆ นะ”
ฉันโบกมือลาเก๋งที่นั่งอยู่ภายในรถแท็กซี่ ก่อนมันจะค่อยๆ เคลื่อนที่ออกไปจากหน้าคลับเจ้ ฉันไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะมัวแต่สับสนวุ่นวายกับเรื่องเมื่อคืนอย่างเอาเป็นเอาตาย เก๋งนอนหลับสนิทบนตักฉันทั้งคืน แถมยังตื่นขึ้นมาทำหน้างงโลกถามฉันอีกว่าเขามานอนที่นี่ได้ไง บ้าฉิบ นี่ฉันจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้คนเดียวหรือไง แล้วกว่าเจ้จะมาเปิดห้องให้ก็ปาไปเก้าโมงเช้า ดีนะที่ทั้งฉันและเก๋งไม่ได้มีเรียนด้วยกันทั้งคู่ ไม่งั้นความหายนะต้องมาเยือนแน่ๆ
ฉันยกมือจับปากตัวเองพลางครุ่นคิดกับสิ่งที่เขาทำฉันไว้ เขาพูดว่าฉันเป็นจูบแรก จูบสองและจูบสามของเขาเสร็จ เขาก็ล้มตัวลงนอนไปดื้อๆ ปล่อยให้ฉันเขินกับการกระทำของเขาอยู่ฝ่ายเดียวซะงั้น ร้ายเป็นบ้า
นายก็เป็นจูบแรก จูบสอง จูบสามของฉันเหมือนกันแหละเว้ย!
ถ้าไม่นับที่ฉันระดมจูบโปสเตอร์อปป้านะ -_-
“เป็นไง”
ฉันหันขวับไปมองเจ้มิ๊วที่อยู่ๆ ก็เดินมาสะกิดไหล่ถามฉันซื่อๆ เจ้ชะเง้อมองรถที่เคลื่อนหายเข้ากรีบเมฆไปเป็นที่เรียบร้อยก่อนเคลื่อนสายตาอันกรุ้มกริ่มมามองฉันเหมือนมีเลสนัยบางอย่าง
“อะไรเจ้ เป็นไงอะไร๊!” ฉันขึ้นเสียงสูงปัดจะตอบคำถามของเจ้ ก่อนจะเดินเลี่ยงมานั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์แล้วทำเป็นเล่นโทรศัพท์ในมือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“เมื่อคืนฉันอุตส่าห์วางแผนอย่างดี แกต้องเล่า!”
เจ้มานั่งข้างๆ ฉัน สายตากดดันจ้องมองมาที่ฉันเพื่อคาดคั้นอย่างเต็มที่
บ้าหรือไง ให้ฉันบอกไปโต้งๆ ว่าจูบกันหยดย้อยงี้อ่อ อายจะตายชัก เผลอๆ เจ้อาจจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ยัยแอนฟังอีก แทนที่ยัยนั่นจะอิจฉาหรือตกใจจะกลายเป็นด่าฉันกลับมาด้วยซ้ำมั้ง
“นอนเฉยๆ อ่ะ” ฉันตอบไปพลางก้มเลื่อนดูทวิตในมือถือ
“บ้าเหรอ ไม่ทำอะไรเลยหรือไง” เจ้ทำหน้าตาตกอกตกใจเหมือนกับว่าสิ่งที่ฉันพูดมันดูมหัศจรรย์พิลึกอะไรประมาณนั้น “บึ๊ดจำบึ๊ดบึ๊ดจำบึ๊ดน่ะ ได้ทำกันหรือเปล่า”
“ทำอะไรอะ…” ฉันขมวดคิ้วงงกับคำพูดของเจ้ไปเล็กน้อย
“พายเรือมั้ง อิเวง!”
แล้วไมเจ้ต้องพูดจาหยาบคายใส่หน้าฉันด้วยอ่ะ T^T
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละเจ้ เห็นๆ อยู่ว่าเก๋งเมาจนไม่ได้สติ เขาตื่นมายังจำอะไรไม่ได้เลย”
“ฉันคลุกคลีกับวงการเมาเหล้ามานานแล้วนะก้อย” เจ้พูดกับฉันพลางตบไหล่เบาๆ “อิเด็กนั่นมันไม่ได้เมาหรอก ฉันดูออก”
“บะ บ้าเหรอเจ้! เห็นๆ อยู่ว่าเขาหูแดงหน้าแดงแถมเหงื่อออกขนาดนั้น”
“คนดื่มเหล้าเป็นทุกคนแหละ แต่ความเมานี่สิ มันแสดงได้ย่ะ”
“พูดเป็นเล่น”
ฉันลุกขึ้นยืนก่อนจะทำหน้าไม่เชื่ออย่างแรง หลอกใครหลอกไปแต่อย่ามาหลอกก้อยดิ
“จะยืนทำไมเนี่ย ฉันยังถามไม่หมด” เจ้ดึงแขนให้ฉันกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งก่อนจะถามในสิ่งที่อยากรู้ขึ้น “สรุปได้ถามหรือยังว่าเก๋งมันคิดยังไงกับแก”
“เขาไม่ได้ตอบ…”
แต่…เขาจูบแทนน่ะสิ
ถามตอนเขาเมาฉันคงได้คำตอบที่ดีอย่างงั้นแหละ ยังไงฉันก็ต้องถามเขาตอนสติดีอยู่ดี แต่ความกล้าของฉันจะได้ถามตอนไหนนี่สิ ฉันดูเหมือนกล้าดีเดือดทำพูดเก่งแต่ปากว่าจะต้องจีบเก๋งให้ติด เอาเข้าจริงฉันก็ทำได้แต่ตามเขาเป็นแฟนคลับโรคจิตไปวันๆ ไม่เห็นว่าฉันจะจีบจริงจังอะไรกับเขาเลย เฮ้อ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกบ่อน้ำตาจะไหลพราก
“แกก็บอกชอบเขาไปเลย เอาให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะเจ้”
“แกนี่นะ ทำไมปอดแหกอะไรเบอร์นี้”
เจ้ส่ายหน้าเอือมฉันเต็มทน ฉันถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านของเดือน ฉันเหนื่อยกับตัวเองเหมือนกันแหละไม่ใช่ว่าไม่เหนื่อย แต่ฉันแค่รู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลายังไงไม่รู้ คนที่ไม่ชัดเจนคือเก๋งต่างหาก ถ้าเก๋งย้ำความมั่นใจให้ฉันได้อีกสักนิด ฉันคงกล้าบอกเขาไปแล้ว
แต่เขาทำแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่านี่สิ…
แค่คิดฉันก็แพ้แล้วจริงๆ
-------------------------------------------------------------
-วันต่อมา-
“อาทิตย์หน้ามีนิทรรศการงานทดสอบระดับความรู้พื้นฐานของน้องปีหนึ่งทุกสาขา รุ่นพี่ปีสามต้องช่วยน้องกันด้วยนะคะ โดยเฉพาะพี่ว๊าก ยังไงก็วานกดดันให้น้องกระตือรือร้นกับนิทรรศการนี้หน่อยนะคะ”
เสียงอาจารย์ที่ปรึกษาสาขาฉันสั่งพวกเราด้วยน้ำเสียงกดดันเต็มที่ พวกเราพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยๆ กิจกรรมบ้าอะไรอีกเนี่ย เกิดเป็นเด็กศิลป์นี่ต้องทำกิจกรรมห่ามรุ่งห่ามค่ำขนาดนี้เลยเหรอ นี่คงเป็นอีกเหตุผลที่ฉันไม่มีแฟนแน่ๆ ไม่ใช่แค่การเป็นติ่งอย่างเดียวหรอกนะ
ฉันหันไปหาแอนที่นั่งจดรายละเอียดนิทรรศการของน้องปีหนึ่งอย่างจดจ่อ แอนเป็นพี่ว๊ากนี่นาลืมเรื่องนี้ไปเลยแหะ
"แกต้องคุมน้องทั้งวันปะ" ฉันถามแอนขึ้น
"คงต้องคุมทั้งวันอ่ะ เผลอๆ ต้องนอนด้วยแหละ ไม่งั้นงานน้องจะไม่เดิน"
“อย่างงี้แกก็ต้องมาค้างที่ตึกกับรุ่นน้องอ่ะดิ”
ฉันหันไปถามแอนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเครียดอย่างจริงจัง แอนเงยหน้าขึ้นมาเบ้หน้าเหมือนไม่อยากทำมันเต็มทน
"ก็คงงั้นว่ะ" แอนทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ จนฉันต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
"ไมทำหน้างั้นวะ ดีจะตายครึกครื้น เหมือนได้มาเข้าค่ายเลยนะเว้ย"
“ฉันไม่อยากนอนที่นี่เลยว่ะ แกก็รู้ตึกนี้เฮี้ยนเป็นอันดับหนึ่งของมหา'ลัย”
ในตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไรเรื่องนี้หรอก พอแอนพูดเท่านั้นแหละ ฉันถึงกับกลืนน้ำลายลงคอพลางมองรอบๆ ห้องอย่างคิดไม่ตก คณะศิลปกรรมศาตร์เป็นคณะนึงที่เฮี้ยนเรื่องผีสุดๆ เพราะมันมีสาขาดนตรีซึ่งเน้นย้ำไปที่ดนตรีไทยเจ้าของความหลอนของแท้แน่นอน ฉันเชื่อว่าต้องเป็นทุกมหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
“โชคดีนะ ฉันไม่ต้องทำกิจกรรมนี้หนักเท่าแก” ฉันยิ้มร่าออกไปด้วยความดีใจสุดขีด
“แกน่ะมานอนกับฉันเลย ห้ามกลับบ้านทั้งอาทิตย์จนกว่างานน้องจะเสร็จ”
แอนยกปากกาขึ้นมาเคาะหัวฉันด้วยความหมั่นไส้ ฉันคลำหัวปรอยๆ พลางส่ายหน้ากลับไปอย่างพัลวัน
"ฉันไม่มีหน้าที่อะไรนะ"
"แต่แกปีสามนะ อาจารย์บอกให้ช่วยกันนี่"
"แต่ฉันไม่ใช่เฮดกิจกรรมหรือพี่ว๊ากอะไรไงแก"
"มานอนกับฉัน!"
“ไม่เอาอ่ะ ไม่นอนนนน” ฉันโวยวายปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันกลัวผี ฉันช่วยแกแค่ตอนกลางวันก็พอ ตอนกลางคืนฉัน…”
“แต่ปีหนึ่งนี่มีไอ้เด็กชื่อเก๋งไม่ใช่เหรอ”
“งั้นนอนเลย! วันไหนว่ามา ฉันจะหอบหมอนข้างมาด้วย สู้ๆ!”
แพ้ทางแม่งจนได้ไอ้บ้าเอ้ย!
“ทีแบบนี้ล่ะมาเลยนะ” แอนใช้ปากกาเคาะหัวฉันอีกครั้งเพื่อเรียกสติ “ถามจริง ชอบไอ้เก๋งมันมากเลยเหรอ”
“แหงดิ ฉันมีคนชอบคนเดียว จะให้ไปชอบใครอะ ชอบแกหรือไง”
“อืม”
“เดี๋ยวๆ” ฉันรีบจับหน้าเพื่อนตัวเองให้เงยขึ้นมาสบตากับฉันอีกครั้ง มาองมาอืมประสาทหรือไง “อืมบ้าอะไร ขนลุกนะเว้ย”
“เปล่า ฉันแค่คิดว่าถ้าแกมีแฟนแกจะลืมเพื่อนหรือเปล่าก้อย”
แอนพูดกับฉันด้วยสีหน้าที่จริงจังจริงๆ ไม่มีทีท่าว่านั่นจะเป็นคำถามลองใจเล่นๆ อะไรเลย ฉันยิ้มกว้างพลางส่ายหน้าให้แอนไปโดยไม่ต้องนั่งคิดอะไรมากมาย
“ไม่ลืมดิ ใครจะบ้าลืม -*-“
“แกไง ขนาดแกยังไม่ได้เป็นแฟนกับเด็กนั่นแกยังไม่ค่อยโทรหาฉันเหมือนแต่ก่อนเลย”
ทำไมน้ำเสียงในประโยคดูงอนฉันแปลกๆ มันก็จริงที่ฉันไม่ค่อยติดต่อแอนไปเลยช่วงนี้ ฉันเห็นว่ายัยนี่งานยุ่งๆ นี่นา อีกอย่างฉันไม่ค่อยอยากรบกวนอะไรแอนมากด้วย ก็อย่างที่เห็นเดี๋ยวนี้อารมณ์ยัยนี่คงที่กับเขาซะที่ไหน
“โอ๋ๆ อย่างอนฉันนะ ฉันไม่อยากรบกวนเวลาแกนี่นา อีกอย่างเก๋งกับฉันไม่ได้เจอกันทุกวันซะหน่อย”
“เอาตรงๆ ฉันไม่อยากให้แกคบกับมันอะ”
“อ่าว ทำไม ตอนแรกก็…”
“ตอนนี้ไม่แล้ว…” แอนพูดขัดฉันขึ้นหน้าตาดูมีอารมณ์เหวี่ยงสุด “ฉันไม่ชอบมันอ่ะ แกไม่ชอบมันไม่ได้เหรอ…”
สายตาขอร้องของแอนเล่นทำฉันสีหน้าไม่ดีขึ้นมาทันที เป็นอะไรถึงต้องมาขอร้องฉันแบบนี้วะ ใจนึงฉันก็รักเพื่อนแต่อีกใจฉันชอบเก๋งไปแล้ว คนเรามีชอบมีเลิกชอบได้ แต่ฉันทำไม่ได้ เพราะกว่าฉันจะชอบใครได้มันยากมากเลยนะ และจะให้มาตัดใจล้มเลิกไม่ชอบนี่มันจะง่ายและดูตลกไปหน่อยไหม
“ฉันทำไม่ได้หรอก”
“เข้าใจแล้ว ฉันแค่พูดลองใจแกเฉยๆ”
แอนยิ้มให้ฉันเบาๆ ก่อนจะตบไหล่ฉัน พอเห็นสายตาเพื่อนแบบนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาดื้อๆ แต่ฉันเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมันคงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงให้ฉันเลิกชอบเก๋งได้จริงๆ หรอก อย่างน้อยถึงเราจะไม่ได้คบกัน ฉันก็ขอได้บอกความในใจกับเขาก่อนที่ฉันจะจบจากที่นี่ก่อนแล้วกัน
รอให้ถึงเวลาก่อนเนอะ…
“แกต้องไปประชุมเรื่องพี่ว๊ากใช่ปะแอน” ฉันถามเพื่อนที่เริ่มเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเมื่อจดรายละเอียดกิจกรรมเสร็จ
“อืม แกกลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอฉันหรอก ฉันว่าคงอีกนาน”
“โอเค อย่าลืมกินอะไรก่อนกลับด้วยล่ะ”
“จ้า ไปได้แล้ว”
แอนผลักหลังฉันเบาๆ หลังจากที่เราสองคนลุกขึ้นออกจากห้องเรียบร้อย ฉันโบกมือบ๊ายบายแอนก่อนจะหันหลังเดินลงจากตึก
สายตาของแอนต้องการจะสื่ออะไรกับฉันกันแน่ สรุปแล้วแค่ห่วงเพื่อนแบบฉันใช่ไหม คงไม่ได้มีเจตนาอื่นหรอกนะ เพราะยัยนั่นถ้าเกลียดเก๋งก็จะบอกเหตุผลว่าทำไมถึงเกลียด แต่นี่คงเป็นเพราะฉันดูสนิทกับเก๋งจนลืมมันไปมากกว่า เลยทำให้มันงอนฉันเล็กน้อย
คงไม่มีอะไรมากกว่านี้หรอก…ฉันหวังเช่นนั้นนะ
-GENG SAY-
“เก่งรับ! มึงเลี้ยงส่งไปให้ไอ้ทีเลย”
ผมหลบลูกหลบพลางสับขาหลอกรับลูกบอลจากคนในทีมก่อนจะเลี้ยงไปเรื่อยๆ และจัดการส่งน้ำหนักเท้าพาลูกบอลพุ่งไปที่ไอ้ทีทันที ฝั่งทีรับลูกด้วยหน้าอกอย่างคล่องแคล่วก่อนจะเตะเข้าโกลประตูไปอย่างสวยๆ ทีดีใจออกนอกหน้ากว่าใครเพราะนั่นเป็นฝีมือของมันก่อนที่ทุกคนจะวิ่งไปทับตัวทีเพื่อแสดงถึงความดีใจไม่แพ้กัน
ผมสะบัดเหงื่อให้กระจายออกจากหัวก่อนจะคว้าผ้าขนหนูที่วางไว้บนอัฒจันทร์ขึ้นมาซับเหงื่อเบาๆ รุ่นพี่ผู้หญิงยืนไม้โบกมือให้ผมอย่างกรี๊ดกร๊าด ผมเลยได้แต่ยิ้มกลับไปก่อนจะเคลื่อนสายตาไปมองผู้หญิงอีกคนที่ยืนมองผู้หญิงกลุ่มนั้นด้วยสายตาอาฆาตสุดๆ
“อ้าว พี่ก้อย” ผมรีบยกมือทักเธอไปทันที เดี๋ยวเธอจะงับหัวรุ่นพี่ต่างคณะกลุ่มนั้นไปซะก่อน พี่ก้อยที่ได้ยินเสียงเรียกของผมก็หันมายิ้มดีใจก่อนจะเดินมาหาผมอย่างไม่รีรอ พี่ก้อยยื่นขวดน้ำให้ผมเมื่อมาถึง นี่เธอซื้อน้ำให้ผมเลยเหรอเนี่ย แล้วขวดน้ำที่รุ่นพี่ต่างซื้อมากองไว้ตรงนี้ล่ะ…
ช่างเหอะ ดื่มของคนสนิทที่สุดก่อนดีกว่า J
“เก๋งระวัง!”
โป๊ก!
พลั๊ก!
ไม่ทันที่เราจะได้พูดคุยอะไรกันเลยสักคำ ตัวของผมถูกเหวี่ยงให้ไปนั่งกับอัฒจันทร์ทำให้ร่างกายของผมไม่เกิดบาดเจ็บอะไร เพราะอยู่ๆ พี่ก้อยก็เอาตัวมาบังลูกบอลที่พุ่งมาไกลจากสนามบอล ร่างบางลงไปนั่งจับกบอยู่กับพื้นพร้อมสีหน้าเจ็บปวดสุดๆ ทำให้ผมต้องรีบไปนั่งย่อๆ เพื่อไถ่ถามอาการของเธอ
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า มาผลักผมออกแล้วมารับเองไว้ทำไมเนี่ย”
ผมถามเสียงดุ สายตาของผมมองไปที่สนามบอลก็เห็นว่าไอ้ทียืนมองมาไกลๆ ลูกเตะไกลขนาดนี้มีมันคนเดียวนั่นแหละ เป็นบ้าอะไรเตะมาตรงนี้วะ ประตูไม่ได้อยู่ฝั่งนี้ซะหน่อย ผมเลิกสนใจก่อนจะประคองตัวพี่ก้อยที่สะบัดอาการมึนหัวอย่างแรงของตัวเองให้ออกไป พี่ก้อยเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะฉีกยิ้มให้ผมแสดงถึงความสบายดี
ละ เลือดกำเดาไหลด้วย…
“พี่ไม่เป็นอะไร สบายมาก”
“แต่พี่ครับ…”
“หืม…”
ผมไม่รอช้ารีบเอาผ้าขนหนูซับเหงื่อตัวเองเช็ดเลือดกำเดาที่เริ่มไหลลงมามากขึ้นเรื่อยๆ พี่ก้อยยืนนิ่งให้ผมเช็ดอยู่อย่างงั้น เมื่อเห็นว่ามันหยุดไหลผมจึงก้าวถอยออกมาคุยกับเธอปกติทันที ผมแอบชำเลืองมองทีก็พบว่ามันไม่ได้อยู่สนามบอลแล้ว
ช่างมันเหอะ…
“เป็นไงมาไงพี่ถึงซื้อน้ำมาให้ผมเนี่ย”
ผมรีบเปลี่ยนประเด็นถามพี่ก้อยไป พี่ก้อยเลอะละเหมือนทำตัวไม่ถูกก่อนจะตอบผมมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“พี่เลิกเรียนแล้วมันผ่านทางพอดีเลยแวะซื้อน้ำมาให้น่ะ”
“โธ่พี่ ไม่เป็นไรหรอก แค่พี่มาหาผมก็เกรงใจแล้ว” ผมตอบพลางกระดกน้ำในมือดื่มแก้กระหาย “แล้วพี่จะไปไหนต่ออะ”
“คือ…พี่ต้องกลับบ้านน่ะ แล้วอีกสองวันก็จะมานอนที่มหา'ลัย เก๋งก็ต้องมานอนนี่ บังเอิญจังเนอะ”
สิ่งที่พี่ก้อยพูดนี่คงหมายถึงนิทรรศการของพวกผมแน่ๆ เออ ลืมเรื่องกิจกรรมนิทรรศการงานปีหนึ่งไปเลยแหะ มัวแต่ทำตัวว่างจนลืมโปรเจคสำคัญไปเลย ถ้าพี่ก้อยไม่เตือนนี่คงทำตัวเรื่อยเปื่อยไปแล้วนะเนี่ย
“จริงด้วยอะ ผมยังไม่เริ่มวาดรูปเลยแหะ สงสัยได้มาเร่งเอาวันมานอนที่มหา'ลัยแน่ๆ”
“งั้นเก๋งก็รีบกลับไปปั่นงานนะ พี่ไม่กวนเราแล้วล่ะ”
เหมือนว่าพี่ก้อยจะจบบทสนทนาอย่างเฉียบพลันเธอหันหลังพร้อมที่จะเดินกลับทันที เดี๋ยวดิ ยังไม่ได้ขอบคุณเรื่องคืนนั้นเลย
“ขอบคุณนะพี่ที่ดูแลผมคืนนั้น” ผมโพล่งออกไป คนตรงหน้าชะงักเท้าหยุดก่อนจะหมุนกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง “ขอโทษที่แย่งพี่เมานะ J”
“ทีหลังดื่มไม่ได้อย่าดื่มนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” และเธอก็จัดการสอนผมทันที
“ครับผม ถ้าไม่มีพี่ผมจะไม่ดื่มแน่นอน เดี๋ยวไม่มีคนดูแล ฮ่าๆ”
ผมพูดติดฮาไป พี่ก้อยเริ่มหน้าแดงอีกแล้วอ่ะ ชอบเวลาเธอแอบเขินแบบนี้จังเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด
“พี่ถามไรหน่อยดิ” พี่ก้อยเดินมาหาผมก่อนจะหยุดและเงยหน้าถามด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาดื้อๆ “เรื่องคืนนั้นนอกจากเก๋งเมาแล้วพี่ดูแล เรื่องอื่นเก๋งจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“ก็ไม่นะ ทำไมเหรอพี่ ผมทำอะไรพี่หรือเปล่า O_O”
“อ๋อ ไม่มีไรหรอก พี่เผลอหลับไปไงพี่นึกว่าเราจะจำได้…”
“ผมจำอะไรไม่ได้หรอกผมเมา” ผมพูดออกไปพร้อมกับยิ้มเบาๆ พี่ก้อยยิ้มกลับมาก่อนจะโบกมือลาโดยไม่เอ่ยถามข้อสงสัยอะไรต่อ เธอหันหลังเดินไปทันทีและไม่หันหลับมามองผมอีกเลย
ผมถอนหายใจและหลับตาข่มตัวเอง อีกแล้วนะเก๋ง ทำไมมึงชอบเป็นคนแบบนี้วะ
โกหกตัวเองเนี่ย โกหกว่าตัวเองว่าจำอะไรไม่ได้เลยกับพี่ก้อย
ทั้งๆ ที่จำได้ทุกกิริยาบทในคืนนั้นเนี่ยนะ! ไอ้เก๋งนะไอ้เก๋ง

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อีเก๋งก็ใจร้ายแอ๊บจำไม่ได้
2ซื้อมั้งคะเพราะตอนนี้เงินเก็บไปคอนนั้นนกไปแล้วเลยมีเงินซื้อนิยาย
ปล.อยากอ่านพี่เดชาแล้ว555
ออ่านแล้วชอบมากเลยอ่ะ ออิมเมจเวนดี้เหมาะกับคาเเรกเตอร์นี้มาก555555555
ทำเลยค่าาา สนใจมากกกก