ตอนที่ 18 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 17 ll เราอยากรู้อะไร ก็ถามหัวใจเขาเลยได้ไหม {LOADING 100%}
17
เราอยากรู้อะไร ก็ถามหัวใจเขาเลยได้ไหม
“ทำไมเราต้องมาคุยกันที่นี่ด้วยอะครับพี่”
เก๋งถามฉันในขณะที่สายตาของเขาสำรวจไปทั่วบริเวณพื้นที่ในคลับ ในตอนนี้ฉันพาเขามาที่นี่เป็นที่เรียบร้อย ดูท่าว่าเขาจะยังไม่เคยเข้าสถานที่อะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะเขาดูตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจจนฉันรู้สึกได้
“อ่อคือเพื่อนพี่เขาอยากเจอเราด้วยไง เลยคิดว่าน่าจะชวนเก๋งมาเปิดหูเปิดตาไปในตัว”
“เพื่อน? ใครเหรอครับ” เก๋งเกาหัวก่อนจะเอียงคอถามฉันอย่างสงสัย ยิ่งพอเขาทำหน้าสงสัยนี่มันน่ารักจนฉันอยากจะกระโดดกอดคอให้รู้แล้วรู้รอดเลยให้ตายสิ
“เอาไว้เข้าไปในงานค่อยทำความรู้จักกันเนอะ”
ฉันปัดประเด็นการตอบคำถามของเขาก่อนจะเดินนำเข้าไปข้างใน ฉันยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่ามันเลยสองทุ่มมานิดๆ แล้ว ป่านนี้เจ้คงอยู่ในงานแล้วล่ะ
ทันทีที่ฉันและเก๋งเดินเข้ามาในงาน เสียงเพลงแนว EDM ก็ดังกระหึ่มจนฉันผงะถอยหลังด้วยความหูอื้อไปเล็กน้อย เก๋งมีใบหน้าเหยเกสื่อให้รู้ว่าเขาก็หนวกหูไม่แพ้กัน ฉันพยายามสอดส่องหาที่นั่งของเจ้และเมื่อเห็นว่าเจ้นั่งโซนวีไอพี ฉันจึงจับแขนเก๋งให้เขาเดินตามฉันมาทันที เราสองคนผ่าวงล้อมของผู้คนที่ยืนแออัดเต้นกันไม่ห่วงชีวิตก่อนจะมาหยุดอยู่ที่โซฟาสีแดงมุมวีไอพีของที่นี่
“อ้าวมาแล้ว นั่งก่อนๆ” เจ้ยกมือเรียกอย่างดีอกดีใจ วันนี้เจ้ใส่วิกสีดำยาวประบ่า แถมยังแต่งหน้ายังกับไปเล่นงิ้วอีก ไม่แปลกใจหรอกถ้าเก๋งจะจำไม่ได้ “กินอะไรกันก่อนไหม มาเหนื่อยๆ”
ฉันที่จะยกมือปฏิเสธ จู่ๆ เก๋งก็พยักหน้าตอบกลับเจ้ไปแบบซื่อๆ ทำให้ฉันถึงกับเลิกคิ้วงง ในที่แบบนี้เก๋งกินดื่มอะไรได้ซะที่ไหนล่ะ ไม่ใช่ร้านนมปั่นน่ะเฮ้ย
“เก๋งจะกินอะไร ที่นี่มีแต่…”
“เก๋งเอาน้ำเปล่า” เก๋งพูดกับเจ้มิ๊วโดยไม่สนคำถามของฉันเมื่อครู่ นั่นจึงทำให้ฉันโล่งอกเมื่อได้ยินแบบนั้น คิดว่าเขาจะลองของดีกินของมึนเมาซะแล้ว “พี่ก้อยก็เอาน้ำเปล่าด้วย”
เก๋งสั่งให้ฉันอย่างเสร็จสรรพไม่หันมาถามไถ่ฉันสักคำ จริงๆ ฉันดื่มได้หมดแหละแต่ก็ได้นิดหน่อยเป็นพิธีสังสรรค์กันไป แหม่อายุขึ้นหลักสองแล้วนะ ของแบบนี้มันต้องแวะเวียนมาให้ลองกันหน่อยสิ
“ยัยก้อยไม่กินหรอกย่ะน้ำเปล่า” เจ้มิ๊วได้โอกาสตีมือเก๋งเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ ฉันรีบกระแอ่มใส่พลางมองแรงอย่างห่วงก้าง แม้ในนี้จะมืดจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น แต่บอกได้เลยว่ารังสีอำมหิตคงจะแผ่ทั่วจนเจ้รับรู้ได้ และดึงมือกลับไปอย่างเร่งด่วน “น้องคะเอาน้ำมาเสริฟทางนี้ด้วย”
เจ้มิ๊วเรียกบริกรที่เดินถือถาดน้ำมาแต่ไกล เครื่องดื่มหลากสีถูกวางอยู่บนโต๊ะทำให้ฉันเริ่มสนใจอยากลิ้มลองรสชาติแต่ละแก้วขึ้นมาทันที
“เก๋งดื่มพวกนี้เป็นไหม” ฉันหันไปถามเก๋ง แต่เก๋งก็ส่ายหน้าตอบมาให้ฉัน “ดีแล้วล่ะ”
ผู้ชายไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่นี่หายากออก โชคดีจริงๆ ที่ฉันเลือกที่จะชอบเขาเนี่ย ดูเหมือนน้องชายน่ารักคนนึงเลย พอพูดถึงน้องชายลองมองย้อนไปที่เปาโล รายนั้นน่ะเชี่ยวชาญไปซะทุกอย่างแทบจะกินเหล้าขาวเพียวๆ ได้แล้วมั้ง -_-
“พี่ดื่มด้วยเหรอ” เก๋งถามกลับ
“ก็…นิดนึง” ฉันอยากจะแอ๊บใสบอกเขาว่าไม่นะ แต่พอเห็นมันมาอยู่ตรงหน้าฉันก็อดไม่ได้จริงๆ นี่หว่า
เก๋งพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขามองไปที่เวทีการแสดงที่มีผู้ชายในโฮสต์กำลังโชว์เนื้อหนังมังสาเรียกน้ำลายผู้ชมได้เป็นอย่างดี ในตอนแรกฉันไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั้งมีชายคนนึงกำลังถอดกางเกงเท่านั้นล่ะ
“พี่ห้ามดู” อยู่ๆ เก๋งก็ยกมือมาบังหน้าฉันทันทีปิดบรรยากาศงามตาของฉันไปในพริบตา เสียงหัวเราะของเจ้มิ๊วดังลั่นแสดงให้เห็นถึงความตลกที่เก๋งมอบให้แก่ฉันอย่างเด่นชัด “เป็นผู้หญิงไปดูผู้ชายแก้ผ้าได้ไง”
เสียงดุแกมสั่งสอนดังออกจากปากเก๋งเล่นทำฉันหัวเราะพรืดออกมาไม่แพ้เจ้มิ๊ว
“โอเคๆ พี่ไม่ดูแล้ว”
“แน่นะ”
“อืม เห็นพี่เป็นโรคจิตอยากดูผู้ชายแก้ผ้าขนาดนั้นหรือไง”
“ก็เออดิ”
นี่เขาคิดว่าฉันเป็นคนยังไงวะ T^T
เก๋งยอมลดฝ่ามือลง ฉันรีบเบี่ยงสายตาไปหาเจ้มิ๊วที่นั่งขำไม่หยุด ฉันพยายามส่งซิกให้เจ้รีบๆ ถามเขาเสียที เจ้พยักหน้าอย่างรู้ทันก่อนจะหันไปหาเก๋งเป็นการด่วน
“เก๋งลูก” เจ้มิ๊วเรียกเก๋งและแน่นอนว่าเจ้าของชื่อต้องหันไปขานรับทันที
“ครับ”
“นี่เราเคยมีแฟนหรือเปล่าอ่ะ” เจ้รีบเลี้ยวเข้าประเด็นอย่างรุกฆาต ฉันพยายามทำตัวปกติมองนกชมไม้เหมือนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ แต่หูก็ตั้งใจฟังอยู่นะ
“ไม่นะครับ ไม่เคยเลย” เก๋งก็ซื่อตอบคำถามคนแปลกหน้าเนอะ -_- “แล้วพี่เป็นเพื่อนพี่ก้อยเหรอครับ รู้จักชื่อผมด้วย”
ด้วยความเป็นเด็กขี้สงสัยมาแต่ไหนแต่ไร เก๋งจึงย้อนถามเจ้ทันที
“ใช่แล้วเป็นรุ่นพี่แหละแต่เราก็สนิทกันเหมือนเพื่อน ก้อยเล่าถึงเก๋งบ่อยๆ เลยจำชื่อเราได้น่ะ”
เจ้ตอบกลับเก๋งเสมือนเขียนสคริปมาจากบ้าน แม้ว่าฉันจะเขินตรงคำว่าก้อยเล่าให้ฟังบ่อยๆ แต่เก๋งกลับมีท่าทีนิ่งจนฉันคิดว่าเขาไม่ตงิดใจถามบ้างหรือไงว่าเล่าทำไม
“แล้วนี่เรียกผมมาคุยเรื่องอะไรเหรอครับ”
เก๋งเปิดทางพวกเราจนเจ้มิ๊วแอบยิ้มออกมาเบาๆ อย่างพึงพอใจ
“พี่แค่อยากรู้จักเราเฉยๆ น่ะ ไหนๆ เก๋งก็เป็นน้องคนสนิทของเพื่อนพี่แล้วไง เลยอยากให้มาคุยกันพร้อมกับฉลองไปเลยด้วย” เจ้มิ๊วอ้างสารพัดสารเพก่อนจะวกเข้าเรื่องเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ “แล้วทำไมถึงไม่มีล่ะ เราหน้าตาดีออก”
“ไม่หรอกพี่ ผมดูโง่ๆ งงๆ มั้งผู้หญิงเลยไม่ชอบกัน”
ไม่จริงเว้ย!
ฉันได้แต่โพล่งออกไปในใจในตอนนี้ฉันนั่งพิงโซฟากอดอกฟังเขาคุยกับเจ้มิ๊วอย่างออกอรรถรส จริงๆ อยากถามออกไปเหมือนกันนะว่าเขาชอบฉันไหม แต่ดูท่ามันจะเร็วและดูโพล่งพลางมากเกินไป
“เราดูเป็นเด็กดีนะ ผู้หญิงชอบผู้ชายน่ารักเยอะแยะไปใช่ไหมก้อย”
อยู่ๆ เจ้ก็เหวี่ยงคำเออออส่งมาทางฉัน ฉันเลอะละก่อนจะเออออกลับไป
“ใช่ๆ ผู้หญิงชอบผู้หญิงแบบเก๋งมีเยอะแยะไป เนอะๆ เจ้”
ฉันพยักเพยิดไปด้วยท่าทางหมั่นไส้ตัวเอง เก๋งยิ้มเหยๆ เหมือนกำลังถูกรุมอย่างไม่มีพวก
“ผมจีบผู้หญิงไม่เป็นด้วยแหละ” เก๋งตอบออกมาด้วยสีหน้าที่ดูเสร้าแบบจริงจังซึ่งไม่ได้เข้ากับบรรยากาศภายในคลับเลยสักนิด “แถมยังไปบังคับเขาให้มารักอีก เป็นใครใครก็กลัวน่ะพี่”
“แล้วเก๋งไปบังคับใครเขาล่ะ บอกพี่ได้มะ หน้าตายังไงอายุเท่าไรนิสัยแบบไหนกัน”
เจ้มิ๊ววกเข้าประเด็นใจความหลักแห่งการสืบเสาะสเป็คผู้หญิงของเก๋งทันที ดูท่าทางเจ้จะถนัดการเผือกเรื่องชาวบ้านแรงนะเนี่ยถึงได้คล่องอะไรเบอร์นี้
“หน้าตาเขาก็…” เก๋งหันมามองฉันที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาอย่างออกนอกหน้า ฉันชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งหลักออกมาลืมไปเลยว่าเขาคุยกันอยู่ ฉันนี่ก็เผือกไม่แพ้กันเลยบอกตรง “หน้าตาพี่เขาก็น่ารักดีนะ เขาดูแมนๆ ด้วย แต่จริงๆ ผมอยากปกป้องเขาแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ต้องการคนแบบนั้น นิสัยเขาดีครับ ดีจนผมคิดว่าผมคงไม่ได้เหมาะอะไรกับเขาเลย”
ฉันยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนเอามีดมาแทงตัวเองเรื่อยๆ ฉันไม่ได้น่ารัก ไม่ได้ดูแมนแม้จะดูถึกก็เถอะ ผู้หญิงคนนั้นโชคดีมากเลยนะที่เก๋งแอบชอบ แค่คิดฉันยังอิจฉาเขาเลย ถ้าได้เห็นหน้าค่าตาฉันไม่ตาร้อนผ่าวมากกว่านี้หรอกเหรอ
“ใครกันนะโชคดีเนอะ…” ฉันพูดพลางหยิบแก้วค็อกเทลสีใสขึ้นมาหวังว่าจะจิบแก้กระหาย
แต่อยู่ๆ เก๋งก็ดึงออกไปจากมือฉันก่อนจะกระดกเข้าปากตัวเองไปเสมือนว่ามันเป็นน้ำเปล่า
เดี๋ยวนะ…ที่เขากินไปนั่นมันเหล้าเพียวๆ เลยนะ!
“พี่ห้ามกิน เป็นผู้หญิงกินไม่ดีหรอกพี่”
"แต่พี่โตแล้วอะ..." ฉันเถียงกลับไปเหมือนถูกขัดใจอย่างแรง
"แต่พี่ต้องกลับดึก กลับไปในสภาพเมาๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นทำไงอะ พี่อย่าดื้อกับผมดิ เชื่อผมเหอะ"
เก๋งพูดพลางกระแทกแก้วลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเคืองฉันอย่างจริงจัง เจ้มิ๊วเบ้หน้ามาหาฉันเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นพอกัน
“เจ้ครับไปรับแขกพิเศษตรงนู้นทีครับ”
อยู่ๆ ก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาสะกิดเรียกเจ้ไปรับแขกฝั่งนู้นเป็นการด่วน ทำให้ฉันอยู่กับเก๋งเพียงแค่สองคน เจ้ยกมือเป็นเชิงบอกให้ฉันคุยๆ ไปก่อน ฉันพยักหน้ารับ แค่อยู่ด้วยกันสองคนไม่เห็นเป็นไรเลย
“แล้วเก๋งดื่มไปได้ไงนั่นมันเหล้านะน่ะ” ฉันยังคงสงสัยกับการกระทำเขาไม่เลิก เก๋งไม่ได้มีท่าทีว่าจะเมาหรือมีปฏิกิริยาอะไรแปลกๆ ออกมาหลังซัดเข้าไปรวดเดียว
สรุปแล้วเขากินได้งั้นเหรอ
“ผมก็คนนะพี่ เรื่องแค่นี้ผมดื่มได้อยู่แล้ว” เก่งยกยิ้มตอบกลับอย่างชิวๆ
ฉันกรอกตาขึ้นบนอย่างงงใจ ก่อนจะคว้าแก้วสีฟ้าที่ตั้งอยู่ใกล้มือขึ้นมา แต่แล้วก็เหมือนเหตุการณ์วนซ้ำเดจาวู เก๋งแย่งออกจากมือฉันแล้วกระดกดื่มไปอีกครั้ง
“เก๋งจะมาแย่งพี่ทำไมเนี่ย” ฉันเริ่มดุเขาขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มกวนประสาทฉันซะแล้ว มีตั้งหลายแก้วแต่กลับแย่งฉันอยู่คนเดียวเนี่ย “เราน่ะดื่มน้ำเปล่าไปเลย เห็นสั่งมาไม่ใช่หรือไง”
“ผมอยากกินที่พี่อยากกินอ่ะ ก็เลยแย่ง” แล้วดูเก๋งตอบ -*-
“กินมากเดี๋ยวก็กลับบ้านไม่ไหว ไหนว่าจะกลับเองไง”
ฉันถามเขาอย่างหัวเสีย ฉันไม่ได้อยากให้เก๋งเมาแอ่กลับบ้านไปเพราะแม่เขาใช่ว่าจะใจดีอะไรมากมาย วันนี้แม่เก๋งก็อาจจะอารมณ์ดีนิดหน่อยเลยให้ลูกออกมาเที่ยว แต่ถ้าเขารู้ว่าฉันพาลุกเขามาเมาล่ะก็มีหวังหัวขาดกลับบ้านแน่ๆ
เก๋งบอกว่าเขาจะไม่รบกวนนอนค้างที่ไหนทั้งนั้น เขาจะกลับบ้านตัวเองแม้มันจะดึกแต่เขาจะลองกลับเองสักครั้ง ฉันพยายามขัดแล้วแต่เขาจะดื้อกลับเองเพียงเพราะเขาไม่อยากนอนกับฉันเพราะฉันเป็นผู้หญิง จะให้ผู้ชายไปค้างด้วยไงได้ แต่เอาจริงๆ ถ้าเขาจะค้าง เขาคงได้ค้างที่คลับนี่แหละ มันเป็นห้องนอนรับรองแขกที่เจ้มิ๊วมีเอาไว้ต้อนรับชาวต่างชาติ ถ้าเก๋งจะค้างก็ค้างได้ เจ้ไม่ได้ว่าอะไรหรอกจริงๆ
“ผมกลับไหวน่าเชื่อผมเถอะพี่ ^^”
สายตาของเขาเริ่มดูไม่ไหวจริงๆ นะ ดูเยิ้มจนจะหวานเป็นน้ำตาลทรายอยู่แหละ เก๋งคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกอีกสามช็อตใหญ่หลังจากที่ฉันพยายามจะหยิบมันขึ้นมาดื่ม สรุปแล้วแก้วเหล้าบนโต๊ะฉันไม่ได้ลิ้มรสเลยสักหยด มีแต่เก๋งนี่แหละที่คว้าไปเชยชมรับรสชาติอยู่คนเดียว
“ไหวปะเนี่ย” ฉันแอบถามเก๋งเมื่อเห็นว่าเขานั่งนิ่งมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดมุ่งหมาย
เก๋งไม่ได้ตอบอะไรฉันมา เขายกมือทำรูปโอเคมาทางฉันแต่สายตานี่ไม่ได้มองฉันเลยสักนิดเดียว
“ผมโอเคอยู่” เก๋งตอบฉันเพื่อย้ำความมั่นใจ ฉันรีบเขยิบเข้าไปหาเขาและพยายามดูแววตาของเขาว่าตอนนี้มันแดงก่ำมากแค่ไหน
"โอเคอะไรเล่า เก๋งหน้าแดงจนชัดในที่มืดแล้วเนี่ย" ฉันใช้โอกาสแตะอั๋งเขาด้วยการเอานิ้วจิ้มแก้มเขาไป นุ่มนิ่มนิ้วจังแหะ
"เวลาเก๋งนอนดึกก็หน้าแดงแบบนี้ตลอดแหละ ไม่เมา....เสียหน่อย"
เก๋งเริ่มพูดกระตุกกระตัก เขาใช้ฝ่ามือทุบหัวตัวเองเบาๆ เหมือนเรียกสติตัวเอง
นี่นะที่เรียกว่าไม่เมา โธ่...แล้วจะมาแย่งพี่ดื่มทำไมเนี่ย
“งั้นพี่ถามหน่อย” ฉันใช้โอกาสมึนๆ ของเขานี่แหละ ถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้สักที “เก๋งคิดไงกับพี่วะ”
แม้มันจะดูเป็นคำถามตรงเกินไป แต่ฉันใจร้อนอยากรู้ไม่ไหวแล้วจริงๆ เก๋งค่อยๆ หันหน้ามาหาฉันก่อนจะมองฉันนิ่งและหัวเราะพ่นลมหายใจออกมาเหมือนว่าคำถามของฉันมันตลกมากสำหรับเขา
“ผมเหรอ…” เก๋งชี้เข้าหาตัวเอง หัวของเขาเริ่มเอนเอียงทรงตัวไม่อยู่แล้ว
“อืม…พี่ถามเก๋งนั่นแหละจะไปถามใคร” ฉันจดจ่อมองปากเขาเพื่อรอฟังคำตอบสุดฤทธิ์ เก๋งขยับปากพะงาบๆ ฉันพยายามฟังที่เขาพูดแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย เขาเหมือนกระซิบกับตัวเองอ่ะ
ฉันยื่นหน้าไปหาเขา เก๋งหลุบตามองฉันในตอนนี้ตาของเราประสานกันทำให้โลกหยุดหมุนชั่วครู่ ฉันพยายามกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้ลมหายใจของฉันกระทบใบหน้าของเขา เก๋งยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลสนัยก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาจิ้มที่แก้มฉันอย่างพละการ
“พี่อะ คิดไงกับไอ้ที” เก๋งกลับไม่ตอบฉัน น้ำเสียงงัวเงียของเขาผสมกับคำถามยิ่งพาฉันหงุดหงิด ฉันที่จะผละหน้าออกแต่อยู่ๆ เก๋งก็เอาสองมือประคองหน้าฉันไว้ มืออุ่นๆ ของเขาทำให้ใบหน้าของฉันเกิดอาการร้อนฉ่าขึ้นมาจนน่าตกใจ เขาบีบหน้าฉันเบาๆ ทำให้ปากฉันยู่เหมือนปลาบู่ทองเลยอ่ะ TT
“ไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ” ฉันตอกกลับเขาไป
“เข้าใจแล้วอ่ะ…”
“เข้าใจอะไร”
ฉันที่ยังไม่ได้รับคำตอบ อยู่ๆ เก๋งก็คว้าตัวฉันไปกอดทันที ฉันเบิกตากว้างเพราะความตกใจ ลมหายใจร้อนๆ ของเก๋งวนเวียนอยู่ข้างคอฉันจนทำให้ฉันหายใจไม่สะดวก เหมือนกำลังถูกพรากลมหายใจไป ฉันยกมือจับอกตัวเอง หัวใจของฉันเต้นเร็วกว่าทุกครั้งที่ได้ใกล้เก๋ง แถมในท้องยังเกิดอาการมวนๆ ทำให้ฉันสับสนแรง เก๋งกอดฉันไม่ยอมปล่อยเลยและรู้สึกได้ว่า…เขาหลับ
เจ้มิ๊วที่เสร็จธุระก็เดินเข้ามาที่พวกเราก่อนจะชะงักเท้าหยุดมองภาพของฉันและเก๋งกอดกันกลม ฉันเป่าลมออกจากปากและพัดหน้าตัวเองเพื่อระบายความร้อนทั้งหมด เจ้มิ๊วจับอกตัวเองและแสดงสีหน้าออกมาด้วยความตกใจซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับฉันหรอกจริงๆ
“ขุ่นพระ ยัยก้อยไม่นก!”
“เจ้ มาช่วยก้อยอุ้มเก๋งไปนอนหน่อย”
ฉันรีบควักมือเรียกเจ้มิ๊วทันที ตอนนี้ฉันพยายามขจัดความเขินออกจากตัวให้หมดไป ดูท่าว่าเก๋งจะไม่ได้กลับบ้านตัวเองอย่างที่ปฏิญาณตนมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ เล่นเมาหลับไม่รู้เรื่องขนาดนี้ คงกลับไปเจอแม่ได้หรอกนะ
เจ้รีบวิ่งเข้ามาดึงเก๋งออกจากตัวฉันทันที ฉันรีบใช้สองมือประคองหน้าเก๋งและตบเบาๆ เพื่อให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมา เก๋งยู่ปากเหมือนถูกขัดใจนิดๆ หน้าตาเขาพริ้มไปหมดแล้วตอนนี้ เอาจริงๆ สิ น่ารักชะมัด
“แกมอมเหล้าน้องเหรอก้อย เลวทราม”
เจ้รีบด่าฉันยกใหญ่จนคนข้างๆ หันมามองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันตีเจ้เบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธเป็นการด่วน
“เก๋งดื่มเองเจ้ ก้อยห้ามแล้วแต่เขาไม่ฟัง”
“อิบ้าไหนบอกจะดื่มน้ำเปล่า” เจ้บีบจมูกเก๋งเหมือนหมั่นไส้เต็มทน เจ้ยกเก๋งขึ้นจากโซฟาด้วยหน้าตาทรมานสุดขีด อย่างที่ฉันเคยบอกว่าเจ้กับเก่งมีความสูงเท่ากัน ทำให้เขามีแรงพอๆ กันแต่ถ้าให้เทียบความหนาของตัว ฉันว่าเก๋งมีกล้ามเนื้อมากกว่าเจ้เป็นกอง “แล้วเด็กฉันก็มัวแต่ไปดูแขกพิเศษด้วย แกจะให้ฉันแบกอิเด็กนี่ขึ้นห้องคนเดียวเหรอ”
“เดี๋ยวก้อยช่วยนี่ไง เจ้เอาแขนฝั่งซ้ายของเก๋งคล้องคอไว้นะ เดี๋ยวก้อยประคองฝั่งขวาเอง”
ฉันลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะค่อยๆ ช่วยเจ้ประคองตัวเก๋งขึ้นมา เหมือนเก๋งจะพอมีสติยันตัวเองลุกขึ้นมาได้พอกัน แต่เขาคงไม่มีแรงเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองแน่ๆ
“มันจะทับฉันตายไหมก้อย” เจ้บ่นอุบอีกครั้ง ฉันพยายามปลุกเก๋งเรื่อยๆ เผื่อเขาจะพอมีสติเดินเองได้บ้าง
“เก๋ง ไหวไหมเนี่ย” ฉันก้มหน้าถามคนที่คอพับคออ่อน ในตอนนี้ฉันและเจ้ลากร่างของเขามาจนทางขึ้นบันไดเป็นที่เรียบร้อย อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว "ขึ้นบันไดเองได้หรือเปล่า"
“ผมปวดหัว T^T”
เก๋งพยายามดันหัวตัวเองเพื่อตอบคำถามของฉัน เจ้และฉันพยักหน้าเพื่อส่งซิกให้ดันร่างเขาขึ้นไปทันที เก๋งก้าวเท้าขึ้นเหมือนรู้งานดี เขาคงพอมีสติฝืนแรงตัวเองได้บ้างล่ะ และมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมาย ในตอนนี้เราสามคนมาถึงหน้าห้องนอนของคลับเจ้เรียบร้อย เจ้ดึงตัวเก๋งให้พิงกำแพงไว้ ฉันรีบกอดตัวเก๋งเอาไว้ไม่ให้เขาไหลลงไปบนพื้น เจ้รีบไขกุญแจอย่างเร่งด่วน ทันทีที่ประตูเปิด เราสองคนจึงรีบประคองเก๋งไปที่เตียงอย่างไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
“หนักฉิบหายเลยค่ะ”
เจ้บ่นขึ้นอีกครั้งเมื่อร่างสูงนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงด้วยสภาพที่ดูแล้วเหมือนคนโดนมอมเหล้าอย่างจริงจัง มีอย่างที่ไหนมอมเหล้าตัวเองวะเนี่ย แถมฉันยังไม่ได้คำตอบของคำถามที่ฉันอยากรู้เลยสักคำถาม
แต่เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็ได้กำไรนะ คริคริ
“ให้เก๋งนอนนี่นะเจ้” ฉันหันไปขอเจ้ เจ้าของห้องพยักหน้าให้ฉันอย่างจำยอม แหม่ มานอนถึงห้องเขาขนาดนี้ถ้าไม่ให้นอนคงดูเป็นคนใจร้ายน่าดู
“เป็นผู้ชายที่คออ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยย่ะ แค่ห้าแก้วนี่ถึงกับล้มพับล้มหลับขนาดนี้เลยเหรอ”
"เก๋งไม่ใช่พวกที่ดื่มตลอดแบบเจ้นี่หว่า"
"เด็กน้อยมาก เห่ยสุดๆ"
ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ เก๋งน่าเอ็นดูออก เขาดูเป็นคนไม่แตะต้องของพวกนี้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่อยากให้ฉันดื่มจริงๆ แหละถึงลงทุนซัดเองไปหมด
ฉันขยับขาของเก๋งให้นอนดีๆ ก่อนจะปัดผมหน้าม้าของเขาให้ขึ้นไป เขาจะได้ไม่ต้องร้อนหน้าไปมากกว่านี้ ใบหน้ามีเลือดฝาดของเก๋งทำเอาฉันหน้าร้อนขึ้นมาทันทีที่ได้จ้องมอง เวลาเขาหลับแบบนี้ดูเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด แม้เขาจะดูเป็นเด็กที่หน้าดุก็เหอะ แต่สำหรับฉันเขาน่ารักมากเลยนะ…
“ดื้อมากๆ”
ฉันผงะถอยด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ เก๋งก็โพล่งคำพูดออกมาเบาๆ แถมยังยกนิ้วขึ้นมาเหมือนจะสั่งสอนฉัน เขายังหลับตาอยู่เลย ละเมอหรือไง…
ชอบว่าฉันดื้อเหมือนตัวเองไม่ดื้อยังงั้นแหละ
“เจ้ งั้นก้อยฝากเก๋งด้วยนะ ก้อยกลับบ้าน…”
“โชคดีค่ะ บรั๊ย!”
กริ๊ก!
ไม่ทันที่ฉันจะหันไปขอร้องเจ้มิ๊วให้เสร็จ อยู่ๆ เจ้ก็ตัดบทพูดของฉันฉับพลัน แถมด้วยการกระทำที่ทำเอาฉันรีบบึ่งไปที่ประตูเป็นการด่วน เจ้ขังฉันไว้ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเฮ้ย!
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก!
ฉันบิดลูกบิดประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ผลสุดท้ายคือมันล็อก! เพราะฝีมือกระเทยตัวดีที่ออกไปโดยไม่เอ่ยบอกลาฉันสักคำ…
ฉันหันไปมองร่างสูงที่อยู่บนเตียง เขายกมือขึ้นมาจับหัวตัวเองเหมือนเริ่มรู้สึกตัวแล้ว ฉันกลับมาสนใจลูกบิดประตูอีกครั้งแต่ไม่มีแววว่ามันจะเปิดได้เลยสักนิด
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก!
“เจ้! ก้อยจะกลับบ้าน!”
“…”
“เจ้ตอบก้อยที ไม่สนุกนะเจ้!”
“…”
“อีเจ้!!!”


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เก๋งเริ่มน่ารักเข้าทุกที คริคริ