ตอนที่ 16 : ll CUTIE SASAENG : CHAPTER 15 ll เราจะยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าเขายังไม่มีใจให้เรา {LOADING 100%}
15
เราจะยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าเขายังไม่มีใจให้เรา
-GENG SAY-
ผมยกยิ้มให้คนตรงหน้าที่กำลังกอดปลอบเพื่อนสนิทของผมภายในร้านหนังสือที่ผมพาเธอมา ผมรีบหันหลังกลับมายืนรอพี่ก้อยตรงที่หมวดหมู่หนังสือการ์ตูนบริเวณทางเข้าหน้าร้านตามเดิม
กล่องดีวีดีสีแดงที่ผมแอบมาสั่งเป็นของขวัญให้พี่ก้อยถูกเก็บใส่กระเป๋าสะพายตัวเอง เอาไว้ให้เมื่อถึงวันเกิดพี่เขาแล้วกัน ไม่ต้องรีบให้ก็ได้มั้งเก๋ง…
ไม่นานนักพี่ก้อยก็วิ่งออกมาก่อนจะมาหยุดตรงที่ผมยืนอยู่ เธอหอบเหนื่อยก่อนจะพยายามกลืนน้ำลายเพื่อพูดกับผม
“พี่นึกว่าเราหนีกลับไปแล้วซะอีก”
ผมเลิกคิ้วงงใส่ร่างบางที่เอาแต่หอบไม่หยุด ถ้าเดาไม่ผิดนี่คงรีบวิ่งออกมาสุดขีดเพราะคิดว่าผมหนีกลับแล้วแน่ๆ ผมแอบหัวเราะเบาๆ จนพี่ก้อยต้องขมวดคิ้วเคืองใส่มาหนึ่งดอก
“ผมจะหนีกลับทำไมละพี่ เรามาด้วยกันนะ ฮาๆ”
“ก็…”
“พี่คุยธุระกับทีเสร็จยังอะ ผมว่าจะเดินเล่นแปปหนึ่งค่อยกลับ พี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า”
ผมถามตัดบทสนทนาพี่ก้อยฉับพลัน ลืมๆ ภาพที่ส่วนตัวของพี่เขาไปเถอะ เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุระของเขาอยู่แล้ว ผมอยากกินไอศกรีมเย็นๆ ดับความร้อนในร่างกายตัวเองจังแหะ
“พี่มีเรียนคาบดึก…เราจะไปไหนอะ”
ดูท่าว่าพี่ก้อยจะยังคงมากับผมไม่ไปไหน รู้สึกดีที่ผมยังมีพี่เขาคอยอยู่เป็นเพื่อนอะนะ วันนี้อาจารย์ยกคลาสเลยทำให้ผมว่างทั้งวัน การได้มาระบายความเครียดโดยการมาเดินเที่ยวนี่ก็รู้สึกดีไปอีกแบบนะ
“กินไอติมกัน”
ผมไม่พูดเปล่ารีบคว้ามือของคนตรงหน้าให้ไปกับผมทันที ผมแอบเหลียวหลังมองผู้ชายคุ้นเคยกำลังยืนมองเราสองคนอยู่ห่างๆ สายตาของมันนิ่งราวกับไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้สิ ผมไม่ได้อยากดึงตัวพี่ก้อยไปจากจุดนี้สักเท่าไร แต่ใจผมมันทำไปแล้วจะให้มาหยุดอยู่ตรงนี้ก็ใช่เรื่องสักที่ไหน
ผมพาพี่ก้อยมาที่ร้านไอติมผัด เป็นไอติมที่ใส่ถ้วยและท๊อปปิ้งได้เยอะตามที่ต้องการ ผมไม่ได้มากินที่นี่นานแค่ไหนแล้วนะ ล่าสุดคงมากับพี่โก๋เมื่อสองปีก่อนและก็ไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลย ไอ้ทีมันไม่ค่อยมาสถานที่แบบนี้เท่าไรทำให้ผมไม่มีโอกาสได้มาเดินเหมือนครั้งนี้
“เก๋งกินรสอะไรอะ” พี่ก้อยเงยหน้าถามผมขึ้น ทำให้ผมรีบมองเมนูเพื่อหารสชาติที่อยากกินโดยทันที “เอาคุกกี้แอนด์ครีมค่ะ”
แต่ดูเหมือนว่าคนข้างๆ จะทำการสั่งเรียบร้อย ใบหน้าพี่ก้อยดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อกี้อย่างมาก รู้สึกดีแทนที่เธอไม่ต้องอึดอัดอะไรแบบเมื่อกี้
“เหมือนกันครับ”
ผมว่าตามหลังจากที่พี่ก้อยสั่ง น่าแปลกที่เราดันชอบรสเดียวกันเป๊ะ พี่ก้อยยิ้มให้ผมนิดๆ ก่อนที่พวกเราจะรับถ้วยไอติมดั่งกล่าวมาไว้ในมือ
“เราจะเดินกินหรือหาที่นั่งกันดี” พี่ก้อยเงยหน้าถามผมอีกครั้ง ทำให้ผมเริ่มคิดหนักขึ้นมาซะดื้อๆ… “เราไปนั่งตรงโซนนั้นกันเถอะ”
ไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไร พี่ก้อยก็ตัดสินใจพาผมมานั่งที่โซนกว้างหน้าห้างมีน้ำพุพุ่งประดับสวยงามอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศยามเย็นทำให้ที่นี่ดูสวยขึ้นมาทันที จนผมคิดว่าเวลามันเดินเร็วไปหรือเปล่า ยังไม่ได้ทำอะไรที่ยาวนานกว่านี้เลย
เราสองคนนั่งเงียบกินไอติมในมือคนละถ้วยกันมาสักพัก ทำไมรู้สึกว่าอยู่ๆ เราสองคนก็ดันไม่มีเรื่องคุยกันซะงั้น
“พี่ก้อย” ผมตัดสินใจหันไปคุยกับพี่เขาที่เลิกคิ้วแทนการขานรับ “เมื่อกี้ไอ้ทีเข้ามาคุยอะไรกับพี่เหรอ”
อยากตีปากตัวเองสักสิบครั้งที่ถามเสียมารยาทแบบนั้นไป ไม่รู้สิ อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
“ทีมาปรึกษาปัญหาอะไรนิดๆ หน่อยๆ น่ะ”
พี่ก้อยตอบผมมาแม้แววตาของเธอจะหลุบลงไม่มองหน้าผมก็ตาม ปรึกษาอะไรกันถึงขนาดต้องกอดปลอบเลยเหรอ ผมเข้าใจไอ้ทีดีมันเป็นคนที่ขี้แงและร้องไห้ง่ายมาก เมื่อครั้งมันอกหักก็นอยด์ไปเกือบเดือน แถมยังโกรธผมอีก ทั้งๆ ที่ผมไม่ผิดอะไร แค่แฟนมันมาแอบชอบผมจนทำให้มันทะเลาะกะแฟน ผมอยู่เฉยๆ ก็กลายเป็นตัวทำให้คู่รักเขาแตกแยกซะงั้น
แล้วนี่มันมีปัญหาอะไร ทำไมถึงเลือกที่จะมาปรึกษาพี่ก้อยล่ะ
“อ๋อ…พี่นี่ดีจัง เหมือนเป็นพี่สาวของพวกผมเลยเนอะ”
ผมพูดแต่ตามองที่มือตัวเองกำลังเขี่ยไอติมที่ละลายกลายเป็นเนื้อครีมนิ่มๆ ไปเรียบร้อย พี่ก้อยถอนหายใจออกมาเสียงดังจนผมต้องเงยมอง เธอกินไอติมหมดถ้วยก่อนจะวางมันไว้ข้างๆ ตัว
“อาจเป็นเพราะพี่มีน้องชายด้วยแหละ เลยเข้าใจเด็กผู้…”
“เดี๋ยวนะพี่”
ผมรีบทักท้วงเมื่อพี่ก้อยหันมามองผม ผมรีบใช้นิ้วโป้งปาดปากพี่ก้อยเบาๆ เพื่อเช็ดคราบไอติมที่มุมปาก ก่อนจะกลับมาตั้งใจฟังเธอพูดอีกครั้ง
“เออ…” แต่ดูเหมือนพี่ก้อยจะชะงักไปเล็กน้อย…
ฉิบหายแล้วเก๋ง เผลอตัวทำแบบนี้ไปโดยไม่คำนึงว่าพี่เขาเป็นอะไรกับเราอีกแล้ว ผมเคยชินที่จะทำแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำให้ใครเลยสักครั้ง มันเลยกลายเป็นว่าผมกำลังล่วงเกินพี่เขาไปแบบไม่ได้ตั้งใจ ทำไงดีล่ะทีเนี่ย
“ผมขอโทษพี่ ผมลืมตัว” ผมรีบก้มหัวให้พี่ก้อยอย่างรับผิด เสียงหัวเราะของร่างบาง ทำเอาผมหยุดการกระทำทั้งหมดก่อนจะหรี่ตามองมองเธอหัวเราะอะไรกันแน่ “พี่ไม่โกรธผมเหรอ”
“ไม่อะ พี่แค่อึ้งๆ” พี่ก้อยตอบมาแค่นั้น
ผมรีบซัดไอติมในถ้วยตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่บรรยากาศจะเริ่มคลุมเครือไปมากกว่าเดิม ทำไมอยู่ๆ ก็กลายเป็นว่าเราสองคนไม่มีเรื่องที่จะคุยกันอีกแล้ว
คนอึดอัดไม่ใช่ผมแต่กลัวจะเป็นพี่ก้อยมากกว่าน่ะสิ
“พี่ก้อยจะต้องกลับมหา'ลัยใช่ไหมครับ งั้นเก๋งไปส่งนะ”
ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าเรากินกันเสร็จแล้ว พี่ก้อยพยักหน้ารับมาแบบงงๆ อย่าว่าแต่พี่งงเลย ผมก็เริ่มงงตัวเองเหมือนกัน เป็นอะไรวะเก๋ง ดูร้อนรนเป็นบ้า
“พี่ไปส่งเราดีกว่า” และคำพูดเดิมๆ ของพี่ก้อยก็แทรกขึ้น ทำให้ผมรู้สึกกระวนใจขึ้นมาดื้อๆ “พี่เรียนตั้งหนึ่งทุ่ม ไปยังไงก็ทัน”
พี่ก้อยยกนาฬิกาขึ้นมาดูก่อนจะเงยหน้าสบตาผมตรงๆ ผมยกยิ้มกลับไปเป็นมารยาท พี่ก้อยมาส่งผมทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรพี่เขาไปแล้ว ผมก็เคยชินกับการกลับบ้านโดยที่มีพี่เขามาส่งในทุกวัน วันไหนที่ไม่มีพี่ก้อยมาส่งผมก็รู้สึกโล่งๆ โหว่งๆ ไปโดยปริยาย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่เขาอยากสนิทกับผมไปทำไม ในทีแรกผมนึกว่าพี่เขาเป็นสายรหัสหรือพี่บุญธรรมด้วยซ้ำ แต่พอไปถามพี่รหัสก็กลับไม่มีเขาอยู่ในสายระบบ สรุปคือพี่เขาแค่อยากสนิทกับผมจริงๆ ใช่ปะ
“พี่ไม่ต้องมาส่งผมหรอก ไม่เหนื่อยบ้างเหรอพี่”
“ไม่นะ” พี่ก้อยพูดออกมาโดยไม่ต้องนึกคิดให้เสียเวลา
“งั้นเราสองคนแยกกันตรงนี้ไหมครับ เพื่อความเท่าเทียมของสองเราไง”
ผมรีบเสนอเพื่อตัดความลำบากของพี่ก้อย พี่ก้อยยืนคิดอยู่ชั่วครู่แต่แล้วก็ต้องจำยอมพยักหน้ารับนั่นจึงทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ผมไม่อยากให้พี่เขาต้องไปๆ มาๆ มาส่งผมแล้วยังต้องวนรถไปเรียนอีก เหนื่อยตายเลย เป็นห่วงด้วยแหละ
เราสองคนเดินมาที่ป้ายรถเมล์หน้าห้างเพื่อรอแท็กซี่ ผมตัดสินใจที่จะรอส่งพี่เขาขึ้นรถก่อนอย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่าเธอไม่ต้องยืนรอรถคนเดียวนานแค่ไหน ทันทีที่แท็กซี่จอด ผมจึงพยักเพยิดให้พี่ก้อยรีบเข้าไปนั่งเพื่อไปมหาวิทยาลัยทันที
“เรากลับดีๆ นะเก๋ง” พี่ก้อยรีบหันมาสั่งผมด้วยน้ำเสียงติเตือนนิดๆ ผมพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ “ห้ามหลับบนรถจนเลยป้ายหน้าบ้านนะ”
เธอคงเห็นผมเป็นเด็กน้อยแน่ๆ ถึงสั่งผมแบบนั้น ผมเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่งโดยไม่ได้พูดอะไร ได้แต่โบกมือลาทันทีที่ปิดประตู แท็กซี่ก็เคลื่อนเอาตัวพี่ก้อยไปยังจุดมุ่งหมายทันที ผมพ่นลมหายใจออกมาเพื่อระบายความอึดอัดของตัวเองออกไป ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้วะเก๋ง ทั้งหมดทั้งมวลมึงทำตัวเองไม่ใช่เหรอ
ผมล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเลื่อนดูข้อความในไลน์ล่าสุด ที่ผมได้ตอบค้างไว้กับคนนึงเมื่อสองชั่วโมงก่อน…
T :: มึงพาพี่ก้อยไปไหน
GENG :: ห้างใกล้มหา'ลัย
T :: พาพี่เขามาร้านหนังสือที กูมีเรื่องจะคุย
GENG :: อืม
อ่านแล้ว
ก็ทำตัวเองทั้งนั้น จะเรียกร้องอะไรล่ะเก๋ง
-NEWKOI SAY-
ฉันลงจากรถแท็กซี่ทันทีที่มาถึงบ้านตัวเอง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมฉันถึงไม่ไปมหาลัย นาทีนี้ต่อให้ฉันไปเรียนมันก็คงไม่มีสมาธิแล้วล่ะ ฉันกำลังเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างยังไงอย่างนั้น วันนี้ฉันเจอเหตุการณ์ช็อคๆ ไปกี่เหตุการณ์กัน ในตอนนี้มีแต่เรื่องของทีตีอยู่ในหัววุ่นวายไปหมด เขาล้อเล่นฉันเหรอ
ถ้าล้อเล่นจริงทีจะลงทุนบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจอะไรขนาดนั้นล่ะ
ฉันเดินเข้าบ้านไปด้วยอาการเหม่อลอยสุดๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงโซฟาและนอนมองเพดานนิ่งอยู่แบบนั้น เก๋งมีท่าทีปกติสุดๆ ที่เห็นฉันยืนกอดกับเพื่อนเขา แม้แต่สายตางอนๆ ก็ไม่เผยออกมาเลย สรุปแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรกับฉันเลยแม้สักนิดเดียวสินะ
“อกหักมาแล้วใช่ไหม”
อยู่ๆ หน้าของเปาโลก็โผล่มาในระยะใกล้ แต่แทนที่ฉันจะตกใจ ฉันกลับมองหน้าน้องชายตัวเองตาปริบๆ ก่อนจะดันหัวมันออกไป อย่ามาบังวิวเพดานสีขาวของฉันสิ
“เปล่า แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ฉันตอบกลับไปทั้งๆ ที่ใจเริ่มสับสนจนห้ามไม่ให้มันหยุดคิดไม่ได้แล้ว “เวลามีคนที่แกไม่ชอบมาชอบแก แกมีวิธีบอกเขายังไงไม่ให้ทำร้ายน้ำใจวะเปา”
ฉันถามเปาโลทั้งๆ ที่ยังนอนมองเพดานนิ่งเหมือนเดิม เปาโลนั่งลงบนพื้นข้างๆ โซฟาที่ฉันนอนอยู่ก่อนจะเอาหัวมาพิงหัวฉันเหมือนเด็กขี้อ้อน
“คงบอกตรงๆ เปาไม่ชอบอ้อมค้อม ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ยื้อไปก็อึดอัดตัวเอง”
เป็นเรื่องปกติที่น้องฉันจะให้คำปรึกษาง่ายๆ แบบนี้ แม้มันจะอยู่แค่ม.5 แต่ความคิดของมันก็ดูเหมือนผ่านความรักมามากกว่าฉัน อาจเป็นเพราะมันชอบอ่านหนังสือจิตวิทยาวิชาโปรดมันด้วยแหละ เลยทำให้มันเป็นคนที่มีความคิดมีเหตุมีผล แต่สำหรับฉันการพูดตรงๆ มันไม่ใช่ตัวฉันเลย รู้สึกว่าเวลาตัวเองยิ่งพูดตรง ก็เหมือนยิ่งทำร้ายใจคนๆ นั้น และตัวเองก็มักเก็บเอามาคิดหนักกว่าเดิม มากกว่าคำว่าสบายใจที่จะได้รับเสียอีก
“แล้วถ้าเขาเป็นเพื่อนของคนที่เราแอบชอบล่ะ”
“สถานะอะไรก็เหมือนกันแหละ แล้วไงอะ มันเป็นเพื่อนของคนที่เราแอบชอบ แล้วเราปฏิเสธมันไม่ได้หรือไง มันมีสิทธิพิเศษอะไรที่จะมาเหนือกว่าคนอื่นอะ”
“พูดอีกก็ถูกอีก แต่พี่ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”
“ทำตามใจตัวเอง ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ใช่ชอบเขาเพราะสงสาร ความรักคือการตัดสินใจด้วยใจ ไม่ใช่ความรู้สึกสงสารนะพี่”
เปาโลผงะหัวออกจากหัวฉันก่อนจะหันมาคุยกับฉันตรงๆ ทำให้ฉันเลิกมองเพดานและพลิกตัวไปมองหน้าน้องชายตัวเองที่นั่งทำหน้านิ่งมองฉันอยู่
“เพื่อนของเก๋งมาบอกชอบพี่ว่ะ” ฉันพูดไปตามตรง เปาโลขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
“เก๋งคือคนบนหน้าจอมือถือพี่อะนะ” ฉันไม่ได้ตอบแต่เลือกที่จะพยักหน้าตอบกลับไปเป็นคำตอบ “แล้ว?”
“พี่ไม่อยากทำให้เขาเสียความรู้สึกที่มาแอบชอบพี่ เป็นครั้งแรกเลยนะที่พี่ถูกสารภาพรักเนี่ย”
“พี่ไม่อยากทำให้เขาเสียความรู้สึก?” เปาทวนประโยคของฉันพลางหัวเราะเย้ยๆ “แต่ไม่ห่วงความรู้สึกตัวเองเนี่ยนะ ความรู้สึกคนอื่นสำคัญกว่าความรู้สึกตัวเองเหรอพี่”
“พี่เหนื่อย เหมือนยิ่งตามเก๋งพี่ก็เหมือนรู้สึกเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำแถมตอนนี้ยิ่งมีเรื่องเพื่อนเขาเข้ามาอีก มันดูเหมือนเป็นอุปสรรคมากั้นไว้เลย”
ฉันถอนหายใจใส่หน้าเปาโลอย่างเลี่ยงไม่ได้ น้องชายคนเดียวของฉันยกมือลูบหัวฉันก่อนจะค่อยๆ เกาหัวเป็นปกติที่มันมักทำให้ฉันเวลาฉันเครียด ความรู้สึกผ่อนคลายเวลามีอะไรมาเล่นผมฉัน ฉันมักจะรู้สึกปลอดภัยอยู่เสมอ
“คนแอบรัก มีสิ่งที่เดียวที่ทำได้ก็คือแอบรัก ถ้าพี่อยากออกจากคำว่าแอบรักก็ไปบอกเขาดู ตรงๆ ไปเลย ถ้าเขาไม่ชอบเราก็ถอยออกมาเหอะพี่ ยิ่งทำยิ่งเหมือนเอาความรู้สึกตัวเองไปเตะทิ้ง รอคอยเขาเหยียบย้ำอยู่นั่นล่ะ”
“แกพูดเหมือนง่าย”
“ก็อย่าคิดให้มันยากสิ”
ฉันพลิกตัวมองเพดานอีกครั้ง ถ้าฉันตีตัวออกห่างทีและยังคงพยายามจีบเก๋งมันจะดูอึดอัดไหมนะ อีกคนก็ชอบฉัน อีกคนฉันก็ชอบ สถานะก่ำกึ่งแบบนี้ฉันล่ะเบื่อที่สุดเลย แม้ว่าจะไม่เคยเจอแต่ฉันก็เริ่มสัมผัสมันได้นิดๆ แล้วล่ะ
“อึดอัดเนอะ เจอเหตุการณ์แบบนี้”
“พี่ยังไม่เลิกชอบเขาอีกเหรอ พี่ถามใจตัวเองอย่างชัดเจนตามที่ผมบอกแล้วแน่นะ”
ในทีแรกฉันยอมรับว่าชอบเก๋งเพราะหน้าตาจริงๆ พักหลังๆ ฉันว่าเขาก็มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกดีรู้สึกปลอดภัย แต่มีอยู่อย่างเยวที่ทำให้ฉันคิดหนักอยู่เสมอคือ…
ฉันเหมือนพยายามไปเองคนเดียว
“ขอเวลาอีกนิดนึง ถ้าพี่พอพี่ท้อพี่ไม่ไหวแล้วก็คงจะหยุดและมองหาคนที่พร้อมมากกว่านี้”
“คนที่มาสารภาพรักกับพี่ไง เขาไม่ดีหรอกเหรอ”
ยิ่งพูดถึงทีฉันก็ยิ่งปวดหัวขึ้นมาซะดื้อๆ เขาไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่ฉันสมควรเปิดใจให้เขาเลยสักนิด ความพยายามของเขาฉันก็ไม่เห็น คนเราอยากชอบใครก็บอกกันตรงๆ แบบนี้น่ะเหรอ มันไม่ตลกร้ายไปหน่อยหรือไง
“เขายังไม่ได้พยายามอะไรให้พี่เห็นเลย”
“แล้วไอ้คนชื่อเก๋งมันกำลังพยายามอะไรให้พี่เห็นล่ะ พี่ถึงชอบมัน.”
เอามีดมาแทงพี่ให้ตายไปเลยก็ได้นะเปาโล แค่นี้ก็เหมือนจะตายทั้งเป็น พอแกมาพูดซ้ำๆ ให้ฉันคิดทบทวนก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำว่าตัวเองกำลังโง่ยังไงไม่รู้
ติ้ง!
เสียงเตือนไลน์ดังขึ้นทำให้ฉันรีบล้วงขึ้นมาดูอย่างร้อนรน เก๋งถึงบ้านแล้วสินะ
แต่เมื่อฉันสไลด์หน้าจอและเข้าไปที่แอพพลิเคชั่น ก็ทำให้ฉันหยุดกึกมองชื่อคนที่ทักมาด้วยความรู้สึกงงๆ ผสมกับสับสนหัวใจตัวเองขึ้นมาทันที
T :: พี่กลับบ้านยัง
รายชื่อเพิ่งเพิ่มมาใหม่จากไอดีทำเอาฉันแปลกใจไปนิดๆ เขาคงขอจากเก๋งมาแน่ๆ ช่างเถอะ อย่างมากฉันก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรเขามาก เขาจะได้รู้ตัวเองว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยสักนิดเดียว คงมีหลายคนแอบด่าฉันอยู่แน่ๆ ว่ามีคนมาจีบทั้งทีแต่ฉันกลับเลือกมาก
แต่ยังไง คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ บังคับให้รักคนที่ตัวเองไม่ชอบมันทำไม่ได้หรอก
NEW’KOI :: อืม
ฉันเลือกตอบเขาแค่นั้น สายตาของเปาโลมองมาที่ฉันก่อนจะส่ายหน้าเอือมเหมือนว่าฉันผิดเต็มประดา ฉันเลื่อนนิ้วสไลด์ไปที่ชื่อคนคุ้นเคยก่อนจะกดเข้าไปและพิมพ์ข้อความส่งหาเขาทันที
NEW’KOI :: เก๋งถึงบ้านหรือยัง
ฉันกดส่งพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเพื่อไล่ความอึดอัดในตัวเองออกไปให้หมด ทำไมฉันถึงทำร้ายตัวเองได้เพียงขนาดนี้วะก้อย
ติ้ง
เสียงเตือนข้อความทำให้ฉันรีบเปิดดูเผื่อว่าเก๋งจะส่งตอบกลับมา แต่แล้วฉันก็ต้องผิดหวังวนซ้ำไปอีก
T :: พี่อย่าลืมกินข้าวนะ เรื่องวันนี้ผมขอโทษ
T :: ผมไม่ได้ตั้งใจจะปั่นป่วนพี่ตั้งแต่แรก
T :: แต่ผมเลือกวิธีเข้าหาพี่ไม่เป็นจริงๆ
T :: เริ่มกันใหม่ได้ไหมพี่
/ สติ๊กเกอร์หัวหอมร้องไห้
ฉันมาไกลกับการจีบเก๋งแล้ว ให้ฉันหยุดไม่ได้หรอกนะที
ฉันยังย้ำคำเดิมจากเสียงเรียกร้องหัวใจตัวเอง
ฉันชอบเก๋ง…ยังไงเป็นตายร้ายดีในตอนนี้
ฉันก็ยังชอบเก๋ง มันเปลี่ยนเป็นชอบคนอื่นแล้วไม่ได้จริงๆ


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ก้อย่างที่นางว่านั้นแหละนะว่าอีกคนก็ชอบเราส่วนอีกคนเราก็ชอบถ้าใครเจอแบบคงจะทำตัวไม่ถูกจริงๆแหละ
เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิดฟิคเรื่องนี้มักจะมีเรื่องมาเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลาเราก็อ่านไปตกใจไปเอาเถอะค่ะ
เราจะคอยตั้งรับเอาไว้ดีๆ555555ติดตามต่อไปนะคะสู้ๆเด้อจิคอยเป็นกำลังใจให้เด้ออออออ :3
เลิกซึนลูก อิพี่มันหวั่นไหวแล้วๆๆๆฟ