คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ปัญหาเรื่องรัชทายาท
“บัดนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว ขอสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระเจริญ”
ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว บรรดาเจ้านายผู้ชายได้เสด็จลงจากชั้น 3 ของพระที่นั่งอัมพรสถาน มาประชุมหารือเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน และการเตรียมงานพระบรมศพที่ห้องแป๊ะเต๋ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ซึ่งบัดนี้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แม้จะทรงพระกรรแสงอย่างมากกับการสวรรคตของพระราชบิดา แต่ก็ต้องทรงหักห้ามพระราชหฤทัย ข่มพระอารมณ์ไว้เพื่อเป็นประธานในการปรึกษาข้อราชการแผ่นดินท่ามกลางที่ประชุมของเจ้านายชั้นสูง ในที่สุดเมื่อข้อราชการต่างๆ เป็นที่ตกลงเรียบร้อย สมเด็จวังบูรพาผู้ทรงพระชนมายุสูงสุดในหมู่เจ้านายนั้น จึงทรงนำเจ้านายทุกพระองค์ทรุดลงคุกเข่าถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ 3 หน เพื่ออัญเชิญเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
“ขอสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจงทรงพระเจริญ”
เช้าวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เป็นเช้าแห่งความมืดมน และสับสนมากที่สุดวันหนึ่งของสยาม ราชสำนักออกประกาศถึงการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั่วพระราชอาณาจักร ทั้งยังได้ประกาศว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ มีพระบรมราชโองการสั่งว่า “มิให้ราษฎรต้องโกนผมไว้ทุกข์แก่พระเจ้าแผ่นดินทั่วประเทศตามระบบประเพณีโบราณอีกต่อไป”
จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี เสด็จเป็นองค์ประธานในการถวายน้ำสรงพระบรมศพในส่วนของเจ้านายฝ่าย เวลาบ่ายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพในส่วนของเจ้านายฝ่ายหน้า และขุนนางข้าราชบริพาร จากนั้นเจ้าพนักงานถวายเครื่องทรงพระบรมศพอย่างบรมขัตติยาธิราช แล้วเชิญพระบรมศพลงสู่พระโกศทองใหญ่ แล้วจึงอัญเชิญพระบรมศพจากพระราชวังสวนดุสิต ไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลตามราชประเพณี
25 ตุลาคม 2 วันหลังจากรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมพิเศษเจ้านายชั้นสูง ซึ่งประกอบไปด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ , กรมขุนสรรพสิทธิ์, กรมหลวงเทววงศ์, กรมขุนสมมต, กรมหลวงดำรง, และกรมหมื่นนครชัยศรี เพื่อปรึกษากิจการบางเรื่อง และทรงนำปัญหาเรื่องตั้งรัชทายาทเสนอในที่ประชุมด้วย โดยทรงมีพระราชปรารภกับในที่ประชุมความว่า
1. ความมั่นคงของพระราชวงศ์ คือ ความมั่นคงของกรุงสยาม
2. พระราชวงศ์จักรีจะมั่นคงอยู่ได้ก็โดยมีทายาทมั่นคงที่จะได้เป็นผู้ดำรงวงศ์ตระกูลสืบไป
3. ในขณะนี้พระองค์ยังไม่ทรงมีพระมเหสี และพระราชโอรส ฉะนั้นเพื่อตั้งอยู่ในความไม่ประมาทพระองค์ควรจะตั้งใครคนหนึ่งเป็นรัชทายาทไปพลางก่อน
4. การจะเลือกผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทนั้นก็ต้องเป็นไปตามพระบรมราโชบายของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ซึ่งเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จกลับจากการศึกษาที่ประเทศยุโรปในปี 2445 รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานพระชัยนวโลหะประจำรัชกาลที่ 5 ให้พระองค์เป็นผู้รักษา ต่อหน้าเจ้านาย และขุนนางข้าราชการ พร้อมกับมีพระราชดำรัสว่า
“
บัดนี้ได้ทรงตั้งแต่งให้ฉันเปนพระยุพราชรัชทายาทแล้ว จึ่งพระราชทานพระชัยองค์นั้นไว้ให้เปนสวัสดิมงคลสืบไป, แต่ทรงกำชับว่าให้พึงเข้าใจว่าพระราชทานไว้สำหรับพระราชโอรสของเสด็จแม่ทุกคน, เมื่อใครเปนผู้มีอายุมากที่สุดในพวกพี่น้องก็ให้เปนผู้รักษาพระชัยองค์นั้นไว้จนกว่าจะสิ้นอายุ, แล้วจึ่งให้รับรักษากันต่อๆลงไป...”
5. ฉะนั้นตามพระบรมราโชบายดังกล่าว จึงมีพระราชประสงค์จะแต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ พระอนุชาองค์รองเป็นรัชทายาท
“...ฉันจะขอสารภาพเสียก่อนที่จะถูกผู้อื่นทัก ว่าการที่ปัญหาเรื่องการตั้งรัชทายาทได้เกิดเป็นเรื่องเร่งร้อนขึ้นนั้น เพราะน้องชายเล็กเธอรบเร้าฉันนัก, และเสด็จแม่ก็ได้ทรงช่วยรบเร้าด้วย โดยมีพระดำรัสว่า ตัวฉันเองก็ยังมิได้มีมเหษี, ฉนั้นถ้าฉวยว่ามีเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนา ฉันล้มตายลง ก็อาจจะเกิดแย่งชิงราชสมบัติกันขึ้นได้...”
ความคิดเห็น