ผู้พิพากษา - ผู้พิพากษา นิยาย ผู้พิพากษา : Dek-D.com - Writer

    ผู้พิพากษา

    มุมมอง ความรู้สึก จากผู้ตกเป็นเหยื่อความอยุติธรรม

    ผู้เข้าชมรวม

    484

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    484

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ม.ค. 53 / 21:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ทิ้งคอมเม้นไว้เป็นกำลังใจคนเขียนนะครับ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนหลังจากจัดการกับอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ ในปากยังคงมีรสของแกงพะแนงหมูที่แม่ทำทิ้งไว้ให้ตั้งแต่ตอนเช้าค้างอยู่ตามซอกฟันและบนลิ้น มันมีรสหวาน ฉุนด้วยเครื่องเทศ และเผ็ดนิด ๆ

      มือผมควานไปทั่วผิวเตียงก่อนจะพบรีโมตโทรทัศน์อยู่ใต้ก้นของตัวเอง ผมคว้ามันขึ้นมา กดปุ่มสีแดงบนนั้นเพื่อสั่งการให้จอสี่เหลี่ยมทำงาน ซึ่งมันก็ทำตามคำสั่งของนิ้วผมอย่างว่าง่าย

      “วันนี้แขกรับเชิญของเรา คุณบอยค่า....” เสียงจากโทรทัศน์ดังมาก่อนที่ภาพจะปรากฏขึ้นราวสองสามวินาที พิธีกรสาวยืนอยู่ข้างแขกรับเชิญหนุ่มหน้าตาดี ผมจำได้ว่าเคยเห็นชายคนนั้นเล่นละครอยู่เรื่องหรือสองเรื่อง...คงจะเป็นพระเอกหน้าใหม่

      “ว่าแต่วันนี้พี่บอยพาจุ๊บจิ๊บกับท่านผู้ชมมาที่ไหนกันค่ะ” พิธีกรสาวสวยว่าพรางหันไปด้านหลังที่มีสุนักและสัตว์พิการมากมาย

      “วันนี้เราอยู่ที่บ้านสัตว์พิการครับ ผมอยากจะพาจุ๊บจิ๊บกับท่านผู้ชมมาทำบุญกัน...”

      ‘สร้างภาพ’ ผมคิดอย่างนึกหมั่นไส้ระคนโมโห มันน่าลำคานนักไอ้พวกดาราดีแต่หน้าตาแล้วยังชอบทำตัวเพอร์เฟ็ก ทำตัวแบบว่า ‘หน้าตาดีแถมยังใจบุญศุนทาน’ เชื่อเถอะ ต่อจากนั้นเดี๋ยวมันก็ต้องพูดเป็นทำนองว่า ‘ผมรักสัตว์มากครับ ทนเห็นไม่ได้เลยถ้ามีหมาแมวต้องเจ็บตัวเพราะเจ้าของไม่รับผิดชอบ’ อย่างงั้นอย่างงี้...อีโถ่...ถ้าวันหนึ่งมีหมาขี้เรื้อนเดินเข้าบ้านมัน มันจะทำใจกอดรัดรับเป็นลูกไหมละ...ทำมาเป็นพูดดี อย่าว่าแต่รับเลี้ยงเลย แค่จะใจดีเอากำมะถันไปทาให้ผมว่ามันก็ยังไม่กล้า อีพิธีกรบ้านั้นก็แกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้ไปซะทุกเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าข้างหลังมีหมาขาเป๋เดินกันให้ควัก

      “ผมรู้สึกไม่ดีทุกทีที่เห็นสุนักจรจัดต้องถูกทอดทิ้งจากเจ้าของที่ไม่มีความรับผิดชอบ” ไอ้ดาราหนุ่มนั่นว่าพรางป้อนอาหารให้หมาตาบอดตัวหนึ่ง ผมกระตุกยิ้ม...กูนี่แทงไม่ถูกแต่หวยระว้า

      ผมกดปุ่มเปลี่ยนช่องรัว ๆ สองสามครั้งก่อนจะหยุดอยู่ที่รายการข่าวที่ผู้ประกาศชายหญิงกำลังพูดถึงผลการตัดสินคดีทุจริตเงินหลายพันล้านของรัฐบาลชุดก่อน “...ท่านอดีตรัฐมนตรีในเวลานั้นได้ออกมาแถลงข่าวทั้งน้ำตาว่าดีใจที่ศาลสั่งตัดสินให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหา...” เสียงของผู้ประกาศชายว่าคลอไปกับภาพของอดีตรัฐมนตรีที่ยืนกล่าวบางอย่างอยู่กลางดงไมโครโฟนและแสงวาบวับของแฟรช น้ำตาทิ้งสายเป็นทางอยู่ข้างแก้ม ข้อความเอสเอ็มเอสของผู้ชมขึ้นมาว่า “แกล้งทำหรือเปล่า...น่าจะไปเล่นละคร”...ผมว่าผมจะเห็นด้วยกับข้อความพวกนั้นนะ

      “มาที่ข่าวต่อไปค่ะ” ภาพตัดมาที่ผู้ประกาศหญิง “วันนี้ทีมเยาวชนชุดแข่งขันวิชาการฟิสิกส์ชิงแชมป์โลกได้กลับมาถึงประเทศไทยแล้วพร้อมด้วยเหรียญทองมากมายจากหลายรายการแข่งขันด้วยกัน...” ภาพตัดมาที่เด็กมัธยมปลายสี่ห้าคนในชุดสูทสีเทาอย่างดีดูขัดกับผมบนศีรษะที่สั้นเกรียน...จะดีใจกันไปทำไม พอพวกมันเข้ามหาวิทยาลัยเดี๋ยวมันก็ฆ่าตัวตาย ไม่เพราะอกหักโดนแฟนหลอก ก็เครียดเพราะเกรดไม่ดี นี่ถ้าวันไหนมันขี้ออกมาเป็นน้ำก็คงจะฆ่าตัวตายเพราะกลัวถูกเพื่อนล้อด้วยมั้ง ประสาท...แค่นึกภาพชีวิตของไอ้พวกเด็กพวกนี้ขึ้นมาก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ ทุกวันคงต้องนั่งหน้ามันแผลบกวดวิชากันเป็นบ้าเป็นหลัง สอบคราวไหนได้คะแนนน้อยพ่อแม่คงให้อดอาหารสามวันสามคืนเป็นการลงโทษ พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดก็ฆ่าตัวตายอีก...พ่อแม่คงร้องให้ปิ่มจะขาดใจ...แต่ไม่ใช่เพราะเสียใจที่ลูกตายนะ แต่เพราะเสียดายเงินที่ใช้ส่งเสียเลี้ยงดู...

      ผมจำได้ว่าเมื่อสักสองสามปีที่แล้วมีสกู๊ปข่าวพิเศษของช่องหนึ่งเสนอเรื่องเด็กกวดวิชาเอาเงินที่พ่อแม่ให้มาไปเช่าโรงแรมนอนกับแฟน ฟังแล้วก็น่าอนาถใจ แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่งผมก็คิดเอาว่าคงเป็นวิธีระบายความเครียดของเด็กพวกนั้นละมั้ง ที่คิดอยากจะทำอะไรแหกกฎบ้างเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกเอาชนะและอยู่เหนือกว่ากฎเกณฑ์ที่พ่อแม่วางไว้...ไอ้พวกที่ชอบโชว์ของลับตามแคมฟร๊อกหรือโพสหนัง (โป๊) สั้นให้ชาวบ้านชาวเมืองอัปโหลดส่วนหนึ่งก็คงจะมาจากเหตุผลเดียวกัน

      นิ้วผมกดลงบนปุ่มเปลี่ยนช่องอีกครั้ง คราวนี้ภาพมาหยุดอยู่ที่รายการพูดคุยรายการหนึ่ง ผมจำได้เลา ๆ ว่าเป็นรายการประเภทที่จะตามหาคนที่พัดพรากจากกันมานานให้ได้มาพบเจอกันอีกครั้ง ทุกทีที่ผมเปิดมาเจอก็จะได้เห็นแต่ภาพกอดกันร้องให้พรางกล่าวขอบคุณอย่างเมาน้ำหูน้ำตาฟังไม่รู้เรื่อง อบอวลด้วยความสุขและความดีใจล้นเหลือจนผมรู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนศีรษะ...แต่ดูเหมือนว่ารายการในวันนี้จะมีเหตุการณ์บางอย่างผิดปรกติ

      “ ‘คุณ’ เคยถามหนูมั้ยว่าหนูอยากอยู่กับ ‘เขา’ หรือเปล่า...เคยถามหนูมั้ย” หญิงสาวผู้เป็นลูกว่าด้วยเสียงสั่นเครือเจือความโกรธอันสุดประมาณ ในตาอันแข็งกร้าวและเออคลอด้วยน้ำตาของเธอมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่สนใจคำกล่าวขอโทษมากมายที่ผู้เป็นแม่พร่ำพูดพรางสวมกอดร่างของเธอไว้ ผมเห็นกายเธอสั่นน้อย ๆ มือทั้งสองข้างกุมกันแน่นอยู่ที่หน้าขา “ถ้าวันนั้น ‘คุณ’ พาหนูไปแล้วไปตายกลางทาง หนูจะไม่ว่าอะไรสักคำ...” คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาจึงนอนนิ่งดูอยู่เงียบ ๆ

      เรื่องราวโดยคร่าว ๆ ก็มีอยู่ว่าผู้เป็นมารดาเลิกร้างกับสามีและย้ายกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดโดยพาลูกชายคนโตมากับตนด้วย เรื่องราวผ่านไปได้ราวสองถึงสามเดือนจึงรู้ว่าตนกำลังตั้งท้องลูกสาวคนที่สอง แต่ด้วยความที่ครอบครัวของผู้เป็นแม่ยากจนประกอบกับลูกชายคนโตก็พึ่งจะเข้าเรียนชั้นประถม ทำให้แม่ตัดสินใจนำลูกสาวคนที่สองไปให้อดีตสามีของเธอซึ่งแต่งงานใหม่กับอดีตอนุภรรยาเลี้ยงดู...ผลปรากฏว่าผู้เป็นพ่อนั้นไม่ยอมรับว่าเด็กหญิงเป็นลูกของตน กล่าวหาว่าแม่ของเด็กหญิงนั้นเป็นหญิงงามเมืองไปแอบมีชู้แล้วนำลูกชู้มาให้ตนเลี้ยงเพื่อเป็นการแก้แค้น

      แน่นอนอดีตภรรยาปฏิเสธและยืนกรานเสียงแข็งว่าเด็กหญิงเป็นลูกของตนกับอดีตสามี...จนสุดท้ายด้วยเหตุผลกลไดก็สุดจะคาดเดา เด็กหญิงที่ตอนนั้นมีอายุเพียงแค่ยี่สิบวันก็ได้ไปอยู่กับผู้เป็นพ่อของตนเอง

      “...หลังจากนั้นสองเดือนมีคนเจอหนูอยู่ในกองขยะ...” ผู้เป็นลูกสาวเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองต่อจากนั้น ผู้ที่พบเธอเป็นหญิงสติไม่สมประกอบ เธอพาเด็กหญิงกลับไปเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ให้การศึกษาจนจบมัธยมปลายและในตอนนี้ ด้วยวัยยี่สิบสองปี เธอได้ทำงานเป็นเจ้าของร้านเล็ก ๆ รับซ่อมและขายโทรศัพท์มือถือ “เขาเอาหนูไปทิ้ง...ในกองขยะ” เธอย้ำคำนั้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาและน้ำเสียงที่แสดงถึงความโกรธแค้นอันดำมืด “ตอนนั้น ‘คุณ’ อยู่ที่ไหน ตอนที่หนูต้องยากลำบาก อดมื้อกินมื้อ เดินเก็บเศษอาหารจากกองขยะกิน...‘คุณ’ อยู่ที่ไหน”

      จะอยู่ที่ไหนละ ก็อยู่กับผัวใหม่ไง...แล้วที่บอกว่า ‘ถ้าไปตายกลางทางจะไม่ว่าสักคำ’ นะ ได้ถามเขาสักคำมั้ยว่าจะยอมตายด้วยหรือเปล่า ถึงจะเป็นแม่เป็นลูกกันก็เถอะ แต่ถ้าจะเอาตัวมาติดกันเป็นแฝดสยามแล้วมานอนตายกันสามคนแม่ลูกผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องนะ ตางคนก็ต่างมีอะไร ๆ ที่ตัวเองต้องการจะทำ...รู้ว่าชีวิตน่าสงสาร ไอ้การที่ถูกคนอื่นทอดทิ้งหรือทำอะไร ๆ ที่มันไม่ถูกต้องเนี่ยผมก็เข้าใจ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ ยังมีอาการครบสามสิบสองไม่ใช่หรือไง ยังพอมีลู่ทางจนเปิดร้านซ่อมมือถือได้ขนาดนั้นก็ใช่ได้แล้ว ไอ้การจะมานั่งโหยหวนคิดถึงแต่เรื่องที่ผ่านไปแล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา คิดนิดนึงได้มั้ย

      คนเป็นแม่ก็เหมือนกัน คิดได้ยังไงเอาลูกไปให้ผู้ชายแบบนั้นเลี้ยง ตัวเองเลิกกันก็เพราะมันเลวไม่ใช่เหรอ รู้ทั้งรู้ก็ยังเอาลูกไปให้มันเลี้ยง นี่ถามจริงว่าจนปัญญาหรือว่าไม่มีทางอื่น...

      สายตาผมเลือนลงด้านล่างเพื่ออ่านข้อความจากคนดูคนอื่น ๆ ที่ส่งเข้าไปในรายการ

      ทำไมคนเป็นลูกพูดแบบนั้นละ...คนเป็นแม่ทนอยู่ได้ยังไง...รายการไม่สร้างสรรค์เลย...พิธีกรน่าจะพูดช่วยปรับความเข้าใจ...

      คนดูนี่ก็แปลก ช่างติช่างเตียน ตินั้นตินี่จนเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของช่องงั้นละ เขาทำมาก็ดูไปเถอะจะติกันมากทำไม ไม่ชอบก็ไปดูอย่างอื่น ไปดูหนังดูละครหลังข่าวโน้นสิ...อีกอย่างผมว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่รายการสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์นะ เพราะยังไงมันก็แค่ละครฉากหนึ่ง จะหาไอ้ที่เป็นชีวิตจริงมันน้อยเหลือเกิน...อย่างมีข่าวอยู่ข่าวหนึ่งนานมาแล้วที่เด็กพิการเป็นปัญญาอ่อนหรืออะไรสักอย่าง ชีวิตน่าสงสารมาก อยู่กับตากับยาย พ่อติดคุกเพราะปล้นฆ่า แม่ก็ติดคุกเพราะคดีค้ายาเสพติด...ตัวเองก็ต้องออกไปทำงานเป็นคนล้างจานตอนกลางคืน กลางวันก็ไปเก็บขวดเก็บกระป๋องมาขาย ตาป่วยเป็นเบาหวาน ยายก็มองไม่ค่อยเห็นเพราะเป็นต้อหิน...น่าสงส๊าน น่าสงสาร...แต่ไม่เห็นมีใครไปใส่ใจว่าครอบครัวคนที่พ่อมันฆ่าเป็นยังไง ตอนนี้อาจจะลำบากกว่าไอ้เด็กคนนี้ก็ได้ ไหนจะบ้านคนที่ซื้อยาจากแม่มันอีก ไม่รู้กี่บ้านต่อกี่บ้านที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะไอ้ยาเวรตะไลทีแม่มันขาย...ไม่เห็นมีใครสนใจ

      ผมกดเปลี่ยนช่องกลับมาดูข่าวอีกครั้ง

      “เด็กชายลูกครึ่งญี่ปุ่นได้พบกับพ่อแล้ว...” ภาพตัดมาที่เด็กชายกับพ่อสวมกอดกันกลมที่สนามบิน ผมเห็นก็จะอ้วกแตก อะไรมันจะมีความสุขปานนั้น ผมรีบปิดโทรทัศน์ก่อนที่จะขย่อนเอาอาหารกลางวันออกมาเพราะลมโชยของความสุขที่พัดผ่าน นาฬิกาตีบอกเวลาสี่โมงเย็นเมื่อภาพจากโทรทัศน์ดับลง แม่ผมยังไม่กลับมาถึงบ้าน ท่านคงยังทำงานอยู่...งานโรงงานก็อย่างนี้ละ ต้องทำงานเลยเวลาไปนานเมื่อกำหนดงานล่าช้าหรือมีงานที่ต้องเร่งก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เงินเพิ่มสักแดง

      ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อจากนั้น เสียงประตูห้องเช่าเล็ก ๆ ที่ผมอาศัยอยู่ก็ดังขึ้น ผู้มาถึงคือมารดาของผมเอง เธออยู่ในชุดเครื่องแบบของสาวโรงงานสีฟ้าอ่อนที่หลวมโครกเพราะร่างผอมแห้ง ในมือเธอถือถุงพราสติกใส่อาหารสดมาสองสามอย่าง เธอกระตุกยิ้มน้อย ๆ  ผมก็เช่นกัน

      “วันนี้เงินเดือนออก...เลยซื้อกับข้าวมาทำกิน” เธอว่าพรางชูถุงขึ้นเหนือหัว “แต่ลูกต้องอาบน้ำก่อนนะ...มา...เดี๋ยวแม่อาบน้ำให้”

      จบคำนั้นเธอก็วางถุงกับข้าวลงกับพื้นห้องที่อัดแน่นไปด้วยขวดพราสติกและขวดแก้วมากมายที่เธอเก็บมาเพื่อนำไปขายก่อนจะตรงไปเตรียมผ้าและถังน้ำและหันมายังผมที่นอนอยู่บนเตียงแบบที่ผู้ป่วยใช้ในโรงพยาบาล เธอค่อย ๆ เลิกผ้าห่มออกจากร่างผมเผยให้เห็นร่างผอมแห้งหนังติดกระดูก ขาทั้งสองขาวลีบเล็กขยับไม่ได้ แขนข้างขวาที่ด้วนสั้นไร้ข้อศอก “เย็นหน่อยนะ” จบคำเธอก็จับผมพลิกให้นอนตะแคง น้ำเย็นค่อย ๆ ถูกสะโลมไปทั่วแผ่นหลังแต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย

      “วันนี้แม่ไปโรงพักมา...” ผมนิ่งเงียบ “ตำรวจบอกว่ายังจับพวกมันไม่ได้...”

      กำปั้นของผมกระแทกกับผิวเตียงพรางเหลือบมองแม่...เธอไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน แค่ก้มหน้า...และใช้ผ้าเปียกนั่นถูกร่างกายผมต่อไป

      ค่ำนั้นผมฝัน...ฝันว่าผมไปซื้อของในร้ายสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง พนักงานสาวสวยยิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบ เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนตรง...แล้วพวกมันก็เข้ามา กระหน่ำแทงผมด้วยมีด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...ก่อนจะลากตัวผมที่ไร้สติไปภายนอก...ผมจำได้...ค่ำนั้นทองฟ้าเป็นสีแดงสด พวกมันฟาดศีรษะผมด้วยหมวกกันน๊อก เหยียบกรามผมด้วยล้อรถมอร์เตอร์ไซด์ เสียงโหวกเหวกโวยวายระคนเสียงหัวเราะดังสนั่น...‘ไม่ใช่แล้ว’ เสียงใครตะโกนมา ‘ผิดคน’ พวกมันหยุด ก่อนที่เสียงฝีท้าวมากมายจะกระจายหายไป ตามมาด้วยเสียงรถมอร์เตอร์ไซด์ เสียงกระหึ่มก้องของรถกระบะ เสียงล้อมันขบบทกระดูกแขนผมจนแตกละเอียด ผมเงยหน้าขึ้นมอง ทองฟ้ากลายเป็นสีดำทมิฬ

      ผมลืมตาตื่นขึ้น...รู้สึกถึงหยาดเหงื่อเหนียวยืดที่เกาะอยู่ตามลำแขนและหยดน้ำที่หลั่งริมออกมาจากดวงตา...มันเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องมานอนอยู่เช่นนี้ด้วยเพราะแค่ว่า ‘ผิดตัว’ เดินก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้...แม้แต่จะรู้สึกหรือขับถ่ายยังต้องพึ่งคนอื่น สภาพภายนอกเหมือนซากศพที่มีลมหายใจ แขนขาไร้เรี่ยวแรงและลีบเล็ก ใบหน้าบิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าความเป็นคน น้ำหนองสีเหลืองหลั่งไหลออกมาจากแผลกดทับที่ติดเชื้อ

      ...ไม่มีการชดใช้ ไม่มีการขอโทษ ไม่มีความยุติธรรม โลกนี้มันช่างเน่าเหม็นยิ่งกว่าขี้ที่ผมถ่ายออกมาทุกวันเสียอีก

       มือข้างเดียวที่ยังใช้การได้ของผมควานไปทั่วเตียงและพบรีโมตโทรทัศน์อยู่ข้างหมอนที่ตัวเองหนุนอยู่ ผมกดปุ่มสีแดง จอสี่เหลี่ยมฉายแสงในความมืด...

      “...จากเหตุรถไฟตกราง ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน” และความรู้สึกของผมก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย

      ...............................

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×