คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 3.2
ทุกคนต่างยืนนิ่งอยู่ที่ด้านบนของคูน้ำแห้งพรางมองลงไปเบื้องล่างอันปรากฏร่างของสหัสนัยน์นอนคว่ำแน่นิ่งอยู่ในเงามืดของราตรีกาล
“มันตายหรือเปล่า” เสียงหนึ่งในผู้ล่าดังมาอย่างหวาดกลัว
“มึงก็ลงไปดูสิ” นเรศตอบคำนั้น น้ำเสียงของเขาไม่เหลือความเก่งกาจอย่างเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนแล้ว ตอนนี้มันทั้งเบา แหบ และสั่นเครือ ในตาของเขาเบิกโพลงอย่างขี้ขลาด ริมฝีปากซีดจางอยู่ในเงามืด
เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ดังมาทำให้กลุ่มผู้ล่าหันไปมอง ปราชญ์นั่นเอง เขาเพิ่งวิ่งมาถึง
“นัย!!!” เด็กชายเอ่ยชื่อผู้เป็นเพื่อนเสียงดังอย่างตกใจ มันเป็นทั้งคำเรียกและคำอุทานในคราวเดียว
ปราชญ์กระโดดลงไปในคูน้ำแห้งที่มืดและอับนั้นโดยไม่รีรอ ก่อนจะพยายามพลิกร่างของสหัสนัยน์ให้นอนหงายแต่ก็ไร้ผล ปากก็ตะโกนเรียกชื่อผู้เป็นเพื่อนตลอดเวลา
“มันตายหรือเปล่า” เสียงไอ้เรศดังมาอีกครั้ง ตอนนี้มันนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นและพยายามเพ่งมองร่างของทั่งคู่ในคูน้ำ
“กูไม่รู้” ปราชญ์เอ่ยตอบเสียงดัง ในตาเขาของเขาที่เอ่อท้นด้วยน้ำตานั้นแผงแววโกรธอย่างล้ำลึกเกินกว่าที่ใครจะเคยเห็น
ลูกน้องของนเรศสองสามวิ่งหนีหายไปเมื่อไรไม่รู้ นั่นทำให้ตอนนี้เหลือเพียง ปราชญ์ นเรศ และร่างแน่นิ่งของสหัสนัยน์เท่านั้น
“นัยน์ ได้ยินมั้ย นัยน์” ปราชญ์พร่ำเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“มันตายมั้ย”
“กูก็บอกแล้วไงว่ากูไม่รู้” ปราชญ์ตะคอกเสียงดัง “มันนอนอยู่เนี่ย จะจับนอนหงายก็ไม่ได้เหมือนมันติดอะไรอยู่ มึงเห็นไหมละ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ถ้ามันตายก็เพราะมึงนั่นแหละ เพราะมึงคนเดียว”
ตอนนี้ใบหน้าของนเรศที่อาบแสงจันทร์อยู่ซีดลงฉับพลันจนดูคล้ายใบหน้าของซากศพ ปากสั่นระริกราวกับคนบ้า
ก่อนที่ทังคู่จะพูดอะไรต่อ เสียงไอแห้ง ๆ ก็ดังขึ้นหลายครั้งก่อนจะเริ่มเอ่ย “ใคร...ใครน่ะ”
“นัยน์ นัยน์” ปราชญ์รีบนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นเพื่อน “เป็นไงมั่ง”
“เจ็บน่ะสิ ถามได้” สหัสนัยน์เอ่ยตอบเคล้าเสียงไอ “แล้วก็ขยับตัวไม่ได้เลย...เจ็บไปหมด หายใจก็ลำบาก”
ปราชญ์นิ่งคิดหลายวินาที “เราจะจับนายนอนหงาย แต่มันติดอะไรก็ไม่รู้”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่รีบ ๆ หน่อยเถอะ ฉันหายใจไม่ออก”
“ได้ ๆ” จบคำนั้น ปราชญ์พยายามพลิกอีกฝ่ายให้นอนหงาย แต่ผลลับก็เหมือนเดิม “ลงมาช่วยหน่อย” ปราชญ์เอ่ยหลังจากพยายามอยู่นานแต่ไร้ผล
“แต่...” นเรศเอ่ยขึ้นอย่างลังเลพรางหันไปรอบตัว เมื่อไม่เห็นใครเขาจึงค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปด้านล่างและเริ่มสำรวจร่างของสหัสนัยน์โดยสอดมือเข้าไประหว่างพื้นกับลำตัวของผู้ที่นอนอยู่ “เหมือนว่าจะมีอะไร...” เขาหยุด สีหน้าไม่สู้ดีนัก “มึงยกฝั่งนั้น กูยกฝั่งนี้นะ” นเรศว่าพรางใช้แขนช้อนร่างผู้ที่นอนอยู่ ปราชญ์ทำอย่างเดียวกัน “นับสามนะ หนึ่ง สอง สาม” ทั้งคู่ช่วยกันยกร่างของสหัสนัยน์ขึ้นจากพื้นพร้อม ๆ กับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“เป็นอะไร...” ปราชญ์ร้องถาม
“อย่างหยุด” นเรศตะโกนบอกและไม่ช้าร่างของสหัสนัยน์ก็ถูกวางลงห่างจากจุดเดิมเล็กน้อย
จุดที่เด็กชายตกลงมานั้นปรากฏเหล็กแหลมลำหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากซากเสาปูนเก่า ๆ ที่ฝั่งอยู่ในดิน ตลอดความสูงราวสิบนิ้วของมันปรากฏหยดของเหลวอาบเป็นทาง
“ลึกมากไหม” สหัสนัยน์เอ่ยถามปราชญ์ที่ตอนนี้ก้มลงดูแผลใกล้ ๆ
ผู้เป็นเพื่อนเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่บัดนี้ใบหน้าซีดขาวอยู่ภายใต้แสงจันทร์จนดูราวกับซากศพที่เรืองแสงสีเงินยวง “ไม่...ไม่ลึกเท่าไร...” เขาพยายามปั้นยิ้มก่อนจะถอดผ้าพันคอของตัวเองออกมาปิดปากแผลไว้และหันไปพูดกับนเรศ “กูจะไปตามคนมาช่วย มึงอยู่นี่นะ”
“เดี๋ยวกูไปตามเอง”
“มึงจำทางได้หรือไงล่ะ” ปราชญ์ตะคอกเสียงเบา “มึงอยู่นี่แหละ กดปากแผลไว้...แล้วอย่าคิดปอกแหกหนีไปก่อนละ ถ้ามันเป็นอะไรไปมึงต้องรับผิดชอบ”
“แล้วนี่มันยังไม่เป็นอะไรอีกหรือไง” อีกฝ่ายสวน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหนีไปไหน ดูเหมือนว่านเรศจะยังพอมีความกล้าอยู่บ้าง แม้จะน้อยเต็มทีก็ตาม
ปราชญ์รีบปีนขึ้นจากคูน้ำและออกวิ่งไปตามทางที่ตนมา เขาหกล้มหลายครั้ง และหน้ามืดจนแทบจะเป็นลมแต่ก็ยังคงวิ่งไปข้างหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในใจพร่ำภาวนาว่าอย่าให้สหัสนัยน์เป็นอะไรไป เพราะเขารู้ดี รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายเป็นอะไรไป ตัวเขาเองที่จะต้องเสียเพื่อนที่ดีที่สุดคนนี้ไปและจะไม่มีโอกาสได้บอกว่าเขาเสียใจแค่ไหนที่หักหลังทรยศความเชื่อใจของอีกฝ่าย
ไม่ช้าเด็กชายก็มาถึงบริเวณค่าย เสียงจากชุมนุมรอบกองไฟดังมาตามลม ไม่มีเวลาแล้ว ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นั้น ปราชญ์รีบแร่งฝีเท้าไปยังลานอเนกประสงค์กลางค่ายซึ่งใช้เป็นสถานที่ชุมนุมรอบกองไฟ
ยิ่งเด็กชายเข้าใกล้จุดหมายมากเท่าไร เสียงร้องรำของผู้คนก็ยิ่งดังขึ้นมาก รอยยิ้มและความลิงโลดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กชาย “รอหน่อยนะ นัย อีกแป๊บเดียว...”
ยังไม่ทันจะจบคำนั้นของตัวเองดี เด็กหนุ่มก็มาถึงลานอเนกประสงค์ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เสียงร้องรำของผู้คนที่เขาได้ยินกลายเป็นเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ลูกเสือและเนตรนารีหลายร้อยชีวิตวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างสับสนอลหม่าน กลิ่นควันไฟลอยมาตามลายลมยะเยือก และที่นั่น ที่ใจกลางลานอเนกประสงค์นั้นปรากฏสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
ร่างที่เป็นลำยาวนั้นคดไปมาและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วตลอดเวลาจนดูเหมือนเงาดำที่ไร้รูปร่าง เป็นที่แน่ชัดว่าความยาวราวสิบเมตรหรือมากกว่านั้นไม่ได้เป็นปัญหาของมันเลย ตลอดทั้งลำตัวของมันมีเกร็ดสีเทาอมดำเป็นที่มันคลับสะท้อนล้อแสงสีส้มอมแดงจากกองไฟลูกเสือ มันเลื้อยฉวัดเฉวียนไปทั่วบริเวณ ใช้หางของมันตวัดไปมาและฟาดลงกับพื้นเพื่อปลิดชีพใครบางคน เสียงหวีดร้องเป็นห้วงสุดท้ายดังเพียงไม่กี่วินาทีก่อนมันจะยกหางของมันขึ้นและเหลือไว้เพียงกองเลือดสีแดงฉานไร้รูปร่างจนอาจจะบอกได้ว่าร่างนั้นเคยเป็นคนมาก่อน
ปราชญ์ยืนนิ่งมองดูภาพตรงหน้าอยู่นานหลายนาที เขารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในฝันร้ายที่สุดในชีวิต ฝันร้ายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าและแม้ว่าจะหลับตาก็ยังคงมองเห็น เขากรีดร้องสุดเสียงอย่างบ้าครั่ง
กองไฟแตกกระจายและมอดดำเกือบในทันทีที่เจ้าสิ่งนั้นสะบัดหางไปโดน มันชันตัวชูคอขึ้นในอากาศและแผ่แม่เบี้ยออกจนสุด เผยให้เห็นใบหน้านั้น ใบหน้าที่ควรจะเป็นงูยักษ์แต่กลับกลายเป็นร่างของหญิงสาวทีมีเกร็ดมาจนถึงหน้าอก ผมของเธอแผ่ออกไปจนกลายเป็นแม่เบี้ยขนาดมหึมา มือทั้งสองข้างเป็นกรงเล็บยาวที่ส่งเสียงผ่าอากาศดึงหวีดหวือแค่เพียงเธอกระดิกนิ้ว ในตาสีแดงทั้งดวงคู่นั้นมองมายังด้านล่างคล้ายมองหาที่มาของเสียงร้องก่อนจะอ้าปากพ่นน้ำสีเขียวตองออกมา คนที่ถูกน้ำนั้นสาดใส่จะลงนอนกับพื้นดิ้นทุรนทุรายราวกับคนบ้า พร้อม ๆ กับผิวหนังที่เริ่มปูดโปน ปากของมันที่แหวกยาวถึงติ่งหูดูคลายกำลังยิ้มเยาะอย่างเลือดเย็น ลิ้นสองแฉกพุ่งออกมาจากปากและหดกลับอย่างรวดเร็ว...
ก่อนจะหันมาหยุดอยู่ที่ปราชญ์
มันคำรามเสียงแหลมกึกก้องก่อนจะตรงเข้าหาเหยื่อที่เลือกอย่างรวดเร็ว
...................
“มีไฟไหม้” นเรศพูดเสียงสั่นก่อนจะรีบกระโดดลงมาในคูน้ำและนั่งลงข้าง ๆ สหัสนัยน์ที่ตอนนี้ชันตัวขึ้นมานั่งพิงกำแพงกินฝั่งหนึ่ง
“แบบนี้...ก็...แย่แน่...ไม่มีคนมาช่วยแน่” เขาว่าพรางกุมท้องของตัวเองแน่น หยดเลือดสีแดงทะลักไหลออกมาตามง่ามนิ้ว
“เอาไงดีวะ เอาไงดี ทำไงดี” นเรศเริ่มพร่ำพูดอะไรอยู่คนเดียว สองมือกุมขมับตัวเองแน่น สองเขาคู่เข้าหาอก มันทำให้สหัสนัยน์รู้แจ้งว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง
“มานี่หน่อย...พยุงที”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เอาแต่พร่ำว่า ‘ตายแน่ ตายแน่’ อยู่อย่างนั้น
“ไอ้เรศ...เลิกพูดว่าตายสักที...กูยังไม่ตาย เห็นไหม” คนเจ็บตะคอกเสียงดังแม้ว่าจะต้องเค้นกำลังทั้งหมดในร่างก็ตามที
และดูเหมือนจะได้ผล นเรศเริ่มได้สติคืนมาอีกครั้ง”แต่...แต่กูจำทางไม่ได้”
“กูจำได้...”สหัสนัยน์เอ่ยตอบ
สายตาอีกฝ่ายเริ่มมีแววความหวัง “งั้นกูกับมึงต้องกลับไปทีค่าย...มา กูช่วยพยุง...มึงไหวแน่นะ มึงต้องไหวนะ” คำหลังนั้นฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่าคำขอร้องหรือให้กำลังใจ
ทั้งคู่ปีนขึ้นมาจากคูน้ำอย่างทุลักทุเลก่อนจะเริ่มออกเดินกลับไปที่ค่าย
ความมืด ความง่วง และความอ่อนเพลียถาโถมเข้าหาสหัสนัยน์ทันทีนับตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกเดิน หยดเลือดยังคงไหลเป็นทางจากมือที่กุมแน่นอยู่ที่ท้อง เส้นทางมืดและมืดขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเขากำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ที่ไร้ทางออก ไม่มีแม้กระทั้งแสงที่ปลายอีกฝั่ง
“อย่าหลับ ลืมตาสิไอ้นัยน์” เสียงนเรศดังมา “ถ้ามึงหลับกูก็พามึงหลงนะ กูไม่รู้ทาง”
คำนั้นทำให้เปลือกตาของคนเจ็บเปิดขึ้นอีกครั้ง “กู...กูไม่ได้หลับ”
“กูต้องชวนมึงคุย ใช่ไหม เหมือนในหนังไง เรื่อง...เรื่องไททานิก ใช่ ตอนที่แจ๊กจะจมน้ำแล้วโรสก็ต้องชวนคุย...ใช่”
“แต่แจ๊กตาย” เด็กหนุ่มพูดอย่างติดตลก
“ใช่...แต่...แต่มึงไม่เป็นแบบนั้นหรอก มึงก็เคยดูใช่ไหม ไททานิกน่ะ”
“เคย...ในห้องโสต...ที่โรงเรียน”
แล้วจากนั้นเสียงของนเรศก็ดังขึ้นเป็นพรวนส่วนใหญ่สหัสนัยน์จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่เขาพยายามอย่างเต็มทีที่จะครองสติไว้ให้อยู่ เขาต้องลืมตาไว้ เพื่อบอกทาง เพื่อหาคนมาช่วย เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่ที่สำคัญ ต้องพาไอ้ห่าลากนี่กลับบ้านให้ได้ เพราะขืนให้มันอยู่ในป่าคนเดียวแบบนี้ มีหวังได้สติแตกเข้าศรีธัญญาแน่
ทั้งคู่ออกเดินมาได้นานเท่าไรแล้วนั้นยากจะคาดเดา อาจจะด้วยเพราะอาการบาดเจ็บของสหัสนัยน์ที่ทำให้สติรับรู้เรื่องเวลาคลาดเคลื่อนไป แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเดินไม่ไหวจนต้องขึ้นขี่หลังของนเรศ อีกฝ่ายแข็งแรงกว่าที่เด็กชายคิด มันดูเป็นคนที่พึ่งพาได้ในระดับหนึ่ง...ความโกรธแค้นในสิ่งที่มันเคยทำกับเขากลายเป็นเพียงหยดน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย ทั้งอดีต หรืออนาคต มันมีเพียงแค่ตอนนี้ ที่ไอ้นเรศ คนโฉดชั่วใช้กำลังทำร้ายคนอื่นกลายเป็นคนที่พยายามช่วยเขาไม่ให้ต้องตาย...แต่สิ่งนี้ก็ยังหากไกลจากสิ่งที่มันทำไว้กับเขาและคนอื่น ๆ ในโรงเรียนมาก ยังห่างไกลจากคำว่าให้อภัยหรือชดใช้ในสิ่งที่มันก่อ...แต่...
“ใกล้แล้ว” นเรศว่าพรางหยุดเดิน น้ำเสียงเขาตื่นตระหนก “กลิ่นไหม้...มีเสียงคนร้อง”
จากนั้นนเรศก็เร่งฝีเท้าจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง
...............
แรงกระชากจากคอเสื้อทำให้ปราชญ์รอดจากการโจมตีอย่างงหวุดหวิด
“ยืนทำซากอะไรอยู่เล่า” ผู้ช่วยชีวิตตะคอกเสียงดัง เมื่อเด็กชายหันไปจึงรู้ว่าเป็นเทวี “ไปหาที่ซ่อน”
แต่ไม่ทันที่ปราชญ์จะขยับตัว เจ้าสิ่งนั้นก็หันมาทางเขาอีกครั้ง
“เลือด...หอม...เลือด” มันพึมพำพรางพุ่งกรงเล็บมายังเด็กชาย เทวีช่วยเขาไว้อีกครั้งด้วยการถีบเข้าที่สีข้างจนทำให้ร่างของปราชญ์กระเด็นห่างออกมาอีกหลายหลา
เทวีพนมมือและว่าเสียงดัง “สูจิ (เข็ม) ” ทันไดนั้นเข็มนับพัน ๆ เล่มก็พุ่งออกมาจากปากของเธอราวกับเม็ดฝน แต่นับว่าช้าไป ฝ่ามือของมันถึงตัวเทวีในอีกวินาทีต่อมา และด้วยแรงจากฝ่ามือของมันก็ทำให้เด็กสาวกระเด็นตามมาติด ๆ
“วิ่ง” เธอพูดแทบจะในทันทีที่ตั้งหลักได้อีกครั้ง (ซึ่งก็แค่เพียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น) พรางกึ่งลากกึ่งจูงปราชญ์ไปด้วย
เด็กชายหันไปดูเจ้าสิ่งนั้นอีกครั้งและเห็นว่ามันทำลั่งวุ่นวายอยู่กับการดึงเข็มออกมากใบหน้าและดวงจา
“ ไปหลบในนั้น” เทวีสะบัดอีกฝ่ายให้เข้าไปในห้องน้ำ
ปราชญ์สังเกตว่าเสียงของเธอเปลี่ยนไป มันฟังดูเหมือนเสียงแหบของคนที่ใกล้ตาย “เสียงเธอ...เป็นอะไรไป”
“โดนเข็มตำ...ไม่ทันแล้ว” เธอรีบฉุดปราชญ์ให้ออกมาจากประตูห้องน้ำก่อนที่มันจะโดนถล่มโดยหางของเจ้าสัตว์ร้าย สายน้ำสีน้ำตาลพุ่งขึ้นฟ้าเหมือนน้ำพุจากสากปรักหักพัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคืออะไร
ทั้งคู่รอดมาได้หวุดหวิดอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูสิ้นหวังที่สุด งูยังประหลาดยืนง้ำชูแม่เบี้ยอยู่ตรงหน้าของคนทั้งคู่
“หอม เลือด” มันเงื้อมมือขึ้นสูงพรางแสยะยิ้มกว้าง แม่เบี้ยสั่นระริกราวกับกำลังลิงโลดด้วยความสะใจ มันฟาดฝ่ามือลงมาจนเกิดเสียงหวีดหวือ เทวีและปราชญ์กระโดดหลบไปด้านหนึ่ง แต่สายตาของเด็กชายก็เห็นว่าใบหน้าของเทวีถูกกรงเล็มของมันเฉือนไป
“เทวี” เขาร้องเสียงดัง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เธอคนนั้นว่าหลังจากกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง พรางเอื้อมมือขึ้นฉีกใบหน้าส่วนที่เหลือออก มันส่งเสียงดัง ‘แควก’ ต่ำ ๆ เหมือนตอนที่ฉีกผ้าหนัง
ไม่มีเลือด...ไม่มีอะไรเลยนอกจากใบหน้าใหม่ที่ปราชญ์ไม่เคยรู้จัก
“เทวี...”
“เลิกเรียกฉันว่าเทวีได้แล้ว ฉันชื่ออุทุมพร” เธอตอบพรางจ้องไปยังนางงูยักษ์ที่บัดนี้เริ่มหันหลับมายังคนทั้งคู่อีกครั้ง มันแลบลิ้นชิมอากาศสองสามครั้งก่อนจะค่อย ๆ เลื้อยเข้ามาใกล้อย่างผู้มีชัย
“แต่...”
“เงียบ” เธอตะโกนลั่น พรางหันมองรอบกายด้วยสายตาเป็นกังวน ตอนนี้รอบตัวคนทั้งสองถูกล้อมด้วยหางอันใหญ่โตของนางสัตว์ร้าย ปราชญ์เพิ่งสังเกตว่าในมือของอีกฝ่ายกำมีดสั้นรูปทรงประหลาดไว้แน่น มันมีรูปร่างเหมือนคลื่น ด้านคมโค้งสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย เธอพยายามฟาดมันกับลำตัวของนางงู แต่ไร้ผล แม้แต่เกร็ดยังไม่หลุดด้วยซ้ำ “เมื่อไรมันจะมาสักที”
“ใคร...” ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบ เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น
“สังขลิกา”
“โดด” เด็กสาวสั่งพรางกระชากคอเสื้อปราชญ์เต็มแรง ซึ่งเป็นผลไห้ทั้งสองหลุดมาจากวงล้อมของเจ้าสิ่งนั้นและลงมานอนจมกองโคลนแฉะ ๆ...ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเป็นน้ำจากน้ำพุสีน้ำตาล...
“กว่าจะมากันได้นะ” อุทุมพรพูดเสียงดังพรางปัดโคลนออกจากแขนและลำตัว
“มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่าไม่มา” เสียงใครคนหนึ่งว่าเป็นทำนองเพลงดังมาจากด้านหนึ่ง แต่เมื่อเห็นฝีกฝ่ายไม่มีอารมณ์ร่วมจึงรีบเอ่ยต่อ “ก็คนเจ็บมันเยอะ จะให้ทำไง ก็ต้องพาไปไว้ในที่ปลอดภัยใช่ไหมล่ะ”
ปราชญ์ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น เขาหันไปมองนางงูยักษ์เป็นอันดับแรก บัดนี้ มันถูกตาข่ายโซ่ขนาดมหึมารัดไว้แน่นจนดูเหมือนไส้เดือนในถุงเหยื่อปลา แต่มือและกรงเล็บของมันก็ยังไม่วายทะลุช่องตาข่ายออกมาและไขว่คว้ามาทางเขา
“...เป็นอะไรหรือเปล่า...” ใครบางคนเอ่ยถามจนทำให้ปราชญ์สะดุ้งตัวด้วยความตกใจ เมื่อหันไปจึงเห็นอีกฝ่ายที่สวมชุดลูกเสือเหมือนกับเขา ที่ป้ายชื่อปักไว้ว่า ‘บุญทิ้ง’
“ไม่เป็นไร...แขน” เขาทิ้งท้ายคำนั้นด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเลยจากแขนเสื้อออกมากลับว่างเปล่า เขาแขนด้วนทั้งสองข้าง
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจหรอก...นี่เลือดหรือเปล่า...” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องโดยฉับพลัน และเป็นตอนนั้นเองที่ปราชญ์นึกขึ้นได้
“นัยน์” เขาร้องเสียงหลงพรางหันไปทางอุทุมพรที่ตอนนี้ยืนคุยอยู่กับครูฝึกห่างออกไป
“เทพร เอ้ย อุทุมวี...เออ อะไรนั้นแหละ ไปช่วยหน่อย เพื่อนเราเจ็บ...ครูครับ เพื่อนผมเขาตกไปในคูน้ำ ตอนนี้อาการ...”
“ไอ้ผี...” เสียงที่คุ้นเคยดังมาทำให้ปราชญ์รีบหันไปมอง นเรศนั้นเอง เขาเดินมาพร้อมกับหิ้วสหัสนัยน์มาด้วย
................
“วางเขาลงกับพื้น” เสียงครูฝึกดังมา สหัสนัยน์จำได้ว่าเขาคือครูฝึกประจำฐานสุดท้ายที่เขาเข้าไปเก็บคะแนนเมื่อตอนเย็น...ชื่ออะไรนะ เขาจำไม่ได้แล้ว...
“จะตายไหมครับครู” เป็นคำถามแรกที่หลุดออกมาจากปากของนเรศ อีกฝ่ายยิ้มพรางลูบที่หน้าผากของสหัสนัยน์
“ไม่หรอก...แค่นี่ไกลหัวใจตั้งเยอะ”
“ทำไม มึงกลัวต้องเข้าคุกข้อหาฆ่าคนตายหรือไง” ปราชญ์พูดเสียงดังอย่างไม่มีความเกรงกลัวอีกฝ่ายอีกต่อไป
“เงียบปากไปเหอะมึงอะ” นเรศสวนแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะใช้กำลังเหมือนที่แล้ว ๆ มา เขาเพียงแค่ปลีกตัวออกไปยืนดูลูกกลมสีดำเทาประหลาด
“เอาละ...ต้องห้ามเลือด” ครูฝึกว่าพรางมองหน้าทุกคนที่ตอนนี้ต่างฝากความหวังไว้กับเขา “มองอะไร ก็ทำสิ”
“แต่ผมทำไม่เป็นนิครับครู ครูนั้นแหละต้องทำ” ปราชญ์สวน
“ไม่ได้หรอก แบบนั้นมัน...” คำต่อไปของบุญทิ้งหลุดหายเข้าไปในลำคอเมื่อเห็นสายตาของครูฝึกและอุทุมพรที่จ้องมา ปราชญ์เพิ่งเห็นว่าแขนของเขาหายไป
“บุญทิ้ง แขนนาย...” เด็กชายพยายามจับที่แขนเสื้ออีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรจริง ๆ” บุญทิ้งยิ้มและจับมืออันเย็นเฉียบของสหัสนัยน์ไว้
“ครูครับ นี่มันลูกอะไรเหรอ” เสียงนเรศตะโกนถามมาจากกลางลานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลานรอบกองไฟ แต่ตอนนี้มันดูเหมือนสนามเพลาะในหนังสือประวัติศาสตร์ที่สหัสนัยน์เคยอ่าน มันทั้งแฉะ เป็นหลุมเป็นบ่อ และแม่แต่กลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียน
“งูนะ...งู...อานาคอนด้า” สหัสนัยน์เห็นตอนที่อีกฝ่ายพูดคำนั้น มันเหมือนเขานึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาด
“ทำไมละ จะบ้าหรือไง คนจะตายตรงหน้าไม่คิดจะช่วย” ปราชญ์พูดเสียงดัง “ครูเป็นครูฝึกนะครับ”
“นี่ เห็นพวกฉันเป็นอะไร” อุทุมพรว่าเสียงดัง มันแหบเหมือนลูกนกที่เพิ่งหัดร้อง “ไอ้พวกมังสะกักขฬะ ช่วยขนาดนี้แล้วยังไม่สำนึก”
“พูดบ้าอะไรของเธอ ยัยบ้า” ปราชญ์ตะคอกกลับ ความโกรธทำให้ใบหน้าเขาเหลืองเข้มกว่าเก่า
“พวกครูช่วยกันจับมันเหรอครับ...” นเรศยังตะโกนถามไม่เลิก
“ใช่...เธอช่วยไปหาผ้าหรืออะไรมาหน่อยได้มั้ย” เขาตะโกนสั่งพรางหันมาปรามปราชญ์และอุทุมพร “อย่างทะเลาะกันน่า”
“ตาข่ายเหล็ก...สุดยอด” ฟังจากเสียงแล้วนเรศคงลองจับมันดู ดีไม่อีเขาอาจจะลองสัมพัทธ์สิ่งที่อยู่ในนั้นแล้วก็ได้ “ ...มันต้องแข็งแรงมากเลยนะ”
จบคำนั้นของนเรศ เสียงดัง “กริ๊ง” เบา ๆ ก็ลอยมาในอากาศพร้อม ๆ กับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของบุญทิ้ง
“ตายห่า...” ครูฝึกร้องเพียงเท่านั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปและภาพที่เห็นก็พลันพรึงคนทั้งหมด
ก้อนกลมนั้นกำลังขยับ สั่นและดิ้นไปมา ทุกครั้งที่มันดิ้น เสียงดัง ‘กริ๊ง’ ของข้อเล็กที่หลุดออกจากตาข่ายจะดังขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมกับเสียงร้องของบุญทิ้ง สหัสนัยน์เพิ่งมองเห็นลูกกรมนั้นชัด ๆ เป็นครั้งแรกและเขาต้องถามตัวเองว่าไม่ได้ตาฝาดไปแน่หรือ ก้อนกลมขนาดเท่ารถหกล้อนั้นมีชีวิตและกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“อนาคอนด้าบ้าน...สิถึงใหญ่ขนาดนั้น”
“ตั้งสมาธิ ไกรวี สมาธิ” เสียงของครูฝึกดังกรบเสียงช่วงหนึ่งของสหัสนัยน์
“ผมทำ...อ้าก...” เข้าร้องและกระตุกร่างตามเสียงนั้นจนดูเหมือนนักแสดงที่กำลังแสดงฉากถูกยิง เพียงแต่มันไม่มีใครที่กำลังยิง และบุญทิ้งก็แสดงดีกว่านักแสดงในทีวีมาก
และไม่ช้าเหล็กทุกข้อก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่องแสงประกายสีเงินในอากาศราวกับดวงดาวบนฟ้า สหัสนัยน์ไม่เชื่อตาของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกวินาทีต่อมา เศษซากที่ครั้งหนึ่งเคยพันธนาการของเจ้าสิ่งนั้นพุ่งตรงเข้าหาบุญทิ้งและประกอบร่างกันกลายเป็นแขนของเขาอีกครั้ง...แขนที่มีรอยหักนับร้อยแห่ง
ไกรวีล้มลงพร้อมกับเลือดที่กระอักออมาทางปาก
“ไกรวี” อุทุมพรตะโกนเสียงดังด้วยเสียงแหบพร่าพรางตรงเข้าดูร่างของผู้เป็นเพื่อนที่นอนหมดสติอยู่กับพื้น “ไอ้ทัตตุ ปัญญาอ่อนเอ้ย”
เสียงร้องของนเรศเป็นสิ่งต่อมาที่สหัสนัยน์ได้ยิน เขาพยายามหันหลังและวิ่งหนี แต่ช้ากว่านางงูยักษ์มาก มันตวัดหางเพียงครั้งเดียวร่างของนเรศก็ลอยคว้างกระเด็นหายไปในพงหญ้าข้างสนาม
“หาที่ซ่อน” ครูฝึกที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวรับศึกตะโกนสั่ง
“นัยน์ ลุกเร็ว ต้องหนีแล้ว” ปราชญ์ว่าพรางพยายามยกร่างของอีกฝ่ายขึ้นจากพื้น แต่เสียงร้องอย่างเจ็บปวดและเลือดที่เริ่มไหลทะลักของผู้เป็นเพื่อนทำให้ผู้พูดหยุดมือ
“ฉันลุกไม่ได้ นายหนีไปเถอะ”
“ฉิบหายแน่” ครูฝึกร้องขึ้นเมื่อได้ยินคำนั้นของอีกฝ่าย “อุทุมพร กันพวกมังสะ...” ยังไม่ทันจบคำดี ร่างของเขาก็ถูกกรงเล็บของสัตว์ร้ายแทงทะลุร่าง นางงูยังค่อย ๆ ยกร่างที่ติดอยู่ที่ปลายกรงเล็บขึ้นเหนือหัวและกรีดร้องเสียงดังแหลมอย่างผู้มีชัย หยดเลือดของครูฝึกกระเซ็นเต็มใบหน้าของสหัสนัยน์
“อัคคี” อุทุมพรว่าพรางพนมมือ วินาทีต่อมาลำเพลิงขนาดมหึมาก็ถูกเป่าออกมาจากปากเป็น ตอนนี้เธอดูเหมือนเครื่องพ่นไฟที่เคลื่อนไปรอบ ๆ เจ้างูยักษ์นั่น แต่ไร้ผล มันเพียงแค่ใช้มืออีกข้างปัดไปทางอุทุมพรและส่งเธอไปนอนแน่นิ่งในกองโคลนที่อยู่ห่างออกไปหลายหลา
สหัสนัยน์รู้สึกได้ถึงเกร็ดเย็นยะเยือกที่ทาบทับอยู่บนแขนของเขา มันลื่นและสั่นน้อย ๆ อย่างกระสัน ต่างจากเด็กชายและเพื่อนที่ตอนนี้ตัวสั่นเทาเพราะกลัวตายเหมือนลูกนกที่ก็ตกอยู่ในวงล้อมของสัตว์ร้าย
นางงูเห่ายักษ์ค่อย ๆ ม้วนร่างกายตัวเองเป็นวงและช้อนร่างเด็กทั้งสองขึ้นมาจากพื้น กลิ่นเกล็ดที่ไหม้ให้ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียน
“หนีไป ปราชญ์ กระโดดออกไป ตอนนี้เลย” สหัสนัยน์พูดเสียงกร้าวพรางจ้องมองใบหน้านั่นที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที “ฉันจะล่อมันไว้เอง”
“ไม่เอา...ฉันจะไม่ทิ้งนาย ไม่ทิ้งอีกแล้ว”
“มึงบ้าหรือไง รีบหนีไป” สหัสนัยน์ตะโกน
“ไม่” ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเหลือง แต่ในตากลับแน่วแน่อย่างประหลาด มันประหลาด ประหลาดมากสำหรับสหัสนัยน์ “...นายไปไหน ฉันไปนั่น”
อีกฝ่ายนิ่งอยู่หลายวินาที และถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจอีกฝ่ายมากนัก แต่เด็กชายก็ยิ้มออกมา “อย่างน้อยก็มีเพื่อนตาย”
ไม่ทันที่ทั้งคู่จะพูดอะไรต่อ ใบหน้าของงูยักก็เคลื่อนเข้ามาใกล้จนห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว นางมีใบหน้าและรูปร่างของหญิงสาวที่งามหมดจดเรื่อยลงไปจนถึงเอว ปลายนิ้วคมกริบของสัตว์ร้ายค่อยกรีดลงบนใบหน้าของสหัสนัยน์จนเป็นแผลยาว ปราชญ์ตั้งท่าจะทำอะไรสักอย่างแต่สหัสนัยน์ห้ามไว้ ถ้ามันจะทำให้เพื่อนของเขามีชีวิตรอดไปอีกแค่นาทีเดียว เขาก็ยอม
หยดเลือดทิ้งตัวเป็นสายอยู่ที่ข้างแก้มของเด็กหนุ่ม นางงูแลบลิ้นสองแฉกที่ยาวยี่สิบนิ้วของมันออกมาลิ้มรถเลือดนั้น
“หวาน...เลือด...หายาก” มันกระตุกริมฝีปากยิ้มอย่างเลือดเย็นก่อนจะค่อย ๆ บังคับลิ้นนั้นให้เลื้อยไปตามร่างกายของสหัสนัยน์และแยงเข้าไปในแผลของเขาที่ท้อง
สหัสนัยน์รู้สึกเหมือนถูกต่อยท้องยี่สิบหมัดในคราวเดียวกัน เขาอยากจะร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดและความกลัว แต่ไม่มีลมอยู่ในปอดแม้แต่สักอณู แขนขาของเขาเริ่มอ่อนแรง ภาพตรงหน้าพร่ามัวจนแทบมองไม่เห็นอาจจะเพราะสติที่ดูเหมือนจะหลุดลอยออกไปหรืออาจจะเป็นเพราะน้ำตาที่ทิ้งสายออกมา
“แหม่...เจอกันครั้งแรกก็ใช้ลิ้นกันเลยเหรอ” สหัสนัยน์หันไปตามเสียงนั้นและพบกับเจ้าของเสียง
ครูฝึกโผล่มาจากไหนไม่รู้ แถมยังดูสะบักสะบอมใช่เล่น นางงูเห่าส่งเสียงขู่ฟ่อพรางสั่นแม่เบี้ยอย่างชิงชัง แต่มันยังช้ากว่าอีกฝ่ายมาก เขาดึงลิ้นนั่นออกมาจากแผลของเด็กชายและจัดการตัดมันด้วยมีดสั้นในมืออย่างรวดเร็ว
และได้ผล มันปล่อยเด็กชายทั้งสองให้ร่วงลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ วินาทีนั้นสหัสนัยน์รู้สึกราวกับว่าเวลาเดินช้ากว่าเก่าก่อน เขาพลิกตัวหันหลังให้กับพื้นดินตามสัญชาตญาณ สายตามองไปยังผู้เป็นเพื่อนลอยอยู่เหนือตัวเองห่างออกไปไม่ไกลนัก ในใจรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะรอดจากความตายอย่างหวุดหวิด และดูจากใบหน้าของปราชญ์ที่แม้จะกังวลแต่ก็ยิ้มออกมาได้ในรอบหลายชั่วโมงก็เป็นหลักฐานได้ดีว่าเขาคงรู้สึกอย่างเดียวกัน
แต่เป็นตอนนั้นเอง ในวินาทีไดวินาทีหนึ่งนั้นเองที่สายตาของสหัสนัยน์เหลือบไปเห็นกรงเล็บยาวลอยคว้างมาจากด้านซ้ายมือของเขา มันลอยมาจากความมืดราวกับมือของมัจจุราชที่ไร้ที่มา เด็กชายพยายามร้องบอกผู้เป็นเพื่อน แต่ช้าเกินไป เวลารอบกายเขาเดินช้าเสียจนกรงเล็บนั้นแทงทะลุร่างของปราชญ์ไปแล้วขณะที่คำแรกของเขายังติดอยู่ที่คอ เสียงร้องเตือนกลายเป็นเสียงกรีดร้อง หยาดฝนสีแดงหยดลงบนใบหน้าเขาหยดแล้วหยดเล่าราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด
และจากนั้นความดำมืดไร้ที่สิ้นสุดก็เขาครอบงำดวงตาของสหัสนัยน์
........................
ความคิดเห็น