ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยมทูตสหัสนัยน์

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 3 ความตายมาเยือน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 56


    “ปราชญ์” สหัสนัยน์ร้องเสียงหลง “ตกใจหมด”

    “ก็เราน่ะสิ จะใครล่ะ” อีกฝ่ายพูดเสียงดัง ดูเหมือนว่าคงจะตกใจไม่แพ้กัน “เราหานายซะทั่ว...”

    ไม่ทันที่ปราชญ์จะพูดจบคำ สหัสนัยน์ก็เอ่ยแทรกขึ้น

    “หน้าไปโดนอะไรมา” เขาว่าพรางจ้องดูรอยช้ำที่หางคิ้วของอีกฝ่าย “ท่าจะเจ็บนะ ไปโดนใครเขาทำมาเหรอ ไอ้เรศหรือเปล่า”

    “ไม่ใช่หรอก ล้มน่ะ” ปราชญ์ว่าพรางยิ้ม “...แล้วแต่งตัวอะไรเนี่ย ทำไมไม่ใส่ผ้าพันคอละ เดี๋ยวก็โดนทำโทษหรอก”

    “นายไม่ต้องสนใจหรอก...” เด็กชายว่าเสียงกระชากพรางออกเดินไปสามสี่เก้าก่อนชะงักเท้า นึกด่าตัวเองในหัวและเดินหลับมาหาปราชญ์ “ฉัน..” เขาพูดเสียงเบา “นายสัญญานะว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้”

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “ห้ามบอกใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะญาติพ่อแม่พี่น้องหรือหมาข้างบ้านก็ห้าม”

    “ฉันรู้แล้วน่า นายจะบอกฉันได้หรือยัง”

    สหัสนัยน์มองตาผู้เป็นเพื่อนอยู่นานหลายวินาทีก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันจะหนีออกจากค่าย”

    “ฮ๊ะ” ปราชญ์ร้องเสียงหลง สหัสนัยน์รีบใช้มือปิดปากอีกฝ่ายไว้

    อีกฝ่ายออกแรงแกะมือผู้เป็นเพื่อนออกก่อนว่า “นัย นายบ้าเหรอ”

    “เออ ฉันบ้า แต่นายห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด เข้าใจมั้ย” ปราชญ์นิ่งไปสองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้า “สัญญาลูกผู้ชาย”  สหัสนัยน์ว่าพรางยื่นมือออกไป อีกฝ่ายคว้ามือนั้นไว้ด้วยมือข้างเดียวกัน

    “สัญญาลูกผู้ชาย” 

    “แล้วก็นี่” สหัสนัยน์ว่าพรางหยิบสมุดบันทึกออกมา “ฉันให้นาย เก็บไว้”

    “แต่มัน...”

    “เก็บไว้เถอะน่า”เด็กชายว่าพรางยัดสมุดเล่มเล็กนั่นใส่มืออีกฝ่ายก่อนจะถอยห่างออกมา “ฉันต้องไปแล้ว...”

    ไม่ทันที่สหัสนัยน์จะหันหลัง เสียงปราชญ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ให้ฉันไปด้วยสิ”

    “อะไร...ไม่ได้” อีกฝ่ายเอ่ยตอบทันควัน

    “ทำไมละ เราก็อยากจะหนีไปเหมือนกัน เราอยากจะไปมีชีวิตของเราด้วยตัวของเราเอง อยากจะหนีไปจากพ่อแม่ที่ได้แต่บอกโน่นบอกนี่ ห้ามโน่นห้ามนี่ตลอด นะ ให้เราไปด้วยนะ”

    “มันอัตรายนะ ปราชญ์” สหันัยน์พยายามนึกหาคำพูดแทนความหมายใจในอยู่หลายวินาที “ที่ฉันไม่ให้นายไปด้วยไม่ใช่เพราะนายเป็น ‘แบบนี้’ หรอกนะ แต่จากนี้ต่อไปฉันจะต้องเจออะไรอีกตั้งมากมายโดยที่ฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือมันต้องลำบากมากแน่นอน และฉันก็ไม่อยากจะพานายไปลำบากกับฉันด้วย...ฉันอาจจะต้องทำงานหนัก ๆ หรืออาจจะโดนคนเลว ๆ ซ้อมปางตาย หรืออาจะเลวร้ายกว่านั้นก็ได้ นายจะไปเจอเรื่องแบบนั้นกับฉันเหรอปราชญ์” เขาว่าพรางจับไหล่ของผู้เป็นเพื่อนไว้แน่น “นายเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่อยากให้นายต้องเจอเรื่องร้าย ๆ เชื่อฉันเถอะ นายอยู่ที่นี่ พอพรุ่งนี้เช้าก็กลับไปพ่อแม่นาย กลับไปบ้าน...ในตอนที่ยังมีที่ให้นายกลับ...มีคนที่รอให้นายกลับไปหา”

    แม้อีกฝ่ายจะยังมีทีท่าว่าไม่เช้าใจคำพูดของเขา สหัสนัยน์ก็ตัดสินใจผละจากมา “สักวันนายจะเข้าใจ”

    เด็กชายออกก้าวเดินอีกครั้งแต่ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายที่เดินตามมาเอ่ยขึ้น

    “นายรู้ทางออกไปจากค่ายเหรอ”

    “รู้สิ ฉันมีแผนที่”

    “ฉันรู้จักทางลัด มันจะพานายออกไปจากค่ายได้เร็วกว่า”

    สหัสนัยน์หยุดฝีเท้าในทันที เสียงภายในใจเข้าร้องห้ามแต่เขาก็หันกลับมายังอีกฝ่าย

    “จริงเหรอ”

    ปราชญ์พยักหน้าน้อย ๆ “ฉันหลงทางตอนออกไปช่วยคนเจ็บเมื่อตอนบ่ายจนไปเจอทางลัดที่ว่าเข้า...ฉันเดินไปจนถึงถนนใหญ่ด้วยซ้ำ...ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีเอง”

    “ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย” สหัสนัยน์เอ่ยอย่างลิงโลด

    ปราชญ์ยิ้มแห้ง ๆ “มาสิ ฉันจะพาไป”

    ................

    ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ จนถึงลำธารก่อนจะข้ามไปอีกฝั่งโดยใช้กิ่งไม้หยั่งความลึกก่อนก้าวลงไป ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินสว่างกลางหมู่ดาวงนับล้าน ๆ นั่น มีแต่คำพูดของสหัสนัยน์เท่านั้นที่เอ่ยทำลายความเงียบเป็นระยะ นาน ๆ ครั้งเขาจะกล่าวขอบคุณผู้เป็นเพื่อน จากนั้นก็บอกว่าเขาจะเขียนอีเมลเล่าเรื่องราวที่เขาได้ไปพบเจอมา  จะถ่ายรูปสถานที่ ๆ เขาได้ไปแล้วโพสไปให้ดูในเฟสบุ๊ค หากเป็นไปได้เขาก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนแต่คงมาได้ไม่บ่อยนัก และจากนั้นเขาก็จะกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

    เมื่อทั้งคู่เดินกันมาจนถึงอีกด้านหนึ่งของป่า ภาพทุ่งนากว้างใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า มันกว้างราวห้าถึงหกไร่ ในผืนนาไม่มีอะไรนอกจากน้ำท่วมขังที่สะท้อนผืนฟ้ากว้างเบื้องบนระยิบระยังเป็นประกายจนดูคล้ายกระจกเงาที่ส่องล้อกับแสงจันทร์และแสงดาว สายลมเย็นพัดมาบรรเทาความอ้อนล้า กลิ่นอากาศห้อมหวานไร้พิษเจอปน

    “สุดยอด” สหัสนัยน์ว่าพรางหยิบแผนที่ออกมา “จากตรงนี้...ถ้าฉันเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้...อีกราวกิโลครึ่ง...ก็จะถึงชานชาลา น่าจะทันห้าทุ่ม ขอบใจมากนะปราชญ์ นายช่วยฉันได้...”

    ยังไม่ทันจบคำดี ความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้าที่ด้านหลังศีรษะของสหัสนัยน์ราวกับมีใครปาหินมากระแทก เด็กชายร้องเสียงหลงพรางจับตรงที่เจ็บ มันให้ความรู้สึกเหนอะหนะจากน้ำสีเขียว ๆ 

    “มันเจ็บนะเว้ย...” เขาเอ่ยเสียงดังพรางหันกลับไป

    ที่นั่น กลุ่มเด็กชายหกคนยืนอยู่ที่ชายป่า พร้อมกับถือบางอย่างที่คล้ายปืนไว้ในมือ บ้างแบกไว้บนไหล่ เขาเห็นหน้าพวกนั้นไม่ชัดนัก แต่หนึ่งในนั้นเข้ารู้จักดี ไอ้เรศ

    “ใช่ไหมล่ะ ตอนแรกที่ไปเจอไอ้นี่ในห้องเก็บของในค่าย ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอามาเล่นหรอก แต่...มึงทำกูแสบมากนะไอ้นัย” มันว่า “ลอบกันกูอย่างกับหมา แถมยังทำกูอายคนอื่นไปทั่ว”

    สหัสนัยน์ใจเต้นระรัวพรางเดินถอยหลังจนลงไปในท้องนา “ปราชญ์” เขาตะโกนเมื่อเห็นผู้เป็นเพื่อนยืนนิ่ง

    “ไม่เป็นไร ๆ กูไม่ทำอะไรเพื่อนมึงแน่ ก็มันอุตส่าห์เป็นคนบอกกูเองว่าใครเป็นคนเอาโคลนไปวางไว้ที่ประตูห้องน้ำ ใช่ไหม” นเรศว่าพรางเข้ากอดไหล่ปราชญ์อย่างสนิทสนม

    “ปราชญ์...จริงเหรอ...” สหัสนัยน์เอ่ยถาม แต่ผู้เป็นเพื่อนกลับก้มหน้านิ่งไม่ตอบ

    “ก็จริงสิ” นเรศตะโกนลั่นพรางเล็งปืนมายังสหัสนัยน์ก่อนเหนี่ยวไก  เด็กชายพยายามหลบแต่ไร้ผล มันกระแทกเข้าที่หน้าด้านซ้ายอย่างจัง และมันแรงพอที่จะทำให้ร่างของเขาล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น“หาว่ากูโกหกเหรอ” จบคำนั้น ไอ้เรศก็ใช้ผ่าเท้าเหยียบหน้าอกของสหัสนัยน์ไว้จนทั่วร่างจมลงไปในน้ำของท้องนา ก่อนจะใช้ปลายกระบอกปืนเพนบอลกระแทกไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย

    “มึงคิดว่าแน่นักเหรอ...แน่นักไม่ใช่เหรอไง ไหน ไม่ทำเป็นเก่งเหมือนเมื่อตอนเช้าละ...” มันว่าพรางออกแรกกดปากกระบอกปืน สหัสนัยน์พยายามฝืนแต่แทบจะไรผล ใบหน้าเขาค่อย ๆ จมลงใต้น้ำ “แม่มึงมันขี้เหล้า แดกเหล้าจนพ่อมึงหนี คนอย่างมึงน่ะก็ได้แค่นั้นแหละ เป็นได้แค่ไอ้สัตว์ให้กูเหยียบเล่นไปวัน ๆ”

    “พอเถอะ” เสียงปราชญ์ร้องขึ้น “ไหนบอกจะแค่คุยไง”

    นเรศสงสัญญาณให้หนึ่งในพวกของมัน อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนจะตรงเข้าไปต่อยปราชญ์ที่ท้องอย่างแรง

    สหัสนัยน์มองเห็นทุกอย่างชัดเจน เขายอมให้ไอ้เรศทำอะไรกับเขาก็ได้ ยอมให้มันซ้อมหรือฆ่าเขาได้ มันไม่มีค่าอะไรกับเขาเลย แต่ห้ามทำอะไรเพื่อนเขาเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด

    เด็กชายคว้าปลายกระบอกปืนมาไว้ในกำมือและออกแรงสู้สุดกำลังผลักอีกฝ่ายให้ล้มลงและรัวไกปืนใส่ไม่ยั้ง ไอ้เรสร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและออกปากสั่งให้พวกของมันจัดการกับสหัสนัยน์

    สหัสนัยน์หันปลายกระบอกปืนหมายยิงใส่พวกที่เหลือ แต่ไร้ผล กระสุนสีของเขาหมดแล้ว เขาจึงหันหลังและวิ่งหนี

     เขาปาปืนเพนบอลที่หมดลูกแล้วทิ้งไป ก่อนออกวิ่งสุดฝีเท้าไปตามคันนาที่ทั้งลื่นและเปียกแฉะ ลูกเพนบอลกระแทกกับขาของเขาเป็นระยะ พวกนั้นต้องการให้เขาล้ม ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะนั้นจะหมายถึงเขาจะต้องโดนซ้อมจนเจ็บปางตายและไปไม่ทันรถไฟ

    เด็กชายวิ่งไม่คิดชีวิตพรางหันหลังมองผู้ที่กำลังไล่ล่าที่ไกลเข้ามาทุกขณะ

    ‘นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ นึกแล้วเชียว’ เด็กหนุ่มนึกกรนด่าตัวเองในใจพรางวิ่งไปข้างหน้า

    และเป็นตอนนั้นเองที่สายตาของเขาพลันเริ่มมองเห็นจุดสิ้นสุดเขตแดนของท้องนา มันเป็นถนนที่นอนตัวยาวอยู่เหนือคันนาขึ้นไปราวหนึ่งเมตร เด็กชายลิงโลดอยู่ในใจก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดเร่งฝีเท้า

    อีกแค่สามเมตรเท่านั้น

    “มึงตายแน่” เสียงโห่ร้องของผู้ตามล่าดังมา แต่สหัสนัยน์ไม่สนใจ ความเจ็บปวดจากลูกเพนบอลกลายเป็นแค่รอยบาดจากสายลมเท่านั้น

    อีกแค่สองเมตรครึ่ง...สองเมตร

    เด็กชายรู้สึกได้ถึงแรงดึง เขาหันไปจึงเห็นมือของหนึ่งในลูกน้องของไอ้เรศจับประเป๋าของเขาได้ สหัสนัยน์สะบัดกระเป๋าทิ้ง  หัวใจของเขากระตุกเต้นอย่างเร็วและแรงอยู่ในอกราวกับจะทะลุออกมาด้านนอก มันบีบคั้นเม็ดน้ำสีแดงให้แล่นไปตามเส้นเลือดทั่วร่างที่ขยายกว้างเสียจนเหมือนจะปะทุแตกได้ทุกขณะ

    อีกแค่เมตรเดียว

    มือของใครบางคนคว้าคอเสื้อของเขาไว้ได้ สหัสนัยน์พยายามสะบัดจนมันหลุดออก

    ครึ่งเมตร

    “มึงตายแน่ไอ้นัย” เสียงไอ้เรศดังมา

    “มึงนั่นแหละไปตายสะ ไอ้ควาย”

    จบคำนั้น สหัสนัยน์ก็กระโดดสุดแรงหมายจะขึ้นไปยืนบนถนน แต่มีบางอย่างผิดพลาด ปลายคางของเขากระแทกกับอะไรบางอย่างก่อนที่ร่างของเขาจะล่วงลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×