คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 3 ความตายมาเยือน
“ปราชญ์” สหัสนัยน์ร้องเสียงหลง “ตกใจหมด”
“ก็เราน่ะสิ จะใครล่ะ” อีกฝ่ายพูดเสียงดัง ดูเหมือนว่าคงจะตกใจไม่แพ้กัน “เราหานายซะทั่ว...”
ไม่ทันที่ปราชญ์จะพูดจบคำ สหัสนัยน์ก็เอ่ยแทรกขึ้น
“หน้าไปโดนอะไรมา” เขาว่าพรางจ้องดูรอยช้ำที่หางคิ้วของอีกฝ่าย “ท่าจะเจ็บนะ ไปโดนใครเขาทำมาเหรอ ไอ้เรศหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอก ล้มน่ะ” ปราชญ์ว่าพรางยิ้ม “...แล้วแต่งตัวอะไรเนี่ย ทำไมไม่ใส่ผ้าพันคอละ เดี๋ยวก็โดนทำโทษหรอก”
“นายไม่ต้องสนใจหรอก...” เด็กชายว่าเสียงกระชากพรางออกเดินไปสามสี่เก้าก่อนชะงักเท้า นึกด่าตัวเองในหัวและเดินหลับมาหาปราชญ์ “ฉัน..” เขาพูดเสียงเบา “นายสัญญานะว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ห้ามบอกใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะญาติพ่อแม่พี่น้องหรือหมาข้างบ้านก็ห้าม”
“ฉันรู้แล้วน่า นายจะบอกฉันได้หรือยัง”
สหัสนัยน์มองตาผู้เป็นเพื่อนอยู่นานหลายวินาทีก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันจะหนีออกจากค่าย”
“ฮ๊ะ” ปราชญ์ร้องเสียงหลง สหัสนัยน์รีบใช้มือปิดปากอีกฝ่ายไว้
อีกฝ่ายออกแรงแกะมือผู้เป็นเพื่อนออกก่อนว่า “นัย นายบ้าเหรอ”
“เออ ฉันบ้า แต่นายห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด เข้าใจมั้ย” ปราชญ์นิ่งไปสองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้า “สัญญาลูกผู้ชาย” สหัสนัยน์ว่าพรางยื่นมือออกไป อีกฝ่ายคว้ามือนั้นไว้ด้วยมือข้างเดียวกัน
“สัญญาลูกผู้ชาย”
“แล้วก็นี่” สหัสนัยน์ว่าพรางหยิบสมุดบันทึกออกมา “ฉันให้นาย เก็บไว้”
“แต่มัน...”
“เก็บไว้เถอะน่า”เด็กชายว่าพรางยัดสมุดเล่มเล็กนั่นใส่มืออีกฝ่ายก่อนจะถอยห่างออกมา “ฉันต้องไปแล้ว...”
ไม่ทันที่สหัสนัยน์จะหันหลัง เสียงปราชญ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ให้ฉันไปด้วยสิ”
“อะไร...ไม่ได้” อีกฝ่ายเอ่ยตอบทันควัน
“ทำไมละ เราก็อยากจะหนีไปเหมือนกัน เราอยากจะไปมีชีวิตของเราด้วยตัวของเราเอง อยากจะหนีไปจากพ่อแม่ที่ได้แต่บอกโน่นบอกนี่ ห้ามโน่นห้ามนี่ตลอด นะ ให้เราไปด้วยนะ”
“มันอัตรายนะ ปราชญ์” สหันัยน์พยายามนึกหาคำพูดแทนความหมายใจในอยู่หลายวินาที “ที่ฉันไม่ให้นายไปด้วยไม่ใช่เพราะนายเป็น ‘แบบนี้’ หรอกนะ แต่จากนี้ต่อไปฉันจะต้องเจออะไรอีกตั้งมากมายโดยที่ฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือมันต้องลำบากมากแน่นอน และฉันก็ไม่อยากจะพานายไปลำบากกับฉันด้วย...ฉันอาจจะต้องทำงานหนัก ๆ หรืออาจจะโดนคนเลว ๆ ซ้อมปางตาย หรืออาจะเลวร้ายกว่านั้นก็ได้ นายจะไปเจอเรื่องแบบนั้นกับฉันเหรอปราชญ์” เขาว่าพรางจับไหล่ของผู้เป็นเพื่อนไว้แน่น “นายเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่อยากให้นายต้องเจอเรื่องร้าย ๆ เชื่อฉันเถอะ นายอยู่ที่นี่ พอพรุ่งนี้เช้าก็กลับไปพ่อแม่นาย กลับไปบ้าน...ในตอนที่ยังมีที่ให้นายกลับ...มีคนที่รอให้นายกลับไปหา”
แม้อีกฝ่ายจะยังมีทีท่าว่าไม่เช้าใจคำพูดของเขา สหัสนัยน์ก็ตัดสินใจผละจากมา “สักวันนายจะเข้าใจ”
เด็กชายออกก้าวเดินอีกครั้งแต่ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายที่เดินตามมาเอ่ยขึ้น
“นายรู้ทางออกไปจากค่ายเหรอ”
“รู้สิ ฉันมีแผนที่”
“ฉันรู้จักทางลัด มันจะพานายออกไปจากค่ายได้เร็วกว่า”
สหัสนัยน์หยุดฝีเท้าในทันที เสียงภายในใจเข้าร้องห้ามแต่เขาก็หันกลับมายังอีกฝ่าย
“จริงเหรอ”
ปราชญ์พยักหน้าน้อย ๆ “ฉันหลงทางตอนออกไปช่วยคนเจ็บเมื่อตอนบ่ายจนไปเจอทางลัดที่ว่าเข้า...ฉันเดินไปจนถึงถนนใหญ่ด้วยซ้ำ...ใช้เวลาแค่สิบห้านาทีเอง”
“ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย” สหัสนัยน์เอ่ยอย่างลิงโลด
ปราชญ์ยิ้มแห้ง ๆ “มาสิ ฉันจะพาไป”
................
ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ จนถึงลำธารก่อนจะข้ามไปอีกฝั่งโดยใช้กิ่งไม้หยั่งความลึกก่อนก้าวลงไป ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินสว่างกลางหมู่ดาวงนับล้าน ๆ นั่น มีแต่คำพูดของสหัสนัยน์เท่านั้นที่เอ่ยทำลายความเงียบเป็นระยะ นาน ๆ ครั้งเขาจะกล่าวขอบคุณผู้เป็นเพื่อน จากนั้นก็บอกว่าเขาจะเขียนอีเมลเล่าเรื่องราวที่เขาได้ไปพบเจอมา จะถ่ายรูปสถานที่ ๆ เขาได้ไปแล้วโพสไปให้ดูในเฟสบุ๊ค หากเป็นไปได้เขาก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนแต่คงมาได้ไม่บ่อยนัก และจากนั้นเขาก็จะกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
เมื่อทั้งคู่เดินกันมาจนถึงอีกด้านหนึ่งของป่า ภาพทุ่งนากว้างใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า มันกว้างราวห้าถึงหกไร่ ในผืนนาไม่มีอะไรนอกจากน้ำท่วมขังที่สะท้อนผืนฟ้ากว้างเบื้องบนระยิบระยังเป็นประกายจนดูคล้ายกระจกเงาที่ส่องล้อกับแสงจันทร์และแสงดาว สายลมเย็นพัดมาบรรเทาความอ้อนล้า กลิ่นอากาศห้อมหวานไร้พิษเจอปน
“สุดยอด” สหัสนัยน์ว่าพรางหยิบแผนที่ออกมา “จากตรงนี้...ถ้าฉันเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้...อีกราวกิโลครึ่ง...ก็จะถึงชานชาลา น่าจะทันห้าทุ่ม ขอบใจมากนะปราชญ์ นายช่วยฉันได้...”
ยังไม่ทันจบคำดี ความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้าที่ด้านหลังศีรษะของสหัสนัยน์ราวกับมีใครปาหินมากระแทก เด็กชายร้องเสียงหลงพรางจับตรงที่เจ็บ มันให้ความรู้สึกเหนอะหนะจากน้ำสีเขียว ๆ
“มันเจ็บนะเว้ย...” เขาเอ่ยเสียงดังพรางหันกลับไป
ที่นั่น กลุ่มเด็กชายหกคนยืนอยู่ที่ชายป่า พร้อมกับถือบางอย่างที่คล้ายปืนไว้ในมือ บ้างแบกไว้บนไหล่ เขาเห็นหน้าพวกนั้นไม่ชัดนัก แต่หนึ่งในนั้นเข้ารู้จักดี ไอ้เรศ
“ใช่ไหมล่ะ ตอนแรกที่ไปเจอไอ้นี่ในห้องเก็บของในค่าย ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอามาเล่นหรอก แต่...มึงทำกูแสบมากนะไอ้นัย” มันว่า “ลอบกันกูอย่างกับหมา แถมยังทำกูอายคนอื่นไปทั่ว”
สหัสนัยน์ใจเต้นระรัวพรางเดินถอยหลังจนลงไปในท้องนา “ปราชญ์” เขาตะโกนเมื่อเห็นผู้เป็นเพื่อนยืนนิ่ง
“ไม่เป็นไร ๆ กูไม่ทำอะไรเพื่อนมึงแน่ ก็มันอุตส่าห์เป็นคนบอกกูเองว่าใครเป็นคนเอาโคลนไปวางไว้ที่ประตูห้องน้ำ ใช่ไหม” นเรศว่าพรางเข้ากอดไหล่ปราชญ์อย่างสนิทสนม
“ปราชญ์...จริงเหรอ...” สหัสนัยน์เอ่ยถาม แต่ผู้เป็นเพื่อนกลับก้มหน้านิ่งไม่ตอบ
“ก็จริงสิ” นเรศตะโกนลั่นพรางเล็งปืนมายังสหัสนัยน์ก่อนเหนี่ยวไก เด็กชายพยายามหลบแต่ไร้ผล มันกระแทกเข้าที่หน้าด้านซ้ายอย่างจัง และมันแรงพอที่จะทำให้ร่างของเขาล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น“หาว่ากูโกหกเหรอ” จบคำนั้น ไอ้เรศก็ใช้ผ่าเท้าเหยียบหน้าอกของสหัสนัยน์ไว้จนทั่วร่างจมลงไปในน้ำของท้องนา ก่อนจะใช้ปลายกระบอกปืนเพนบอลกระแทกไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย
“มึงคิดว่าแน่นักเหรอ...แน่นักไม่ใช่เหรอไง ไหน ไม่ทำเป็นเก่งเหมือนเมื่อตอนเช้าละ...” มันว่าพรางออกแรกกดปากกระบอกปืน สหัสนัยน์พยายามฝืนแต่แทบจะไรผล ใบหน้าเขาค่อย ๆ จมลงใต้น้ำ “แม่มึงมันขี้เหล้า แดกเหล้าจนพ่อมึงหนี คนอย่างมึงน่ะก็ได้แค่นั้นแหละ เป็นได้แค่ไอ้สัตว์ให้กูเหยียบเล่นไปวัน ๆ”
“พอเถอะ” เสียงปราชญ์ร้องขึ้น “ไหนบอกจะแค่คุยไง”
นเรศสงสัญญาณให้หนึ่งในพวกของมัน อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนจะตรงเข้าไปต่อยปราชญ์ที่ท้องอย่างแรง
สหัสนัยน์มองเห็นทุกอย่างชัดเจน เขายอมให้ไอ้เรศทำอะไรกับเขาก็ได้ ยอมให้มันซ้อมหรือฆ่าเขาได้ มันไม่มีค่าอะไรกับเขาเลย แต่ห้ามทำอะไรเพื่อนเขาเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด
เด็กชายคว้าปลายกระบอกปืนมาไว้ในกำมือและออกแรงสู้สุดกำลังผลักอีกฝ่ายให้ล้มลงและรัวไกปืนใส่ไม่ยั้ง ไอ้เรสร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและออกปากสั่งให้พวกของมันจัดการกับสหัสนัยน์
สหัสนัยน์หันปลายกระบอกปืนหมายยิงใส่พวกที่เหลือ แต่ไร้ผล กระสุนสีของเขาหมดแล้ว เขาจึงหันหลังและวิ่งหนี
เขาปาปืนเพนบอลที่หมดลูกแล้วทิ้งไป ก่อนออกวิ่งสุดฝีเท้าไปตามคันนาที่ทั้งลื่นและเปียกแฉะ ลูกเพนบอลกระแทกกับขาของเขาเป็นระยะ พวกนั้นต้องการให้เขาล้ม ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เพราะนั้นจะหมายถึงเขาจะต้องโดนซ้อมจนเจ็บปางตายและไปไม่ทันรถไฟ
เด็กชายวิ่งไม่คิดชีวิตพรางหันหลังมองผู้ที่กำลังไล่ล่าที่ไกลเข้ามาทุกขณะ
‘นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ นึกแล้วเชียว’ เด็กหนุ่มนึกกรนด่าตัวเองในใจพรางวิ่งไปข้างหน้า
และเป็นตอนนั้นเองที่สายตาของเขาพลันเริ่มมองเห็นจุดสิ้นสุดเขตแดนของท้องนา มันเป็นถนนที่นอนตัวยาวอยู่เหนือคันนาขึ้นไปราวหนึ่งเมตร เด็กชายลิงโลดอยู่ในใจก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดเร่งฝีเท้า
อีกแค่สามเมตรเท่านั้น
“มึงตายแน่” เสียงโห่ร้องของผู้ตามล่าดังมา แต่สหัสนัยน์ไม่สนใจ ความเจ็บปวดจากลูกเพนบอลกลายเป็นแค่รอยบาดจากสายลมเท่านั้น
อีกแค่สองเมตรครึ่ง...สองเมตร
เด็กชายรู้สึกได้ถึงแรงดึง เขาหันไปจึงเห็นมือของหนึ่งในลูกน้องของไอ้เรศจับประเป๋าของเขาได้ สหัสนัยน์สะบัดกระเป๋าทิ้ง หัวใจของเขากระตุกเต้นอย่างเร็วและแรงอยู่ในอกราวกับจะทะลุออกมาด้านนอก มันบีบคั้นเม็ดน้ำสีแดงให้แล่นไปตามเส้นเลือดทั่วร่างที่ขยายกว้างเสียจนเหมือนจะปะทุแตกได้ทุกขณะ
อีกแค่เมตรเดียว
มือของใครบางคนคว้าคอเสื้อของเขาไว้ได้ สหัสนัยน์พยายามสะบัดจนมันหลุดออก
ครึ่งเมตร
“มึงตายแน่ไอ้นัย” เสียงไอ้เรศดังมา
“มึงนั่นแหละไปตายสะ ไอ้ควาย”
จบคำนั้น สหัสนัยน์ก็กระโดดสุดแรงหมายจะขึ้นไปยืนบนถนน แต่มีบางอย่างผิดพลาด ปลายคางของเขากระแทกกับอะไรบางอย่างก่อนที่ร่างของเขาจะล่วงลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง
ความคิดเห็น