ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยมทูตสหัสนัยน์

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 2 มิคสัญญีที่กำลังจะมาถึง...

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 56


    ความมืดค่อย ๆ ทิ้งตัวลงปกคลุมป่าไม้ห่างไกลไร้ผู้คน แสงอาทิตย์ลับหายไปหลังเนินเขาหลายสิบนาทีแล้ว แต่แสงของมันก็ยังส่องสว่างริบหรี่เหมือนต้อการสู้กับศัตรูแสนร้ายกาจที่เรียกว่าราตรีกาล เสียงสัพสัตว์กู่ร้องเป็นสัญญาณของเวลากลางคืน เวลาแห่งการดำเนินชีวิตและหาอาหารของพวกมัน ฝูงค้างคาวป่านับพันนับหมื่นโผบินขึ้นจากปากที่อยู่เหนือขึ้นไปบนยอดเขา ร่างของพวกมันตัดกับแสงจากดวงอาทิตย์ ปรากฏเป็นรูปทรงสีดำที่แปลเปลี่ยนตลอดเวลาพร้อมเปล่งเสียงแหลมสูงฟังคล้ายนกเล็ก ๆ ที่กำลังถูกงูรัด

    เลยจากปากถ้ำเขาไปหลายร้อยเมตรมีพระอุโบสถใหญ่เก่าคร่ำตั้งกระง่านอยู่ ผนังสีเทาซีดกระดำกระด่างด้วยมูลจากค้างคาวส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียน ช้อฟ้าไประกาที่ประดับอยู่บนหลังคาดูอ่อนช้อยสวยงามแต่กลับเป็นที่พักอาศัยของค้างคาวนับร้อย ๆ แผ่นกระจกกระดับรอบตัวพระอุโบสถหลุดร่อนไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกฉาบทับด้วยมูลค้างคาวหนาจนมองไม่เห็นสีทองอร่ามที่อยู่ภายใน

    ประตูไม้สีแดงของพระอุโบสถส่งเสียงลั่นดาลก่อนเปิดออกจากภายใน

    ผู้เปิดนั้นเป็นเด็กหนุ่มในหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยจีวรสีแสดสด ศีรษะล้านเลี่ยนและไร้เส้นคิ้วเหนือดวงตา ภายในพระอุโบสถสะอาดและมีกลิ่นดีกว่าภายนอกมาก กลิ่นธูปหอมตลบอบอวนอยู่ภายใน พื้นหินอ่อนสีเทาที่ถูกปุทับด้วยพรมแดงสดไร้ร่องรอยมูลค้างคาวหรือแม้แต่ฝุ่นผง แสงสว่างจากเทียนนับร้อย ๆ เล่มที่ตั่งอยู่ทั่วส่องแสงนวลตาสะท้อนกับกระจกประดับที่ติดอยู่บนเพดาลและตามลวดลายแกะสลักของเสาไม้ทั้งหกต้นที่ตั้งไปตามแนวความยาวของพระอุโบสถ พระประธานปางมารวิชัยประทับนั่งขัดสมาธิ  พระหัตถ์ข้างขวาของพระพุทธรูปวางไว้ที่เหนือพระชานุ (หัวเข่า) พระหัตถ์ข้างซ้ายวางไว้ที่พระเพลา (หน้าตัก) ทั่วทั้งองค์พระเป็นสีทองอร่ามงดงามไร้ที่ติ ขนาดข้างด้วยพระโมคลานะและพระอานนท์อัครสาวกที่นั่งคุกเข่าพนมมือหันหน้าเข้าหน้าเข้าหาพระประธาน

    ลมวูบหนึ่งพัดผ่านใบหน้าของเขาไป

    “พระอาจารย์ยังไม่มา” เณรหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพรางก้มลงขัดบานประตูด้วยไม้ค้ำเพื่อเปิดมันทิ้งไว้ก่อนหันเข้ามาภายใน

    ร่างชายกลางคนร่างอ้วนในเสื้อเชิ้ตรายตารางสีฟ้าอ่อนสลับดำปรากฏขึ้นที่กลางพระอุโบสถ เขาก้มลงกราบพระประธานองค์ใหญ่สีทองอร่ามอย่างยากลำบาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขานั่งคุกเข่า อีกส่วนหนึ่งก็เพราะก้อนไขมันที่ท้องซึ่งใหญ่เสียจนดูเหมือนจะแตกออกมาได้ทุกเมื่อ

    เขากราบครั้งที่หนึ่ง...สอง...และสามอย่างเชื่องช้า ก่อนหันกลับมายังเณรที่ยืนอยู่ที่เดิม

    “คนอื่นละ”  ชายอ้วนที่มีใบหน้าอวบอูมครุคระเหมือนลูกยอเอ่ย เขามีผมบางที่ดูอ่อนระโหยโรงแรงเต็มทีถูกหวีให้ผาดผ่านปกปิดบริเวณกลางศีรษะที่ล้านเลี่ยนเป็นมัน ในตาเล็กซ่อนอยู่ใต้แนวคิ้วดกหนา ริมฝีปากใหญ่ดำอันผลมาจากสูบบุหรี่มากว่าครึ่งชีวิตขยับขึ้นลงอยู่ใต้หนวดทรงโค้งที่ตัดแต่งอย่างดี

    ชายคนนั้นเอื้อมมือปรดกระดุมเสื้อออกสองเม็ดเผยให้เห็นพระเครื่องหลายสิบองค์ที่ห้อยอยู่รอบคอ บ้างเลี่ยมทองอย่างดี บ้างเลี่ยมสเตนเลด หลังดงพระเครื่องเข้าไปมีลอยสักที่ดูจะกลืนหายไปกับผิวสีกาแฟเข้มของเขา 

    “ยังไม่มา โยมมาเป็นคนแรก” เณรเอ่ยตอบก่อนเดินมานั่งลงที่หน้าพระประธาน

    “แล้วมันเรื่องอะไรกันถึงได้เรียกมาเสียด่วน” ชายอ้วนว่าพรางเปลี่ยนมาเป็นนั่งขัดสมาธิ “ผมต้องทิ้งแผงพระที่พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วานมาเลยนะ อุตส่าห์นัดลูกค้ามาดูพระ นี่อะไร...” เขาจบคำด้วยท่าทางเสียอารมณ์

    “พระอาจารย์ท่านเรียก  เณรเองไม่รู้เรื่องหรอกว่าเรื่องอะไร” ผู้ทรงศีลหนุ่มตอบน้ำเสียงยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม “ท่านว่ามากันครบเมื่อไรก็ให้ไปนิมนต์ท่านแล้ว...”

    ไม่ทันจบคำ เสียงร้องสบถก็ดังมาจากทางหน้าประตู เจ้าของเสียงเป็นชายในเสื้อสูทหลวม ๆ ที่ดูราคาถูก มือข้างหนึ่งของเขากางล่มลายชินจังไว้เหนือหัว อีกมือหนึ่งลากกระเป๋ารถเข็นเล็ก ๆ เข้ามาในพระอุโบสถ

    “ทิดไม้ ทำอะไรน่ะ เอาไปไว้ข้างนอก” เสียงชายอ้วนว่าเสียงดังพรางทำมือไล่ให้อีกฝ่ายนำกระเป๋าเข็นและร่มไปไว้ข้างนอก

    “นี่ทิดจิ๋ม” อีกฝ่ายตอบก่อนหุบร่มในมือและสะบัดมันแรง ๆ ทำให้มูลค้างคาวกระจายไปทั่ว “ข้างนอกมีแต่ขี้ค้างคาว ถ้าเอาออกไปตั้งไว้ของฉันก็ไม่ต้องขายกันพอดีสิ”  

    “ขายอะไรของแก” ทิดจิ๋มว่าก่อนจะสังเกตเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย “แล้วแต่งตัวอะไรนั่นนะ อย่างกับในหนัง”

    “เท่ห์มั้ยล่ะพี่ทิด” ผู้มาใหม่ว่าพรางหมุนไปรอบ ๆ “ชุดทำงานผมเอง”

    “งานอะไรของเอ็ง”

    “เซลขายร่ม” เขาจบคำด้วยการกดปุ่มที่ด้ามจับร่ม พลันทำให้ร่มในมือกางออกอีกครั้ง

    “โถ๊” ชายร่างท้วมร้อง “ของพันธุ์นั้นเขาเรียกว่างานที่ไหน...รีบ ๆ เก็บร่มแล้วมากราบพระ เร็ว ๆ ”

    ชายคนนั้นหุบร่มด้วยท่าทางเสียอารมณ์กับคำสบประมาณของอีกฝ่าย เขาวางสิ่งของต่าง ๆ ไว้ที่มุมด้านหนึ่งก่อนจะคลายเข่าเข้ามานั่งกราบพระที่หน้าพระประธาน

    แสงจากเทียนทำให้มองเห็นใบหน้าของเจ้าชัดเจนขึ้น

    ชายคนนั้นมีใบหน้าซูบตอบและร่างผอมบาง ผิวขาวซีดเหมือนหนังหมูแช่แข็ง ในตาหยีเล็ก ผมสีดำที่ตัดรองทรงดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบดี แต่เมื่อมันกระกอบเข้ากับใบหน้ายาวตอบและรูบร่างผอมแห้งนั่นแล้วกลับให้ชายคนนั้นดูเหมือนไม่ขีดไฟที่เพิ่งมอดลงหมาด ๆ

    ทิดไม้ก้มลงกราบพระสามครั้งอย่างตั่งใจก่อนจะถอยหลังไปนั่งขัดสมาธิพิงผนังด้านซ้ายของพระอุโบสถซึ่งวาดลวดลายจิตกรรมไว้อย่างสวยงามและน่าพรั่นพรึง ด้านที่ชายหนุ่มนั่งพิงอยู่บอกเล่าเรื่องราวของมหานรกภูมิทั้งแปดขุมแบ่งไปตามแนวนอนตลอดความยาวของผนัง ด้านหน้าสุดติดกับประตูพระอุโบสถเป็นนรกชั้นแรก “สัญชีวนรก” และส่วนด้านในสุดซึ่งอยู่เยื้องไปด้านหลังองค์พระประธานเป็นมหานรกขุมสุดท้าย “อเวจีมหานรก”

     “ไปนั่งอะไรตรงนั้นล่ะไอ้ทิด มานั่งนี่” ทิดจิ๋มร้องเรียกทิดไม้

    “นั่งนี่แหละดีแล้ว เน๊อเณร” เขาตอบพรางยิ้มยียวน เณรยิ้มน้อย ๆ เป็นเชิงขบขัน

    “โอ้ มากันเร็วจริง ๆ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นพรางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา เธอเป็นหญิงชราอายุราวห้าสิบปีที่แต่งตัวด้วยชุดขาวอย่างแม่ชี ศีรษะและคิ้วล้านโล่งไร้เส้นขน ใบหน้าเธอเปื้อนร้อยยิ้มตลอดเวลาอีกทั้งการเคลื่อนย้ายร้างกายยังดูกระฉับกระเฉงผิดกับอายุ

    ที่เดินตามมาข้าง ๆ เธอคนนั้น คือเด็กชายอายุน่าจะไม่เกินสิบขวบที่มีในตาน่ามอง มันมีสีดำโตใหญ่และประดับด้วยแพขนตางอนยาว แก้มกลมเป็นสีชมพู ริมฝีปากเล็ก ๆ บูดบึ่งเหมือนอารมณ์ไม่ดี ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกางเกงยีนส์สีดำเข้ารูปที่ทำให้เขาอึดอัด หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเสื้อยืดสีเหลืองสกรีนรายสปองบ๊อบที่มีขนาดพอดีตัวเกินไป แต่ที่แน่ ๆ คือเขาอารมณ์ไม่ดีแน่นอน สังเกตได้จากลีลาการขี่รถของเล่นคันใหญ่ที่ดูดุดันเกินกว่าเหตุ 

    “สวัสดีครับแม่ชีทิพย์” ทิดจิ๋มว่าพรางพนมมือไหว้อีกฝ่ายก่อนจะหันไปเห็นผู้ติดตาม “อ่าว ไอ้ทองดี เอ็งมาไง ไปไงเนี่ย พ่อเอ็งเขาไปไหนล่ะ”

    “ไม่มา พ่อบอกว่าไม่สบาย” เด็กชายเอ่ยตอบพรางขี่รถของเล่นชนกับผนังจนเกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่ว

    “มานี่มาทองดี มานั่งกับพี่เณรนี่มา” เณรหนุ่มเอ่ยเรียก และไม่ต้องเรียกเป็นครั้งที่สอง เด็กชายก็รีบวาดขาลงจากรถและวิ่งมานั่งข้าง ๆ

     หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าผู้คนแปลกประหลาดอีกหลายคนก็ทยอยกันเข้ามาในพระอุโบสถ ก่อนจะกลายเป็นหลายสิบในเวลาอันรวดเร็ว

    เสียงพุดคุยอื้ออึงดังก้องกังวานไปทั่ว ทิดไม้อาศัยจังหวะนี้ออกเดินขายร่มของตัวเอง โชคร้ายเสียเหลือเกินที่ผู้คนประหลาดเหล่านั้นกว่าครึ่งพกร่มมาเอง และที่เหลือก็ใส่ใจความสะอาดของเสื้อผ้าตัวเองน้อยกว่าเหตุที่ต้องเร่งเดินทางมาที่นี่

    เณรหนุ่มยืนชิดกำแพงและพยายามนับผู้ที่มาถึงแล้ว แต่มันก็ยากเสียเหลือเกินเพราะแต่ละคนก็นั่งกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ

    “มากันครบแล้วละเณร” เสียงแม่ชีทิพย์ดังมาทำให้เณรหันไปหาเธอซึ่งอยู่ห่างออกไปที่อีกมุมของพระอุโบสถ  เธอนั่งมองมายังเขาด้วยสายตาปราณีและรอยยิ้มที่ไม่เคยจากหาย เสียงของเธอดังก้องอยู่ในหูของเณร “นิมนต์พระอาจารย์เถอะ”

    เณรพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ทันที่เขาจะออกเดินไปไหน พระอาจารย์ก็เดินออกมาจากด้านหลังองค์พระประธาน

    พระครูโชติธรรมภินันท์ หรือพระอาจารย์โชติ ที่ใคร ๆ ต่างเรียกขานกันเป็นพระชราอายุมากที่ยากจะคาดเดาถึงความคิดที่แล่นไปมาอยู่ภายในศีรษะล้านเลี่ยน อาจจะเป็นเพราะดวงตาของท่านขาวใสทั้งดวงเหมือนลูกแก้วตาแมวจึงยากที่จะสักเกตเห็นว่าท่านกำลังสนใจอะไรอยู่ หรืออาจะเป็นเพราะความเงียบและเรียบเฉยราวกับงูอิ่มที่ทำให้ไม่มีใครกล้าสงสัยในการตัดสินใจ

    อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับตัวท่านก็คืออายุของท่านหรือจำนวนพรรษาที่ท่านบวชเรียน แม้แต่แม่ชีทิพย์ซึ่งมีอายุมากที่สุดในที่นี่และรู้จักกับพระอาจารย์ก่อนใครก็ยังไม่ทราบ เท่าที่รู้กันก็คือ ท่านเป็นพระมาทั้งชีวิตและจะเป็นไปจนสิ้นอายุขัย

    “พระอาจารย์” เณรร้องพรางเข้าพยุง แต่อีกฝ่ายห้ามไว้ก่อนจะคุกเข่าลงกราบพระและนั่งลงบนอาสนะที่เป็นผ้ารองนั่งง่าย ๆ ด้านข้างของพระอาจารย์โชติมีตารปัด กระโถน เครื่องน้ำชาและบาตรพระหนึ่งใบวางอยู่

    เณรหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ พระอาจารย์โดยทิ้งระยะห่างเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นความวุ่นวายที่พลันหายไปทันที่ที่พระอาจารย์ปรากฏตัว

    “มากันครบแล้วใช่มั้ย” เสียงแหบพร่าของพระชราดังขึ้น

    “ครับ” ทิดจิ๋มพนมมือขึ้นก่อนเอ่ยตอบแทนคนทั้งหมด “ว่าแต่พระอาจารย์มีเรื่องอะไรหรือครับ ถึงเรียกพวกเรามาเสียด่วนแบบนี้”

    พระอาจารย์โชติยิ้มน้อย ๆ แต่แฝงไปด้วยความกังวล “ที่อาตมาเรียกพวกโยมทุกคนมาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะแจ้งให้ทราบเสียหน่อย...”

    “โถ่ หลวงพ่อ เรื่องแค่นี้ โทรศัพท์มาก็ได้ ไม่เห็นจะต้องเรียกมาเลย”  เสียงทิดไม้ว่าเสียงดัง “มือถืออะ มือถือ ผมก็ถวายให้แล้วนิครับ”

    ทุกสายตาจับจ้องมายังต้นเสียงอย่างไม่พอใจ แต่หลายคนในนั้นก็อดเห็นด้วยกับทิดไม้ไม่ได้

    ทิดจิ๋มอ้าปากหมายจะว่ากล่าวอีกฝ่าย แต่พระอาจารย์โชติห้ามไว้

    “ที่โยมไม้พูดมาก็ถูก แต่พวกโยมมีกันตั้งเกือบร้อยแบบนี้ อาตมาเกรงว่าค่าโทรศัพท์จะบานตะไทนะสิ” ว่าแล้วก็หัวเราะในลำคอเช่นเดียวกับคนทั้งหมดยกเว้นเณรหนุ่ม เขารู้ดีว่าอารมณ์ขันของพระอาจารย์มักมาพร้อมกับเรื่องร้าย ๆ เสมอ “เหตุผลหลัก ๆ ที่อาตมาเรียกตัวพวกโยมมาก็เพราะอยากจะให้มารับรู้พร้อม ๆ กัน มีอะไรจะได้ซักถามอาตมาได้เลย ไม่ต้องไถ่ถามหรือคิดกันเอาเองว่าที่มาที่ไปของเรื่องเป็นอย่างไร”

    “แล้วมันเรื่องอะไรล่ะเจ้าคะ” แม่ชีทิพย์ว่าเป็นคำแรกหลักจากเงียบมานาน

    พระชรานิ่งไปพักหนึ่งก่อนว่า “อีกไม่ช้าสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้น”

    เสียงดังเซ็งแซ่อื้ออึงปรากฏขึ้นฉับพลันนั้น

    “มิคสัญญีหรือครับ” เสียงดังมาจากมุมหนึ่งของพระอุโบสถ ต้นเสียงคือเด็กชายทองดีที่บัดนี้ในตาลืมค้างราวกับตกอยู่ในภวังค์ อีกทั้งเสียงที่เปล่งออกมานั้นก็ชรากว่าร่างกายภายนอกมาก

    พระอาจารย์โชติผงกศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงรับคำนั้น และมันยิ่งเพิ่มความโกลาหนในหมู่คนทั้งหมดอีกหลายเท่าตัว

    “เงียบ!!!” ทิดจิ๋มลุกขึ้นยืนตะโกนลั่น “นิ่งแล้วก็ฟังพระอาจารย์ก่อน ท่านยังพูดไม่จบเลย”

    เมื่อทุกเสียงเงียบลงแล้ว ชายร่างท้วมก็เชิญให้พระอาจารย์โชติกล่าวต่อ

    “อาตมาลองคำนวณโมงยามดูแล้ว คาดว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นตอนสองยามคืนนี้...ก่อนเที่ยงคืน”

    “แต่ว่า...” ทิดไม้เอ่ยเสียงเบาคล้ายรำพันกับตัวเอง “มันต้องอีกสองพันปีไม่ใช่เหรอ”

    “อาตมาก็คิดอย่างนั้น” พระอาจารย์ชราว่า “แต่ไม่ว่าอาตมาจะคำนวณเท่าไร ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น...คืนนี้” คำหลังนั้นพระอาจารย์กล่าวอย่างเลือนลอยไร้จุดหมายคล้ายตกอยู่ในภวังค์ยากหยั่งถึง

    ความเงียบเข้าปรกคลุมคนทั้งหมด คำของพระชราซึมลึกกัดกินเข้าไปภายในอิฐปูนและร่างเนื้อ ก่อร่างความหวาดหวั่นขึ้นในจิตใจของทุกผู้ทุกนามที่อยู่ภายในพระอุโบสถนั้น ทุกใบหน้าซีดขาวราวกับเผือกต้มสุก บางร่างสั่นสะท้านด้วยความกลัวราวกับมองเห็นความดำมืดอนาธการอยู่ตรงหน้า ทิดไม้นั่งเหงื่อกาฬไหลทะลักอยู่ภายในเสื้อสูทตัวหนา สองไหล่ลู่ลงจนดูราวกับเขากำลังแบกเขาพระสุเมรุไว้บนไหล่ ทิดจิ๋มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตั้งเข่าหมายลุกขึ้นเดินแต่ขาก็สั้นเทาจนไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แม่ชีทิพย์ที่ดูสงบนิ่งที่สุดก็ยังต้องใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่หน้าอกตัวเองเพื่อปลอบโยนหัวใจที่กระตุกเต้นไม่เป็นจังหวะ

     “เราหยุดมันได้ไหมครับพระครู” ทองดีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบทั้งหมด ทุกสายตาจับจ้องไปยังพระชราอย่างมีความหวัง

    “มี...” เสียงถอนหายใจแว่วมาจากหมู่คนทั้งหมด “แต่...” พระชราหันใบหน้าไปทางเณรหนุ่ม

    “อย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะ” เสียงทิดไม้ร้องขึ้น ก่อนอีกหลายเสียงจะรับคำนั้นพร้อมกับตั่งท่าลุกขึ้นตามเสียงผู้พูดไป

    “อย่าเพิ่งสิโยม” พระอาจารย์พูดเสียงเรียบและเบา แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง “เรื่องนี้ไปกันมากไม่ดี พาลจะเสียเรื่องเปล่า ๆ”

    “ทำไมละครับหลวงพ่อ” ทิดไม้ตะโกนมาจากด้านหลัง

    “นั่นสิครับ” ทิดจิ๋มเสริม “ไปกันมาก ๆ จะได้เป็นเรี่ยวเป็นแรง ขาดเหลืออะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”

    พระชราพยักหน้าอย่างยอมรับและเข้าใจ “ความจริงเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้คนเพียงแค่คนเดียว แต่หากพวกโยมต้องการจะไปด้วย อาตมาอนุญาตได้แค่ไม่เกินสี่เท่านั้น”

    “คนเดียวหรือเจ้าคะ” มีชีพิทย์ทวนคำ

    พระอาจารย์พยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจยาว “ยังมีอีกเรื่องที่อาตมาต้องการจะให้โยมทุกคนได้รับรู้เป็นพยานจึงเรียกพวกโยมมาวันนี้...เณร” พระชราจบคำด้วยการหันเรียกผู้เป็นศิษย์ อีกฝ่ายคลานเข่าเข้ามานั่งข้าง ๆ แต่พระอาจารย์ก็ดันได้เณรหนุ่มมานั่งประจันหน้ากับตนเอง “เณร...เณรบวชเรียนมากี่ปีแล้ว”

    สามเณรหนุ่มพนมมือแนบอกก่อนตอบ “ห้าปีครับ”

    “อือ...” พระอาจารย์ลากเสียงยาวเป็นเชิงรับคำนั้น “ห้าปีแล้วสินะ ตั้งแต่พ่อของเณรหมดบุญ...เวลาช่างเร็วเหลือเกิน”

    เณรหนุ่มเม้มปากแน่นพร้อมกับมองลงต่ำ

    “เณร อย่าเศร้าไปเลย พ่อของเณรไปดีแล้ว” พระชราว่าพรางวางมือไว้บนไหล่อีกฝ่าย “ไหน บอกพระอาจารย์สิ ห้าปีมานี้พระอาจารย์ดูแลให้ความรู้เณรดีหรือเปล่า”

    “ทำไมพระอาจารย์ถามแบบนั้นละครับ”

    “ตอบพระอาจารย์มาเถอะ”

    “ดีสิครับ ดีมากด้วย พระอาจารย์เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งครู เป็นทั้ง...” เณรหนุ่มจนถ้อยคำจะอธิบายความรู้สึกภายใน จึงได้แต่ก้มหน้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหรือใครก็ตามเห็นน้ำตามที่เริ่มจะหลั่งริน เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

    “ดีแล้ว เพราะพระอาจารย์ก็กลัวอยู่ว่าจะทำอะไรขาดตกบกพร่องไปจนทำให้เณรเสียน้ำใจ เสียความรู้สึก”

    “นี่มันเรื่องอะไรกันหรือครับ” เสียทิดจิ๋มดังแทรกขึ้น

    พระอาจารย์พยักหน้าอีกหลายครั้งก่อนว่า “อาตมาจะให้ศิษย์ของอาตมาคนนี้สึก เพื่อจะได้เป็นกำลังช่วยพวกโยมหยุดสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

    แม่ชีทิพย์ค่อย ๆ คลานเข่าเข้ามาใกล้ก่อนว่า “ทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ เณรเขาอยากครองผ้าเหลืองจนเป็นพระ เรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้ ท่านเองก็น่าจะรู้ดียิ่งกว่าใคร”

    “อย่างที่อาตมาบอกไปแล้ว...”

    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะเจ้าคะ” แม่ชีทิพย์ตัดบทอย่างรีบร้อน “อย่าหาว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะเจ้าคะ แต่เรามีกันตั่งเป็นร้อย ข้างนอกอีกเป็นพัน กำลังน่ะมีมากพอแล้ว ถ้าเณรไม่สึกออกมาก็ไม่มีใครว่า”

    “เรื่องนั้นนะ...” พระอาจารย์เงียบไปก่อนว่าต่อ “เพราะเรื่องนี้มีแต่เณรเท่านั้นที่จะทำได้ เณรเท่านั้น”

    แม่ชีทิพย์ตั้งท่าจะเอ่ยต่อ แต่เณรหนุ่มแทรกขึ้น “ผมจะสึกครับ ถ้าพระอาจารย์ต้องการ”

    ทุกเสียงต่างเงียบกริบ แม้แต่แม่ชีทิพย์ก็คลานเข่ากลับไปยังที่นั่งเดิมของตนราวกับยอมรับความพ่ายแพ้ของตน

    พระอาจารย์พยักหน้ารับ “อย่างนั้นเรามาทำพิธีลาสิขาบทให้เณรเถอะ...”

    เสียงกระพือปีกของค้างคาวจางหายไปจากถ้ำพร้อม ๆ กับความมืดที่คลอบงำป่าไว้อย่างแน่นหนา หากแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าการเริ่มต้นของความอนาธการที่จะกลอบงำโลกไว้ทั้งโลกอีกนานแสนนานนั้น กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

    ..................

    “เสร็จสักที” สหัสนัยน์ร้องขึ้นเสียงดังหลังจากห้องน้ำห้องสุดท้ายในจำนวนสามสิบสองห้องทั่วทั้งค่ายถูกทำความสะอาดเรียบร้อย เด็กหนุ่มปาดเหงื่อด้วยหลังมือก่อนลุกขึ้นและคว้าถังน้ำติดมือเดินออกมา

    มันเป็นหนึ่งในบทลงโทษที่เขาคาดไว้แล้วว่าจะได้รับหลังจากเดินเข้าไปสารภาพกับหัวหน้าครูฝึกว่าคนที่เอาถังน้ำไปตักโคลนและวางไวที่กรอบประตูคือเขาเอง

    “มันสมควรโดนมั้ย” เป็นคำแรกที่จ่าชัยถามขึ้นหลังจากฝังเรื่องราวทั้งหมดจบ

    “ครับ?” สหัสนัยน์รับคำเป็นเชิงถาม เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือเปล่า

    “ฉันถามว่า ไอ้เด็กคนนั้นมันสมควรโดนมั้ย”

    อีกฝ่ายนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบเสียงเรียบ “มันสมควรโดนมากกว่านี้ด้วยซ้ำ”

    ครูฝึกชัยหัสเราะเบา ๆ ก่อนว่า “ไปล้างห้องน้ำให้หมดทั้งค่าย แล้วค่อยไปรอบกองไฟ ทำให้สะอาดนะ ถ้าไม่สะอาดฉันจะให้เธอล้างใหม่ตอนเช้า...ไปได้แล้ว” เขาโบกมือเป็นเชิงไล่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารสองสามอย่างในมือต่อไป

    นาฬิกาที่โทรศัพท์ของสหัสนัยน์บอกเวลาสี่ทุ่มสองนาที นั่นแปลว่าเขาใช้เวลาล้างห้องน้ำทั้งสามสิบสองห้องไปสามชั่วโมงสี่สิบสองนาที นับว่าไม่เลวนักแต่ก็ไม่ได้ดีอย่างที่เขาคิดไว้

    เด็กชายเงยหน้ามองดูพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ส่องแสงสีเงินซีดไปทั่วค่ำคืนอันเงียบสงบท่ามกลางป่าเขาอันสันโดษ เสียงเพลงอะไรบางอย่างดังมาจากทางลานกว้างที่ใช้เป็นสถานที่ในการชุมนุมยามค่ำคืน จากจุดที่สหัสนัยน์ยืนอยู่สามารถเห็นกิจกรรมเหล่านั้นได้ชัดเจน กองไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ตอนนี้มันลดทอนแสงลงจนกลายเป็นเพียงแค่กองฟืนที่มีไฟปะทุอยู่ข้างใต้ เด็กชายหญิงนับร้อยชีวิดต่างตลบมือไปตามจังหวะเพลงที่ถูกขับร้องผ่านเครื่องขยายเสียง การแสดงของหมู่ไหนสักหมู่ทำลังจะเริ่มขึ้น เสียงรั่วกลองสร้างความตื่นเต้นขณะที่จ่าชัยกำลังสุ่มเด็ดฉลากจากพุ่มฉลากที่เป็นต้นไม้ปลอมเล็ก ๆ อยู่ในกระถางดูน่าอนาถใจ

    “หมู่ควายป่า” ครูชัยกลอกเสียงใส่ไมค์อย่างตื่นเต้น ลูกเสือและเนตรนารีส่งเสียง ‘ฮุ ๆ ๆ ๆ’ พร้อมกันเป็นจังหวะเร่งเร้าขึ้นทุกทีก่อนจะกลายเป็นเสียงโห่ร้องให้กำลังใจเมื่อเห็นสมาชิกนักแสดงเดินเรียงแถวออกมาอยู่ด้านหน้า

    ภาพนั้นทำให้สหัสนัยน์ผุดยิ้มขึ้นมา

    คู่แฝดธงไทยเปลือยท่อนบนพรางโบกมือไปมาเหมือนไม่รู้จักความหนาว บนหัวของทั้งคู่มีมัดของกิ่งไม้อยู่สองมัด โค้งงอเขาหากันดูคล้ายเขาควาย

    กนกเองก็สวมเขาที่ทำจากมัดกิ่งไม้ด้วยเช่นกัน แต่กลับก้มหน้านิ่งด้วยความอาย อาจจะเพราะแทนที่จะเปลือยท่อนบนเหมือนคู่แฝด กรกกลับเอาเสื้อชันในสีชมพูของใครสั่งคนมาใส่แทน

    นอกจากไทย ธง และกนกแล้ว ทั่งม่อน ขุน และบุญทิ้งก็อยู่ที่นั่นด้วย ม่อนเปลือยท่อนบนแต่มีสังวาลสีทองสวยสวมอยู่ ส่วนขุนแต่งตัวลำลองธรรมดาเช่นเดียวกันกับบุญทิ้ง

    “กราบสวัสดีครับพ่อแม่พี่น้อที่เคารพรักยิ่ง” บุญทิ้งพูดขึ้นทันทีที่เสียงตลบมือซาลง เขาพูดเสียงรัวเร็วทุ่มต่ำและแบ่งวรรคคำบ่อย ๆ เหมือนโฆษกงานวัด ซึ่งมันฟังดูตลกมากสำหรับสหัสนัยน์ “วันนี้คณะลิเกกาสรพนาไพรของเรา ในวันนี้ ขอเสนอลิเก ผลงานชิ้นโบว์แดงแรงร้อนตามท้องเรื่องในวรรคดีชิ้นยอดของประเทศไทย รามเกียรติ์  ซึ่งคณะของเรานี้ ได้ตัดเอาตอนหนึ่งตอนเดียวเท่านั้นมาทำการแสดง เพราะหากแสดงจบหมดตลอดทั้งเรื่องแล้ว บ่ายสามของวันพรุ่งเราก็คงยังเล่นกันไม่จบเป็นแน่แท้ ดังนั้นจึงของ ตัดเอาตอนหนึ่งตอนเดียวเท่านั้นมากทำการแสดง นั่นคือตอน กำเนิดทรพี เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ต่อจากนี้ จะเป็นการออกแขก ก่อนการแสดงลิเกขอคณะเรา และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จึงขอเรียนเชิญ มือกลอง รัวกลองเป็นทำนองออกแขกด้วย”

    มือกลองที่ตอนนี้นั่งหัวเราะงอหายไม่หยุด ต้องกลั้นหายใจตีกลองเป็นจังหวะตามคำเรียกร้องของบุญทิ้ง สมาชิกทุกคนเริ่มเดินวนไปรอบ ๆ กองไฟพร้อมเต้นท่าที่คิดว่าเหมือนท่าเต้นอินเดียมากที่สุดไปด้วย ซึ่งมันที่พิลึกพิลั่นและติ๊งต้องเสียมากกว่าจะเป็นการออกแขกก่อนแสดงลิเก

    สหัสนัยน์ยิ้มและหัวเราะไปกับท่าทางเหล่านั้นของเพื่อน ๆ และเป็นวินาทีนั้นเอง...เป็นวินาทีนั้นเองที่เด็กชายรู้สึกเสียดายอะไรบางที่เขากำลังจะละทิ้งมันไป อะไรบางอย่างที่เขาเพิ่งได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกในชีวิต อะไรบางอย่างที่เขาไม่อยากจะสูญเสียไปอีกแล้ว อะไรบางอย่างนั้น...

    ขาข้างหนึ่งของเขาก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว  

    เสียเวลามากไปแล้ว เสียงภายในใจของสหัสนัยน์ดังมา ถ้าไม่ไปตอนนี้ ก็หมดโอกาส

    เด็กหนุ่มชักเท้าของตัวเองกลับมา นี่คือสิ่งที่เขาเลือก เป็นสิ่งที่เขาตั่งใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องทำให้ได้...และเขาจะทำให้ได้

    “เธอมาทำอะไรแถวนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เด็กชายตกใจจนร้องออกมาเสียงหลงก่อนจะหันไปทางต้นเสียง

    เจ้าของเสียงคือครูประจำชั้นของเขาเอง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนึกชื่อของครูคนนี้ไม่ออก

    “ครับอาจารย์?”

    “ครูถามว่ามาทำอะไรแถวนี้” อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาสหัสนัยน์อย่างรวดเร็วพรางจับไหล่ไว้แน่นอย่างโกรธ ๆ แต่วินาทีต่อมาเขากลับถอนหายใจยาวออกมาแทน “ครูมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอหน่อย...เกี่ยวกับแม่เธอ...คิดว่าคงคุยกันตรงนี้ไม่เหมาะ ไปคุยกันที่โรงอาหารจะ...”

    “ผมรู้แล้วครับ...” สหัสนัยน์ตัดบทด้วยใบหน้าเรียบเฉย “แต่ผมอยากจะเข้าค่ายกับเพื่อน ๆ ...พรุ่งนี้นะครับ ให้ผมกลับบ้านพรุ่งนี้พร้อมกับเพื่อน ๆ เพราะ...บางทีมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้...” เด็กชายพูดยืดยาวอ้อนวอนราวกับท่องจำมาจนขึ้นใจ ครูประจำชั้นร่างท้วมถอนหายใจยาวอีกครั้งพรางใช้ฝ่ามือกุมขมับตัวเองแน่น

    “ก็ได้ ๆ” เขาพูดขึ้นในที่สุดหลังจากเงียบไปหลายวินาที “แต่พรุ่งนี้เช้า เธอต้องไปรายงานตัวกับครู เราจะให้เธอนั่งรถแยกไปต่างหาก เพื่อเธอจะได้...”

    “ครับ ขอบคุณครับ” เด็กชายเอ่ยเสียงรัวเร็วก่อนจะวิ่งหายไปตามทางเดินโดยไม่ฟังเสียงของอีกฝ่ายที่ตะโกนตามหลังมา

    เห็นมั้ย บอกแล้วว่าอย่าโอ้เอ้ เด็กชายนึกกรนด่าตัวเองในใจพรางวิ่งกลับมาที่โรงนอน เก็บเสื้อผ้าและข้าวของทุกชิ้นยัดลงในกระเป๋า ไม่มีเวลาแล้ว หากครูนึกเปลี่ยนใจขึ้นมาอาจจะทำให้แผนการหนีออกจากค่ายครั้งนี้ของเขาล้มเหลวก็เป็นได้

    สหัสนัยน์คว้าถุงเท้าและร้องเท้าผ้าใบมาใส่แทนรองเท้าฟองน้ำที่ตนสวมอยู่ ก่อนจะหันมาเปลี่ยนกางเกงลูกเสือที่เขาสวมอยู่มาเป็นกางเกงยีนส์ขายาวแทน

    “เสื้อยืด เรียบร้อย” เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ คล้ายต้องการเช็คความเรียบร้อย “กางเกงยีนส์ เรียบร้อย ร้องเท้าผ้าใบ เรียบร้อย ผ้าพันคอ...ต้องเอาผ้าพันคออกด้วย” เขาว่าพรางถอดผ้าพันคอและยัดลงในกระเป๋า “เรียบร้อย ต่อไป...ตั๋วรถไฟ” เด็กชายหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกดโทรออก

    ปลายสายรับเมื่อเพลงรอสายกำลังจะเข้าท่อนฮุก “ช้า...ไหนบอกสี่ทุ่มไง”

    “สี่ทุ่มครึ่ง ไม่เกินห้าทุ่ม รถไฟออกไปหรือยัง”

    “ยังมาไม่ถึงเลย...นี่ ไอ้น้องช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย”

    “เอาเหอะน่า ไม่มีอะไรผิดกฎหมายหรอก ผมแค่จะไปหาพ่อที่ใต้ แค่นั้น”

    “ไม่ใช่ว่าจะหนีออกจากบ้านหรอกนะ”

    “จะเอามั้ย เงินน่ะ”

    “เออ ๆ ๆ สองพันนะ”

    “เฮ้ย พันเดียวไม่ใช่หรือไง”

    “มันขึ้นตามเวลาที่น้องมาช้าไง ถ้ายังช้าอีก จะเป็นสามพัน”

    “เออ ๆ จะรีบไป” เด็กชายกดวางสายโทรศัพท์และคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายก่อนจะนึกขึ้นได้

    เขาเอื้อมมือล้วงเอาสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋า และตัดสินใจจะเอามันไปให้กับปราชญ์

    ‘ถ้าเอาไปให้ที่รอบกองไฟคงไม่ได้ คนเยอะเกินไป อาจจะมีคนเห็น...’ เขาคิดอย่างรวดเร็วพรางก้าวเท้าเดินไปยังประตูหอนอน ‘เอาไปทิ้งไว้ที่ห้องพยาบาลจะดีกว่า ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่ ’

    เขาตัดสินใจพรางเอื้อมมือไปหมายจะเปิดประตู แต่บานประตูกลับเปิดออกก่อนที่เขาจะทันเอื้อมถึง ใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น....


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×