ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยมทูตสหัสนัยน์

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 1.6

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 56


    ภาพท้องนาจากมุมสูงทำให้จิตใจของสหัสนัยน์พองโต เมื่อมองจากตรงที่เขายืนอยู่ต้นข้าวสีเขียวอ่อนก็ดูเหมือนผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ที่ทอดตัวตามแนวขวางไปหลายสิบกิโลเมตร ขนาบข้างด้วยหน้าผาสูงที่เด็กชายยืนอยู่กับภูเขารกทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งห่างออกไปเกินสิบกิโลเมตรและทอดตัวยาวตามแนวท้องนาไปไกลสุดลูกหูลูกตา แสงอาทิตย์สีส้มจัดของเวลาสิบโมงสาดลงมาจากด้านหลังของเด็กชาย ชาวนาที่เป็นแค่จุดเล็ก ๆ  หลายสิบกำลังเคลื่อนที่ไปมาอยู่ทั่วบริเวณ บ้างผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในท้องนา บ้างเดินอยู่บนคันนาพร้อมแบกสิ่งของไว้บนไหล่ บ้างลากจูงสัตว์สี่ขาตัวสีดำออกจากคอกเพื่อเทียมเกวียนลากจูง 

    “เคยเห็นเกวียนของจริงไหม”  เสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้างของสหัสนัยน์ เจ้าของเสียงคือบุญทิ้งที่ตอนนี้ยืนกอดอกมองลงไปด้านล่าง

    “อย่างว่าแต่เกวียนเลย ควายยังแทบไม่เคยเห็น” เขาตอบพรางหัวเราะ 

    อีกฝ่ายหัวเราะ  “ใช่ ๆ ...เดี๋ยวนี้เขามีพวกควายเหล็กอะไรนั่นใช่ไหม”

    “รถไถ่นา”  สหัสนัยน์แก้อย่างรู้ทันพรางหัวเราะ  “เออ อันนี้โดน ขำดี ๆ” 

    อีกฝ่ายหันมามองเหมือนกำลังบอกว่า ‘ไม่ใช่มุข’

    ไอ้นี่ท่าจะบ้า

    “นั่นแหละ ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่ จริง ๆ นะ พ่อฉันเคยบอกว่าควายคือเพื่อนของชาวนา มันไถ่นา ลากเกวียน และก็เป็นเพื่อนกินเหล้าที่เงียบดี” เขาหัวเราะ

    “พ่อนายทำนาเหรอ”  สหัสนัยน์เอ่ยถาม

    “ใช่...แต่มันก็เรื่องเมื่อปีมะโว้แล้วละ”  แม้อีกฝ่ายจะยิ้มแต่บางอย่างในคำนั้นทำให้สหัสนัยน์รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

    ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง แดดเริ่มแผดแสงร้อนแรงขึ้นทำให้สีของต้นข้าวกระจ่างใสกว่าเดิม  ท้องน้ำในนาที่ยังไม่ได้ดำหว่านสะท้อนแสงเป็นระยับ ท้องฟ้าไร้เมฆบดบัง สายลมเย็น ๆ พัดมาทำให้ป้ายที่แขวนอยู่กับต้นไผ่ส่งเสียงแปล่งหู มันถูกมัดไวอย่างหลวม ๆ ด้วยเชือกฝากสีฟ้าสด ข้อความบนป้ายนั้นอ่านได้ความว่า  “ฐานนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว” 

    สิ้นคิด เด็กชายคิดพรางพ่นลมหายใจอย่างนึกตลกปนเวทนา ไร้ประโยชน์แท้ ๆ

    “ชีวิตสั้นเกินกว่าจะร้องให้และเคียดแค้นกรรมที่คนอื่นก่อ”  เสียงนั้นของบุญทิ้งทำลายความเงียบ  มันเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็ดังพอให้เด็กชายหันมาสนใจ

    “อะไรนะ” สหัสนัยน์หันมาทางอีกฝ่าย พยายามคิดว่ามันเป็นมุขหรืออะไร

    เขาหันมาอย่างเร็วเหมือนไม่คิดว่าจะมีใครได้ยิน ก่อนจะยิ้ม “คำพ่อฉันนะ...มาเถอะ  เสียเวลามากแล้ว” เขาว่าพรางหันหลังเดินกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ

    ประสาท  สหัสนัยน์คิดแค่นั้นและเดินตามหัวหน้าหมู่ไป   

    สมาชิกที่เหลือของหมู่ควายป่ากำลังนั่งอยู่ภายในศาลาเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นจากปูน  ภายในนั้นประดิษฐานพระพุธรูปปางธุดงค์สีทองเหลืองสะอาดและอ่อนช้อยงดงามไร้ที่ติ  เด็กชายทั้งสองยกมือไหว้ก่อนจะคลาดเข้าไปนั่งที่หน้าองค์พระ

    “เป็นจั๋งได๋เบิ่ง”  บุญทิ้งถามด้วยภาษาถิ่นอีสาน (ซึ่งไม่ตลกเลยสักนิด) พรางเข้าร่วมกับคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้มุงดูมือของหนึ่งในคู่แฝด

    “ก็พองดิ ถามได้” ไทยพูดพรางกางมือของน้องที่อายุห่างกันสามนาทีไว้ ผิวหนังของฝ่ามือลอกออกจนเห็นเนื้อสีแดง ๆ ของชั้นหนังแท้ น้ำสีใสเอ่อขึ้นทั่วแผล “เจ็บไหมวะ ธง”

    “ไม่เจ็บมั้ง”

    “ก็บอกแล้วว่าให้ระวังกองไฟ”  ผู้เป็นพี่จบคำด้วยการจบหัวน้องชาย 

    เรื่องของเรื่องก็คือ ฐานต่อจากฐาน ‘อสรพิษ’  คือฐาน  ‘ก่อกองไฟ’  ครูฝึกให้ลูกเสือก่อกองไฟโดยใช้เศษไม้แห้งและสิ่งของที่ติดตัวมา  ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนเมื่อธงล้มบนกองไฟที่มอดแล้วเพราะสะดุดอะไรบางอย่าง โชคยังดีที่เขาใช้มือยันพื้นไว้ได้ทัน แต่มันก็แลกด้วยการที่ฝ่ามือของเขาพองอย่างที่เห็น

    ธงเริ่มต่อว่าไทยและทั้งคู่ก็เริ่มเถียงกันอีก

    “พอ ๆ ๆ ๆ”  กนกพูดเสียงรัว ๆ “เอาไงดี หน. เรากลับไปที่ค่ายกันก่อนไหม”

    บุญทิ้งทำท่าคิด มันจะมีบางวินาทีที่เขาทำตัวเหมือนผู้นำหมู่ที่ดี แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะเป็นคนพูดมากที่ดีแต่พูดมุขตลกฝืด ๆ “แบบนั้นคงจะดีกว่า”

    “เฮ้ย”  ธงร้องขึ้น “เรายังไปไหวนะ แผลแค่นี่เอง” 

    “แต่ถ้าฐานต่อไปต้องใช้มือยกหรือจับอะไรละ มือนายไม่แหกหมดไง”  สหัสนัยน์ว่าพรางจับมือของธงมาดูใกล้ ๆ น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวแผลเลยแม้แต่น้อย “ถึงมันจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าไม่ใส่ยาให้ดีก็เจ็บไปหลายวันเลยนะ” 

    “มึงเป็นหมอเหรอถึงรู้” ม่อนตะโกนมาจากด้านนอกศาลา

    “เงียบไปเลยไอ้ม่อน”  ขุนตะโกนตอบ “แค่ช่วยดูแผลยังไม่กล้าเลยมึงอะ”

    ไอ้ม่อนทำท่าจะวิ่งเข้ามา แต่ก็ชะงักกลางคัน สหัสนัยน์คิดว่าอีกฝ่ายคงกลัวแผลน่าดู อาจจะถึงขั้นแค่คิดถึงแผลบนมือของธงก็ทำให้ม่อนแทบไม่มีแรงก้าวขา

    “แต่ถ้าเราเดินกลับ ก็เก็บฐานบนนี้ไม่ครบนะ เราไม่อยากแพ้ว่ะ”  ธงว่า 

    “แต่มือนายก็แย่นะ ชนะหรือแพ้ก็ช่างมันเถอะ” สหัสนัยน์พูดพรางพินิจมือของธงและเริ่มรู้สึกถึงสายตาทุกคนที่มองมาที่เขาเหมือนเขาพูดอะไรผิด

    ความเงียบเข้าปรกคลุมหมู่ควายป่าโดยฉับพลัน

    เอาอีกแล้ว ไอ้ปากพาซวย ไอ้สมองหมา เด็กชายนึกด่าตัวเอง

    “ถ้าธงบอกว่าไหวก็คือไหว” บุญทิ้งเอ่ยขึ้นเพื่อสรุปความ “อีกอย่างถ้าเราเดินไปถึงฐานต่อไป ครูประจำฐานน่าจะมี ว.นะ ไปถึงฐานแล้วดูก่อนว่าไหวไหม  ถ้าไม่ไหวค่อย ว.เรียกหน่วยพยาบาล” เขาหยุดเพื่อมองทุกคนเหมือนขอความเห็น สมาชิกทุกคนพยักหน้าตอบ “งั้นก็ตามนี้ โอ้เย้ ๆ ออกเดินทางต่อ!!!

    เส้นทางต่อจากฐาน ‘นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว’ เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างสบายกว่าที่ผ่านมา  เพราะเป็นทางลาดลงที่ไม่ชันมากนัก  แถมทางยังเป็นทางลูกลังที่เรียบพอใช้  เวลาเดินจึงไม่ต้องกลัวว่าจะลื่นเม็ดกรวดจนล้ม

    สหัสนัยน์ถูกทิ้งให้เดินรั้งท้ายสุดของหมู่ เข้าได้แต่มองไปยังแผ่นหลังของเพื่อน ๆ ที่ตอนนี้พุดคุยกันสนุกสนานพรางไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป อันที่จริงแม้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาจะไม่มีคนคุยกับเขามากนักแต่เขาก็ได้รับการยอมรับมากพอที่จะเดินไปด้วยกัน แต่ตอนนี้เขากลับถูกทิ้งไว้ที่ด้านหลัง...ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง

    “เป็นไง ไหวใช่ไหม” บุญทิ้งที่ชะลอฝีเท้าออกจากกลุ่มเอ่ยขึ้น

    “สบายมาก” สหัสนัยน์ว่าพรางปั้นยิ้ม

    บุญทิ้งมองหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ เหมือนสงสัย “เป็นอะไร  ทำหน้าเหมือนใครตายเลย”

    ความเจ็บปวดแผ่ซานในอกเขา มันเจ็บเหมือนมีใครเอามีมากรีด แต่อีกฝ่ายไม่รู้ ไม่มีใครรู้...“ช่างเหอะ” 

    “บอกมาเถอะ...” บุญทิ้งว่าก่อนจะเริ่มสังเกตเห็น “เรื่องที่ศาลานะเหรอ” 

    “โน่นด้วย นี่ด้วย” สหัสนัยน์พยักหน้าไปทางกลุ่มคนที่เดินอยู่ห่างออกไป “เราทำหรือพูดอะไรผิดวะ ก็มือธงมันแย่นะ แค่จะกำมือยังไม่ได้เลย” 

    “นายพูดถูก แต่ธงก็บอกเองว่าเขาไหว”

    “ก็ใช่ แต่เพราะไม่อยากแพ้...จะชนะหรือแพ้มันก็ช่างแม่งเหอะ ถ้าต้องเจ็บตัวแบบนั้นมันจะดีตรงไหนวะ”

    ใช่ เสียงในหัวของเขาดังขึ้น ถ้าต้องเจ็บ ต้องทรมาน จะชนะไปทำไม 

    บุญทิ้งหัวเราะกับท่าทีจริงจังของอีกฝ่าย 

    “หัวเราะไรวะ เราพูดเรื่องจริงนะ”

    หัวหน้าหมู่พยายามกลั้นหัวเราะก่อนว่า  “ก็นายไม่เก็ตเลย”

    “เก็ตไร”

    “นายเข้าค่ายกันบ่อยไหม หมายถึง...แบบนี้นะ”

    สหัสนัยน์ทำสีหน้าเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาจากดาวดวงไหน “ครั้งหรือสองครั้ง  เฉพาะตอนม.ต้น นี่นายอยู่โรงเรียนเดียวกับเราจริง หรือว่า...”

    “แล้วจะมีสักกี่ครั้งที่นายจะเชื่อใจเพื่อนได้มากเหมือนตอนนี้”  บุญทิ้งเอ่ยขึ้นขัดสหัสนัยน์ที่ตอนนี้จนด้วยถ้อยคำโต้แย้ง เขาได้แต่เหม่อมองไปยังแผ่นหลังของคนอื่น ๆ “ใช่ไหมละ...ไม่ใช่ว่าธงเขาไม่เจ็บ หรืออยากชนะ มันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย เขาแค่เชื่อใจเพื่อน...เชื่อใจฉัน เชื่อใจนาย เชื่อว่ามันจะไม่เป็นไรถ้าจะไปตะลุยฐานกันต่อ เพราะแค่เราเชื่อใจกันและแค่นั้นก็มากพอแล้ว...” บุญทิ้งหยุดครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ  “นายเองก็น่าจะเริ่มเชื่อใจใครสักคนบ้างนะ...”

    ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง ในหลาย ๆ วินาทีสหัสนัยน์เหมือนพยายามเอ่ยคำบางคำแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เพราะมันยากเกินไป เศร้าเกินไป และเจ็บปวดเกินไป

    เสียงตะโกนของม่อนดังมาไกล ๆ “เห็นฐานแล้ว  มาเร็วเถอะ” 

    สหัสนัยน์กับบุญทิ้งมองหน้ากันก่อนจะวิ่งไปรวมหมู่และจัดแถว ป้ายซึ่งติดอยู่กับต้นไม้ริมทางเดินบอกว่าฐาน ‘กำแพง’  อยู่ลึกเข้าไปในป่าริมทางซึ่งรกเหมือนป่าช้า ทั้งหมดตัดสินใจเดินตามป้ายไป ไม่ถึงสองร้อยเมตรก็เจอกับครูฝึกร่างยักษ์ซึ่งนั่งรออยู่บนเก้าอี้พราสติกแบบมีพนักพิงสีชมพูหวานซึ่งดูขัดกับสภาพแวดล้อมที่เป็นป่าไผ่สลับซับซ้อนอีกทั้งพื้นดินก็ถูกใบไผ่แห้งทับถมจนมองไม่เห็นดิน

    “ฐานกำแพง”  เขาว่าหลังจากบุญทิ้งแนะนำหมู่และแสดงความเคารพแล้ว  “ปีกกำแพง  แค่นั้น”  เขาชี้ไปยังกำแพงซึ่งอยู่ด้านหลังของเขา  มันเป็นกำแพงรูปสีเหลี่ยมจัตุรัสขนาดราวสามเมตรคูนสามเมตรที่ทาสีลายพรางกระดำกระด่างแถมยังดูเอียง ๆ เหมือนจะล้มแหล่มิล้มแหล่  ถ้าจะให้เดา  สหัสนัยน์คิดว่ามันน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าพันปีแน่...ถ้าเมื่อพันปีก่อนมีอิฐกับปูนน่ะนะ...

    “เราปีนไม่ไหวแน่ ...”ธงว่าพรางชูมือของตัวเองขึ้น

    “กูก็ไม่ไหว”  ม่อนโอดครวญหลังจากลองกระโดดสองสามครั้ง  “มันสูงเกินไป” 

    ขุนซึ่งมีความสูงมากที่สุดในกลุ่มเดินไปยังกำแพงและเริ่มกระโดด  เขาลองอยู่ห้าครั้งกว่าจะสามารถปีนขึ้นไปนั่งบนกำแพงได้

    “ก็มึงสูงนิหว่า” ม่อนว่า “ไอ้เปรต” 

    “ช่วยไม่ได้ มึงอ้วนเตี้ยเองนิ” 

    จบคำนั้นไอ้ม่อนก็ตะโกนลั่นว่า ‘กูทนไม่ไหวแล้วโว้ย’  ก่อนจะตรงเข้ากระชากขาของขุนจนอีกฝ่ายตกลงมากับพื้นก่อนทั้งคู่จะตะลุมบอนกันยกใหญ่ คนอื่น ๆ พยามเข้าห้ามแต่ก็ดูจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก จนเสียงนกหวีดแหลมดังขึ้น

    “หยุด ๆ หยุดเลย” เสียงตะคอกเฉียบขาดของครูฝึกดังมา “ถ้าจะตีกันก็กลับไปตีกันที่บ้านโน่น...ทั้งหมด  หมอบ!!!” 

    จบคำนั้นสมาชิกหมู่ควายป่าก็ลงนอนเอาอกแนบพื้นกับฝุ่นตลบ

    “ไม่มีความสามัคคี  แตกคอกันเอง  กลิ้ง!!!  กลิ้งไปจนถึงก่อไฝ่โน่นเลย”

    ทั้งหมดพลิกตัวกลิ้งไปทางขวามือของตัวเอง ไม่มีเสียงบ่น ไม่มีเสียงต่อว่า จะมีก็แต่เสียงลมหายใจฟึดฟัดที่ดังออกมาทางจมูก ทั้งหมดกลิ้งตัวจนติดโคนก่อไผ่  คนแรกที่ถึงคือขุนที่อยู่หัวแถวสุด  ตามมาด้วยม่อน  คู่แฝด  กนก บุญทิ้ง  และสหัสนัยน์

    “เบา ๆ ดิว่ะ จะแบนอยู่แล้ว” เสียงขุนกระซิบ

    “เงียบ!!!” ครูฝึกตะคอกอีกครั้ง “กลิ้งกลับไป  เร็วเซ่  กลิ้ง!!!

    ทุกคนทำตามโดยไม่พูดอะไรอีก

    กลังจากที่ทั้งหมดกลับมาจุดเดิม ครูฝึกก็สั่งให้ลุกขึ้นและบอกว่าถ้าข้ามกำแพงไม่ได้ หมู่ควายป่าจะต้องถูกลบห้าคะแนน พอพูดจบเขาก็เดินกลับๆไปนั่งบนเก้าอี้พลาสติกมีพนักสีชมพูหวานตามเดิม       

    สหัสนัยน์ปัดฝุ่นและเศษใบไผ่ออกจากตัวก่อนจะเรียนรู้ว่าใบไผ่แห้งเมื่อถูกผิวหนังจะคันได้อย่างเหลือเชื่อ  เหมือนมันจะหย่อนรากลงบนเนื้อและเติบโตเป็นต้นไผ่ได้เลยที่เดียว เขาเริ่มเกาไปทั่วตัวก่อนจะได้ยินเสียงม่อนดังมา

    “คันชิบเป๋งเลย” เขาว่าพรางปัดใบไผ่ออกจากตัวพร้อมเกาตามเนื้อหนังไปพร้อมกัน

    “อย่าบ่นนักเลยน่า มาคิดกันดีกว่าว่าจะข้ามไปยังไง” กนกว่าก่อนจะจบคำด้วยการหันไปหาบุญทิ้ง  “ว่าไง  หน.”

    หัวหน้าหมู่ควายป่าส่ายหน้า “โนคอมเม้นต์ฮ่ะ”

    “ไม่ไหวแน่เลย...” ธงว่าพรางมองดูมือสีแดงของตัวเองซึ่งตอนนี้มันเริ่มกลายเป็นสีแดงสดเหมือนลูกมะเขือเทศแล้ว “รู้สึกเหมือนมันจะบวมขึ้นมานิดนึงด้วยนะ”

    “โถ่โว้ย” ขุนตะโกนอย่างโมโหซึ่งอาจเป็นเพราะความเป็นนักกีฬาที่ไม่ชอบยอมแพ้ง่าย ๆ  “อุตส่าห์มาถึงนี่แล้วแท้ ๆ” 

    สหัสนัยน์ไม่ได้ยินคำต่อจากนั้นของเพื่อนคนอื่น ๆ เขาเริ่มมองไปยังกำแพงและนับจำนวนคนสลับกันไปมาสามสี่ครั้งเหมือนตุ๊กตาหน้ารถที่หัวส่ายไปมาเวลาขับ 

    “ต่อตัว...” สหัสนัยน์เอ่ยขึ้นเบา ๆ  ก่อนจะหันไปทางเพื่อน  “ถ้าต่อตัวกันขึ้นไปน่าจะได้” 

    “อะไร?  เหมือนกายกรรมน่ะเหรอ” ม่อนขมวดคิ้วแน่น “จะบ้าไง”

    “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่ให้มีคนอยู่ที่ฐานกำแพงสองคน แล้วคนอื่นก็เหยียบหน้าขาของสองคนนั้นขึ้นไป”

    “ไม่พอหรอก กำแพงสูงจะตาย” ธงว่าอย่างถอดใจ

    “งั้นก็เหยียบมือ หรือไม่ก็เหยียบหัวไหล่” เสียงของเด็กชายแสดงถึงความดื้อดึงอย่างแข็งกล้า “ถ้าไม่พออีกก็เหยียบหัวขึ้นไปเลย”

    “พูดอ่ะมันง่ายนะ” ขุนเอ่ย “เพราะยังไงตัวเราก็กระโดดถึงอยู่แล้ว แต่คนอื่นล่ะ ใครมันจะยอมให้คนอื่นมาเหยียบหัวเหยียบไหล่”

    “ไม่ต้องเลยมึงอะ ตัวสูงต้องอยู่เป็นฐาน” ม่อนว่าน้ำเสียงหาเรื่องจนทั้งคู่เกือบวางมวยกันอีกรอบถ้าสหัสนัยน์ไม่พูดขึ้น

    “เราอยู่เป็นฐานเอง ถึงไม่สูงเท่าขุน แต่เราว่าน่าจะสูงพอแล้ว”

    ทุกคนเงียบพรางมองหน้ากันไปมาอยู่นานก่อนที่ม่อนจะเอ่ยขึ้น 

    “ไม่ต้องเลยมึง ไม่ต้องมาทำเป็นพระเอกตอนนี้เลย กูอยู่เอง ไหน...” 

    “ไม่ได้หรอก” สหัสนัยน์พูดตัดบทเสียงแข็ง “นายกับกนกตัวเตี้ยไป  ธงมือเจ็บ  ก็เหลือเรา บุญทิ้ง ไทย แล้วก็ขุน” เขาหยุดกวาดตามองหน้าทุกคนที่ตอนนี้ได้แต่นิ่งฟังก่อนว่าต่อ “ขุนต้องขึ้นไปนั่งบนสันกำแพงเพื่อช่วยดึงคนอื่นเพราะตัวสูงที่สุด ก็จะเหลือ เรา ไทย แล้วก็บุญทิ้ง ฐานต้องใช้สองคน มีเราแล้วหนึ่งก็...”

    “เราเอง” บุญทิ้งว่าพรางก้าวออกมายืนคู่กับสหัสนัยน์ “ที่นี่ก็ให้ไทยขึ้นไปคนแรก จะได้คอยรับคนที่ข้ามไปแล้วอยู่ที่ฐานอีกฝั่ง ใช่ไหม”  เขาจบคำด้วยการหันมองสหัสนัยน์ อีกฝ่ายพยักหน้า “รู้สึกเหมือนตัวเองฉลาดขึ้นมายังไงก็ไม่รู้....เป็นอันว่าจบ ไม่เถียงกันอีกแล้วนะ นี่ก็สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ถ้าช้ากว่านี้คงไม่ได้กินข้าวกันแน่”

    ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้โดยพร้อมเพรียงกัน

    .....................

    อาหารกลางวันไม่ได้ดูดีไปกว่าอาหารเช้ามากนัก  มีข้าวแข็ง ๆ กับแกงส้มพังบุ้งสีแดง ๆ เขียว ๆ แถมเหม็นฉุนเครื่องแกงเหมือนของเหลือตามวัด และแม้ว่าจะมีของหวานเป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาล  แต่มันก็ดูเละและเขียวจนมีคนตั้งชื่อมันว่า “ขนมขี้มูก” 

    แต่ด้วยความหิวที่ไม่รู้ว่าพรั่งพรูมากจากไหน ทำให้สหัสนัยน์ไม่สนใจสีสันของมันมากนัก  และจะว่าไปรสชาติอาหารเหล่านั้นก็ดีผิดกับหน้าตาของมันมาก

    โรงอาหารกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อลูกเสือทุกหมู่กลับมาเพื่อกินมื้อกลางวัน  เสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ฐานต่าง ๆ ดังจอแจไปทั่ว  บ้างเล่าเรื่องตลก บ้างเล่าถึงแผลที่ได้รับมาระหว่างเดินทาง  บ้างทอดถอนหายใจเมื่อมองดูกระดาษคะแนนของหมู่ตัวเอง

    “เอาละ” บุญทิ้งพูดขึ้นเมื่อเห็นสมาชิกหมู่ควายป่าอิ่มกันหมดแล้ว  “ตอนบ่ายนี้เราจะเดินไปทางใต้  เก็บฐานที่เหลือแล้ว...” บุญทิ้งหยุดเมื่อเห็นคู่แฝดไทยธงเดินกลับมาจากห้องพยาบาล  “เป็นไงมั่ง”

    ธงชูมือที่ดูเหมือนมือมิกกี้เมาส์ของตัวเองขึ้นแทนคำตอบ “โดนบ่นจนหูชาเลย  แต่หมอแกก็ให้ออกตะลุยฐานต่อได้” 

    “แล้วฉันไปถามพวกหมู่สองมา”  ไทยเอ่ยแทรกพรางรีบนั่งลงและเริ่มกระซิบ  “มันบอกว่าฐานทางใต้แหล่มมาก ๆ”

    “อีกแล้วเหรอ”  ม่อนครวญ “กูไม่อยากปีนอะไรอีกแล้วนะ”

    “แต่กูว่าท่าลงมึงสวยดีนะ  เสียงดังดี”  ขุนว่าเคล้าเสียงหัวเราะ

    “กูรู้ มึงอะแกล้งปล่อยกู”  อีกฝ่ายว่าพรางลูบก้นของตัวเองเบา ๆ

    สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแม้ว่าแผนการของสหัสนัยน์จะฟังดูดีและฉลาดมากแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับทุกคน  โดยเฉพาะม่อน

    ตอนขาขึ้นม่อนใต่ขึ้นไปได้คล่องแคร่วผิดกับรูปร่างภายนอก (อาจจะเพราะมีเพื่อนคนอื่น ๆ คอยช่วยดัน ช่วยผลัก ช่วยดึงให้ขึ้นไป)  แต่ตอนขาลงเจ้าตัวกลับเกิดเป็นโรคกลัวความสูงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เพื่อน ๆ พยายามปลอบ ให้กำลังใจ  กดดัน  แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ส่ายหัวและบอกว่าทำไม่ได้  ทั้งหมดต้องช่วยกันอยู่นานกว่าม่อนจะกล้าพอ และผลก็คือเขากระโดดลงมาโดยเอาบั้นท้ายลง  มันกระแทกลงกับพื้นเสียงดัง ‘บับ!!!’ 

    “ฉันว่ามันก็คุ้มนะ” กนกว่า ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มไม่หาย “ครูฝึกให้เรามาตั้งหกคะแนน  แถมยังบอกทางลัดลงมาที่ค่ายด้วย ใช้เวลาแค่ห้านาทีเอง”

    “ก็พูดได้ดิ ไม่ใช่ตูดมึงนิ” ม่อนว่าอย่างเสียอารมณ์แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อน ๆ ได้ไม่น้อย 

    เสียงหัวเราะยังไม่ทันจางหาย บุญทิ้งก็พูดขึ้น “เออ  เดี๋ยวมานะ...เอาอย่างนี้ดีกว่า แยกย้ายกันไปพัก อีกสิบห้านาทีเจอกันที่จุดรวมพล โอเคนะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปยังด้านนอกโรงอาหาร สหัสนัยน์มองตามไปจึงเห็นว่าอีกฝ่ายเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่นมีร่างของบางคนยืนหลบอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ดูจากสีของชุดก็รู้ว่าผู้ที่คอยอยู่เป็นเนตรนารี

    “แฟนมันเหรอวะ” ขุนว่าสายตายังมองตรงไปยังบุญทิ้ง

    “งั้นมั้ง” กนกพูดพรางลุกขึ้นรวบรวมถาดอาหารของแต่ละคนมากองซ้อนกันก่อนจะเดินเอาไปเก็บ  “หน.มันก็หน้าตาใช้ได้นะ เป็นลูกครึ่งด้วย”

                    สหัสนัยน์นิ่วหน้า ครึ่งอะไรของมัน ไทย-ดอนเมืองเหรอ  

    “น่าอิจฉาจัง...” ม่อนพูดเสียงเบาหวิวอย่างฝันหวานเลื่อนลอย

    “มึงอะ ดูแลโดเลมี่ให้ดีเหอะ”  ขุนว่าและลุกขึ้นยืนก่อนว่าต่อโดยไม่สนใจคำโต้ตอบของม่อน “จะไปหอนอนสักหน่อย ไปด้วยกันไหม” 

    ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าสหัสนัยน์จะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดกับเขา และต้องใช้เวลาอีกเท่าตัวเพื่อคิดหาคำตอบ ตอนแรกเขาอยากจะตอบตกลงแต่ก็นึกขึ้นมาได้ “เอ่อ...ไม่ละฉันต้องไปหาเพื่อนฉันนะ” 

    อีกฝ่ายพยักหน้าสองสามทีก่อนจะหันไปถามคนอื่น ๆ แต่ไม่มีใครอยากจะลุกจากที่นั่งตอนนี้

    สหัสนัยน์หมายความตามที่พูดจริง ๆ  เขาอยากเจอปราชญ์และขอโทษในสิ่งที่เขาพูดออกไปทันทีที่เจออีกฝ่าย  แต่ตลอดช่วงเช้าจนถึงตอนอาหารกลางวันเขาก็ไม่เห็นปราชญ์แม้แต่เงา  พยายามกวาดตามองหาละเอียดแค่ไหนก็ไม่เห็น มันทำให้เขาเป็นกังวลว่าผู้เป็นเพื่อนอาจจะไปนอนเอาแก้มแนบพื้นเล่นที่ไหนอีกหรือเปล่า

    “ฉันไปก่อนนะ  อีกสิบนาทีเจอกัน”  สหัสนัยน์ว่าเพียงเท่านั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมาจากโรงอาหาร

    ........

    “ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้วนะ”  อุทุมพรว่าพรางเอาหลังพิงต้นไม้  “อีกนานแค่ไหนกันเนี่ย”

    “ฉันก็ไม่รู้...เธอได้ถามท่านครูหรือยังล่ะ” ไกรวีเอ่ยถาม

    “ถามแล้ว  ท่านครูว่าต้องรออีกวันหรือสองวัน ถ้า ‘มัน’ ไม่ออกมาก็แปลว่าข่าวจาก ‘ฝั่งโน้น’ ผิด”

    “แปลกนะ...” เด็กชายว่าพรางนั่งลงกับพื้นโดยหันหลังให้คู่สนทนา “ข่าวไม่น่าจะผิด...ฉันไม่เคยเห็นมันผิดเลยสักครั้ง” 

    “ให้มันผิดน่ะดีแล้ว...ดูที่นี่สิ”  เธอว่าพรางพยักเพยินให้อีกฝ่ายมองออกไปที่กลุ่มลูกเสือและเนตรนารีนับสิบคนที่ตอนนี้กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ในสนาม “...มีแต่เด็กน่ารำคาญกับผู้ใหญ่บ้า ๆ บอ ๆ ถ้าเกิดมีตัวร้าย ๆ ออกมามีหวังตายกันเป็นเบือแน่”

    “เธอก็พูดถูก...”  สีหน้าของไกรวีหมองลง  “คนดี ๆ ทั้งนั้น เขาตลกมุขฉันด้วย เชื่อมั้ย มีคนขำมุขฉันนะ”

    เด็กหญิงเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อพินิจอีกฝ่าย  “อย่าบอกนะว่าไป...อย่าไปผูกพันกับ ‘พวกนั้น’ มันเป็นกฎนะ”

    “ฉันรู้หรอกน่า...”  เด็กชายสะบัดเสียงเฉียบขาดแต่กลับอ่อนลงเมื่อเอ่ยคำต่อไป “แต่มันยากนะที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย”

    “มันไม่ยากหรอก  แค่นายจะทำหรือเปล่าแค่นั้นเอง” เธอคนนั้นว่าพรางกอดอกแน่น

    ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง เฝ้าดูเด็ก ๆ วิ่งไล่ลูกบอลพราสติกกลม ๆ ท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุยามเที่ยงวัน

    “ที่...บ้านเธอ” ไกรวีเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบของทั้งคู่ ไม่บอกก็รู้ว่าเขาลังเลที่จะเอ่ยคำต่อไป “มันเป็นยังไง” 

    “เส็งเคร็ง”  อุทุมพรตอบเสียงเรียบ “ทุกคนมีความสุข ยกเว้นฉันคนเดียว”  เด็กชายหัวเราะเบา ๆ “ขำอะไรนักหนา” เธอว่าพรางยิ้มน้อย ๆ

    .............

    “เธอเห็นปราชญ์มั้ย”  สหัสนัยน์เอ่ยถามเด็กหญิงที่ยื่นอยู่ใต้ร่มไม้ อีกฝ่ายมีสายตาสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

    “ใครเหรอ”  บุญทิ้งเอ่ยถามพรางลุกขึ้นจากพื้น

    “เพื่อนฉันนะ ชื่อปราชญ์ เขาอยู่หน่วยกาชาดเหมือนเธอไง”  เด็กชายชี้ไปยังกระเป๋าหนังที่มีเครื่องหมายบวกสีแดงบนพื้นสีขาวกระทับติดอยู่ “เห็นเขามั้ย”

    “ไม่รู้สิ  ตั้งแต่เช้าฉันก็เจอคนเป็นร้อย  จะไปรู้ได้ยังไงว่าใครชื่ออะไร”  เด็กหญิงเอ่ยตอบพรางเบนสายตามองออกไปไกล

    สหัสนัยน์ยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแรง ๆ อย่างจนปัญญา

    “ทำไมล่ะ มีอะไรหรือเปล่านัยน์”  บุญทิ้งเอ่ยเสียงเรียบพรางเดินเข้าจับไหล่อีกฝ่ายเหมือนผู้ใหญ่ถามเด็กเล็ก ๆ

    “ปราชญ์  เขาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ” อีกฝ่ายเอ่ยตอบพรางมองไปรอบ ๆ ตัวหวังว่าจะเจอผู้เป็นเพื่อนแต่ก็ไร้วี่แวว “ตอนเดินทางไกลมาที่นี่ก็เป็นลมไปทีแล้ว ฉันกลัวว่าเจ้านั้นจะไปนอนสลบอยู่ที่ไหนอีกนะสิ”

    “รูปร่างหน้าตาเป็นไงละ เผื่อเพื่อนฉันจะเคยเห็น” เด็กหญิงถลึงตาใส่บุญทิ้งเป็นเชิงปราม แต่บุญทิ้งกลับทำท่าทางคล้ายขอความเห็นใจ

    “ก็...หน้าตาน่ากลัวหน่อย ๆ นะ” เธอคนนั้นเผลอยิ้มออกมาจนบุญทิ้งถลึงตาใส่บ้าง “ผิวเหลือง ๆ ตัวประมาณนี้” สหัสนัยน์ทำมือบอกส่วนสูงโดยประมาณ

    เด็กหญิงนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องขึ้น  “ไอ้ซ่อมหัก”

    “อะไรของเธอ”  บุญทิ้งว่า “ไม่ตลกสักนิด”  

    “ฉันเจอเขาเมื่อตอนสาย ๆ เห็นว่าเป็นโรคซีเมีย ซีเมออะไรนี่แหละ ใช่มั้ย”

    “อือ ใช่” สหัสนัยน์ตอบเสียงดังเล็กน้อยด้วยความดีใจ “เธอเจอเขาที่ไหน แล้วตอนนี้ไปไหนแล้ว”

    “ฉันไม่รู้หรอก นั่งคุยกันแป๊บเดียวเอง...จริงสิ เขาถูกเรียกตัวไปดูคนเจ็บ...ที่ไหนนะ” เด็กหญิงทำท่าคิด “...ที่ไหนสักที่...ฉันจำไม่ได้แล้ว”

    สหัสนัยน์สบถก่อนจะเตะฝุ่นที่พื้นเพื่อละบายความโกรธ

    “เฮ้ย ใจเย็น ๆ ก่อน” บุญทิ้งว่า “ทำไมเหรอ มีอะไรหรือเปล่า” 

    อีกฝ่ายส่ายหัวไปมาอย่างไม่พอใจ “เมื่อเช้าปราชญ์มันเคือง ๆ ฉันที่พูดจาไม่ค่อยดีน่ะ...”

    “งั้นเจ้านั่นอาจจะแค่ไม่อยากเจอนายก็ได้” เด็กหญิงว่าเสียงเรียบ

    “ไม่รู้สิ ฉัน...” อีกฝ่ายว่าพรางเกาหัวอีก “ฉันแค่...เขาเป็นเพื่อนฉันน่ะ แล้วร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง ฉันก็เลยเป็นห่วง...” สหัสนัยน์พยายามไม่พูดว่า ‘เป็นเพื่อนคนแรกในรอบสามปี’ “ฉันจะไปตามหาเขา” 

    แต่ไม่ทันที่เด็กชายจะออกเดินแม้แต่ก้าวเดียวเสียงนกหวีดสัญญาณหมดเวลาพักก็ดังขึ้น

    “ต้องออกเก็บฐานต่อแล้ว...” บุญทิ้งว่า “ถ้านายจะไป ฉันจะบอกให้คนอื่นรอ”

    “แต่...” เด็กชายหันซ้ายหันขวาเหมือนไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรก่อนจะมองตรงไปยังเด็กหญิง

    “อะไร”  เธอคนนั้นว่ามือยังกอดอกแน่น ในตาหลังแว่นหนาเบิกโตมองบุญทิ้งและสหัสนัยน์สลับไปมาอย่างงง ๆ

    “ช่วยหน่อยเถอะน่า” บุญทิ้งพูดเสียงอ่อน “ถ้าเธอช่วยทุกคนก็หมดห่วง”

    “แต่ฉันก็มีหน้าที่ต้องไปทำนะ” เธอคว้ากระเป๋ากาชาดขึ้นชูให้เด็กชายทั้งสองเห็น “ไม่ได้ว่างอยู่เฉย ๆ ซะเมื่อไร”

    สหัสนัยน์ส่ายหน้าก่อนจะออกเดินจากไป

    “ยัยคนใจดำ” บุญทิ้งว่าเสียงเบาและเรียบเหมือนคิดคำพูดเหล่านี้ไว้นานแล้ว “ยัยคนไม่มีหัวใจ ไร้มนุษย์ธรรม ชาตินี้เธอคง...”

    “เออ ๆ ๆ ๆ รู้แล้ว ๆ”  เด็กหญิงตะโกนตัดบท “ไปหาให้ก็ได้”

    “จริงนะ” สหัสนัยน์ว่าพรางเดินกลับมาหาเด็กชายหญิงทั้งสอง “แต๊งกิ้ว ๆ มากเลย...” เขาหยุดมองอีกฝ่ายตรง ๆ

    เธอคนนั้นมีใบหน้าค่อนข้างสวยเลยที่เดียว ดวงตาโตสีดำฉายแววแข็งกร้าวอยู่ด้านหลังแว่นตาอันใหญ่ จมูกโด่งดูรับกันดีกับคิ้วเข้มเป็นเส้นตรงขมวดเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากของเธอเล็กแต่ดูอิ่มเป็นสีแดงระเรื่อ โดยรวมแล้วเธอดูเป็นคนที่เข้มแข็งและจริงจัง ซึ่งมันไม่เข้ากันเลยกับผมสั่นแค่ติ่งหูและแว่นตา มันมีอะไรบางอย่างบอกสหัสนัยน์ว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่...ไม่ใช่เธอ

    เด็กหนุ่มเลื่อนสายตามาที่ป้ายชื่อที่หน้าอก “...เทวี เธอสุดยอดมาก ๆ” เขาว่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฉันจะไปรอที่จุดรวมพลนะ” ว่าแล้วก็ออกเดินจากไป

    “ใจดีจังนะ” บุญทิ้งว่าเสียงระรื่นก่อนจะหันหลังเดินจากไปแต่ก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินคำของเทวี

    “หาว่าฉันไร้มนุษยธรรมเหรอ...ทั้งเธอทั้งฉันไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ” เธอว่าเสียงเรียบ “อย่าลืมซะละ...”

    “รู้หรอกน่า” อีกฝ่ายรับคำก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าและออกเดินไปอย่างสบายอารมณ์

    ..................

    เมื่อสมาชิกทุกคนมากันครบแล้ว หมู่ควายป่าก็เริ่มออกตะลุยฐานอีกครั้งโดยมีเป้าหมายพิชิตให้ได้อีกเจ็ดฐานที่เหลือ แม้ว่าจะมีความหวังลิบหรี่ก็ตามที

    สหัสนัยน์ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะออกผจญภัยมากนัก ในสมองเขาเต็มไปด้วยเรื่องของปราชญ์และสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นไปแล้ว เพื่อนของเขาอาจจะเป็นลมตกน้ำ หรือถูกใครแกล้งเจ็บ ๆ

    แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ปราชญ์จะแค่หลบหน้าไม่อยากเจอเขา หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าเขาอาจจะอยากอยู่คนเดียวหรืออะไรแบบนั้น สหัสนัยน์ไม่รู้ เพราะเขาเองก็ไม่เคยมีเพื่อนให้โกรธมาก่อนเหมือนกัน

    ฐานแรกที่พวกเขามาถึงคือฐานกระโดนหอสูง พวกเขาต้องกระโดดจากหอสูงราวสี่ร้อยเมตร ไหลไปตามลวดสลิงที่ทิ้งตัวอยู่เหนือข้ามธารน้ำตกเพื่อไปยังอีกฝั่ง  มันใช่เวลาไม่มากนัก แต่ทั้งหมดต้องเสียเวลาไปกว่าชั่วโมงเพื่อกล่อมให้ขุนกระโดด ใครจะไปรู้ว่านักกีฬาอย่างเขาจะกลัวน้ำถึงขนาดจะเป็นลมเมื่อเข้าใกล้แหล่งน้ำที่ใหญ่เกินกว่าอ่างล้างหน้าในห้องส้วม

    แต่สุดท้ายขุนก็ยอมกระโดด และคำพูดคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของเขาทันทีที่ถึงพื้นคือ

    “อีกรอบได้มั้ย” 

    ทุกคนตอบว่าไม่ได้ (พร้อมกัน)  

    เส้นทางต่อจากฐานกระโดดหอสูงเป็นเส้นทางเลียบลำธารที่ร่มรื่นและไม่ได้อันตรายอะไรมากนัก แต่หากเทียบกับเส้นทางเมื่อเช้าที่เป็นทางแห้งและเรียบ เส้นทางเรียบลำธารที่เปียกและมีตะใคร่ขึ้นอยู่บนหินที่ใช้ปูเป็นทางเดินก็ดูน่ากลัวไม่น้อย นาน ๆ ครั้งสมาชิกภายในหมู่จะเริ่มออกปากช่วยเล่นน้ำ แต่บุญทิ้งจะปฏิเสธและบอกให้ตั้งใจเดินตามทางเดินทุกครั้งไป ในสายตาของสหัสนัยน์ บุญทิ้งดูจะเป็นผู้นำที่ใช้ได้แม้จะขาดความรอบคอบในการแก้ปัญหาไปบ้างในบางที (แถมมุกยังไม่ตลกอีกต่างหาก)

    ฐานต่อจาก ‘โดดหอสูง’ คือฐาน ‘หาของป่า’ วิธีการคือหาของที่กินได้จากป่ารอบ ๆ เพื่อใช้ประทั้งชีวิตหากหลงป่า กนกทำได้ดีในฐานนี้ เขาบอกว่าพ่อที่เป็นทหารพรานเคยสอนเขาเรื่องนี้โดยการพาไปกินนอนอยู่ในป่าเป็นเดือน (ทุกคนลงความเห็นว่าน่าจะแค่ไม่กี่วันมากกว่า) ต่อจากนั้นก็เป็น ฐาน ‘กางเต้นท์’ และเมื่อเลยจากฐาน ‘กินวิบาก’ ไป สหัสนัยน์ก็ลืมเรื่องของปราชญ์ไปเสียสนิท

    ทั้งหมดตะลุยฐานกันจนลืมดูเวลา และเมื่อขุนถามเวลาจากสหัสนัยน์ เขาจึงล้วงเอาโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าและสภาพไม่น่าจะใช้ได้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตัวเครื่องมีรอยถลอกอยู่ทั่ว แถมยังต้องใช้หนังยางสีแดงรัดไว้ทั้งหัวท้ายเพื่อยึดตัวเครื่องไว้ด้วยกัน ตัวเลขที่ปรากฏบนจอแตก ๆ บอกเวลาบ่ายสามสิบห้านาที

    “ไม่น่าเชื่อ...”

    “อือ เร็วนะว่ามั้ย” สหัสนัยน์เห็นด้วย

    “เปล่า” ม่อนว่า “หมายถึงไม่น่าเชื่อที่โทรศัพท์มึงยังใช้ได้อยู่” ว่าแล้วก็พากันหัวเราะ...รวมถึงสหัสนัยน์ด้วย

    “งั้นก็คงเก็บได้อีกแค่ฐานเดียวซะละมั้ง” ธงว่า  ตอนนี้ผ้าพันแผลที่มือเขาเริ่มกลายเป็นสีโคลนเพราะดันเผลอไปจับก้อนคุกกี้เละ ๆ ในฐานกินวิบาก  “สุดท้ายก็ได้แค่สิบฐาน ขาดไปตั้งสองฐาน”

    “แต่ก็มันดีนะ” ขุนเอ่ยเสียงสดชื่น ร่างสูง ๆ ของเขาโยกไปมาตามจังหวะเดินเหมือนเสาเข็มที่ปักอยู่ในบ่อโครน

    “เออ ก็เห็นมันอยู่คนเดียว” กนกหยอกพรางหัวเราะ

    ไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไร ฐานต่อไปของลูกเสือหมู่ควายป่าก็ปลากฎขึ้นที่สุดสายตาเหนือขึ้นไปบนตลิ่ง

    ทั้งหมดปีนขึ้นไปบนนั้นและพบลานกว้างที่มีเครื่องทดสอบความแข็งแรงหลายอย่าง ทั้งบาร์โหนที่มีเชือกเส้นเดียวห้อยลงมา ท่อซีเม็นที่ครึ่งนึงจมอยู่ในโครน  ตาข่ายที่พาดอยู่กับราวเหล็กและยึดไว้กับพื้นจนมีรูปร่างเหมือนหลังคาบ้าน และอีกสองสามอย่างที่สหัสนัยน์ไม่รู้ว่ามันมีเอาไว้ทำอะไร แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือโคลนที่เหนอหนะอยู่ทั่วบริเวณ มันมีสีดำออกเขียวและเมื่อดูจากรอบเท้านับพันรอยที่กระจายตัวไปทั่ว ก็พอจะเดาได้ว่าหมู่ควายป่ามาถึงฐานนี้เป็นหมู่สุดท้ายของวัน

    “อ้าว” เสียงครูฝึกที่มีรูปร่างเหมือนโยกเยก เชิญยิ้มดังมา เขาผละจากสัมภาระของตัวเองเพื่อเดินมาหาหมู่ลูกเสือ “ครูกำลังเก็บของพอดี นึกว่าจะไม่มีหมู่ไหนมาอีกแล้วนะ”

    “พวกผมคงเป็นหมู่สุดท้าย”  ม่อนว่าพรางมองไปรอบ ๆ สีหน้าเหมือนเห็นผี

    “งั้นก็เอาสิ มาหมู่สุดท้ายต้องจัดเต็มไปเลย”

    ............

    “วิธีการก็ง่าย ๆ ทุกคนต้องเริ่มจาก ‘หลังคาตาข่าย’ ไปที่ ‘มุดท่อ’ แล้วก็ ‘ลอดลวดหนาม’ แล้ววิ่งอ้อมไป ‘ไต่บันไดเชือก’ แล้วก็จบที่ ‘บาร์โหนเชือก’ ถ้าทำเวลารวมกันได้น้อยกว่าสิบนาที จะได้คะแนนเต็มสิบ ทราบ!!

    หมู่ควายป่ารับว่า ‘ทราบ’โดยพร้อมเพรียงแม้ว่าจะเจือความเศร้าในน้ำเสียงอยู่บ้างก็ตาม

    “อ้อ” ครูฝึกร่างสูงใหญ่ร้องขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้ “ระหว่างทางครูอาจจะตั้งคำถามหลายอย่าง พวกเธอต้องตอบคำตอบที่ถูกต้องให้ได้  ไม่อย่างนั้นจะโดนหักคะแนน ทราบ!!

    ทุกคนรับว่าทราบอีกครั้งและเสียงก็ยิ่งเศร้าขึ้นไปอีก

    สมาชิกหมู่ควายป่าเข้าแถวเรียงหนึ่งอยู่ด้านหน้าเครื่องทดสอบร่างกายแรก ที่ด้านหน้าสุดคือขุน เขาออกวิ่งเต็มฝีเท้าทันทีที่เสียงนกหวีดสันญาณดังและใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีข้ามไปได้ ตามไปด้วยบุญทิ้ง กนก ไทย สหัสนัยน์ และคนสุดท้ายคือม่อนซึ่งดูเหมือนต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด

    สหัสนัยน์รู้ในทันทีว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น  ตาข่ายที่ทำจากเชือกเนื้อหยาบทำให้ยึดจับง่ายแต่ยากที่จะทรงตัว เด็กชายใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะลงมาได้และต้องคอยช่วยพยุงม่อนไปด้วย

    จากนั้นก็เป็น ‘มุดท่อ’ ความยาวราวร้อยเมตรซึ่งครึ่งหนึ่งของมันจมอยู่ใต้น้ำโคลนเหนียว ๆ เด็กหนุ่มไม่ค่อยมีปัญหากับมันมากนัก เขาใช้เวลาไม่ถึงนาทีแต่กับม่อนมันค่อนข้างยากเอาการด้วยเพราะรูปร่างอ้วนกลมของเขา

    “ส่งมือมา” สหัสนัยน์ว่าเมื่อมาถึงทางออก เขาดึงผู้เป็นเพื่อนออกมาจากท่อสุดแรงเกิด

    “ขอบใจ” เสียงม่อนพึมพำเมื่อเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง

    ลอดลวดหนามยิ่งยากขึ้นสำหรับม่อน เขาต้องแขม่วท้องกลั้นหายใจเพื่อให้สามารถลอดช่องว่างระหว่างตาข่ายลวดหนามกับพื้นโคลนเฉะแฉะ

    “บอกแล้วให้ลดความอ้วน” เสียงธงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตะโกนมา ผ้าพันแผลที่มือของเขาใช้เป็นข้ออ้างที่ดีในการไม่ต้องตะลุยฐาน

    “เงียบปากเหอะมึงอ่ะ” ม่อนตะโกนตอบพรางใช้ขาตะกุยทางสุดแรง

    “มึงทำได้ เชื่อกู” สหัสนัยน์ว่า

    “แปดคูณสองเป็นเท่าไร!!!” เสียงครูฝึกดังมา

     “สิบหก” เด็กชายตะโกนตอบก่อนจะลุกขึ้นด้วยเนื้อตัวเหนะหนะ

    เขาวิ่งตรงไปยังด่านสุดท้ายคือบาร์โหนเชือกที่ด้านล่างของมันเป็นบ่อโคลน...จะว่าไปแล้วตอนนี้เขาก็ไม่ได้สนใจมากนักถ้าจะตกลงไปในนั้น เพราะเสื้อผ้าของสหัสนัยน์เต็มไปด้วยโคลนคัน ๆ ที่ซึมไปถึงกางเกงใน

    เด็กชายคว้าเชือกที่ถูกส่งมาจากอีกฝั่ง

    “เอาเลย ๆ” คนอื่น ๆ ในหมู่ตะโกนมา

    สหัสนัยน์ใช้มือและขาทั้งสองข้างหนีบเชือกไว้และโหนข้ามไป เขาโหนแค่ครั้งเดียวก็สามารถไปถึงอีกฝั่งได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน

    “เอาละคนสุดท้าย” ครูฝึกว่าพรางส่งเชือกไปให้ม่อน ในมือเขายังกำนาฬิกาจับเวลาไว้

    อีกฝ่ายคว้าเชือกไว้ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ

    มือจับไว้ แน่น ๆ เออ ขาหนีบไว้ หนีบไว้สิ ไม่ต้องกลัว โหนเลย ๆ ทุกคนช่วยกันตะโกนบอกม่อนที่พยายามทำตาม “กูทำไม่ได้หรอก มันไกลไป”

    “ตกไปไม่ตายหรอกน่า” ขุนตะโกนบอก “ถ้าตกมึงก็ใช้คอบเตอร์ไม้ไผ่บินขึ้นมาสิ”

    “กูจะไปเตะปากมึงไอ้ขุน” อีกฝ่ายตะโกนตอบพรางใช้ขาหนีบเชือกไว้ สหัสนัยน์เห็นม่อนหลับตาแน่นจนเป็นรอบย่นที่หัวคิ้วขณะปล่อยขาจากพื้น

    ร่างของม่อนดูเหมือนลูกตุ้มเหล็กที่ถูกติดอยู่กับปลายเชือก เขาพุ่งเข้าหาฝั่งเร็วมากเพราะน้ำหนักตัวและแรงเหวี่ยง เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดฟังดูน่ากลัวว่าจะหักแหล่มิหักแหล่

    “จับไว้”  บุญทิ้งเอื้อมมือไปหมายจับอีกฝ่าย แต่ครูฝึกห้ามไว้ก่อนว่า

    “สี่พันห้าร้อยสามสิบสองบวกแปดสิบแปดหารด้วยสี่ร้อยยกกำลังสองลบเก้าคูณด้วยจำนวนหมาที่มีอยู่ในค่ายนี้เท่ากับเท่าไร”

    “ห๊ะ” ม่อนร้องเสียงดังขณะที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ

    “ตอบมา!!!

    “ผมรู้” สหัสนัยน์ตะโกนแต่ครูฝึกไม่ยอม

    “ฉันไม่ได้ถามเธอ ตอบมา!!!

    ม่อนคิดด้วยสีซีดเผือก “ผม...ไม่รู้ ผมไม่รู้”

    “ให้เขาขึ้นมาตอบบนนี้เถอะครับ” บุญทิ้งว่า “เขากลัวจะตายอยู่แล้ว”

    ครูฝึกเห็นด้วย ถึงเขาจะพยายามทำท่าเหมือนคนโหดไม่มีหัวจิตหัวใจ แต่เขาก็ไม่ใช่คนแบบนั้น

    “ก็ได้ แต่ห้ามใครช่วยนะ”

    หมู่ควายป่าที่เหลือช่วยกันเอื้อมไปให้ถึงม่อน แต่ก็ยากเต็มทีเพราะแรงเหวี่ยงค่อย ๆ หมด ถ้าปล่อยเอาไว้ ม่อนต้องค้างเติ่งอยู่ที่กลางบ่อโครนและจะทำให้ยิ่งเสียเวลา

    สหัสนัยน์พยายามคิดหาทางออก ‘ถ้าแรงเหวี่ยงไม่พอ...’ เขาถอยห่างจากคนทั้งหมดก่อนจะตะโกนบอกให้คนอื่น ๆ หลีกทางพร้อมกับวิ่งสุดฝีเท้าและออกแรงกระโดดจากริมบ่อโคลนเพื่อไปยังม่อนที่ตอนนี้ได้แต่เกาะเชือกแน่น

    ภาพต่อจากนั้นเหมือนเป็นภาพช้าหลังการทำประตูในกีฬาฟุตบอล สหัสนัยน์กระโดดตัวลอยไปในอากาศ สีหน้าเขาหวาดหวั่นแต่ในตาจ้องไปมีที่ม่อน เด็กชายคว้าเชือกที่อยู่เหนือขึ้นไปได้และมันเป็นไปตามที่เขาคาด เชือกเริ่มแกว่งตัวอีกครั้งพร้อมกับเสียงลั่นไม้ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ 

    “จับไว้” สหัสนัยน์ร้องบอกคนอื่น ๆ ให้รับตัวม่อนไปขณะที่ตัวเองยังไม่สามารถขึ้นไปฝั่งได้ เขาต้องแกว่งอีกหนึ่งครั้งเพื่อให้ได้จังหวะที่เหมาะสม แต่มันช้าไป ไม้คานด้านบนรับน้ำหนักมากเกินไป มันหักเป็นสองท่อนทำให้เด็กชายตกลงไปในบ่อโคลน น้ำโครนเหม็น ๆ กระจายเป็นเม็ด ก่อนที่ทุกคนจะเห็นว่าสหัสนัยน์นอนคว่ำอยู่ในบ่อ

    ทุกคนกลั่นหายใจไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นเด็กชายค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเสียงถอยหายใจและเสียงหัวเราะก็ดังมา

    “ศูนย์!!! จำนวนหมาในค่ายคือศูนย์!!! คำตอบก็คือศูนย์!!! เพราะไม่ว่าจำนวนได ๆ ถูกคูณด้วยศูนย์ ก็จะมีค่าเท่ากับศูนย์!!!” สหัสนัยน์ตะโกนยืดยาวพรางใช้มือปาดก้อนโคลนออกจากหน้า เบ้าตา และหัว ก่อนจะรู้ว่าหมวกลูกเสือของเขาตอนนี้กลายเป็นผ้าขี้ริ้วอุ้มน้ำโครนไปแล้ว

     “หน้ามึงเหมือนคนบ้าเลย” ม่อนว่าพรางเอื้อมมือให้สหัสนัยน์ “มาเถอะ มึงทำได้อยู่แล้ว”

    เด็กชายมองดูอีกฝ่ายพรางยิ้มและคว้ามือข้างนั้นไว้

    ..................

    “ครูให้เต็มสิบคะแนน” ครูฝึกร่างยักษ์ว่าพรางยื่นกระดาษคืนให้กับบุญทิ้ง “ถึงพวกเธอจะทำบาร์โหนเชือกครูพังก็เถอะ แต่ทุกคนก็ทำได้ดีมาก” ทุกคนหัวเราะน้อย ๆ “เอาละ สายยางกับก๊อกน้ำอยู่ตรงโน้น ใครอยากจะล้างตัวก็เชิญเลย แต่ห้ามลงไปในลำธารข้างล่างนั่นนะ มันอันตราย ทราบ!!!” ทุกคนรับคำ “ดีมาก ถ้าอย่างนั้นครูของไปเก็บของต่อแล้วกันนะ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ช่วยปิดน้ำไห้ดีด้วยละ แล้วรีบ ๆ หน่อยนะ เดี๋ยวจะไม่ทันชุมนุมรอบกองไฟ”

    ครูฝึกเดินจากไปเช่นเดียวกับหมู่ควายป่าที่ต่างวิ่งกันเต็มฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงก๊อกน้ำก่อนเป็นคนแรก

    สหัสนัยน์มองดูเพื่อน ๆ จนแน่ใจว่าทุกคนวุ่นวายอยู่กับก๊อกน้ำและเริ่มเล่นฉีดน้ำใส่กันก่อนที่จะค่อย ๆ แยกตัวออกมาจากกลุ่มลงไปยังริมลำธาร

    ความเจ็บปวดที่แผนหลังค่อย ๆ แผ่ไปทั่งร่างกายท่อนบนจนเขาแทบก้าวขาไม่ออก เด็กชายถอดเสื้อลูกเสื้อที่ตอนนี้กลายเป็นสีดำสนิทเพราะน้ำโคลนออกเผยให้เห็นแผ่นพลังที่เต็มไปด้วยบาดแผล เด็กชายหันหลังและส่องดูรอยปูดโปนสีดำเหล่านั้นกับผิวน้ำ เม็ดน้ำสีแดงกำลังค่อย ๆ ซึมออกมาจากปากแผลที่เปิดออกอีกครั้ง หยดน้ำสีแดงหยดลงบนเงาสะท้อนที่ผิวน้ำก่อเกิดเป็นเส้นสายสีแดงที่ค่อย ๆ จางหายไปตามกระแสลำธาร

    “ห่าเอ้ย” เด็กชายสบถเสียงเบาแต่ไม่มีความตกใจอยู่ในน้ำเสียง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ปากแผลพวกนี้เปิด แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะมาเปิดเอาตอนนี้

    เด็กชายคว้าเสื้อและผ้าพันคอที่ถอดออกไว้ในมือก่อนจะค่อย ๆ เดินลงไปในลำธาร ถ้าขืนเขายังอยู่ที่ริมตลิ่งอาจจะมีคนมาเห็นกองเลือดที่เขาทิ้งไว้หรืออาจจะแย่กว่านั้นคือมาเห็นตัวเขาทำลังมีเลือดไหลออกมาเต็มหลัง ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ลงไปอีก มันเคยแย่มาแล้ว ตอนเขาเรียนป.หกและปากแผลเกิดเปิดขึ้นมาในงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ที่จัดขึ้นโดยครูยุวดี ครูประจำชั้นของเขาในตอนนั้น

    สหัสนัยน์จำได้ไม่มีวันลืม ทุกคนกำลังสนุกสนาน ดื่มน้ำอัดลมและขนมพร้อมกับจับฉลากแลกของขวัญกัน ทุกคนเดินออกไปจับฉลากจากกลองสี่เหลี่ยมเจาะรูโง่ ๆ ที่ถูกห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญสะท้อนแสงที่ดูโง่ยิ่งกว่า เสียงหัวเราะและตบมือสนุกสนานดังมาทุกครั้งที่ครูประกาศหมายเลยในฉลากและยื่นกล่องของขวัญขนาดต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ วันนั้นสหัสนัยน์จำได้ว่าเขามีความสุขมาก เขาได้หัวเราะ ได้ร้องเพลง ได้ดื่มน้ำอัดลมกับเพื่อน ๆ จนแน่นท้อง และกำลังจะได้รับของขวัญปีใหม่ครั้งแรกในชีวิต...ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลายครั้งมันจะไหลซึมออกมาที่ละน้อยโดยไม่มีความเจ็บปวดบอกล่วงหน้า...เขาไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งเด็กชายหันไปยื่นฉลากที่จับได้ให้กับครูยุวดี ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดในทันที ก่อนที่ครูและเพื่อนร่วมชั้นของเขาจะกรี๊ดสุดเสียงเมื่อเห็นเครื่องแบบนักเรียนสีขาวที่สหัสนัยน์สวมอยู่ค่อย ๆ กลายเป็นสีแดงเพราะเลือดที่ไหลซึมออกมา

    สหัสนัยน์ออกมายืนอยู่ที่กลางลำธาร น้ำที่สูงแค่เอวของเด็กชายไม่ได้ไหลเชี่ยวอย่างที่ครูฝึกบอกและถึงแม้ก้นลำธารจะเป็นหินที่มีตะใคร่เกาะอยู่เต็มแต่มันก็ไม่ถึงกับอันตรายอะไร เด็กหนุ่มคิดเอาเองว่าสายน้ำที่ไหลอ่อยอิ่งและเย็นนี้อาจจะช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น เส้นสายสีแดงที่หลั่งรินออกมาจากแผลบนแผ่นหลังของเขากำลังชุบย้อมให้ผืนน้ำรอบตัวกลายเป็นสีแดงที่ไหลไปตามกระแสธาร สหัสนัยน์นั่งลงในน้ำ อาการแสบลึกในบาดแผลทำให้เขาแทบน้ำตาตก แต่แบบนั้นน่าจะดีกว่ายืนอยู่เหนือน้ำแล้วมีคนมาเห็นเข้า

    ความเจ็บปวดค่อย ๆ ทุเลาลงในเวลาอันรวดเร็ว ไม่นานเขาก็รู้สึกว่าเลือดคงหยุดไหลแล้วจึงหันมาซักคราบโคลนออกจากเสื้อและหมวกลูกเสือ เขย่าตัวแรง ๆ ในทำเพื่อล้างกางเกง ก่อนจะหันหลังและเดินขึ้นตลิ่ง

    “คนอื่นกลับไปค่ายกันหมดแล้ว” 

    เสียงหนึ่งดังขึ้นกระตุกสั่นก้อนเนื้อภายในอกของสหัสนัยน์ก่อนจะล่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

    “ห่า นึกว่าใคร ตกใจหมด” เด็กชายมองไปยังหัวหน้าหมู่ของตัวเองพรางสวมเสื้ออย่างรวดเร็ว มันเห็นแล้ว มันเห็นแล้ว เด็กชายตะโกนอยู่ในหัว แต่ก็แอบหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็น“ยืนอยู่นานหรือยัง”

    “ไปโดนอะไรมา” อีกฝ่ายเอ่ยถามแทนคำตอบพรางเดินตรงมาที่สหัสนัยน์

    “อะไร...ไม่มีอะไรนิ”

    “อย่ามาทำเป็นเล่นนะ แผลท่าทางลึกมากด้วย” บุญทิ้งว่าพรางเอื้อมมือหมายจะเปิดเสื้ออีกฝ่ายดู แต่กลับถูกปัดมือออก

    “ไม่ใช่เรื่องของนาย”

    “จะว่าอะไรก็ช่าง ก็เห็นอยู่ว่าเลือดไหล มา ขอดูหน่อย”

    “บอกว่าไม่ได้!!!!” เด็กหนุ่มตะหวาดสียงก้องป่าด้วยความโกรธที่พุ่งพล่านขึ้นมาจากภายในโดยไร้ที่มา “มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย ไม่ใช่สักนิด เหมือนที่นายหูกาง ฉันก็ไม่เคยเรียกนายว่า ‘ไอ้หูกาง’ หรือที่นายไม่มีดั้ง ฉันก็ไม่เคยเรียกนายว่า ‘ไอ้ดั้งหัก’ เพราะมันเรื่องของนาย ตัวนาย เพราะงั้นก็อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน” เด็กชายจบคำด้วยการเดินจากมา...ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนมองด้วยความสับสนและงงงัน 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×