คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 1.5
ปราชญ์นั่งนิ่งพรางจ้องไปยังวิทยุสื่อสารอย่างขมักเขม่น โรงอาหารร้างไร้ผู้คน มีแค่ภารโรงและแม่บ้านไม่กี่คนที่ทำงานกันอยู่ด้านหลังส่งเสียงก๊องแก๊งเบา ๆ มาตามลม
หลังจากแยกกันกับสหัสนัยน์ ปราชญ์ก็ตรงไปยังหน่วยกาชาติเพื่อแบกรับหน้าที่ยิ่งใหญ่อันแสนน่าเบื่อ หมอแหม่มได้แบ่งอาณาเขตของค่ายออกเป็นสิบเขตและให้ลูกเสือเนตรนารีสิบคนรับผิดชอบไปคนละเขต ปราชญ์ได้รับเลือกให้ประจำเขตสิบที่อยู่ภายในค่าย เผื่อว่าจะมีใครเรียกเพราะมีเหตุได้รับบาดเจ็บ...ซึ่งถ้าจะให้เรียกเขา สู้เดินไปห้องพยาบาลเองคงจะง่ายกว่า...
สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกคนอื่น ๆ มองว่าเป็นคนไร้ความสามารถเพราะโรคประจำตัวอีกตามเคย
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งศีรษะตัวเองลงกับโต๊ะจนเกิดเสียงดังและแรงกระแทกก็แรงพอที่จะทำให้วิทยุสื่อสารที่ตั่งอยู่ล้มลง
“อยากออกฐาน...” เด็กชายพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนภาพเหตุการณ์ที่เขากับสหัสนัยน์มีปากเสียงกันเมื่อช่วงเช้าจะผุดขึ้น
ความจริงคือ เขารู้ดีกว่าผู้เป็นเพื่อนไม่ได้ต้องการจะว่าเขาหรืออะไร แต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่ามากพอจะเป็นเพื่อน ไม่มีค่าแม้จะช่วยแบ่งเบาภาระที่อีกฝ่ายต้องเผชิญเพราะตัวเขาเองเป็นต้นเหตุ...เพราะโรคที่เขาเป็นอยู่....เด็กชายกัดฟันตัวเองจนรู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลออกมาตามไรฟัน...ร่างกายนี้...โรคนี้...มันทำให้เขาไร้ค่าและน่าเกลียดน่ากลัวเกินกว่าที่จะมีใครยอมเป็นเพื่อนหรือมองเขาเป็นอีกคนที่ไม่มีอะไรแตกต่างออกไป...ซึ่งความเป็นจริงแล้วเขาก็รู้ตัวเองดีว่าแตกต่างจากคนอื่น...เขายอมรับ...และยิ่งเขายอมรับมันมากเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้ตัวเขาเองเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น...
“ฐานสิบ ว.2” เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นชุดรั้งให้ปราชญ์กลับสู่โลกภายนอก เด็กชายตาลีตาลานคว้าวิทยุสื่อสารและกลอกเสียงตอบกลับไป
“ว.2 ครับ”
“มาช่วยหน่อย...” เสียงผู้หญิงที่อยู่อีกด้านโวยวายอะไรบางอย่าง “คนเจ็บหนักที่จุดรวมพล มาเร็วเลย”
เจ็บหนัก... เด็กชายคิดพรางรีบคว้ากระเป๋ากาชาติซึ่งเป็นกระเป๋าสะพายทรงสี่เหลียมหุ้มด้วยหนังดำภายในบรรจุยาและเครื่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้แน่น ที่ฝาของมันมีตรากาชาติติดอยู่
ปราชญ์วิ่งสุดฝีเท้าไปที่จุดรวมผลซึ่งเป็นลานฝุ่นกว้าง ๆ พรางกวาดสายตาไปรอบตัวก่อนจะเห็นเงาดำสองเงาอยู่ใต้ร่มไม้ หนึ่งในสองเงานั้นโบกมื่อและตะโกนว่า ‘ทางนี้’
“คนเจ็บเป็นไงบ้าง...มีแผลตรงไหนมั้ย” นั่นคือคำแรกที่ปราชญ์เอ่ยถาม
“ไม่มี...” อีกฝ่ายตอบพรางกางเตียงผ้าใบและจับคนเจ็บพลิกให้ลงไปไปนอนในนั้น
“คนเจ็บหนัก...” ปราชญ์ทวนคำที่ตัวเองได้ยินจากวิทยุสื่อสารและเริ่มเข้าใจความหมาย
คนเจ็บเป็นลูกเสื้อตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ปราชญ์เคยเห็น ทั้งอ้วน ดำ และเปียกชื้นเพราะเหงื่อที่ไหลไปทั่วตัว เขานอนไม่ได้สติแต่ดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“ก็เออสิ ตัวหนักอย่างกับหมีควาย ฉันต้องแบกมาจากฐานริมแม่น้ำโน่น...ตัวก็เหม็นเหมือนหมีควาย รูปร่างก็เหมือนหมีควาย”
ลูกเสื้อที่นอนอยู่ในเตียงผ้าใบยิ้มกรุ่มกริ่ม ปราชญ์คิดว่าเขาคงกำลังฝันอยู่
“มาเถอะ เดี๋ยวฉันนำหน้านะ” เธอว่าพรางเดินไปยังด้านหัวนอนของเตียงผ้าใบ เด็กชายรีบประจำที่อีกด้านก่อนจะยกขึ้นพร้อมกัน
“ตัวหนักขนาดนี้ยกกันมากี่คนเนี่ย” ปราชญ์ถามขึ้นทันทีที่เริ่มออกเดิน
“คนเดียว” เธอคนนั้นพูดเสียงเรียบ
“ห๊ะ พูดเป็นเล่น แล้วเธอเอาเตียงผ้าใบมาจากไหน อย่าบอกนะว่าแบกไปด้วย”
“ก็เออสิ อย่าถามมากได้มั้ย พูดมากเดี๋ยวก็หมดแรงพอดี” อีกฝ่ายตอบเสียงกระชากทำให้ปราชญ์ไม่กล้าถามอะไรอีก
ใช้เวลาราวห้านาทีทั้งคู่พร้อมลูกเสือหมีควายก็มาถึงห้องพยาบาล หมอแหม่นเช็คอาการแล้วก็บอกว่าแค่เป็นลมแดด ไม่มีอะไรร้ายแรง
“โอย ไอ้หมีควายใจเซาะเอ้ย” เธอคนนั้นร้องขึ้นทันทีที่เดินออกมาพ้นจากห้องพยาบาล
ปราชญ์มองหน้ามองหลังเพื่อมีคนได้ยิน แต่เมื่อเห็นว่าออกห่างจากห้องพยาบาลมาไกลแล้วก็หัวเราะ “แต่เธอก็เก่งนะ แบกคนตัวเท่ายักษ์มาไกลได้ขนาดนั้น”
เธอยิ้ม “มีแต่คนบอกว่าฉันแรงดีเหมือนช้างเอราวัณทั้งนั้นแหละ” จบคำเธอก็หยุดยืน เอามือท้าวเอวและหัวเราะเสียงดัง
ปราชญ์หัวเราะไปกับท่าทางนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม “แล้วเธอจะไปไหนต่อ...กลับไปประจำเขตเลยมั้ย”
เธอหยุดคิดก่อนว่า “ไม่ละ...วันนี้พวกนั้นใช้ฉันเกินค่าจ้างและ”
ทั้งคู่เดินกลับมายังโรงอาหารอีกครั้ง เด็กหญิงเดินหายไปในครัวก่อนจะกลับมาพร้อมจานข้าวที่พูนจนน่ากลัว
“กินหมดเหรอ” ปราชญ์ทำตาโตปากจู๋ด้วยความตกใจ
“น้อยไปสิ เอามาทั้งหม้อได้ฉันเอามาแล้ว” เธอว่าพรางเริ่มตักอาหารเข้าปาก
เด็กชายได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายเต็มตาเป็นครั้งแรก ดวงตาหยีเล็กอยู่ด้านหลังแว่นกลอบเหลียมหนา ผมทรงนักเรียนที่สั้นเท่าติ่งหูโบกไปมาตามแรงกรามที่เคี้ยวอาหาร ไรขนอ่อน ๆ ขึ้นอยู่เหนือริมฝีปากที่บางซีดเหมือนคนอมโรค คางแหลมเล็กมีเศษข้าวติดอยู่สองเม็ด
“มองไร” เธอเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายจ้องตาไม่กระพริบ
“เปล่า ๆ” ปราชญ์ตอบพรางเสมองไปทางอื่น “เห็นเธอกินน่าอร่อยดี”
“มองคนอื่นกินมันบาป รู้ไหม?”
ปราชญ์หัวเราะแห้ง ๆ “ดีแล้ว กินเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง อายุยืน ๆ ”
เธอคนนั้นหยุดมือชั่วครู่พรางกระดกน้ำตามก่อนว่า “พูดอย่างกับคนใกล้ตาย”
เด็กชายหันมา “ก็...อย่างที่เห็น...ทารัสซีเมีย...”
“อะไรเมีย ๆ นะ”
ปราชญ์ประหลาดใจที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่ามันคือชื่อโรค “ชื่อโรคน่ะ ที่เราเป็น”
เธอคนนั้นเบะปากพรางถอนหายใจ “โถ่ นึกว่ากำลังจะตาย”
ปราชญ์ก้มหน้า เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมากดทับที่หน้าอกจนยากที่จะหายใจ “ก็คงไม่นานนักหรอก”
“นาน...” อีกฝ่ายพูดทั้ง ๆ ที่มีอาหารอยู่เต็มปาก
“ห๊ะ”
“อีกนาน เชื่อฉันสิ คนเราใช่ว่าจะตายกันง่าย ๆ ซะเมื่อไร”
ปราชญ์ยิ้มแห้ง ๆ แม้ว่ามันจะเป็นคำปลอบใจแบบไม่ยี่หระแต่เขาก็ยังเอ่ยคำขอบใจอีกฝ่าย
ทั่งคู่เงียบไปอีกครั้ง เด็กหญิงหมกมุ่นอยู่กับอาหารที่ว่างอยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกับปราชญ์ที่ปล่อยจิตใจล่องลอยไปไกลพรางคิดถึงชีวิตตัวเองหากสามารถอยู่ไปได้อีกนานอย่างที่เธอคนนั้นว่า ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรนะ...คงจะมีความสุขน่าดู...แต่ในทางกลับกัน ถ้าชีวิตอันยาวนานของเขามีโรคร้ายนี้เกาะกินอยู่ มันก็คงไม่สุขอย่างที่คิด...คงจะมีแต่ความทุกข์และทรมานจากโรคที่ไม่มีทางรักษา จากรูปลักษณ์ที่น่ากลัวราวกับซากศพ...
“เธอว่า...ฉันทุเรศมั้ย...”
เธอคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากจากอาหารที่ว่างเปล่าพรางทำเสียงในลำคอเป็นเชิงไม่เข้าใจ
“หน้าฉัน...มันทุเรศมากมั้ย” เด็กชายเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่สายตายังเหม่อมองไปไกล เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเงียบไปนานแค่ไหนจนอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นี่...นายเรียกไอ้นี่ว่าอะไร” เธอว่าพรางชูซ่อมสแตนเลดที่ถูกหักครึ่งให้ปราชญ์ดู
“เธอทำอะไร เดี๋ยวก็โดนแม่ครัวด่ากันพอดี”
“ฉันถามว่านายเรียกไอ้นี่ว่าอะไร”
“ซ่อมหัก”
“ถึงจะหักมันก็ยังเป็นซ่อม อาจจะไม่ตรงสวยเหมือนซ่อมอันอื่น แต่มันก็เป็นซ่อม จะมีคนบอกว่ามันพัง มันใช้ไม่ได้...แล้วก็พยายามดัดมันให้ตรงเหมือนเดิม...” เธอว่าพรางดัดซ่อมให้กลับมาตรงเหมือนเดิมแต่มันก็ไม่อาจจะกลับไปตรงสวยเหมือนเก่าก่อนได้ “...แต่มันก็ได้แค่นี้ กลายเป็นไอ้ซ่อมครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะงอก็ไม่งอ จะตรงก็ไม่ตรง...ไม่เป็นอะไรซักอย่าง...นายน่ะ อยากจะตรงสวยเหมือนคนทั่ว ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของฉันหรอก แต่สำหรับตัวฉัน ฉันขอเป็นไอ้ซ่อมงอ ๆ บ้า ๆ ดีกว่าจะถูกจับดัดให้ตรงเหมือนคนอื่น...ใครอยากจะส่องกระจกทุกเช้าแล้วเจอคนแปลกหน้าทุกวันกันละ จริงมั้ย”
ปราชญ์นิ่งฟังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขายังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเด็กหญิงมากเท่าไรนักและพยายามจะเอ่ยถาม แต่เสียงวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น มีคำกำลังเรียกหาหน่วยกาชาติประจำเขตสิบอยู่
“มีคนเรียกนายอยู่แนะ”
“เธอชื่ออะไร...” ปราชญ์เอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น เธอคนนั้นแค่จับป้ายชื่อของตัวเองให้อีกฝ่ายเห็น...มันเขียนว่า ‘ด.ญ. เทวี’
“เทวี ชื่อเพราะดีนะ”
“อะไรก็ช่างเถอะ” ว่าแล้วเธอก็เดินหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง
ปราชญ์ลุกขึ้นยืนและสะพายกระเป๋ากาชาติขึ้นบ่าพรางคิดถึงคำพูดของเทวี เด็กหญิงแปลกหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
‘ซ่อมตรง ซ่อมงอ ซ่อมครึ่ง ๆ กลาง ๆ...’ เขาคิดอยู่ในหัววนไปวนมาหลายรอบก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าหอนอนชาย เสียงตามสัญญาณวิทยุสื่อสารบอกว่าคนเจ็บอยู่ข้างในนี้ เด็กชายเอื้อมมือไปยังจับมือเพื่อเปิดประตู แต่ประตูกลับเปิดผ่างออกพร้อม ๆ กับร่างของใครบางภายในนั้น
“มาแล้วเหรอ...”
ความคิดเห็น