ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยมทูตสหัสนัยน์

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 1.5

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 56


    ปราชญ์นั่งนิ่งพรางจ้องไปยังวิทยุสื่อสารอย่างขมักเขม่น โรงอาหารร้างไร้ผู้คน มีแค่ภารโรงและแม่บ้านไม่กี่คนที่ทำงานกันอยู่ด้านหลังส่งเสียงก๊องแก๊งเบา ๆ มาตามลม

    หลังจากแยกกันกับสหัสนัยน์ ปราชญ์ก็ตรงไปยังหน่วยกาชาติเพื่อแบกรับหน้าที่ยิ่งใหญ่อันแสนน่าเบื่อ หมอแหม่มได้แบ่งอาณาเขตของค่ายออกเป็นสิบเขตและให้ลูกเสือเนตรนารีสิบคนรับผิดชอบไปคนละเขต ปราชญ์ได้รับเลือกให้ประจำเขตสิบที่อยู่ภายในค่าย เผื่อว่าจะมีใครเรียกเพราะมีเหตุได้รับบาดเจ็บ...ซึ่งถ้าจะให้เรียกเขา สู้เดินไปห้องพยาบาลเองคงจะง่ายกว่า...

    สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกคนอื่น ๆ มองว่าเป็นคนไร้ความสามารถเพราะโรคประจำตัวอีกตามเคย

    เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งศีรษะตัวเองลงกับโต๊ะจนเกิดเสียงดังและแรงกระแทกก็แรงพอที่จะทำให้วิทยุสื่อสารที่ตั่งอยู่ล้มลง

    “อยากออกฐาน...” เด็กชายพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนภาพเหตุการณ์ที่เขากับสหัสนัยน์มีปากเสียงกันเมื่อช่วงเช้าจะผุดขึ้น

    ความจริงคือ เขารู้ดีกว่าผู้เป็นเพื่อนไม่ได้ต้องการจะว่าเขาหรืออะไร แต่คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่ามากพอจะเป็นเพื่อน ไม่มีค่าแม้จะช่วยแบ่งเบาภาระที่อีกฝ่ายต้องเผชิญเพราะตัวเขาเองเป็นต้นเหตุ...เพราะโรคที่เขาเป็นอยู่....เด็กชายกัดฟันตัวเองจนรู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลออกมาตามไรฟัน...ร่างกายนี้...โรคนี้...มันทำให้เขาไร้ค่าและน่าเกลียดน่ากลัวเกินกว่าที่จะมีใครยอมเป็นเพื่อนหรือมองเขาเป็นอีกคนที่ไม่มีอะไรแตกต่างออกไป...ซึ่งความเป็นจริงแล้วเขาก็รู้ตัวเองดีว่าแตกต่างจากคนอื่น...เขายอมรับ...และยิ่งเขายอมรับมันมากเท่าไร  มันก็ยิ่งทำให้ตัวเขาเองเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น...

    “ฐานสิบ ว.2”  เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นชุดรั้งให้ปราชญ์กลับสู่โลกภายนอก  เด็กชายตาลีตาลานคว้าวิทยุสื่อสารและกลอกเสียงตอบกลับไป

    “ว.2 ครับ”

    “มาช่วยหน่อย...” เสียงผู้หญิงที่อยู่อีกด้านโวยวายอะไรบางอย่าง “คนเจ็บหนักที่จุดรวมพล  มาเร็วเลย”

    เจ็บหนัก... เด็กชายคิดพรางรีบคว้ากระเป๋ากาชาติซึ่งเป็นกระเป๋าสะพายทรงสี่เหลียมหุ้มด้วยหนังดำภายในบรรจุยาและเครื่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้แน่น  ที่ฝาของมันมีตรากาชาติติดอยู่

    ปราชญ์วิ่งสุดฝีเท้าไปที่จุดรวมผลซึ่งเป็นลานฝุ่นกว้าง ๆ พรางกวาดสายตาไปรอบตัวก่อนจะเห็นเงาดำสองเงาอยู่ใต้ร่มไม้  หนึ่งในสองเงานั้นโบกมื่อและตะโกนว่า ‘ทางนี้’

    “คนเจ็บเป็นไงบ้าง...มีแผลตรงไหนมั้ย” นั่นคือคำแรกที่ปราชญ์เอ่ยถาม

    “ไม่มี...” อีกฝ่ายตอบพรางกางเตียงผ้าใบและจับคนเจ็บพลิกให้ลงไปไปนอนในนั้น

    “คนเจ็บหนัก...” ปราชญ์ทวนคำที่ตัวเองได้ยินจากวิทยุสื่อสารและเริ่มเข้าใจความหมาย 

    คนเจ็บเป็นลูกเสื้อตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ปราชญ์เคยเห็น  ทั้งอ้วน  ดำ  และเปียกชื้นเพราะเหงื่อที่ไหลไปทั่วตัว  เขานอนไม่ได้สติแต่ดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก 

    “ก็เออสิ  ตัวหนักอย่างกับหมีควาย ฉันต้องแบกมาจากฐานริมแม่น้ำโน่น...ตัวก็เหม็นเหมือนหมีควาย  รูปร่างก็เหมือนหมีควาย”

    ลูกเสื้อที่นอนอยู่ในเตียงผ้าใบยิ้มกรุ่มกริ่ม ปราชญ์คิดว่าเขาคงกำลังฝันอยู่

    “มาเถอะ  เดี๋ยวฉันนำหน้านะ” เธอว่าพรางเดินไปยังด้านหัวนอนของเตียงผ้าใบ เด็กชายรีบประจำที่อีกด้านก่อนจะยกขึ้นพร้อมกัน

    “ตัวหนักขนาดนี้ยกกันมากี่คนเนี่ย” ปราชญ์ถามขึ้นทันทีที่เริ่มออกเดิน

    “คนเดียว” เธอคนนั้นพูดเสียงเรียบ

    “ห๊ะ  พูดเป็นเล่น แล้วเธอเอาเตียงผ้าใบมาจากไหน อย่าบอกนะว่าแบกไปด้วย”

    “ก็เออสิ อย่าถามมากได้มั้ย พูดมากเดี๋ยวก็หมดแรงพอดี” อีกฝ่ายตอบเสียงกระชากทำให้ปราชญ์ไม่กล้าถามอะไรอีก

    ใช้เวลาราวห้านาทีทั้งคู่พร้อมลูกเสือหมีควายก็มาถึงห้องพยาบาล หมอแหม่นเช็คอาการแล้วก็บอกว่าแค่เป็นลมแดด ไม่มีอะไรร้ายแรง 

    “โอย  ไอ้หมีควายใจเซาะเอ้ย” เธอคนนั้นร้องขึ้นทันทีที่เดินออกมาพ้นจากห้องพยาบาล 

    ปราชญ์มองหน้ามองหลังเพื่อมีคนได้ยิน แต่เมื่อเห็นว่าออกห่างจากห้องพยาบาลมาไกลแล้วก็หัวเราะ “แต่เธอก็เก่งนะ แบกคนตัวเท่ายักษ์มาไกลได้ขนาดนั้น”

    เธอยิ้ม “มีแต่คนบอกว่าฉันแรงดีเหมือนช้างเอราวัณทั้งนั้นแหละ” จบคำเธอก็หยุดยืน เอามือท้าวเอวและหัวเราะเสียงดัง 

    ปราชญ์หัวเราะไปกับท่าทางนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม “แล้วเธอจะไปไหนต่อ...กลับไปประจำเขตเลยมั้ย” 

    เธอหยุดคิดก่อนว่า  “ไม่ละ...วันนี้พวกนั้นใช้ฉันเกินค่าจ้างและ”

    ทั้งคู่เดินกลับมายังโรงอาหารอีกครั้ง เด็กหญิงเดินหายไปในครัวก่อนจะกลับมาพร้อมจานข้าวที่พูนจนน่ากลัว 

    “กินหมดเหรอ” ปราชญ์ทำตาโตปากจู๋ด้วยความตกใจ

    “น้อยไปสิ  เอามาทั้งหม้อได้ฉันเอามาแล้ว” เธอว่าพรางเริ่มตักอาหารเข้าปาก 

    เด็กชายได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายเต็มตาเป็นครั้งแรก ดวงตาหยีเล็กอยู่ด้านหลังแว่นกลอบเหลียมหนา  ผมทรงนักเรียนที่สั้นเท่าติ่งหูโบกไปมาตามแรงกรามที่เคี้ยวอาหาร ไรขนอ่อน ๆ ขึ้นอยู่เหนือริมฝีปากที่บางซีดเหมือนคนอมโรค  คางแหลมเล็กมีเศษข้าวติดอยู่สองเม็ด

    “มองไร” เธอเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายจ้องตาไม่กระพริบ

    “เปล่า ๆ” ปราชญ์ตอบพรางเสมองไปทางอื่น “เห็นเธอกินน่าอร่อยดี” 

    “มองคนอื่นกินมันบาป รู้ไหม?”

    ปราชญ์หัวเราะแห้ง ๆ “ดีแล้ว กินเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง อายุยืน ๆ ” 

    เธอคนนั้นหยุดมือชั่วครู่พรางกระดกน้ำตามก่อนว่า “พูดอย่างกับคนใกล้ตาย” 

    เด็กชายหันมา “ก็...อย่างที่เห็น...ทารัสซีเมีย...” 

    “อะไรเมีย ๆ นะ” 

    ปราชญ์ประหลาดใจที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่ามันคือชื่อโรค “ชื่อโรคน่ะ ที่เราเป็น”

    เธอคนนั้นเบะปากพรางถอนหายใจ “โถ่ นึกว่ากำลังจะตาย”

    ปราชญ์ก้มหน้า เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมากดทับที่หน้าอกจนยากที่จะหายใจ “ก็คงไม่นานนักหรอก” 

    “นาน...” อีกฝ่ายพูดทั้ง ๆ ที่มีอาหารอยู่เต็มปาก 

    “ห๊ะ” 

    “อีกนาน เชื่อฉันสิ คนเราใช่ว่าจะตายกันง่าย ๆ ซะเมื่อไร” 

    ปราชญ์ยิ้มแห้ง ๆ แม้ว่ามันจะเป็นคำปลอบใจแบบไม่ยี่หระแต่เขาก็ยังเอ่ยคำขอบใจอีกฝ่าย 

    ทั่งคู่เงียบไปอีกครั้ง เด็กหญิงหมกมุ่นอยู่กับอาหารที่ว่างอยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกับปราชญ์ที่ปล่อยจิตใจล่องลอยไปไกลพรางคิดถึงชีวิตตัวเองหากสามารถอยู่ไปได้อีกนานอย่างที่เธอคนนั้นว่า ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรนะ...คงจะมีความสุขน่าดู...แต่ในทางกลับกัน ถ้าชีวิตอันยาวนานของเขามีโรคร้ายนี้เกาะกินอยู่  มันก็คงไม่สุขอย่างที่คิด...คงจะมีแต่ความทุกข์และทรมานจากโรคที่ไม่มีทางรักษา จากรูปลักษณ์ที่น่ากลัวราวกับซากศพ...

    “เธอว่า...ฉันทุเรศมั้ย...”

    เธอคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากจากอาหารที่ว่างเปล่าพรางทำเสียงในลำคอเป็นเชิงไม่เข้าใจ

    “หน้าฉัน...มันทุเรศมากมั้ย”  เด็กชายเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่สายตายังเหม่อมองไปไกล เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเงียบไปนานแค่ไหนจนอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    “นี่...นายเรียกไอ้นี่ว่าอะไร”  เธอว่าพรางชูซ่อมสแตนเลดที่ถูกหักครึ่งให้ปราชญ์ดู

    “เธอทำอะไร เดี๋ยวก็โดนแม่ครัวด่ากันพอดี”

    “ฉันถามว่านายเรียกไอ้นี่ว่าอะไร”

    “ซ่อมหัก”

    “ถึงจะหักมันก็ยังเป็นซ่อม อาจจะไม่ตรงสวยเหมือนซ่อมอันอื่น แต่มันก็เป็นซ่อม จะมีคนบอกว่ามันพัง มันใช้ไม่ได้...แล้วก็พยายามดัดมันให้ตรงเหมือนเดิม...” เธอว่าพรางดัดซ่อมให้กลับมาตรงเหมือนเดิมแต่มันก็ไม่อาจจะกลับไปตรงสวยเหมือนเก่าก่อนได้ “...แต่มันก็ได้แค่นี้ กลายเป็นไอ้ซ่อมครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะงอก็ไม่งอ จะตรงก็ไม่ตรง...ไม่เป็นอะไรซักอย่าง...นายน่ะ อยากจะตรงสวยเหมือนคนทั่ว ๆ  มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของฉันหรอก แต่สำหรับตัวฉัน ฉันขอเป็นไอ้ซ่อมงอ ๆ บ้า ๆ ดีกว่าจะถูกจับดัดให้ตรงเหมือนคนอื่น...ใครอยากจะส่องกระจกทุกเช้าแล้วเจอคนแปลกหน้าทุกวันกันละ จริงมั้ย”

    ปราชญ์นิ่งฟังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขายังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเด็กหญิงมากเท่าไรนักและพยายามจะเอ่ยถาม แต่เสียงวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น มีคำกำลังเรียกหาหน่วยกาชาติประจำเขตสิบอยู่

    “มีคนเรียกนายอยู่แนะ”  

    “เธอชื่ออะไร...” ปราชญ์เอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น เธอคนนั้นแค่จับป้ายชื่อของตัวเองให้อีกฝ่ายเห็น...มันเขียนว่า ‘ด.ญ. เทวี’

    “เทวี  ชื่อเพราะดีนะ”

    “อะไรก็ช่างเถอะ” ว่าแล้วเธอก็เดินหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง

    ปราชญ์ลุกขึ้นยืนและสะพายกระเป๋ากาชาติขึ้นบ่าพรางคิดถึงคำพูดของเทวี เด็กหญิงแปลกหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

    ‘ซ่อมตรง  ซ่อมงอ  ซ่อมครึ่ง ๆ กลาง ๆ...’  เขาคิดอยู่ในหัววนไปวนมาหลายรอบก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าหอนอนชาย เสียงตามสัญญาณวิทยุสื่อสารบอกว่าคนเจ็บอยู่ข้างในนี้ เด็กชายเอื้อมมือไปยังจับมือเพื่อเปิดประตู แต่ประตูกลับเปิดผ่างออกพร้อม ๆ กับร่างของใครบางภายในนั้น 

    “มาแล้วเหรอ...”  


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×