คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 1.4
“พวกเธอสองคนมันไม่ได้เรื่องสักนิด!!!” เสียงหัวหน้าครูฝึกชัยชนะตะคอกทันทีที่ทั้งสองย่างเข้ามาในห้องทำงานของเขาหลังจากที่ทั้งสองได้กินข้าวและนั่งพักเพียงครูเดียว
สหัสนัยน์กวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง...ห้องทำงานของหัวหน้าครูฝึกจะเรียกว่าห้องทำงานก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะด้านหลังของโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกองเอกสารนับสิบ ๆ กองนั้นมีเตียงนอนเล็ก ๆ วางอยู่ ผ้าปูถูกขึงตึงเหมือนท้องหมูและขาวสะอาดยิ่งกว่ากระดาษเอสี่ ที่มุมด้านหนึ่งห้องห้องมีตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ทำจากเหล็กวางไว้ข้าง ๆ ตู้เอกสาร จ่าสิบเองชัยชนะคงใช้ห้องนี้เป็นทั้งห้องทำงานและห้องนอนในเวลาเดียวกัน
“ทิ้งหมู่ของตัวเองไปเดินเตร็ดเตร่กันสองคน ไม่มีระเบียบแถมยังไม่มีความรับผิดชอบต่อเพื่อน ๆ คนอื่นอีก” เขาหยุดหายใจ “เธอ...ถ้าร่างกายไม่ไหวก็อย่าฝืนทำ ไม่ไหวก็ให้รีบบอกครูฝึกหรืออาจารย์ เขาจะได้ช่วยเหลือได้ทัน...มันจะเป็นยังไงถ้าเธอเกิดตายขึ้นมา ฮ๊ะ...พ่อแม่เธอจะเสียใจมากแค่ไหน!!!”
ปราชญ์ก้มหน้าเงียบเหมือนจะร้องให้ ดูเหมือนคำว่า ‘พ่อ’ และ ‘แม่’ จะเป็นจุดอ่อนของเขา
“ส่วนเธอ ไอ้ลูกเสือ เธอมันทำอะไรเกินตัว ถ้าเพื่อนไม่สบายก็ควรจะรีบบอกครูฝึก ไม่ใช่ดูแลกันเองเหมือนครูฝึกเป็นหัวหลักหัวตอแบบนี้ นี่ยังดีว่าแค่เป็นลม แต่ถ้าเพื่อนเขาชัก หรืออะไรที่แย่กว่านั้นจะทำยังไง ไม่ตายค่ามือเธอเหรอ”
สหัสนัยน์อยากจะแย้งแต่ก็ห้ามใจไม่พูดอะไรดีกว่า ส่วนหนึ่งเพราะที่ครูชัยพูดมาก็ถูกอยู่บ้าง อีกส่วนหนึ่งเพราะเขายังไม่อยากจะวิ่งจนขาขาดก่อนนอนคืนนี้
“ฉันจะทำโทษพวกเธอ...ยังไงดี” เขาว่าพรางทำท่าคิด ซึ่งสหัสนัยน์คิดว่าเขาคงแกล้งมากกว่าเพราะแค่ดูหน้าก็รู้ว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญเรื่องการทำโทษมากแค่ไหน...ถ้ามีการมอบปริญญาทางด้านนี้ เขาคงจบด๊อกเตอร์ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเรียนด้วยซ้ำ “นี่ถ้าพวกเธอเป็นทหารเกณฑ์ละก็ ฉันจะให้ไปโดดบ่อขี้เล่นสักห้าหกรอบ...แต่แบบนั้นพ่อแม่เธอได้จับฉันเข้าคุกแน่...เอาเป็นว่า...เธอ” เขาหมายถึงปราชญ์ “ตั้งแต่คืนนี้ไปให้เธอไปนอนที่ห้องพยาบาลแล้วพรุ่งนี้ให้เธอไปหาหมอแหม่มที่หน่วยพยาบาล หมอแหม่มแกแก่แล้วคงแบกกระเป๋ากาชาดเดินทั่วค่ายไม่ไหว...ส่วนเธอ”
“ครับ” สหัสนัยน์สะดุ้งตัว
“ไปวิ่งรอบสนามห้ารอบแล้วค่อยไปนอน”
เขานึกอยากจะร้องจ๊ากแต่ก็ได้แค่ก้มหน้ารับคำ
จ่าสิบเอกชัยชนะเอ่ยปากไล่ทั้งสองออกจากห้อง แต่ก็เรียกสหสันนัยน์ไว้ก่อนที่เขาจะตามปราชญ์ออกไป
“ชื่ออะไร” หัวหน้าครูฝึกเอ่ยถาม
“สหัสนัยน์ครับ”
“สะหัด อะไรนะ”
“สหัสนัยน์ครับ”
“อะไรก็เหอะ” เขาหยุดพรางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก “...ที่เธอทำ...” หยุดพูดเหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดใหม่ “ที่ฉันทำโทษเธอไม่ใช่เพราะสิ่งที่เธอทำมันผิด...แต่ที่เธอทำมันกล้าหาญมาก...ที่ไม่ทิ้งเพื่อน...ที่แบกเพื่อนเดินมาตั้งไกล....ฉันนับถือความรักเพื่อนของเธอ เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้นฉันคงไล่เธอกลับบ้านไปนานแล้วโทษฐานขับคำสั่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็กล้าหาญและก็บ้าบิ่นมากเกินไปสำหรับเด็กอายุเท่าเธอ” สหัสนัยน์พยักหน้ารับ “...คราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำอะไรเกินตัวอีก...แล้วก็หัดขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเขาบ้างนะ...ไปได้แล้ว อ้อ...แล้วก็อย่าลืมไปวิ่งด้วยละ จะได้นอนหลับสบาย” หัวหน้าครูฝึกชัยชนะพูดพรางยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
กล้าหาญอย่างนั้นเหรอ เสียงหนึ่งดังมาจากในสมองของเขา แกแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวในป่ามากกว่า
“เงียบนะ” เด็กชายเผลอพูดออกมาเสียงดังก่อนจะหันไปรอบตัวเพื่อดูว่ามีใครได้ยินเขาหรือเปล่า โชคดีว่าไม่มี เขาจึงรีบวิ่งไปยังสนามเพื่อออกกำลังกายยามเย็น
หลังจากนั้นคงไม่ต้องพูดถึงความเหนื่อยอ่อนของสหัสนัยน์ แขนขาของเขาสั่นตั้งแต่ยังไม่ครบรอบที่สามดี คอก็แห้งจนชนิดที่ว่าถึงเขาจะกินน้ำจนจุกแล้วก็ยังไม่หาย และทันทีที่รอบที่ห้าสิ้นสุดลงเขาก็อยากจะนอนมันตรงพงหญ้าข้าง ๆ สนามเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นอนที่มุมด้านในสุดติดผนัง...จะเรียกว่าเป็นที่นอนก็คงไม่ใช่นัก เพราะมันเพียงผ้าบาง ๆ ที่เขานำมาจากบ้าน ปูอยู่บนพื้นปูนแข็ง ๆ ที่แม้จะเรียบดีแต่กลับให้สัมผัสเย็นเฉียบจนหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง ถึงกระนั้น ความเหนื่อยอ่อนก็เป็นฝ่ายชนะและทำให้เรื่องพวกนั้นกลายเป็นแค่ความไม่สะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป
หอนอนที่สหัสนัยน์ใช้นอนร่วมกับเพื่อนร่วมสายชั้นอีกราวครึ่งร้อยนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ๆ ที่ก่อด้วยอิฐและปูนอย่างง่าย ๆ ไม่มีของตกแต่งหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย รอบด้านของหอนอนถูกขนาบข้างด้วยป่าไผ่ทั้งสี่ด้าน ทำให้ยามมีลมพัดผ่านจะเกิดเสียงเซ็งแซ่ของใบไผ่ที่กระทบกันคละเคล้าไปกับเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของต้นไผ่แก่ที่โน้มไปมาตามแรงลมย้ำเตือนว่าภายนอกนั้นเป็นเขตแดนของป่าอันไร้ที่สิ้นสุด...และมันฟังดูเย็นยะเยือกน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
นอกจากภายนอกที่น่าขนลุกแล้ว ภายในหอนอนเองก็มีสิ่งที่น่าสยดสยองไม่แพ้กัน นั่นคือกลิ่น...กลิ่นตัวและถุงเท้าชื้นเหงื่อของเด็กผู้ชายกว่าห้าสิบคนตลบอบอวนจนน่าคลื่นเหียน บางคนนอนถอดเสื้อชูแขนปล่อยกลิ่นไม่เกรงในคนนอนข้าง ๆ บางคนถอดรองเท้าออกโดยไม่สนใจกลิ่นอับชื้น บางคนถึงกับปาเสื้อและถุงเท้าของตัวเองออกไปข้างนอกเพราะทนกลิ่นไม่ได้
เสียงพูดเบา ๆ ของลูกเสือที่เหนื่อยอ่อนดังมา มันฟังดูระโหยโรยแรงจนน่าเวทนา แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าความเหนื่อยของตนนั้นมันไม่ถึงครึ่งกับที่สหัสนัยน์เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
เด็กคนอื่น ๆ ดูจากภายนอกเหมือนว่าไม่สนใจวีรกรรมของสหัสนัยน์มากนัก แต่ความเป็นจริงคือทุก ๆ คนอย่างจะเข้ามาพูดคุยและชื่นชมความกล้าของเพื่อนที่ตอนอยู่โรงเรียนเป็นคนเงียบขรึม ดูไม่ได้ความ ผลการเรียนก็ไม่ได้โดดเด่น แถมยังตาขาวคนนี้ แต่ไม่มีใครกล้าพอ...มีอยู่สองสามคนที่เข้ามาถามไถ่แต่ก็แค่ไม่กี่คำ ยังไงซะเขาก็ยังเป็นเป้าของไอ้เรศอยู่ ซึ่งนั้นหมายความว่าถ้าใครอยู่ใกล้เขามากกว่าสองเมตรและพูดกับเขาเกินห้าคำจะถือว่าเป็นกระสอบทรายเดินได้ทันที
พูดถึงนเรศ ตอนนี้ที่ทุกคนภายในหอนอนต่างมีกลิ่นตัวเหม็นหึ่งก็เพราะไอ้บ้าอำนาจนั่น มันสั่งทุกคนห้ามอาบน้ำก่อนมันหรือพร้อมมันเด็ดขาด หน้าประตูน้ำรวมที่อยู่ด้านหลังหอนอนซึ่งถูกสร้างแยกห่างออกไปราวยี่สิบก้าวเดินมี ‘กลุ่มบอดี้การ์ด’ ของไอ้เรศยืนจังก้าไม่ให้ใครเดินผ่าน สหัสนัยน์เหลือบตามองพวกนั้นพรางพ่นลมหายใจอย่างรังเกลียด ‘ก็เป็นได้แค่นั้นแหละว้า ไอ้ยามเฝ้าประตูห้องน้ำเอ้ย’
ที่ทุกคนต่างกลัวไอ้เรศมันมีเหตุผลมากกว่าแค่มันเป็นเด็กหัวดีที่สุดในสายชั้น...ความฉลาดของมันแทบไม่มีความหมายเลย เพราะเด็กหัวดีผลการเรียนเยี่ยมและหุ่นขี้ก้างมักจะเป็นเป้าให้เด็กตัวโตกว่ารังแก แต่บังเอิญว่าไอ้เรศเป็นเด็กหัวดีที่มีรูปร่างเหมือนไม้เสียบผีแต่มีปู่เป็นคนก่อตั้งโรงเรียน มีพ่อเป็นนักการเมือง และมีพี่สาวที่ดูจะรักใคร่น้องคนสุดท้องคนนี้ที่สุดเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน มันจึงทำให้ดูเหมือนไอ้เรศมีอำนาจทุกอย่างอยู่ในกำมือและไม่มีใครกล้าหือกับมันสักคน...มีบ้างที่จะมีคนคิดลองดี อย่างเมื่อปีที่แล้วมีเด็กในห้องเดียวกันมีเรื่องกับไอ้เรศเพราะหวังจะสร้างชื่อให้ตัวเอง ผลก็คือ มันถูกไล่ออกจากโรงเรียนแถมยังโดนดักเล่นงานตอนหลังเลิกเรียนจนแขนหักสามท่อน (บางคนก็บอกสี่ท่อน แต่บางคนบอกว่าแขนขาทั้งสี่ข้างหักทั้งหมด สหัสนัยน์ไม่รู้อันไหนจริง) ตำรวจสันนิฐานว่าเป็นเรื่องโรงเรียนคู่อริตีกัน แต่ทุกคนรู้ดีว่าไม่ใช่...มันเป็นเพราะไอ้เรศ
“สบายชิบหาย...” เสียงของมันดังมาจากหน้าประตูด้านหลังหอนอนที่ใช้เป็นทางออกไปห้องน้ำ “ฮึม โคตรเหม็นเลย” มันพูดพรางเอามือปิดจมูกตัวเองก่อนจะหันไปข้าง ๆ “พวกมึงเอาเสื้อผ้ากูไปตากข้างนอกให้ที กูจะไปเดินเล่น” มันหันไปพูดกับหนึ่งในบอร์ดี้การ์ดพรางยื่นเสื้อผ้าเปียกน้ำของมันให้ ก่อนจะเดินผิวปากมือล้วงกระเป๋าหายไปในป่าไผ่
เด็กทุกคนต่างลุกขึ้นและวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำทันที พร้อม ๆ โทรศัพท์มือถือของเด็กชายสั่นรัวอยู่ในกระเป๋ากางเกง สหัสนัยน์ค่อย ๆ ล้วงมันออกมาก่อนจะนอนหันข้างเพื่อไม่ให้มีใครได้ยิน
“ของที่บอกน่ะได้แล้วนะ” เสียงอีกฝ่ายพูดรัวเร็ว “จะมาเอาเมื่อไร”
“คืนพรุ่งนี้ สี่ทุ่ม รอที่ชานชาลา รู้ใช่ไหมว่าสถานีไหน”
“เออ ๆ แถวนี้มีอยู่สถานีเดียวแหละ” อีกฝ่ายทำเสียงหน่าย “...อย่าคิดจะเบี้ยวเชียว...”
“เออ อย่ามาช้าก็แล้วกัน” แล้วเขาก็กดตัดสายไป
เสียงเปาะแปะดังมาจากหลังคาสังกะสีของหอนอน
‘ฝนตกเหรอ’ สหัสนัยน์คิดพรางเหม่อมองไปยังหลังคาพรางฟังเสียงนั้นผสมปนเปไปกับเสียงดังเซ็งแซ่คระเสียงหัวเราะที่ดังมาเป็นระยะของเพื่อนร่วมชั้น สหัสนัยน์ไม่รู้ว่าทำไมพวกนั้นถึงหัวเราะกัน...เพราะได้อาบน้ำ...เพราะได้ยินเรื่องตลก...หรือเพราะแค่อยากจะระบายความเบื่อหน่ายที่ต้องถูกไอ้เรศเอาเปรียบ เขาไม่รู้...แต่ที่เขารู้ก็คือ เขาจะไม่ทนให้ไอ้เรศมาทำทุเรศ ๆ แบบนี้อีกแล้ว...มันน่าเบื่อเกินไป...หดหู่เกินไป...เศร้าเกินไปที่จะยอมทิ้งเรื่องพวกนั้นและเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขา...เขาจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว....ไอ้เรศต้องได้รับบทเรียน...บทเรียน...
จะหาเรื่องตายหรือไง เสียงภายในหัวของเขาดังมา แค่หนีก็พอ หนี!!
นั้นคือห้วงความคิดสุดท้ายก่อนที่สหัสนัยน์จะหลับไป ราวกับเสียงสายฝนนั้นเป็นเพลงเห่กล่อมให้เขาตกสู่ห้วงนิทราอันยาวนาน...
นาฬิกาตีบอกเวลา สามทุ่มตรง
......................
ปราชญ์ถูกปลุกตั้งแต่เช้ามืด
“อีกแป๊บนึงนะแม่” เขาพึมพำงัวเงียก่อนจะพลิกตัวหนี
“แม่อะไรของนายวะ เร็วตื่น” อีกฝ่ายเร่ง
เด็กชายค่อย ๆ พลิกตัวกลับมาและลืมตาขึ้นดู แสงสว่างจาง ๆ ยามเช้ามืดทำให้ตาเขาพร่าแต่ไม่ช้าเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือสหัสนัยน์
“นัยน์ ตัวนายโคตรเหม็นเลย...มาทำไรวะ คนจะนอน”
“เร็ว ลุกได้แล้ว ไปดูของดีกัน”
“ของดี...” ปราชญ์ทำหน้าคิดก่อนจะทิ้งหัวลงบนที่นอนอีกครั้ง “ไม่เอาหรอก ตอนอยู่โรงเรียนเก่าเราเคยแอบดูห้องน้ำหญิงมาแล้ว...โดนเรียกผู้ปกครองด้วย...ทั้ง ๆ ที่แค่ดูต้นทางแท้ ๆ”
สหัสนัยน์นิ่วหน้า “ไอ้โรคจิต ลุก ไม่ได้ไปถ้ำมองห้องน้ำหญิงโว้ย เร็ว ๆ สิ”
เด็กหนุ่มกึ่งลากกึ่งเข็นผู้เป็นเพื่อนให้ลุกขึ้นจากเตียงภายในห้องพยาบาลที่แสนสบายให้มายังป่าไผ่ ทั้งสองนั่งยอง ๆ และมองไปยังเบื้องหน้าที่เป็นห้องน้ำด้านหลังหอนอนชาย
“นายเป็นเกย์เหรอ” ปราชญ์เอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าหวาด ๆ
“จะบ้าเหรอ” อีกฝ่ายปฏิเสธ “เงียบแล้วก็ดูไป”
ผ่านไปราวสองสามนาที กลุ่มเด็กชายหลายคนก็เดินออกมาจากหอนอน นำหน้าโดยนเรศ
“นายให้เรามาแอบดูไอ้เรศอาบน้ำเนี่ยนะ”
สหัสนัยน์ยิ้ม “ไม่ใช่หรอก สนุกกว่านั้นเยอะ”
ปราชญ์นิ่วหน้าก่อนจะหันกลับมามองนเรศที่ตอนนี้กำลังสั่งให้พวกบอร์ดี้การ์ดเฝ้าประตูห้องน้ำไว้ไม่ให้ใครเข้าไป ก่อนจะหันหลังและเปิดประตู
เสียงของบางอย่างตกลงพื้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรี๊ด ๆ เหมือนเด็กผู้หญิง เพียงแต่มันแหบกว่าและน่าสมเพชกว่า เจ้าของเสียงนั้นคือไอ้เรศที่ตอนนี้วิ่งออกมาจากห้องน้ำ ตัวของมันเลอะโคลนดำเหม็น ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพเหมือนหนูเน่า ๆ ที่เปียกโคลนและวิ่งพล่านไปทั่ว
เสียงหัวเราะดังมา ปราชญ์หันไปจึงเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ในหอนอนเริ่มออกมายืนดูสิ่งที่เกิดขึ้นและหัวเราะ ไม่ต่างจากสหัสนัยน์ที่ตอนนี้หัวเราะงอหายเหมือนคนบ้า
“นายมันโรคจิตชัด ๆ” ปราชญ์เอ่ยและเริ่มหัวเราะไปด้วย
เสียงนกหวีดแหลมดังมาจาภายในหอนอน
“มีเรื่องอะไรกัน!!!” เสียงนั้งดังและฟังคุ้นหูมาก แม้ไม่ต้องเห็นตัวปราชญ์ก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหัวหน้าครูฝึก จ่าสิบเอกชัยชนะ
ทุกคนกลืนเสียงหัวเราะของตัวเองลงคอ เช่นเดียวกับปราชญ์และสหัสนัยน์ที่ดูเหมือนจะลืมหายใจไปชั่วขณะ ทุกอย่างเงียบสนิทยกเว้นเสียงกรี๊ดพร้อมคำสบถของนเรศที่ยังดังไปตามทางที่เขาวิ่ง จ่าชัยชะโงกหัวแหวกฝูงลูกเสือออกมาดู ปราชญ์เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ผิวหน้าตึงเป็นมันเหมือนคนเพิ่งตื่น ในตาแดงก่ำกวาดไปมาแต่ก็ไม่เห็นร่างของนเรศเพราะตอนนี้ไอ้เรสติแตกวิ่งหายเข้าไปในป่าไผ่แล้ว
“ใครทำกับเพื่อนแบบนั้น แม่มเอ้ย ไอ้พวกเด็กเปรต” เขาสบถเป็นภาษาถิ่นใต้ก่อนจะหยิบวิทยุสื่อสารที่เหน็บอยู่กับเอวออกมาพร้อมออกคำสั่งให้ครูฝึกออกตามนเรศ
เสียงวิทยุดังกลับมาว่าเด็กคนนั้นมีลักษณะอย่างไร
“...ตามเสียงกรี๊ด ๆ ไปเดี๋ยวก็เจอ” เขาตะคอกใส่วิทยุก่อนจะหันมาพูดกับเด็กคนอื่น ๆ “...เย็นนี้” เขาพูดเสียงดัง “ฉันต้องรู้ว่าใครเป็นคนทำ...ไม่อย่างนั้น อย่าหวังเลยว่าจะกลับด้วยอาการครบสามสิบสอง!!!” จบคำแล้วก็เป่านกหวีดอีก “ไปอาบน้ำ กินข้าว แล้วเริ่มเข้าฐานฝึกได้!!!”
ความโกลาหนเกิดขึ้นทันที ทุกคนคว้าผ้าเช็ดตัว ยาสีฟันแปลงสีฟันโดยไม่สนใจคนคุมห้องน้ำของนเรศที่ตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกเหมือนหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลว ปราชญ์กับสหัสนัยน์ค่อย ๆ ย่องออกมาจากกอไผ่โดยอาศัยความชุลมุนไม่ให้ใครสังเกตเห็น ทั้งคู่พยายามเดินให้เหมือนปรกติและไม่หันมองใคร แต่ถึงอย่างนั้น เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่ปราชญ์บังเอิญหันไปสบตากับหนึ่งในการ์ดของนเรศ เขารีบหันหนีก่อนจะเดินทะลุออกไปด้านหน้าหอนอน....
..................
ถาดข้าวที่ถูกแบ่งเป็นช่อง ๆ ของสหัสนัยน์ถูกเติมเต็มด้วยข้าวสวยก้นหม้อที่ทั้งไหม้และแข็ง แกงจืดวุ้นเส้นที่มีสีออกเขียว ๆ เหมือนอ้วกเด็ก และไข่ต้มที่มาพร้อมเปลือก
แต่เด็กชายดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก ในความรู้สึกของเขาอาหารมื้อนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในในโลกตั้งแต่เขาเกิดมาเพราะมันเป็นรสชาติแห่งชัยชนะครั้งแรกในชีวิต!!!
เขาตักข้าวเขาปากคำแล้วคำเล่าพร้อมกับขอเพิ่มอีกสองรอบติดจนอาการแน่นท้องฟ้องว่าเขาควรพอได้แล้ว
“ต้องโดนจับได้แน่” เสียงหนึ่งดังมาขณะที่เขายืนอยู่หน้าตู้น้ำหลังจากดื่มน้ำไปหนึ่งแก้วใหญ่เพื่อล้างคอ แค่น้ำเปล่ายังอร่อยเลย!!!
สหัสนัยน์หันมองที่ต้นเสียงจึงเห็นว่าเป็นปราชญ์ที่ตอนนี้ยืนหันหลังให้เขาและพูดกระซิบเหมือนสายลับสองคนกำลังส่งข้อมูลอาวุธนิวเคลียร์
“อะไร” สหัสนัยน์เผลอพูดกระซิบตอบ “แล้วทำไมต้องกระซิบด้วยวะ”
“มีคนรู้แน่...นายกับเราต้องถูกโดนบ่อขี้แน่” น้ำเสียงของปราชญ์ฟังดูหวาดกลัวและตื่นตระหนกเกินเหตุ
“นี่” สหัสนัยน์ว่าพรางจับอีกฝ่ายหมุนตัวเพื่อให้หันหน้ามาก่อนจะใช้สองมือตบแก้มผู้เป็นเพื่อนเบา ๆ “นายไม่ถูกจับโดดบ่อขี้หรอก เพราะนายไม่ได้ทำ ฉันทำ โอเคมั้ย” ปราชญ์เหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่สหัสนัยน์พยักหน้าให้มองไปด้านหลัง
ที่โต๊ะด้านหลังของปราชญ์มีนเรศนั่งอยู่กับกลุ่มบอร์ดีการ์ด ในตาของมันแดงก่ำเหมือนเพิ่งร้องไห้มาหมาด ๆ หน้าซีดเหมือนไก่ต้มน้ำประปา แถมยังทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงตอนที่หนึ่งในบอร์ดีการ์ดพยายามเช็ดคราบโคลนออกจากหู
ปราชญ์หันมาและหัวเราะเบา ๆ กับเพื่อน
“ไม่เห็นจะแย่ตรงไหน...คนอย่างมันต้องโดนซะบ้าง” สหัสนัยน์ว่าพรางดื่นน้ำอีกแล้วก่อนจะกอดคอเพื่อนออกเดิน “คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่นายกับฉัน นายไม่พูด ฉันไม่พูด ไม่มีใครรู้หรอก...อีกอย่าง บ่ายนี้ฉันก็จะเป็นคนไปบอกจ่าชัยแกเอง”
ปราชญ์หยุดกึกและหันมาที่สหัสนัยน์ทันที “ห๊ะ”
“เออ ฉันจะไปรับผิดกับจ่าแกเอง”
“ทำไมวะ แบบนั้นนายก็ต้องโดดบ่อขี้ดิ่”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อย่างมากก็แค่วิ่งอีกสี่ห้ารอบไม่ก็ล้างห้องน้ำสองสามห้อง” สหัสนัยน์ว่า “ที่สำคัญคือไม่ว่ายังไง นายอย่าบอกใครเด็ดขาดว่านายมีส่วนกับเรื่องนี้ ไม่งั้นนายก็ต้องโดนไปด้วย”
“แบบนั้นนายก็โดนคนเดียวดิ่ เราก็มีส่วน...ที่นายทำแบบนั้นก็เพราะเรา...”
คิดไปเอง เด็กชายคิด ไอ้นี่มันหลงตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ
“ไมใช่” สหัสนัยน์พูดเสียงเฉียบขาด “ฉันทำเพราะฉันเกลียดไอ้เรศมานานแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่มันทำกับนายบนรถเลย โอเคมั้ย...” กว่าสหัสนัยน์จะรู้ว่าคำที่พูดออกไปมันทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายก็ตอนที่ปราชญ์เริ่มสีหน้าเจื่อนลง เขาพยายามแก้คำที่ถูกต้องแต่เสียงนกหวีดเรียกรวมพลก็ดังขึ้นพอดี
“เราต้องไปห้องพยาบาลแล้ว...” ปราชญ์ว่าเสียงเบา “หมอแหม่มแกให้เราไปเอากระเป๋ากาชาติก่อนเริ่มเดินฐาน”
“ปราชญ์ ที่ฉันพูดเมื่อกี้ มันไม่ได้หมายถึงว่านายไม่ใช่เพื่อนฉันนะเว้ย”
“ช่างเหอะว่ะ เราเข้าใจ” เขาพูดแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป
สหัสนัยน์อยากจะตะโกนให้ลั่นค่ายแต่ก็คงไม่ช่วยอะไรมากนัก เขาจึงแค่เกาหัวสองสามทีก่อนจะหยิบหมวกลูกเสือที่เหน็บอยู่กับเอวขึ้นมาใส่แล้วก็เดินไปยังจุดรวมพล
สหัสนัยน์เดินไปต่อแถวที่หมู่ของตัวเอง พยายามไม่เป็นจุดสนใจของครูฝึกที่กำลังอธิบายภารกิจเดินฐานอยู่
“ทุกหมู่จะได้รับแผนที่” ครูฝึกซึ่งเป็นผู้หญิงวัยสามสิบกว่า ๆ ว่าพรางชูแผนที่ขึ้นและเริ่มแจกให้คนที่อยู่หน้าสุดของทุกแถวซึ่งก็คือหัวหน้าหมู่ของแต่ละหมู่ “...ให้เดินไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ย้ำ!!! ให้เดินไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้เท่านั้น ห้ามออกนอกเส้นทางเด็ดขาด ถ้ามีคนฝ่าฝืน แอบไปโดดน้ำตกหรือแอบกลับไปนอนที่หอนอนโดยไม่ได้รับอนุญาตจะโดนซ่อมโทษฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา นั้นหมายถึง ต้องไปล้างข้าวเม่าในห้องน้ำทุกห้องในค่าย รับรองว่าได้อ้วกแน่ ” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นไปทั่ว “ที่ด้านหลังแผนที่” เธอว่าและผลิกกระดาษในมือ “จะมีช่องทั้งหมดสิบสองช่อง เอาไว้ให้ครูฝึกที่คุมแต่ละฐานเซ็นแล้วก็ให้คะแนน หมู่ไหนได้คะแนนสูงที่สุด จะได้ของขวัญพิเศษคืนนี้ตอนชุมนุมรอบกองไฟ ทราบ!!!”
ทุกคนรับคำว่า ‘ทราบ’ เสียงดังฟังชัด
“ดี จำไว้ด้วยว่าตอนสิบสองนาฬิกาให้มาพักกินข้าวเที่ยงกันก่อน และภาระกิจการเดินฐานจะสิ้นสุดตอนสิบหกนาฬิกา...ขอให้ตรงต่อเวลาด้วย ทราบ !!!”
ทุกคนรับคำนั้นอีกครั้งก่อนที่ครูฝึกจะสั่งแยกย้าย
สหัสนัยน์ไม่ค่อยได้ฟังคำอธิบายเหล่านั้นมาเท่าไรนัก เขามัวแต่คิดถึงคำพูดของตัวเองที่พูดกับปราชญ์ก่อนที่จะแยกกันไป ที่จริงเขาไม่ต้องการจะพูดแบบนั้น และสิ่งที่เขาพูดไปก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แน่นอน เขาเกลียดไอ้เรศมานานแล้ว มันเป็นความจริง มันทำให้ชีวิตนักเรียนม.ต้นของเขาเหมือนตกนรก แต่ถ้าเป็นสหัสนัยน์คนก่อน คงไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้ อยากดีก็ได้แค่ฝันลม ๆ แล้ว ๆ แล้วก็เขียนลงในสมุดจดปัญญาอ่อนนั่น แต่เพราะมีปราชญ์อยู่ด้วยทำให้เขามาความกล้ามากพอที่จะเอาคืนไอ้เรศ เพราะมีเพื่อนที่เขาอยากจะปกป้อง มีเพื่อน...ที่เขาไม่เคยมีมาก่อน เพื่อนที่เขาจะคิดถึงเมื่อหันหลังเดินจาก ไปทิ้งชีวิตและอนาคตการเรียนไว้และหายไปพร้อมกับรถไฟเที่ยวเที่ยงคืนวันนี้
ใช่ สหัสนัยน์คิด เขาจะหนีออกจากค่าย!!!!
“จะไปไหน”
เสียงหนึ่งดังมาทำให้สหัสนัยน์สะดุ้งตัว เขาพบตัวเองเดินห่างออกจากหมู่มาไกล
เจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาแถมยังใส่ชุดลูกเสือเหมือนกัน ใบหน้าของเขาค่อนข้างตอบ จึงทำให้ใบหูที่กางอยู่แล้วดูกางมากขึ้นไปอีก นัยน์ตาสีดำสนิทโตเป็นประกายสะท้อนแสงแดดยามเช้า จมูกเล็กและแทบไม่มีดั้ง รูปร่างผอมดูกระฉับกระเฉงนั่นดูเข้ากันดีกับผิวคล้ำและความสูงราว ๆ ร้อยห้าสิบ เท่า ๆ กับสหัสนัยน์
“นายเป็นใครเนี่ย” สหัสนัยน์เอ่ยขึ้นทันทีพรางพยายามพินิจใบหน้านั้น
อีกฝ่ายดูจะแปลกใจมากจนเกือบจะเหมือนตกใจ
“โด่ ก็หัวหน้าหมู่มึงไง จำไม่ได้เหรอวะ” อีกเสียงหนึ่งแทรกดังขึ้น มันเป็นเสียงของไอ้ม่อน สหัสนัยน์จำชื่อจริงของมันไม่ได้ แต่ใคร ๆ ก็เรียกมันว่า ‘ม่อน’ ย่อมาจาก ‘โดเลม่อน’ เพราะรูปร่างมันกลม ๆ ป้อม ๆ เหมือนตัวการ์ตูนชื่อดัง
“ไม่...หัวหน้าหมู่มันไอ้รงไม่ใช่ไง”
“จำมั่วแล้วมึงอะ ไอ้รงมันอยู่หมู่สาม” ไอ้ม่อนพูดพรางหันไปทางเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ทำท่าและส่งเสียงเห็นด้วยกับมัน
สหัสนัยน์พยายามเค้นข้อมูลจากสมอง แต่ก็นั่นหละ สมองเขาไม่ค่อยจะเชื่อได้เสียเท่าไร บางทีก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เลอะเลือนเหมือนคนเป็นอัลไซเมอร์ เพราะอย่างนี้ไงกว่าเขาจะจำสูตรคูณได้ก็ต้องท่องตั้งแต่อยู่ป.สามถึงป.หก
จะว่าไปเขาก็เริ่มคุ้น ๆ หน้าอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง
“เราชื่อบุญทิ้ง” อีกฝ่ายว่าพรางยกมือไหว้ เด็กหนุ่มรีบยกมือรับไหว้ทันที เขาไม่ค่อยชินเวลามีใครมาไหว้ ที่จริงเขาคิดว่าบุญทิ้งเป็นคนแรกในชีวิตที่ไหว้เขา
ชื่อก็ประหลาด คนก็ประหลาด สหัสนัยน์คิดพรางเดินกลับเข้ารวมหมู่อีกครั้ง
“เอาละ” บุญทิ้งเอ่ยขึ้นทันทีที่ทุกคนมารวมกันครบ เขากางแผนที่ออกให้ทุกคนดูก่อนจะว่าต่อ “...จากตรงนี้ ฐานที่ใกล้ที่สุดจะอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของค่าย เดินไปราวห้าหกนาทีก็น่าจะถึง จากนั้นเราก็จะเดินวนไปตามทางก็จะเก็บได้อีกห้าฐานรวมเป็นหกฐาน แล้วค่อยพักกินข้าวเที่ยง ตอนบ่ายก็เริ่มจากฐานสุดท้ายของตอนเช้า ไล่ไปจนครบ คิดว่าเป็นไง โย่ ๆ เชี่ย ๆ ฮึ้ยย”
ทุกคนทำเสียงงึมงำในลำคอเป็นเชิงว่าเห็นด้วย โดยไม่มีใครคิดจะขำมุขตลกตอนทายแม้แต่น้อย
“ครูฝึกบอกเหรอว่าให้ไปตามทางที่นายว่า” สหัสนัยน์ถามขึ้นเพราะสงสัย
“เปล่า” บุญทิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึม อาจเป็นเพราะรู้สึก...เสียความมั่นใจ...ที่มุขตลกของตัวเองฝืดเคืองเสียหัวเราะขนาดหนัก “ครูฝึกให้ตัดสินใจกันเอาเอง”
“อือ” สหัสนัยน์ทำเสียงในลำคออย่างใช้ความคิดก่อนว่า “อย่างที่นายว่ามันก็ดีนะ...แต่ปัญหาคือหมู่อื่นก็ต้องคิดแบบนั้นนะสิ” เด็กหนุ่มว่าพรางชี้ไปที่ตะวันออกสุดในแผนที่ “เราว่าน่าจะเริ่มจากฐานที่ห่างที่สุดตรงนี้นะ แล้วค่อยเดินย้อนไปตามทางที่นายว่า”
“จะบ้าไง” ม่อนเอ่ย “แบบนั้นก็ต้องเดินกันเป็นชั่วโมงดิ่”
“ไม่ถึงหรอก...จากตรงนี้เราก็จะเดินไปที่ทางแยกที่เราผ่านตอนเดินเข้ามาในค่าย...ม่อน มีนาฬิกามั้ย”
ม่อนพยักหน้าก่อนจะถอดนาฬิกาออกจากข้อมือและยื่นให้อีกฝ่าย
“ตอนนี้เก้าโมงสองนาที ฐานน่าจะอยู่ตรงกลางระหว่างทางแยกกับสะพานน้ำตก ถ้ารีบเดินก็น่าจะถึงสักเก้าโมงยี่สิบไม่เกินเก้าโมงครึ่ง” เด็กชายจบคำด้วยการคืนนาฬิกาให้เจ้าของ
“โด่ แบบนั้นเราก็ต้องเสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงโดยที่ไม่ได้สักฐานนะ”
“แต่ว่าตรงนี้มันเป็นทางลาดนะ” สหัสนัยน์ชี้ไปที่ทางแยกอีกทางหนึ่งที่ไม่ได้พามาที่ค่ายแต่จะนำขึ้นเขาไป “ถ้ามาจากอีกทาง มันจะเป็นทางชันหรือไม่ก็หน้าผา อีกอย่างถ้าเป็นตอนบ่ายแดดจะแรงกกว่านี้ นายอาจจะเป็นลมก็ได้”
“ว่ากูอ้วนเหรอ” ไอ้ม่อนร้องเสียงดังพรางกำหมัดแน่น
สหัสนัยน์ยกมือปัดป้อง “เออ ๆ ไม่เอาก็ไม่เอา”
แบบนี้ไงถึงไม่อยากพูดอะไรมาก พูดไปแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“กูเห็นด้วยกับไอ้นัยน์มันนะ หน.” เสียงกนก สมาชิกอีกคนของหมู่ดังมา เขาเป็นคนเดียวในหมู่ที่เรียกบุญทิ้งว่า หน.ย่อมาจาก ‘หัวหน้า’ “เพราะเราก็ไม่รู้ว่าทำไมทางใต้ถึงจัดฐานชิดกันขนาดนั้น อาจจะเพราะว่าเป็นฐานเสียเวลามากหรือไม่ก็ทางที่ใช้เดินลำบาก ขืนเราไปตอนนี้อาจจะเสียเวลาแล้วก็เสียแรงเปล่า ๆ สู้ออมแรงไว้ตอนบ่ายดีกว่า”
นั่นมันความคิดฉันนะโว้ย!! เด็กชายคิด พูดอย่างกับความคิดตัวเอง
“เห็นด้วย/เห็นด้วย” เสียงคู่แฝด ธงกับไทยเอ่ยขึ้นพร้อมก่อนจะเริ่มเถียงว่าใครเป็นคนพูดก่อน
“เอาไงก็เอากัน เบื่อจะตายอยู่แล้ว” สมาชิกคนสุดท้ายของหมู่เอ่ยพร้อมกับอ้าปากหาวก่อนลุกขึ้นยืน และด้วยความสูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรจึงทำทุกคนดูเตี้ยไปถนัด
“ไอ้ขุน มึงก็เอาแต่นอน”
“เออ ๆ ก็ตื่นแล้วนี้ไง ไอ้อ้วน”
ทั้งสองเกือบจะกระโดนเข้าใส่กันแล้วถ้าบุญทิ้งไม่พูดขึ้นก่อน “คะแนนห้าต่อสอง ตกลงว่าเอาตามที่นัยน์ว่าแล้วกันนะ หมู่เก้า หมู่ฟายป่า...” เขาหันมองรอบ ๆ เหมือนจะดูว่ามีใครขำหรือเปล่า แต่เปล่า รอบตัวเขามีแต่เสียงลมและตดของไอ้ม่อน “ออกเดินทาง!!!” บุญทิ้งว่าพรางชูไม้สามงามที่มีธงควายป่าประดับอยู่ที่ยอดก่อนจะออกเดิน
เมื่อพวกเขาทุกคนมาถึงฐานแรก นาฬิกาเพิ่งบอกเวลาเก้าโมงสิบเท่านั้น
“ฐานแรกเหรอ” ครูฝึกเอ่ยถามทันทีที่ทุกคนหยุดและทำความเคารพ
บุญทิ้งรับคำก่อนจะยื่นกระดาษให้ อีกฝ่ายโบกมือไปมาก่อนว่า “ไม่ต้อง ๆ ครูฝึกฐานต่อไปจะให้คะแนนพวกเธอเอง เอาละ ฐานนี้ชื่อว่าฐาน ‘เจ้าลมกรด’....
ใช้เวลาอีกสิบนาทีทุกคนก็มาถึงฐานที่สองด้วยอาการหอบหายใจถี่ ยกเว้นบุญทิ้งที่แค่กระพือคอเสื้อ กับขุนที่เป็นนักวิ่งและนักบาสของโรงเรียน
“ฐานนี้ ชื่อว่า ฐานอสรพิษ...” ครูฝึกว่าพรางใช้กิ่งไม้ชี้ที่กรงซึ่งตั้งอยู่กับพื้นห่างออกไปไม่มาก แม้จะมีแสงสลัว ๆ แต่ทุกคนก็เห็นบางอย่างกำลังเลื้อยขดไปมาอยู่ภายใน ขนทั่วทั้งตัวของสหัสนัยน์ลุกชัน เขาไม่ถูกกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีเกล็ดหรือมีหนังตะปุ่มตะปั่ม
“ไม่ต้องกลัว มันไม่มีพิษอะไรหรอก” ครูฝึกว่าเมื่อเห็นท่าทางตระหนกของลูกเสือหมู่ควายป่า “...ไหนใครบอกได้บ้างว่ามันเป็นงูอะไร”
“งูเหลือมครับ” ม่อนตอบเสียงดัง
“ดีมาก มีความรู้เรื่องงูใช้ได้ งั้นเธอมาเล่นเกมส์กับครู” เขาว่าพรางหยิบแผ่นป้ายบึกหนึ่งขึ้นมา “พอครูเปิดป้าย ให้บอกให้ถูกว่าเป็นงูอะไร ถ้าถูกเกินห้าในสิบ ครูให้คะแนนเต็มทั้งฐานที่แล้วกับฐานนี้ ทราบ!!!”
“ทราบ” ม่อนรับคำพร้อมกับก้าวขึ้นมาข้างหน้า ....
ความคิดเห็น