คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1.3
เส้นทางเดินทางไกลนั้นไม่ถึงกับยากลำบากหรือทุรกันดารอะไร พูดกันตามจริงมันเป็นเส้นทางที่ร่มรื่นเพราะร่มเงาของต้นไม้ ทางเดินแม้ว่าจะเป็นแค่ทางดินแคบ ๆ และสูงชันเป็นบางช่วงแต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติดี
สหัสนัยน์ยิ้ม “แบบนี้ก็ดีนะ ว่ามั้ย” เขาว่าพรางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดก่อนจะหันไปทางปราชญ์ที่ตอนนี้สีหน้าไม่สู้ดีนักหลังจากต้องทั้งกระโดด หมอบ วิ่ง และเดินทางไกล ตั้งแต่ก้าวแรกที่ลงจากรถยังไม่มีใครได้พักสักคน
สหัสนัยน์รู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่าย เขาพยายามพูดให้ปราชญ์ขอความช่วยเหลือจากครูหลายครั้ง แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง
“ก็ดี แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีรถสักคันนะ”
เด็กหนุ่มตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะยื่นกระติกสนามของตัวเองให้ และคว้าประเป๋าที่อยู่บนหลังของปราชญ์มาสะพาย
“ขอบใจว่ะเพื่อน” เด็กชายเอ่ยพรางกระดกกระติกขึ้นดื่ม
“ไม่เป็นไรหรอก ช่วย ๆ กัน” สหัสนัยน์เอ่ยตอบ
เด็กชายทั้งสองอยู่รั้งท้ายขบวน แม้แต่เนตรนารีอ้วน ๆ ยังเดินแซงพวกเขาไปไกลหลายช่วงตัว เสียงพูดคุยที่ดังเป็นระยะค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที
“แบบนี้เราไปถึงเป็นคนสุดท้ายแน่” ปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ถึงก็คือถึง ไม่เห็นจำเป็นเลยว่าต้องไปถึงเป็นคนแรก”
ปราชญ์เหลือบมองผู้เป็นเพื่อนและยิ้ม “คำคมซะด้วย”
“เออ ๆ” สหัสนัยน์ยิ้มตอบก่อนจะเงียบไป...นานมาแล้วมีคนพูดคำ ๆ นี้กับเขา...ในที่ ๆ ต่างกัน สถานการณ์ที่ต่างกัน ...แต่นั้นมันก็นานมาแล้ว...
“เป็นอะไร...” ปราชญ์เอ่ยถามเมื่อเห็นสหัสนัยน์เงียบไปนาน
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร...” สหัสนัยน์เงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเพราะได้ยินอะไรบางอย่าง “ได้ยินมั้ย”
“ฮ๊ะ” ปราชญ์ทำเสียงสูง
“เสียงมันมาจากทางนั้น...มาเถอะ” เด็กชายว่าพรางออกวิ่งนำหน้าเพื่อนไปโดยลืมไปว่าอีกฝ่ายมีท่าทางเหนื่อยอ่อนมาก
ทั้งสองกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงทางโค้งเล็ก ๆ ที่ด้านหนึ่งเป็นกำแพงหินสูงชัน เมื่อเลยทางโค้งไป เส้นทางเดินกลายเป็นพื้นไม้โดยฉับพลัน...จะเรียกว่าทางเดินก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะมันเป็นคล้าย ๆ กับสะพานที่ถูกยึดติดกับหินผาด้านข้าง กว้างไม่เกินสามเมตรพร้อมราวจับ ด้านหนึ่งติดหินผา อีกด้านเปิดกว้างโล่งเผยให้เห็นน้ำตกขนาดมหึมา
“น้ำตก” ปราชญ์ร้องเสียงดัง ในตาของเขาเป็นประกายเหมือนเด็กอายุสามขวบ
มันเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่สหัสนัยน์เคยเห็น สูงหลายร้อยเมตร สายน้ำที่ทิ้งตัวลงมาแตกออกเป็นละอองต้องแสงแดดจนก่อให้เกิดสายรุ้ง กลิ่นอากาศชื้นเย็นขับความเหนื่อยอ่อนออกไปจนหมดสิ้น
“สุดยอด” สหัสนัยน์เอ่ยพรางฉีกยิ้มกว้างและหันมองเพื่อน
ปราชญ์ในตอนนี้ดูไม่สู้ดีนัก แม้ว่าจะตื่นเต้นกับภาพตรงหน้าแต่สภาพเขาเหมือนตุ๊กตาผ้าเก่า ๆ เหลือง ๆ ที่พร้อมจะขาดเต็มที
“ปราชญ์ นายโอเคหรือเปล่าเนี่ย”
“นี่นายถามจะเรากี่รอบเนี่ย เราบอกว่าสบายดี” อีกฝ่ายว่าอย่างหัวเสียนิดหน่อยแต่สหัสนัยน์ไม่เห็นด้วย
“ฉันว่านั่งพักหน่อยดีกว่า” เด็กชายเอ่ยพรางดันหลังเพื่อนให้เดินไปยังม้านั่งที่ตั่งอยู่ห่างออกไป ปราชญ์ดูไม่ค่อยเต็มใจนักแต่สุดท้ายทั้งสองก็นั่งลงบนม้านั่งพรางมองดูภาพตรงหน้า
“เคยเห็นน้ำตกใหญ่ขนาดนี้มาก่อนมั้ย” สหัสนัยน์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
“ไม่...พ่อแม่เราไม่ค่อยพาเราออกไปไหนต่อไหนบ่อยนักหรอก ส่วนใหญ่จะให้อยู่แต่ในบ้าน...นายล่ะ”
“ไม่เคยเหมือนกัน...เมื่อก่อนตอนที่พ่อฉันยังอยู่เราไปเที่ยวบ่อยนะ ทั้งทะเล ทั้งน้ำตก ไปมาตั้งหลายที่ แต่ไม่เคยเห็นน้ำตกใหญ่ขนาดนี้มาก่อน”
ปราชญ์ตีสีหน้าสงสัย “อ่าว แล้วตอนนี้พ่อนายไปไหนแล้วละ”
อีกฝ่ายยิ้ม “พ่อฉัน เขาไม่อยู่แล้วนะ...”
ปราชญ์สีหน้าหมองลงทันทีที่ได้ยินอีกฝ่าย
สหัสนัยน์เหม่อมองไปไกล ภาพเมื่อครั้งที่พ่อเขายังคงอยู่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ภาพของพ่อ แม่ และพี่ชายของเขาอยู่ด้วยพร้อมหน้าและหัวเราะไปด้วยกันเมื่อครั้งไปเที่ยวน้ำตกเมื่อสี่ปีก่อน มันเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา ช่วงเวลาที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า เด็กชายพยายามนึกและจดจำทุก ๆ ลายละเอียดไว้ ทุกคำพูด ทุกเหตุการณ์ ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มันก็ยากเหลือเกินเพราะยิ่งนานวัน เด็กชายก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้น้อยลงทุกที...ราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว...และอีกไม่นานเขาก็ลืมเลือนมันไป...ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป...สหัสนัยน์ไม่แน่ใจว่าแบบไหนดีกว่ากัน จำหรือลืม บางที การลืมอาจจะดีกว่า...
ทั้งคู่เงียบไปนานปล่อยให้เสียงน้ำตกดังกลบเกลื่อนความเงียบที่หนาวเย็น ปราชญ์เห็นสหัสนัยน์เหม่อมองไปไกล ในตาแข็งไร้แววเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ
แต่แล้วอยู่ดี ๆ อีกฝ่ายก็สะบัดหัวแรง ๆ เหมือนมีอะไรกัดที่หู
“อะไร?”
สหัสนัยน์ยิ้มน้อย ๆ “เปล่า ๆ คิดอะไรเพลิน ๆ นะ...” เด็กหนุ่มว่า “นี่ก็นานแล้วนะ ฉันว่าไปกันเถอะ เดี๋ยวจะโดนหมอบอีก”
ปราชญ์พยักหน้าเห็นด้วย เขามองผู้เป็นเพื่อนลุกขึ้นยืนและสะพายกระเป๋าสัมภาระสองใบขึ้นบ่า
และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายที่ปราชญ์จำได้...
..........................................................
“ปราชญ์ ปราชญ์” สหัสนัยน์ตรงเข้าเรียกชื่อผู้เป็นเพื่อนเสียงดังพรางตบหน้าเบา ๆ แต่อีกฝ่ายที่ล้มพับอยู่กับพื้นไม่มีอาการตอบสนอง
เด็กชายไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี มือสั่นและลนลาน สมองพยายามเค้นความรู้จากวิชาสุขศึกษาที่เรียน ๆ หลับ ๆ ออกมาใช้
“ตรวจชีพจร” เขาร้องขึ้นในที่สุดก่อนจะใช้มือตรวจชีพจรที่ข้อมือของอีกฝ่าย สหัสนัยน์คลำอยู่เป็นนานแต่ก็ไม่เจอจนเริ่มกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไป แต่สุดท้ายเขาก็เจอความรู้สึกเต้นตุบ ๆ ที่อยู่ใต้นิ้ว ใจของเด็กหนุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง
เขาจับแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผละมือและเริ่มจับชีพจรของตัวเอง “ช้า...ช้ากว่าเยอะเลย...”
‘อาจจะเป็นลม’ เด็กหนุ่มคิดพรางจับตัวอีกฝ่ายนอนหงาย ใบหน้าของปราชญ์เหลืองซีดเหมือนผงขมิ้นแห้ง ๆ ที่ติดอยู่ก้นถุงพราสติก ‘หน้าซีด...ต้องทำยังไงนะ...หน้าซีด’ เด็กชายนึกถามตัวเอง
‘หน้าซีดต้องนอนหัวต่ำ ถ้าหน้าแดงให้นอนหัวสูง...” เสียงครูวิชาสุขศึกษาดังมาเบา ๆ ในความคิด ขอบคุณเหลือเกินที่อาจารย์ทบทวนความรู้ก่อนจะเข้าค่าย
เด็กชายจับให้ปราชญ์นอนลงกับพื้นโดยไม่ใช่อะไรหนุนศีรษะ เขาปลดผ้าพันคอและกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออก ก่อนจะควานเข้าไปในกระเป๋าสัมภาระและหยิบผ้าขนหนูกับยาดมออกมา
สหัสนัยน์เทน้ำจากกระติกลงบนผ้าอย่างรีบร้อนและใช้มันถูไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อม ๆ กับใช้ยาดมจ่อที่จมูก
“เหม็น...” ปราชญ์ร้องครางออมาเบา ๆ สหัสนัยน์ผุดยิ้มอย่างโล่งอก “เราเป็นอะไร”
“ไอ้บ้า นายเป็นลม”
“จริงเหรอ...ไม่น่าจะ...อะไรนะ เป็นลมเหรอ” เขาดูสับสนและไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่สีหน้าค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
“นอนไปก่อนสิ” สหัสนัยน์ว่าเมื่อเห็นผู้เป็นเพื่อนตั่งท่าจะลุกขึ้น
“แต่ต้องไปให้ถึงค่ายนะ...เดี๋ยวคนอื่นจะเป็นห่วง”
สหัสนัยน์เงียบ เขาเห็นด้วย แต่ด้วยสภาพแบบนี้ปราชญ์คงเดินไปเองไม่ได้แน่ ๆ “นายรออยู่นี้แป๊บนะ” จบคำนั้นเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นและออกวิ่ง เขาวิ่งจนเลยเขตสะพานเลียบน้ำตกแต่ก็ไม่พบใครสักคน แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน ในใจเริ่มหวาดหวั่น
“ไม่มีใครเลย” สหัสนัยน์บอกกับเพื่อนทันทีที่กลับมาถึง “นายเดินไหวไหม”
“จะลองดู” อีกฝ่ายว่าพรางพยายามลุกขึ้น แต่ขาของเขาที่มีแต่กระดูกก็สั่นเทาเกินกว่าจะยืนได้ “ไม่ไหววะ..ขอโทษ...นายปล่อยให้เรานอนอยู่นี้แหละ แล้วไปตามคนที่ค่ายมาช่วย”
“ไม่...ฉันไม่ทิ้งนายแน่...มา...” เด็กชายว่าพรางหันหลังทำท่าให้อีกฝ่ายขี่หลัง
“แต่...”
“เร็ว ๆ เถอะน่า นี่มันในป่านะ ไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรอยู่บ้าง ถ้านายอยู่คนเดียวแล้วมีหมีหรืออะไรออกมานายจะทำยังไง”
“งั้นเราก็รออยู่ตรงนี้ด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วย เชื่อเราสิ”
“ไม่มีใครมาหรอกน่า!!!” สหัสนัยน์ว่าเสียงดังพรางหันไปทางอีกฝ่ายโดยไม่รู้เลยว่าใบหน้าเขาตอนนี้น่ากลัวเพียงได มันรวมเอาอารมณ์มากมายไว้ด้วยกัน...ทั้งหวาดกลัว ทั้งโมโห ทั้งเจ็บปวด ‘มันไม่เคยมี...และจะไม่มี’
ปราชญ์ตะลึงมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัวละคนสงสัย
“ฉัน...หมายถึงว่า” สหัสนัยน์พูดน้ำเสียงเรียบเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังตะหวาดอีกฝ่ายอยู่ “...นี่มันก็เย็นมากแล้ว กว่าพวกครูฝึกกับอาจารย์จะรู้ว่าเราหายไปก็คงเป็นเวลาเช็คชื่อตอนเข้านอน ตอนนั้นมันก็คงมืด...ในป่าเวลามืดมันน่ากลัวนะ...แล้วก็อันตรายด้วย ทางทีที่ดีฉันว่าเราควรไปให้ถึงค่ายดีกว่า...”
ปราชญ์ไม่ตอบ เขาแค่พยักหน้าและค่อย ๆ เอื้อมมือกอดรอบคอของสหัสนัยน์จากด้านหลัง
เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาแปลกใจที่อีกฝ่ายตัวเบาผิดปรกติทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่มีความสูงต่างกันไม่เท่าไร
“นายตัวเบา...วัน ๆ กินข้าวกี่มื้อเนี่ย” สหัสนัยน์ว่าพรางหัวเราะ
“เออ ๆ” ปราชญ์ว่าก่อนจะนึกขึ้นได้ “แล้วกระเป๋าละ”
“ไว้นั่นแหละ พรุ่งนี้ค่อยมาเอา”
ทั้งคู่ออกเดินอีกครั้ง เส้นทางต่อจากสะพานเลียบน้ำตกเป็นทางดินแคบ ๆ ที่ถูกขนาดด้วยป่าสูงทั้งสองด้าน แสงแดดสีส้มสดของยามเย็นทอดตัวยาวไปตามลำต้นของไม้สูง อากาศเริ่มชื้นขึ้นทุกที สหัสนัยน์เริ่มไม่แน่ใจว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไปถึงค่ายก่อนมืด...ความจริงคือ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่ายอยู่ห่างออกไปอีกไกลแค่ไหน สหันสัยน์นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมีแผนที่อยู่ แต่แล้วก็จำได้ว่าเป็นตัวเขาเองที่เอามันยัดไว้ในกระเป๋าสัมภาระ ความหงุดหงิดตัวเองก่อตัวขึ้นภายในใจพร้อม ๆ กับความล้าของขาที่เริ่มก้าวไปข้างหน้ายากขึ้นทุกที ทางเดินที่ทอดยาวไปก็ถูกบังไว้ด้วยร่มไม้และความมืดที่เริ่มทิ้งตัวลงมาก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนเส้นทางของทั้งคู่ไร้ที่สิ้นสุด เสียงเต้นตุบ ๆ ที่เต้นอยู่ในหูของสหัสนัยน์ยิ่งเพิ่มความลำคานและความเครียดที่มีอยู่แล้วขึ้นเป็นสองเท่า
ตลอดทั้งทาง ปราชญ์หลับอยู่ที่หลังของสหัสนัยน์เพราะความอ่อนเพลียทำให้ทั้งคู่พูดคุยกันน้อยมาก มีแต่เสียงหอบหายใจของสหัสนัยน์และเสียงเต้นของหัวใจที่กระทุ้งอยู่ในอกของปราชญ์เท่านั้นที่ยังคงแสดงว่าทั้งคู่ยังไม่มีใครคนไดคนหนึ่งหมดสติ
“ทางไหนดี” สหัสนัยน์เอ่ยถามขึ้นทำให้ปราชญ์ที่อยู่ด้านหลังลืมตาขึ้นมอง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของทั้งคู่คือทางแยกสองทางที่แทบไม่มีอะไรต่างกันเลย อีกทั้งยังไม่มีป้ายบอกจุดหมายของทางทั้งสองอีกด้วย
ทั้งคู่เลือกไปทางซ้ายเพราะดูจากรอยดินที่เหมือนมีคนจำนวนมากเพิ่งเดินผ่าน...แต่ก็อีกนั้นแหละ พวกเขาทั้งคู่ไม่มีใครมีความรู้เรื่องการแกะรอยจริง ๆ เลยสักคน
“นายว่าเรามาถูกทางหรือเปล่า” เด็กชายเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่ออกเดินมาได้นานเหมือนหลายชั่วโมงในความรู้สึกของสหัสนัยน์ ความมืดเริ่มรวมตัวควบแน่นอยู่รอบตัวทั้งสอง ทางเดินข้างหน้ามีแต่ความมืดแต่ขาของสหัสนัยน์ก็ยังคงก้าวเดินต่อไป
“อะไร” ปราชญ์สงสัย
“ก็ที่ทางแยกนั่นไง นายว่าเราเลี้ยวมาถูกทางไหม หรือว่า...” สหัสนัยน์หยุดเดินพรางหันหลังมอง “...เราจะมาผิดทาง”
“เราจะรู้ได้ไง บ้านเราไม่ได้อยู่แถวนี้สักหน่อย”
“ขอบใจนะที่ช่วย” สหัสนัยน์ว่าน้ำเสียงประชดพรางออกเดินกลับไปทางเก่า
“ทำอะไรน่ะ...เราเพิ่งเดินมาจากทางนั้นไม่ใช่เหรอ”
“จะเดินกลับไปที่ทางแยก...ฉันว่าเรามาผิดทาง”
“จะบ้าเหรอ นี่มันมืดแล้วนะ” ปราชญ์แย้ง “ถ้าเดินกลับไปทางเก่าก็ยิ่งจะเสียเวลาน่ะสิ”
อวดฉลาด เด็กชายคิด ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ
“ไม่ต้องมาพูดมากหรอก เพราะนายนั่นแหละที่เป็นคนบอกว่าให้มาทางนี้” สหัสนัยน์พูดเสียงดัง “แล้วคนที่แบกนายเดินอยู่นี่มันฉันนะ”
“เออ แล้วไงวะ” ปราชญ์พูดเสียงดัง “ถ้าเราเป็นภาระนักก็ปล่อยลงก็ได้นะ”
และเป็นคำนั้นเองที่ทำให้ความเหนื่อยอ่อนของเด็กชายประทุแตกกลายเป็นความโกรธ เขาปล่อยอีกฝ่ายลงทันทีจนก้นของปราญ์กระแทกกับพื้น
“เออ ดี ปากดีแบบนี้คงหายแล้วสิ...เดินไปเองแล้วกัน” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะออกเดิน
“เออ ดี ไปเลย! ไอ้ควายเอ้ย!! ไปเลย!!!” ปราชญ์ตะโกนก้องตามหลังไป แต่ไม่ช้าไม่นานมันก็กลายเป็นเสียงพูดที่ปะปนด้วยเสียงร้องสะอื้นให้ “ไม่ต้องมายุ่งกับกู ไปตายเลยไป!!!!”
สหัสนัยน์หยุดเดิน...ความอ่อนล้าพลันหายไปก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดภายในอก...ความเจ็บปวดนั้น...ความกลัวนั้น...เสียงร้องนั้น...เขารู้และคุ้นเคยกับมันดี...เสียงร้องของคนที่กำลังถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง มันเหมือนเสียงร้องของตัวเขาเองตอนที่พ่อกับพี่ชายจากไป เหมือนตอนที่แม่กลายเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เหมือนเสียงร้องให้ของเขาเองที่หวาดกลัวความโดดเดี่ยวและสิ้นหวังว่าวันพรุ่งนี้จะดีกว่า...เสียงร้องนั่น...
“ลุก”
ปราชญ์เงยหน้าขึ้นจากหัวเข่าที่คุดคู้ของตัวเอง เขามองไปยังร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่ยังมัวเพราะน้ำตา
“ไม่ไหว...จะไปก็ไปเถอะ...” ปราชญ์เอ่ยตอบเสียงอู้อี้
สหัสนัยน์ไม่ตอบคำนั้น เขานั่งลงข้าง ๆ และหยิบเอาสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋ากางเกงและจดอะไรบางอย่างลงไป
ปราชญ์สงสัยจึงหันมองและเอ่ยถาม “ทำอะไร”
“จดวิธีกำจัดไอ้เรศ” อีกฝ่ายเอ่ยตอบเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
“โรคจิต”
“อยากดูไหมละ”
ปราชญ์ลังเลอยู่ชั่วครู่แต่เมื่ออีกฝ่ายทำยืนยันคำเดิน เขาจึงรับและเปิดดู
มันเป็นบันทึกเล่มเล็กที่ทำด้วยมือ หน้ากระดาษภายในกว่าครึ่งถูกเติมเต็มด้วยตัวอักษรขยุกขยิกอ่านลำบาก ปราชญ์เปิดผ่านไปเร็ว ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้ารายการที่ยาวหลายสิบหน้ากระดาษ ทุกรายการมีเลขลำดับที่อยู่ด้านหน้า รายการสุดท้ายเขียนไว้ว่า ‘485. หลอกเอามาปล่อยในป่าสงวน’
“หลอก...เอามาปล่อย...ในป่าสงวน...เหรอ” เด็กชายอ่านออกเสียงอย่างยากลำบาก
“อ่านออกได้ยังไง...” สหัสนัยน์รีบยึดสมุดบันทึกกลับมา “ฉันให้ดูไม่ได้ให้อ่านสักหน่อย”
ปราชญ์หัวเราะ “คิดได้แค่นี้เองเหรอ เป็นเรา เราจะเขียนว่า ‘ผลักให้ตกเหว’ หรืออะไรที่มันง่ายกว่านั้นนะ”
“มีแล้ว...ข้อที่ร้อยหกสิบห้า เห็นมั้ย” สหัสนัยน์เปิดบันทึกพรางชี้ให้อีกฝ่ายดูที่บรรทัด ‘165. ผลักให้ตกเหว’
ปราชญ์หัวเราะเสียงดัง “นายจำได้หมดเลยเหรอ...โรคจิตชัด ๆ”
อีกฝ่ายยักไหล่พรางยิ้ม “ใช่ว่าฉันจะคิดทำจริงซะเมื่อไร...ยังไงฆ่าคนก็ติดคุก...ฉันไม่อยากติดคุกเพราะคนเลว ๆ อย่างไอ้เรศหรอก ไม่คุ้มกันสักนิด”
ปราชญ์พยักหน้าพรางทำเสียงเป็นเชิงเห็นด้วยก่อนจะเงียบไป
ทั้งคู่เงียบกันไปอีกครั้ง ก่อนที่ปราชญ์จะเอ่ยขึ้น
“เราไม่ชอบให้ใครเห็นว่าเราเป็นภาระ หรือสงสาร หรือสมเพช...พอมีคนทำแบบนั้น เราจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าน้อยกว่าคนอื่น...นายก็เห็น คนเป็นทาลัสซีเมียมีเวลาไม่มาก...เรา...บางทีอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้...เลยอยากจะทำทุก ๆ อย่างให้ได้เหมือนคนปรกติ...พอถึงเวลานั้น...จะได้ไม่เสียใจ”
สหัสนัยน์ว่าพรางลุกขึ้น “ใคร ๆ ก็ต้องตายทั้งนั้นแหละ...แล้วใคร ๆ ก็ตายโดยที่ไม่รู้วันตายจริง ๆ ทั้งนั้นด้วย และฉันก็ไม่ได้สมเพชนายสักนิด...อาจจะสงสารนิดหน่อย แต่ไม่ได้เห็นว่านายแตกต่างจากฉันหรือคนอื่น ๆ... พอเถอะ...เลิกดราม่าได้แล้ว...ไม่มีไฟฉายแบบนี้อาจจะเดินลำบากนะ...ลุกไหวมั้ย” เขาว่าพรางยืนมือออกไป
ปราชญ์ลังเลแค่วินาทีเดียวก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายและพยุงตัวเองลุกขึ้น
“แล้วก็บอกเดินไม่ไหว” เด็กชายแหย่
“เงียบไปเลย...”
ไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดอะไรต่อเสียงตะโกนและลำแสงจากไฟฉายก็ปรากฏขึ้นไกล ๆ ทั้งคู่รู้ในทันทีว่าเป็นครูฝึกที่ค่ายที่ออกตามหาหลังจากสังเกตเห็นว่ามีเด็กสองคนหายตัวไป
“ไปเถลไถลที่ไหนกันมา...ทำไมถึงเดินช้านัก” นั้นเป็นคำแรกที่ครูฝึกเอ่ยถาม
ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนที่ปราชญ์จะเอ่ยตอบ “ผมเป็นลมนะครับ สหัสนัยน์เขาช่วยแบกผมเดินมา”
ตอนแรกดูเหมือนครูฝึกคนนั้นจะไม่เชื่อก่อนจะสังเกตเห็นว่าหนึ่งในสองคนนั้นไม่ปรกติ “อ๋อ...งั้นเหรอ งั้นเธอก็คงเป็นเด็กทารัสซีเมียคนนั้นสิ...มาเถอะ เดี๋ยวครูเรียกรถมารับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ...” ปราชญ์รีบแย้งก่อนจะมองหน้าสหัสนัยน์ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน “เราจะเดินไปกันเองครับ”
ครูฝึกคนนั้นยิ้ม “ใจแข็งดีนิ งั้นมาเถอะ อีกแค่นิดเดียวก็ถึงค่ายแล้ว”
ทั้งคู่ออกเดินตามครูฝึกไป ก่อนที่ปราชญ์จะเอ่ยว่า “บอกแล้วว่ามาถูกทาง”
ความคิดเห็น