คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : วัน : "คำพิพากษา" เป็นนวนิยายที่สนุกดีนะ
ผมชื่อวันเผด็จ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ใคร ๆ ก็เรียกผมว่า ‘ไอ้ใบ้’
ผมเองก็พอจะเข้าใจนะว่าทำไมถึงมีคนตั้งฉายาให้ผมแบบนั้น คงเป็นเพราะผมไม่ค่อยพูดอะไรกับใครมากมายนัก ถ้าไม่จำเป็นหรืออาจารย์ถาม ผมก็ไม่อยากจะพูดกับใคร ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมหรือเพราะอะไร บางทีมันอาจจะไม่ได้มีเหตุผลสลับซับซ้อนอะไรก็ได้ ก็แค่ผมไม่ชอบพูด ก็แค่นั้น และผมก็เป็นของผมแบบนี้มานานแล้ว ถ้าใครเห็นว่ามันไม่ดี หรือผิดปรกติ หรือแปลกไปจากคนธรรมดา ผมว่าคน ๆ นั้นแหละที่ผิดปรกติเพราะตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นมาคนเดียว
เสียงกริ่งหมดเวลาพักเที่ยงดังมา ผมปิดหนังสือนวนิยายเรื่อง “คำพิพากษา” และนำมันไปวางคืนไว้บนชั้นหนังสือที่มีป้ายกำกับว่า “หนังสือรางวัลซีไรท์” ก่อนจะเดินออกจากห้องสมุดกลับไปยังห้องเรียน
ที่ห้องเรียนทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เสียงคนพูดจอแจเหมือนเพลงป๊อบบ้า ๆ บอ ๆ ที่พวกนั้นชอบฟัง คร่ำครวญหาแต่ความรักและความต้องการ ไขว่คว้าหาความฝันและคำสัญญาเลื่อนลอย วาดฝันความรักตราบเท่าฟ้าดินสลาย....ไร้สาระแท้ ๆ
ผมเดินไปยังโต๊ะของตัวเองที่อยู่แถวหลังสุดติดหน้าต่าง เสียงของครูวิชาสังคมดังมาจากหน้าชั้นพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเพื่อนนักเรียนห้องอื่น ผมเองก็ไม่ได้สนใจฟังมากนัก ในใจคิดถึงแต่นวนิยายที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อครู่ ‘คำพิพากษา’
...ไอ้ฟักกับอีสมทรง เรื่องราวความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของคนทั้งคู่ที่มาพร้อมกับความวิปราศ ด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ คำตัดสินของผู้คน และความตายอันอยุติธรรม ถ้าเปรียบเป็นภาพวาดคงเป็นภาพเขียนยุคโรแมนติกที่เต็มไปด้วยเรื่องโศกนาฏกรรมที่แสนยิ่งใหญ่ วีรบุรุษผู้ซึ่งยึดมั่นในคุณธรรมและคุณงามความดีอย่างไม่มีบิดพลิ้ว หญิงสาวผู้วิปราศถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบ่อนทำลายชายผู้ยิ่งใหญ่ คำครหาของสังคมที่ตัดสินว่าทั้งสองได้กระทำผิดประเวณี...และสุดท้าย ความตายอันน่าอนาถใจของชายผู้ยิ่งใหญ่นั้น...
“วันเผด็จ!!!” ครูตะหวาดเสียงก้องทำให้ผมตื่นจากภวังค์และรีบลุกขึ้นยืน เสียงหัวเราะและสายตาหลายคู่พุ่งเป้ามาที่ผม ใครบางคนพูดว่า ‘ไอ้ใบ้ โดนแล้วมึง’
“ช่วยบอกครูหน่อยสิว่า ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ กำหมดให้มีสมาชิกวุฒิสภาได้กี่คน”
ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ห้าร้อยสิบหรือเปล่านะ หรือร้อยห้าสิบ...ร้อยห้าสิบมั่ง ใช่สิ ร้อยห้าสิบ
“เออ..ร้อยห้าสิบ...มั้งครับ”
อาจารย์พยักหน้ายิ้ม ๆ อย่างพอใจ “ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย แต่ห้ามเหม่ออีกนะ”
ผมรีบนั่งลงและเปิดหนังสือตามอาจารย์...การเรียนมันก็น่าเบื่อแบบนี้ มีแต่ “จำได้” กับ “จำไม่ได้” ไม่มีใครบอกผมได้สักทีว่า “จำไปทำไม” หรือไม่เคยมีอาจารย์คนไหนถามผมว่า “ทำไมส.ว.ถึงต้องมีร้อยห้าสิบคน” ทำไมถึงเป็นร้อยแปดสิบ ร้อยยี่สิบ หรือห้าร้อยคนไม่ได้ มันน่าเบื่อก็ตรงนี้แหละ เพราะสุดท้ายแล้วใครมีเนื้อที่ในสมองกว้างพอให้จดจำเรื่องพวกนี้ได้หมดก็ถือว่าเป็นคนฉลาดทั้งที่จริง ๆ แล้วก็แค่จำกันไปแบบนกแก้วนกขุนทองแค่นั้น และถึงผมจะเก่งไอ้เรื่องพวกนี้ แต่มันก็ยังทำให้ผมเบื่ออยู่ดี
ผมพลิกหน้ากระดาษตามเสียงของอาจารย์...สายตาไล่มองไปตามบรรทัดของตัวหนังสือ...แต่ความคิดผมกลับดำดิ่งสู่ห้วงลึกอีกครั้ง สู่ห้วงเหวของภาพวาดวีรบุรุษผู้เหี้ยมหาญถูกคำติฉินนินทาให้กลายเป็นคนบาปของสังคม...ภาพของชายคนนั้นที่ตายอย่างไร้เกียรติเหมือนหมาข้างถนน
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังมาฉุดรั้งให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมเป็นแบบนี้ทุกที ถ้าเป็นเรื่องภาพวาดหรือหนังสือ มักจะทำให้ลืมเวลาไปได้ง่าย ๆ ผมรีบเก็บของลงกระเป๋าเพื่อกลับห้อง แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นก็มีเสียงคนตะโกนมา
“เฮ้ย ไอ้ใบ้ มีคนมาหามึงอ่ะ”
ผมหันไปตามเสียงนั้น และเห็นใครบางคนยื่นอยู่ห่างออกไป
ความคิดเห็น