ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยมทูตสหัสนัยน์

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1.2

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 56


    ม่านเมฆสีดำนิลค่อย ๆ คืบคลานขยายตัวปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้ากว้างแปลเปลี่ยนกลางวันให้กลายเป็นกลางคืนอันมืดมิดอนธการ แสงแวววับจากเส้นสายที่เลื้อยลัดไปตามหมู่เมฆนั้นเขย่าขวัญสรรพสัตว์ที่อยู่ในป่าเขา...ผืนป่ากำลังตื่นกลัว

                    แต่ไม่ใช้จากท้องฟ้าหรือเม็ดฝน พวกมันไม่ได้ตกใจกลัวเสียงคำรามของสายฟ้า แต่พวกมันตื่นกลัวเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นทรงอำนาจและเสียงหอบหายใจถี่

                    ร่างสี่ร่างพุ่งทะยานออกจากดงไม้หนาท่ามกลางความมืดจนยากที่จะมองเห็นร่างที่วิ่งนำหน้าคลานด้วยสี่เท้า  ส่วนอีกสามร่างที่ตามหลังมาวิ่งด้วยสองเท้าที่ว่องไวไม่แพ้กัน ความมืดที่คืบคลานมาจากเมฆฝนทำให้ร่างที่ตามหลังเป็นกังวล

                    “ครูบรรพต ...” เสียงของร่างสองเท้าที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเป็นเด็กหญิงและเป็นกังวล “เรากำลังเข้าเขตป่าลึก เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่” 

                    อีกฝ่ายทำเสียงในลำคอเป็นเชิงเห็นด้วย

    “เราต้องชะลอมันนะครับครู” อีกเสียงหนึ่งว่าฟังจากเสียงคงมีอายุไล่เลี่ยกันกับเด็กหญิง

    “แบบนั้นก็คงจะดีกว่า” เสียงนั้นเอ่ยออกมาเคล้ากับลมหายใจหอบถี่แต่กลับเยือกเย็นไม่แสดงความตื่นกลัวแม้แต่น้อย  เขาพนมมือขึ้นอย่างรวดเร็ว“ภมโร เนรยิโก” 

    จบคำนั้น ฝูงผึ้งประหลาดก็พุ่งทะยานออกมาจากปากของผู้เป็นครู ลำตัวของมันแต่ละตัวมีสีดำสลับแดงและใหญ่ขนาดเท่าเหรียญสิบบาท ความยาวจากหัวถึงปลายเหล็กในมีความยาวราวสองนิ้ว...หนึ่งนิ้วเป็นความยาวของลำตัว อีกหนึ่งนิ้วเป็นความยาวของเหล็กในที่มีสีแดงเหมือนเหล็กร้อนและมีควันทิ้งตัวเป็นสายยามมันบินผ่าน

                    “ดูท่าว่าคราวนี้ไม่ใช่ของง่าย” เด็กหญิงว่าพรางกระตุกยิ้มน้อย ๆ

                    “เธอเห็นเป็นเรื่องสนุกหรือไง” เด็กชายเอ่ยเสียงตำหนิ “มันไม่เหมือนกับที่เคยฝึก ๆ มานะ”

                    “แล้วจะทำไม!!!

    “พอได้แล้ว!!!” ผู้เป็นครูตะหวาดทันทีที่ผึ้งทั้งฝูงบินออกจากปากไปจนหมด

                    ผึ้งนรกสีดำแดงทั้งฝูงบินทะยานไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้า พวกมันใช้เหล็กในเหมือนกระสุนยิงไปที่ดวงตาของเป้าหมาย  ทันทีที่มันเข้าเป้า  เสียงดัง ‘ฉ่า’ เหมือนเนื้อที่ถูกเหล็กร้อนจี้ก็ดังขึ้น เพียงแต่เหล็กร้อนนั้นมีรูปร่างเหมือนตะปูและมีจำนวนเกือบครึ่งร้อย  

    เด็กหญิงกระตุกยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นเป้าหมายล้มลง เธอชักมีดสั้นออกมาจากฝักที่เอวและกระโดดขึ้นสูงเหนือร่างนั้นก่อนปักมีดลงบนลำตัวของร่างที่ล้มอยู่โดยไม่ฟังเสียงร้องห้ามของผู้เป็นครู เจ้าสิ่งนั้นร้องอีกครั้งก่อนสะบัดตัวไปมาอย่างบ้าครั่งก่อนจะตะเกียกตะกายยืนขึ้น มือสังหารพยายามยึดร่างนั้นไว้แน่นแต่ไร้ผล  ไม่ช้าเธอก็หลุดกระเด็นออกมาก่อนกระแทกเข้ากับต้นไม่ใหญ่ มีดสั้นก็หลุดติดมือมาด้วย

    เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ร่างสี่ท้าวก็อันตรธานหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงลอยเลือดมีแดงข้นกับกระจุกขนหย่อมหนึ่งในมือเท่านั้น

    “อุทุมพร  นังทัตตุ” เด็กชายสบถเสียงดังก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างตัวอีกฝ่าย

    “อะไรนะ” เธอพูดเสียงโกรธที่ถูกอีกฝ่ายว่าร้าย แต่กลับรู้สึกตัวว่ากำลังนั่งอยู่บนร่างของใครบางคน“ครู”  เธอร้อง “...ครูบาดเจ็บ” น้ำเสียงของวิชุดาว่าอย่างเป็นกังวลและรู้สึกผิดเมื่อเห็นไม้แหลมที่แทงออกมาจากหน้าอกด้านขวาเยื้องขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย “มีกิ่งไม้...มันแทงทะลุมาจากด้านหลัง”

                    “เอามันออก...” ชายผู้นั้นว่าพรางไอเอาเม็ดเลือดออกมาอีก

                    “แต่ว่า...” เด็กชายพยายามเอ่ยค้านแต่ไม่เป็นผลเพราะอีกฝ่ายตัดบทด้วยน้ำเสียงลุแก่โทสะ

                    “เอามันออกเถอะน่า”

                    ผู้เป็นศิษย์ชายนิ่งไป เด็กหญิงจึงจำต้องยอมทำตามคำนั้นแต่โดยดี เธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปที่กิ่งไม้และออกแรงดึงอย่างรวดเร็ว

                    เสียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นก้องผืนป่า 

                     “แผลลึกมาก มนต์รักษาคงไม่ได้ผล” เด็กหนุ่มว่าพรางพินิจแผลที่แผ่นหลัง

                    ชายผู้นั้นเห็นด้วย แผลลึกเกินกว่ามนต์รักษาบทไดจะใช้ได้ แต่เขายังมีลูกไม้เด็ดที่สหายผู้ชั่วร้ายให้เป็นของขวัญก่อนออกเดินทาง

                    ผู้เป็นครูล้วงเข้าไปในเสื้อพรางกระตุกเอาบางสิ่งออกมาจากสร้อยคอ “ใช้นี่” เขายื่นบางอย่างให้แก่ศิษย์หนุ่มมันเป็นขวดแก้วใสใบเล็กที่ภายในบรรจุโลหะสีทองรูปเมล็ดข้าวสารหลายเมล็ด

                    เด็กหนุ่มมองสิ่งนั้นด้วยสายตาสงสัยแต่ไม่กล้าไม่คัดค้านคำไดอีก  เขาเปิดฝาขวดออก เมล็ดข้าวสารสีทองเหล่านั้นกลิ้งไปมา  มันส่งเสียงคล้ายเม็ดโลหะกระทบกันยามเมื่อเด็กหนุ่มค่อย ๆ เทมันออกจากขวดแก้วให้ตกลงไปยังปากแผลที่ในตอนนี้กลายเป็นบ่อเลือดสีแดงฉานที่มีปากแผลลึกจมอยู่ข้างใต้

                    “เรียบร้อยแล้วครับ”

                    “พูดตามครู”

                    เด็กหนุ่มพนมมือและรอฟัง

                    “สังสิพพะติ

    “สังสิพพะติ” เด็กชายทวนคำ

    “อรุกาโย”

    “อรุกาโย”

                    จบคำ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นก้องป่าอีกครั้ง  เด็กสาวจับร่างของผู้เป็นครูที่ดิ้นทุรนทุรายไว้แน่น

                    “อะไรกัน...เป็นอะไรครับครู” เสียงของเด็กชายดังมาด้วยความตกใจ

                    สิ่งที่ศิษย์ทั้งสองไม่สามารถเห็นได้ก็คือเมล็ดสีทองที่บัดนี้เริ่มวิ่งทะลุร่างภายในอย่างรวดเร็วโดยทิ้งเส้นสายสีทองบางไว้เบื้องหลัง พวกมันวิ่งตัดผ่านกันไปมาหลายครั้ง จากจุดที่ลึกที่สุดของแผลเรื่อยขึ้นมาจนถึงปากแผลบนสุด พวกมันทักทอตัวเองเป็นแผ่นผืนสีทองภายใต้ผิวหนัง

                    ผ่านไปราวสองนาที  เสียงกรีดร้องหายไปกลายเป็นเสียงไอแห้ง ๆ และน้ำเหนียวยืดสีแดงหม่น

                    “พำลา...” ชายผู้นั้นเอ่ยชื่อผู้ที่ให้เมล็ดสีทองเหล่านั้นกับเขามาพรางเช็ดเอาเม็ดน้ำสีแดงที่ริมฝีปากออก “ไอ้คนมุสา”

                    “ครู นั่งพักก่อนเถอะ” เสียงเด็กหนุ่มดังมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายตั่งท่าจะลุกขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่มั่นคงนัก แต่ชายผู้นั้นกลับไม่ตอบ เขาจึงแค่เพียงเงียบไว้

                    “ไกรวี...” ชายหนุ่มเรียกชื่อเด็กหนุ่มเป็นครั้งแรกพรางก้มลงดึงมีดสั้นที่ปักอยู่กับพื้นดินขึ้นมาและยื่นให้กับอุทุมพรอย่างรวดเร็ว “ผึ้งนรกอยู่ไหน” 

                    “ยังไม่กลับมาครับ...”อีกฝ่ายเอ่ยตอบพรางจ้องกลับไปยังแผ่นหลังชายหนุ่มที่บัดนี้ยืนตั้งท่าเตรียบพร้อม

                    ความเงียบเข้าปรกคลุมทั้งสองอยู่นานหลายวินาทีก่อนที่เสียงฝีเท้าจะดังขึ้นอีกหลายครั้งพร้อม ๆ กับร่าง ๆ หนึ่งที่ปรากฏออกมาจากความมืด

                    ผู้มาใหม่สวมเสื้อแขนยาวและผ้าซิ่นสีดำที่ทักทอขึ้นด้วยมือ ที่รอบคอและปลายผ้าซิ่นมีลวดลายหงิกงอหลากสี  แขนและคอประดับประดาด้วยเครื่องเงินส่องแสงแวววาวในความมืด เช่นเดียวกับผมมวยของเธอที่มีปิ่นปักผมเงินประดับ ใบหน้าของร่างนั้นบ่งบอกถึงความเป็นเพศหญิงและความชราภาพในเวลาเดียวกัน ใบหน้ากลมกับคางเล็ก ดวงตาหยีเล็ก ดั้งจมูกเรียบไปกับผิวหน้าอย่างชนชาวเขา ริ้วรอยแห่งความชราและกระฝ้าปรากฏขึ้นทั่วไป ทั้งบนใบหน้า หลังฝ่ามือ และหลังเท้าที่ไร้สิ่งห่อหุ้ม ที่แผ่นหลังของเธอมีตระกล้าสารจากเปลือกไม้ใบใหญ่สะพายอยู่

                    หญิงชราผู้นั้นดูจะตกใจกับสิ่งที่พบไม่ต่างจากบรรพต

                    “พวกเอ็งเป็นใคร มาทำอะไรในป่าดึกดื่นแบบนี้” เธอว่าสำเนียงเปล่งแบบชาวเขา ใบหน้าตกใจราวกับเห็นผี ก่อนจะเหลือบไปเห็นมีดสั้นในมืออุทุมพร “หรือเอ็งจะเป็นโจร ข้าไม่มีเงินหรอกนะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นหละ” เธอว่าพรางถอยห่าง

                    ชายผู้นั้นเหลือบมองไปรอบตัวก่อนจะเก็บมีดสั้นเข้าฝักที่เอว “เปล่าหรอกจ่ะยาย...ไม่ใช่หรอก...ฉันกับน้อง ๆ มาหาคนนะ” ผู้เป็นศิษย์มองผู้เป็นครูด้วยสายตาดุดัน แต่อีกฝ่ายทำทีว่าไม่ให้พูดอะไร

                    “คนหรือ ข้าไม่เห็นมีใครบอกว่ามีคนหลงป่ามา...ตอนมานี่ก็ไม่เห็นมีใครสักคน” เธอว่าด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวน้อยลงพรางสังเกตอีกฝ่าย

                    ชายคนนั้นมีใบหน้าคมหยาบให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง รูปหน้าเหลี่ยมดูคมคาย ดวงตาแข็งในตาดำดูมุ่งมั่นอยู่ใต้แนวคิ้วดกหนา ผมยาวระแก้ม ส่วนอีกสองคนนั้นดูอายุไม่น่าจะเกินสิบห้าทำให้ใบหน้ายังคงเค้าความเป็นเด็กอยู่มาก เด็กชายมีดวงตากลมฉายแววจริงใจ ใบหูกางเล็กน้อย ริมฝีปากเรียบซีดเป็นเส้นตรง ผมสั้นติดหนังศีรษะ เด็กผู้หญิงไว้ผมสั้นแต่ดำคลับ ในตาดุ ริมฝีกปากเล็ก จมูกโด่งเป็นสัน คนทั้งสามอยู่ในชุดรายพรางแบบทหารสีดำสลับเขียวแก่เสื้อเนื้อผ้าหยาบพับแขนขึ้นถึงข้อศอก กางแกงขายาวเนื้อผ้าและสีเดียวกัน ปลายขากางเกงถูกรวบไว้ในรองเท้าบูตที่สูงครึ่งแข้ง

                    “หรือจ๊ะ...งั้นคนที่ฉันตามหาคงกลับไปแล้ว” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบและในหน้ายิ้มแย้ม “แล้วยายละจ๊ะ มาทำอะไร แล้วจะไปไหน”

                    หญิงชราเงียบไปก่อนจะยิ้มตอบ “ข้ามาเก็บของป่าไปกิน นี่ก็กำลังจะกลับหมู่บ้าน...” เธอว่าพรางกระชับตะกร้าที่สะพายอยู่ให้แน่น “แล้วพวกเอ็งละจะไปไหน...” ชายหนุ่มเงียบไปไม่ตอบ หญิงชราจึงพูดต่อ “ดูท่าจะหลงละสิ...มา ๆ กลับไปหมู่บ้านกับข้า ข้าจะพาไป”

                    ชายหนุ่มยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย “ดีเลยจะ ฉันเองก็อายยายไม่กล้าบอก”

                    หญิงชราเมื่อได้ฟังก็หัวเราะร่วน “ว่าแล้วเชียว ว่าแล้วเชียว...เป็นตะหารก็ใช่ว่าจะหลงไม่เป็นนิ  มาสิ  มา ๆ ทางนี้” เธอว่าพรางนำทางไป

                    คนทั้งหมดเดินตามหญิงชราไปในความมืดที่เริ่มรวมตัวอัดแน่นรอบกาย เสียงหวีดหวือของสายลมเริ่มอ่อนกำลังลง แต่กลิ่นชื้นในอากาศก็กำลังกู่ร้องว่าเม็ดฝนใกล้จะมาถึงเต็มที รอบกายของคนทั้งสามเงียบสนิท ไร้เสียงสัตว์ เสียงลม มีเพียงแต่ความเงียบและความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น

                    “เงียบจังเลยนะจ๊ะ...” ชายหนุ่มว่าหลังจากเดินตามหญิงชรามาได้นานหลายสิบนาที

                    “ป่าเวลากลางคืนก็อย่างนี่ละ” เธอตอบโดยไม่หันมาทางผู้ติดตาม

                    อีกฝ่ายมองไปรอบตัวอย่างระวังตัว “หรือจ๊ะ...แต่ฉันว่ามันแปลก ๆ อยู่นา...เหมือนเงียบเกินไป” ในน้ำเสียงของชายหนุ่มแผงแววกังวลอย่างเด่นชัด

                    หญิงชาวเขาหัวเราะน้อย ๆ  “เอ็งนี่ยังหนุ่มยังแน่นแท้ ๆ แต่ขี้กลัวจังนะ...แล้วน้องเอ็งละ เห็นเงียบไปตั้งนาน เป็นอะไรหรือเปล่า”

                    ชายหนุ่มผุดยิ้มเงียบ ๆ “อ๋อ...น้องฉันเขาไม่ค่อยพูดนะจะ ปรกติก็พูดน้อยอยู่แล้ว นี่คงเพราะกลัวด้วยก็เลยยิ่งไม่พูดไปใหญ่”

                    “กลัวอะไรละ” หญิงชราเอ่ยกับไกรวีและอุทุมพรทั้งทีไม่หันมา “ไม่ต้องกลัวหรอก...ป่านี้ยายเดินมาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย”

                    “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...” ชายหนุ่มว่า “ป่าเวลากลางคืน มันก็น่ากลัวอยู่นะ...ทั้งสัตว์ ทั้ง....”

    “ผีหรือ...” อีกฝ่ายต่อคำพรางก้าวเดินไปข้างหน้า “เอ็งเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ด้วยหรือวะไอ้หนุ่ม”

                    “ก็ใช่นะสิจ๊ะ...” ชายหนุ่มตอบก่อนเงียบไปพักหนึ่ง “แล้วยายละไม่กลัวหรือ เข้าป่าเวลากลางคืนแบบนี้”

                    “ข้าไม่กลัวหรอก” เธอว่าเสียงสูง “อยู่มาตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่เคยเจอผีสักตัว...เคยเจอเสือ เจอหมี เจอเก้ง เจอกวาง แต่ไม่เคยเจอผีเลย”

                    “หรือจ๊ะ...” ชายหนุ่มก้าวเท้ายาว ๆ เพื่อเดินตามให้ทันอีกฝ่าย “งั้นยายคงไม่กลัวผีเลยสิ”
                    อีกฝ่ายตอบคำถามด้วยการผงกหัวหนึ่งที ทั้งคู่เงียบไปอีกหลายนาทีก่อนที่ผู้ตามหลังจะถามขึ้น “ยายเคยได้ยินเรื่องเสือสมิงหรือเปล่าจ๊ะ”

                    หญิงชราชะงักเท้าน้อย ๆ พรางปลายสายตาเหลือบมองมายังผู้ถาม ก่อนจะหัวเราะเสียงดังและก้าวเดินต่อไป “เคยสิเคย...ในหมู่บ้านข้าก็มีเรื่องแบบนี้เอาไว้เล่าขู่เด็กเล็ก ๆ เหมือนกัน”

                    ผู้ถามผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ “แล้วไอ้เสือสมิงของยายเนี่ย มันเป็นยังไงหรือจ๊ะ”

                    “ก็เป็นเสือที่แปลงตัวเป็นคนได้  บ้างก็ว่าเป็นเสือดุที่กินคนเข้าไปแล้วกักวิญาณของคนที่ตายไว้ในตัว บ้างก็ว่าเป็นพวกหมอผี หมอคุณไสยที่ใช้คาถาอาคมมากจนเข้าตัวเองแล้วกลายเป็นเสือไป...”

                    “หรือจ๊ะ...” ชายคนนั้นพยักหน้าอีกหลายครั้งพรางทำเสียงในลำคอ “แต่แปลกจังนะ...ไม่เห็นเหมือนที่ฉันเคยได้ยินมาเลย”

                    “งั้น เหรอ” หญิงชราว่าอย่างไม่สนใจมากนัก “แล้วที่บ้านเอ็งเขาว่ากันยังไงละ”

                    “เขาก็ว่ากันว่าเสือสมิงเนี่ย เป็นวิญญาณที่มีชีวิตชนิดหนึ่ง เรียกว่า โอปะปาติกะ...ยายรู้จักไหมจ๊ะ มันเป็นวิญญาณที่ประกอบกันขึ้นด้วยวิญญาณมากมาย มีชีวิตอยู่ได้โดยการกัดกินวิญญาณดวงอื่น ๆ และสิงสู่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ”

                    “อย่างนั้น เหรอ” เธอคนนั้นว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย”

                    ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม “แต่ว่าก็ว่าเถอะนะจ๊ะยาย...ยายเข้าป่าแบบนี้ทำไมไม่ใส่รองเท้าละ มันอันตรายนะ”

                    “ข้าชินแล้ว...เดินแบบนี้มาแต่เด็ก ๆ”

                    “หรือจ๊ะ...แล้วในตะกร้ายายนี้ฉันไม่เห็นมีอะไรเลย...”ผู้เอ่ยถามว่าพรางชะเง้อมองเข้าไปในตะกร้าที่อยู่บนหลังของอีกฝ่าย

                    “วันนี้ข้าโชคร้าย เก็บอะไรไม่ได้สักอย่าง...คนแก่แล้วก็อย่างนี้ละ หูตาก็ฝ่าฟางมองอะไรไม่ค่อยเห็น”

                    “อือ” เขาร้องในลำขอเป็นเชิงเข้าใจ “...แล้วหมู่บ้านของยายนี้ต้องเดินอีกไกลหรือเปล่า”

                    “ไม่ไกลหลอก”

                    “แต่เท่าที่ฉันได้ยินมา แถวมันเป็นป่าสงวน ไม่มีหมู่บ้านคนนี่จ๊ะ”

                    “เอ็งคงได้ยินมาผิดแล้ว”

                    “หรือจ๊ะ...” ชายคนนั้นว่าอย่างเจ้าเล่ห์ “แต่ยายคงจะลำบากหน้าดูเลยนะ...”

                    หญิงคนนั้นหัวเราะน้อย ๆ “ข้าชินแล้วละ ลำบากมาตั้งแต่เล็ก ๆ”

                    “เปล่าหรอกจะ ฉันหมายถึง ยายคงลำบากน่าดูที่ต้องเดินมาตั้งไกลทั้ง ๆ ที่แผลที่หลังเจ็บแทบตายแบบนั้น...” จบคำชายหนุ่มก็ชักมีดสั้นออกจากฝักพรางกระโจนไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาก็ช้ากว่าอีกฝ่ายมาก เธอยกขาสัตว์ป่าของตัวเองขึ้นสูงและถีบอีกฝ่ายเข้าที่ท้องเต็มแรง อุทุมพรตอบสนองอย่างฉับพลัน เธอกระโจนตามผู้เป็นครูไปพร้อมด้วยมีดในมือแต่ก็ถูกอีกฝ่ายใช้มือปัดจนกระเด็นไปติดกับต้นไม้ ส่วนร่างของบรรพตก็ตกกระแทกกับพื้นที่ห่างออกไปไกลแต่เขาก็กระโดดลุกขึ้นในทันที

                    ในตอนนี้ ร่างที่เคยเป็นหญิงชราเริ่มแปลเปลี่ยนไป ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยับย่นเริ่มถูกปกคลุมด้วยดงขนสีดำสนิท ดวงตาที่เคยหยีเล็กกลับกลายเป็นเบิกกว้างฉายแววดุร้ายอยู่ใต้ดงขน จมูกและปากยื่นยาวอาภรที่เคยสวมใส่กลายเป็นขนแข็งสีดำร่างที่เคยเตี้ยเล็กเริ่มขยายสูงใหญ่กลายเป็นเงาดำทมิฬในความสงัดมืดของป่าเขา กรงเล็บสีขาวเปล่งประกายสีเงินยวงในความมืดเช่นเดียวกับเขี้ยวยาวและแนวฟันคมกริบที่แลเห็นได้จากริมฝีปากชุ่มน้ำลายที่เผยอเปิดออกน้อย ๆ

                    “กว่าจะออกมาได้นะ...” ชายผู้นั้นว่า “รู้ไหมว่าเดินไกลมันเหนื่อย”

                    “ข้า...ไม่ได้...ทำสิ่งได้...ผิด” ร่างสีดำที่ยังยืนด้วยสองขาเอ่ยออกมา เสียงของมันฟังไม่ลื่นไหลเหมือนคำพูดของมนุษย์  ราวกับว่ามันนำเสียงของคนหลายสิบคนมาประกอบเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นคำและประโยค  “ข้า...เพียงต้อง...การมีชีวิต...อยู่”

                    “ไม่ได้...”  บรรพตว่าพรางกำหมัดแน่น  “แกทำให้กฎบนโลกฝั่งนี้ปั่นป่วน  แกต้องกลับไปกับข้า”

                    “ข้า...ไม่ไป” จบคำร่างสีดำก็กระโจนเข้าใส่ชายหนุ่ม อีกฝ่ายหลบหลีกด้วยการกระโดดถอยหลังไปก่อนพุ่งเข้าหาศัตรูหมายจะจับสัตว์ร้ายด้วยมือ   แต่มันรู้ทันจึงใช้กรงเล็บตะปบชายหนุ่มกลางอากาศ  ทำให้อีกฝ่ายลงไปนอนกับพื้นดินอีกครั้ง

                    “ไกรวี” ชายหนุ่มตะโกนลั่น ผู้ถูกเรียกตอบสนองด้วยการกระโจนลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างออกไปพร้อมกับพนมมือ

                    “สังขลิกา”

                    จบคำนั้น แขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มก็กลายโซ่เส้นยักษ์ทะยานลงมาพันไปรอบกายของสัตว์ร้ายดั่งอสรพิษเข้าพัวพันเหยื่อที่พยายามต่อสู้กับการถูกพันธนาการนั้น

    “อุทุมพร” เขาตะโกนลั่นหลังจากร่างไร้แขนของตัวเองตกลงมานอนแอ้งแม้งไม่เป็นท่า

                    ผู้เป็นครูพยักหน้าเห็นด้วย  เด็กหญิงจึงพุ่งตัวเข้าหาศัตรูและปักคมมีดสั้นเข้าที่หน้าอกของมันอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก้องไปทั่วทั้งขุนเขาและผืนป่า ดวงไฟหลากสีมากมายพุ่งทะยานออกมาจากปากแผลที่ถูกฉีกแหวกใหญ่ขึ้นทุกที สีสันนับร้อยนับพันเหล่านั้นมุ่งหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำเบื้องบนก่อนจะแยกย้ายกลายเป็นเส้นสายที่มุ่งหน้าไปทุกทิศทุกทาง

    ร่างของสัตว์ร้ายเริ่มแปลเปลี่ยนกลายเป็นร่างคนหลายสิบหลายร้อยในชั่วไม่กี่วินาที ใบหน้ามากมายทาบทับครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหญิง ชาย อ่อนเยาว์ และสูงวัย ริมฝีปากเอาแต่ร่ำร้องซ้ำไปมา “ข้า...ต้องการ...มีชีวิต”

    สุดท้ายร่างนั้นก็กลับนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น มันกลับสู่ร่างเดิมที่มันเคยสิงสู่อาศัยเป็นที่พักพิงแล้ว...ร่างของเสือโคร่งเฒ่าที่ผอมแห้งจนเห็นซี่โครงและกระดูกสะโพกได้ชัดเจน ใบหูที่ครั้งหนึ่งเคยตั้งสวยกลับหักงอเช่นเดียวกับหากที่โค้งขดเพราะกระดูกแตก ลายสีดำและเหลืองเข้มหลุดร่วงเป็นกระจุก ปากอ้ากว้างจนเห็นเขี้ยวที่หักและช่องว่างของฝันที่หลุดออกไป

    เด็กหญิงก้มลงจ้องมองร่างนั้น ในมือยังกำดาบสั้นที่มีเม็ดเลือดหยดลงมาจากปลายอยู่ไว้แน่น  เธอใช้เท้าเขี่ยดูสองสามครั้งคล้ายต้องการดูว่าอีกฝ่ายสิ้นชีพหรือยัง เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววของชีวิตเหลืออยู่  ใบหน้าของเธอก็ฉายแววแห่งความว่างเปล่าไร้อารมณ์ออกมา

    “ใครล่ะจะไม่อยาก...”  อุทุมพรเอ่ยออกมาเบา ๆ ห้วงความคิดพุ่งพร่านอยู่ภายในพร้อมกับภาพอดีตที่ฉายซ้ำไปมา

    “ท่านครู...”  เสียงของไกรวีดังขึ้นทำให้เด็กสาวกลับสู่ป่าเขายามวิกาลอีกครั้ง  “ผมส่งพวกผึ้งนรกกลับไปแล้ว  งานก็เสร็จแล้ว พวกเราจะกลับกันเลยหรือเปล่า...”

    “ดูเหมือนว่าจะยังนะ...” บรรพตว่าพรางละสายตาจากซากสัตว์เฒ่าและหันหลังจ้องมองไปยังสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ห่างออกไปไม่ไกล

    สิ่งมีชีวิตนั้นเป็นนกรูปร่างประหลาด มันมีใบหน้ารูปหัวใจ เครื่องหน้าให้ความรู้สึกคล้ายนกฮูกหรือนกเค้าแมว ขนสีขาวเหลืองนวลสะบัดไปมา ศีรษะหันไปรอบทิศ

    “พวกหน่วยนกแสก...”  ชายคนนั้นร้องถาม  “มีอะไร”

    นกตัวนั้นตอบสนองด้วยการร่อนตัวลงมาที่พื้น  มันค่อย ๆ ปล่อยให้ปีกที่ยื่นยาวกลายเป็นแขน  ขนทั่วทั้งตัวหดหายไปพร้อม ๆ กับใบหน้าที่เริ่มแปลเปลี่ยนจนกลายเป็นหญิงสาวนุ่งโจงกระเบนนั่งขุกเข่าอยู่ท่อนบนของนางสวมผ้าคล้องคอที่ห่อหุ้มถันทั้งสองข้างไว้แบบตะเบ็งมาน นางพนมและยกมือขึ้นไหว้

    “ท่านพำลามีข่าวมาแจ้งเจ้าค่ะ”

    “ไอ้ทัตตุ มุสา” อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยความโกรธ “มีอะไร”

    “ท่านพำลาต้องการแจ้งว่ามีความปั่นป่วนของวิญญาณอยู่ไม่ห่างจากที่นี่...อาจจะมีเรื่องไม่ปรกติเกิดขึ้น  จึงต้องการให้ท่านบรรพตไปตรวจดูสักหน่อย”

    “มันคิดว่าข้าเป็นวัวเป็นควายไม่รู้จักเหนื่อยหรือ” ชายหนุ่มว่าเสียงดังอย่างเกรี้ยวกลาด

    “ไม่ทราบเจ้าค่ะ  หน่วยนกแสกมีหน้าที่มาแจ้งข่าวและนำทางท่านไปยังที่หมายเท่านั้น”

    บรรพตยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบไปหน้าคล้ายต้องการสะกดกลั้นความโกรธในตัวก่อนจะหันไปทางไกรวีและอุทุมพรที่บัดนี้กำลังมองหน้ากันด้วยความเหน็ดเหนื่อย

     “ท่านบรรพตเจ้าคะ  เวลามีไม่มาก...” เธอคนนั้นว่าอีกครั้งทำให้อีกฝ่ายหันมาทางต้นเสียง

    “งั้นก็นำทางสิ...จะมามัวนั่งพนมมือหาพระแสงของ้าวอะไรล่ะ”

    “ทางนี้เจ้าค่ะ” เธอรับคำก่อนจะหันหลังและกระโจนตัวเองไปในอากาศกลายร่างเป็นนกแสกอีกครั้งโดยมีบรรพตออกวิ่งตามไป เขาไม่สนใจทั้งเสียงร้องโอดโอยของไกรวีและเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของอุทุมพร 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×