ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยมทูตสหัสนัยน์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 เมฆฝนที่ใกล้เข้ามา...

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 56


    เสียงสายฝนเทกระหน่ำดังมาคระเคล้าไปกับเสียงสายฟ้าที่ฟาดลงบนพื้นที่ไหนสักแห่ง

    สหัสนัยน์พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางโถงทางเดินที่มืดทึบภายในบ้านของเขาเอง หน้าต่างที่ปิดไม่สนิทส่งเสียงกึกกักเพราะลมที่พัดแรง สายฝนที่ทิ้งตัวเป็นเส้นสายบนกระจกหน้าต่างก่อให้เกิดเงาสีเทาน่าหวาดหวั่นทาบทับลงบนพื้นและผนังยามแสงจากฟ้าแลบสว่างวาบขึ้น ที่สุดทางเดินนั้นมีประตูอยู่...ยามกลางวันมันจะเป็นกระตูไม้สีน้ำตาลเข้มสลักลายรูปดอกทานตะวันทื่อ ๆ ดูไร้ราคา แต่ในยามนี้ มันกลับกลายเป็นประตูไม้สีดำที่ดูราวกับมีตาที่เบิกโตและปากแสยะยิ้ม เด็กหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ เสียงพึมพำของใครบางคนภายในนั้นดังแว่วมา ลูกบิดทองเหลืองเก่าคร่ำสะท้อนแสงของฟ้าผ่า สหัสนัยน์จับลูกบิด  รู้สึกถึงความเย็นของมันก่อนจะบิดมันให้มันเปิดออก ภายในนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นของเหล้าเหม็น ๆ อาหารบูด เสื้อผ้าสกปรกที่กองไปทั่วพื้นและอีกมากมายที่เด็กชายคุ้นจมูกดี  เตียงไม้วางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องติดกับหน้าต่าง  แสงสีขาวซีดของฟ้าแลบสะท้อนเป็นระยะ เงาราง ๆ ของใครบางคนที่นอนอยู่บนเตียงทำให้สหัสนัยน์ตื่นกลัว  ลมหายในหอบถี่ของร่างนั่นกำลังยุบและพองอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางกระดำกระด่าง...แต่เขาก็ยังคงเดินเข้าไปหาร่างนั้น 

    ยิ่งเขาเข้าใกล้ร่างนั้นมากเท่าไรเสียงพึมพำก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นเสียงเบา ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ที่ลอยมาตามลมยะเยือก  เขาเอื้อมมือจับหัวไหล่ของร่างนั้นก่อนจะค่อย ๆ เปิดผ้าห่มออก

    และเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นก็ดึงขึ้น!

    สหัสนัยน์ลืมตาตะดุ้งตื่นขึ้นบนรถบัส

    เขารับรู้ได้ถึงเหงื่อเหนี่ยวที่ไหลซึมไปทั่วแผนหลับภายใต้เครื่องแบบชุดลูกเสื้อสีกากี อกสั่นราวกับก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ภายในจะทะลุออกมาจากหน้าอก ‘ครั้งสุดท้าย’ เขาคิดพรางกอดกระเป๋าสัมภาระแน่น ‘นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย’ 

    ภายนอกหน้าต่างของรถบัสปรากฏทิวทัศน์ของหินภูเขาสีน้ำตาลอ่อนตั้งตระหง่านเป็นกำแพงอยู่ที่ขอบทางยาวหลายร้อยกิโลเมตร อันเป็นผลมาจากการระเบิดผ่าภูเขาเป็นสองท่อนเพื่อตัดถนนผ่าน นาน ๆ ครั้งกำแพงหินนั่นจะหายไปกลายเป็นป่าไม้รกทึบสีเขียวจาง ๆ แกมน้ำตาลของซากต้นหญ้าที่ตายแล้วแต่ไม่นานหินภูเขาสีน้ำตาลอ่อนก็จะกลับมายึดครองทิวทัศน์ข้างถนนตามเดิมอีกครั้ง

    รถบัสคันใหญ่ที่สหัสนัยน์โดยสารมาเป็นรถบัสเก่าคร่ำ พื้นของตัวรถทำจากไม้ปูทับด้วยแผ่นอะลูมิเนียมอย่างหนาที่ถูกใครบางคนงัดเอาแผ่นอะลูมิเนียมออกไปจนเว้าแหว่งเป็นช่องโหว่ทั่วทั้งคัน เบาะนั่งแบบคู่สองแถวขาดลุ่ยเกือบทุกเบาะจนเห็นฟองน้ำสีเหลืองที่บุอยู่ด้านใน พัดลมที่แขวนอยู่เป็นระยะตลอดตัวรถก็ติด ๆ ดับ ๆ พร้อมส่งเสียงร้องครางครึกครักและสั่นตามแรงหมุนอย่างน่ากลัวหน้าต่างกว่าครึ่งของจำนวนทั้งหมดเปิดไม่ได้เพราะตัวล๊อกหายหรือไม่ก็ฝืดจนงัดไม่ขึ้น

    เด็กชายละสายตาจากตัวรถมาที่ผู้โดยสาร ทั้งหมดเป็นเด็กหนุ่มสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับสหัสนัยน์  อีกทั้งยังแต่งตัวเครื่องแบบชุดลูกเสื้อและเนตรนารีเหมือนกันหมด เพียงแต่พวกนั้นไม่ได้มีท่าทางเงียบสงบเหมือนสหัสนัยน์ ที่จริงทั้งหมดกำลังก่อสงครามย่อม ๆ ที่มีคำด่าหยาบ ๆ เป็นกระสุนปืนกล และเศษกล่องโฟมอาหารกลางวันเป็นลูกระเบิด 

    แม่ทัพสำคัญของศึกครั้งนี้คือ นเรศ  แต่ใคร ๆ ก็เรียกมันว่า “ไอ้เรศ”

                    ถ้าใครสักคนจะจิตนาการณ์ถึงอันธพาลมัธยมที่เก่งเรื่องรังแกคนอื่น ชอบใช้กำลัง หรือแม้กระทั้งรีดไถ่ว่าต้องเป็นเด็กตัวใหญ่ โง่ และมาจากครอบครัวแตกแยก ไอ้เรศก็คงจะเป็นภาพตรงกันข้ามทั้งหมด มันเป็นเด็กผู้ชายตัวสูง ผอมบาง ผิวขาว ฉลาดจนได้ที่หนึ่งของชั้นปีและมาจากครอบครัวร่ำรวย ใบหน้าของมันให้ความรู้สึกน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ตาหยีเล็กและคม จมูกเล็กและเชิดขึ้นน้อย ๆ ปากเล็กแดงก่ำตลอดเวลา  ที่มุมปากด้านขวาของมันมีแผลเป็นยาวลงมาถึงแนวกราม

                    ไม่มีใครอดพ้นจากการกลั่นแกล้งของไอ้เรศได้ ทุกคนจะต้องโดนมันแกล้งให้ได้อับอายและมันก็ให้ทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น คือมาเป็นเพื่อนและออกแกล้งคนอื่นไปกับมัน หรือไม่ก็ยอมถูกมันเอาด้ามไม่กวาดไล่แทงหลังไปตลอดชาติ...คนส่วนใหญ่เลือกอย่างแรก สหัสนัยน์เลือกอย่างหลัง

                    “เฮ้ย...” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เด็กชายจะรู้สึกถึงความเย็นที่รดมาตามเสื้อ “หนาวเหรอวะ  กอดกระเป๋าแน่นเชียว” แค่ฟังเสียงหัวเราะแหบ ๆ นั่นเด็กชายก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือไอเรศ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่หันไปมองอีกฝ่ายและลุกขึ้นเดินไปหานั่งที่อื่นที่ห่างออกไป

                    “หนีหางจุกตูดเลยวะ...” นั่นคือคำสุดท้ายจากพวกมันที่สหัสนัยน์ได้ยิน

                    เด็กหนุ่มนั่งลงบนที่นั่งด้านหน้าของตัวรถที่ว่างอยู่ ห่างจากไอ้เรศและพวกที่ตั้งป้อมซึ่งก่อด้วยกระเป๋าสัมภาระนับสิบใบอยู่ด้านหลังสุด ถัดจากที่นั่งของเขาไปเป็นที่นั่งของอาจารย์ประจำชั้น เด็กชายจำชื่อเขาไม่ได้ จำได้แต่ว่าอาจารย์เป็นผู้ชายร่างอ้วนเตี้ยที่มีกลิ่นตัวเหมือนยาแก้ไอ้บูด ๆ แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังได้กลิ่นนั่นโชยมาตามลมพร้อม ๆ กับเสียงกรนที่ดังกว่าเสียงเครื่องยนต์รถซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงสองก้าวเดิน

    มันอาจะเป็นที่ ๆ แย่ที่สุดในรถคันนี้ แต่ถ้าแลกมากับการที่ไอ้เรศไม่มายุ่งวุ่นวาย เขาก็ยอม

                    สหัสนัยน์เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ยังคงเหมือนเดิมราวกับว่ารถคันนี้วิ่งวนเป็นวงกลม  กำแพงผาหินสีน้ำตาลอ่อน  หญ้าแห้งตายสลับกับต้นไม้  และกลับมาเป็นกำแพงหินสีน้ำตาลอีกครั้ง  ในหัวของเขาก็คิดหาวิธีแก้แค้นไอ้เรศและพวก  อย่างวางเพลิงเผาบ้านพวกมัน โยนกระถางต้นไม้ลงมาจากชั้นสิบห้าให้โดนหัวพวกมันสักคนตอนที่พวกมันเดินผ่าน แอบเอาตะปูหรืองูจงอางใส่ไว้ในรองเท้าของพวกมันตอนเผลอ แต่แบบนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา แน่นอน สหัสนัยน์ไม่เคยคิดจะทำเรื่องพวกนั้นจริง ๆ  แม้ว่าเขาจะมีสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ใช้จดความคิดบ้าบอพวกนั้นแต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิดที่เขาใช้เพื่อปลอบตัวเองไปวัน ๆ และไม่ว่าเขาจะจัดการกับคนอย่างไอ้เรศไปสักกี่ร้อยคน ไม่ช้าจะมีคนแบบไอ้เรศผุดขึ้นมาจากซากโสมมของโลกใบนี้อีก...โลกใบนี้...เขาเกลียดโลกใบนี้...เกลียดโรงเรียนนี้  เกลียดเพื่อนพวกนี้ พวกมันไม่ใช่เพื่อนด้วยซ้ำ สหัสนัยน์ไม่รู้ว่าเพื่อนกันต้องเป็นแบบไหนเพราะเขาก็ไม่เคยมีมาก่อน  แต่พวกนี้ไม่ใช่แน่นอน มันเป็นแค่คนแปลกหน้าที่มาจมปรักใช้เวลาสามปีอยู่ในที่เดียวกันและเขาก็เกลียดมันเหลือเกิน

                    ‘อีกไม่นานหรอก’ เขาคิดก่อนจะล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสัมภาระและค่อย ๆ กางออกเพื่อไม่ให้ใครเห็น มันเป็นแผนที่...บนแผนที่นั้นมีเส้นสายและตัวหนังสือมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเส้นและชื่อที่ใช้แสดงถึงถนน ทางรถไฟ และเขตแดนพร้อมชื่อของแต่ละอำเภอ ที่มุมขวาล่างสุดมีวงกลมและเส้นสีน้ำเงินลากอยู่หลายเส้น กลางวงกลมนั้นมีตัวหนังสือเล็ก ๆ เขียนว่า “ค่ายลูกเสือราชาพิทักษ์”

    เด็กหนุ่มกำแผนที่แน่น ในตาแข็งมุ่งมั่นแต่แห้งแล้งไร้ความหวัง ‘ไม่นานเราก็จะไปจากที่นี่แล้ว’          

    ไม่ทันที่เด็กชายจะคิดอะไรต่อ ตัวรถก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นเนินสูงชัน เขารู้ได้จากการที่ร่างของเขาถูกแรงดึงดูดกดให้หลังติดกับพนังพิง ตัวรถสั่นแรงเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง เครื่องยนต์ส่งเสียงครางครืดคราดดังลั่นเหมือนเป็นคำร้องขอให้เจ้าของรถเอาตนไปขายเศษเหล็ก สหัสนัยน์พึมพำออกมาเสียงเบา “ถ้าไอ้รถเส็งเคร็งคันนี้มันพาเราไปถึงจุดหมายได้นะ”

    จบคำนั้นของสหัสนันย์ได้ห้านาทีรถบัสก็ไต่ขึ้นจนถึงยอดเนินพอดีกับเสียงจากวิทยุสื่อสารที่เน็บอยู่กับเอวของอาจารย์ประจำชั้นดังขึ้น เด็กชายเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งตัวน้อย ๆ ก่อนจะหยิบเครื่องสื่อสารสีแดงขนาดเหมาะมือขึ้นตอบ

    “อะไรนะ ขออีกที”

    “มีรถชนอยู่ข้างหน้า..ซ่า..” เสียงซ่า ๆ ของผู้ชายดังมา “...เละเทะน่าดูเลย ซ่า... ยังไงให้เด็กเอาม่านลงด้วย  ซ่า...จะได้ไม่เห็น”

    “ทราบ ๆ” อาจารย์ร่างท้วมรับคำก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน “กลับไปนั่งที่ ทุกคนนั่นละ ไปเลย...เดี๋ยวนี่เสียงครูประจำชั้นตวาดเสียงดังพรางย้ายร่างตุ้ยนุ้ยเดินไปจนสุดความยาวของตัวรถ

    สหัสนัยน์มองตามหลังอาจารย์ไปพร้อม ๆ กับที่รับรู้ได้ถึงควาทเร็วของรถที่เริ่มชะลอตัว เด็กชายเห็นกลุ่มเด็กนักเรียนแตกกระเจิงกลับไปนั่งที่ของตัวเอง พวกไอ้เรศรีบทลายป้อมที่อยู่ท้ายรถและเอามันยัดไว้ใต้เบาะก่อนจะนั่งทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    เอาผ้าม่านลงด้วย... เสียงอาจารย์ดังมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะก้มลงดูที่ใต้รองเท้าของตัวเอง "ใครเอาแตกกวามาปาเล่นแบบนี้เนี่ยฮ๊ะ" ทุกคนเงียบและก้มหน้านิ่ง  แต่สหัสนัยน์รู้ดีว่าเกือบทุกคนกำลังแอบหัวเราะอยู่

    “รีบช่วยกันเก็บเดี๋ยวนี้เลยนะ..แล้วห้ามมองไปนอกหน้าต่างด้วย” 

    “ข้างนอกมีอะไรเหรอครับ”  หนึ่งในพวกของไอ้เรศถามขึ้น

    “เงียบแล้วก็เก็บขยะไป!!!"อาจารย์ประจำชั้นตวาดซ้ำ

    สหัสนัยน์ค่อย ๆ เกาะผ้าม่านสีน้ำเงินเข้มเก่า ๆ ที่รวบไว้กับเสาหน้าต่างและกางมันจนปิดหน้าต่างจนมิด  ความมืดเข้ามาเยือนภายในรถอย่างเงียบเชียบ เพื่อนร่วมห้องของเด็กหนุ่มเริ่มก้มลงเก็บขยะ ไม่รู้ว่าเพราะเสียงตวาดของอาจารย์หรือเพราะความมืดกันแน่ที่เริ่มมีผลต่อทุกคน พวกเขาเริ่มกระซิบคุยกัน เสียงพูดคุยที่เคยโหวกเหวกกลับกลายเป็นเสียงกระซิบบางเบาในอากาศ เสียงก้าวเดินเงียบลงราวกับเป็นฝีเท้าของแมว แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังดังพอที่ทุกคนจะรับรู้ได้    

    สหัสนัยน์นิ่วหน้า พรางตั้งคำถามภายในใจตัวเองว่าในเมื่อเขาไม่ได้ทำให้ขยะเกลื่อนไปทั่วรถ แล้วทำไมเขาต้องเก็บขยะพวกนั้นด้วยละ?

    เด็กชายไม่ตอบคำถามนั้นของตัวเอง เขาเพียงแค่เอนตัวนอนราบลงกับเบาะแบบนั่งคู่โดยหันหัวไปทางหน้าต่างและคู้เข่าให้พอดีกับที่นั่ง...และถึงแม้ในเวลานั้นมันจะดูเป็นการกระทำที่ยุติธรรมดี แต่เขาก็จะนึกเสียใจในภายหลังทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้

    เมื่อนอนอยู่ในท่านี้ทำให้สายตาของเด็กหนุ่มอยู่ในแนวเดียวกันกับชายผ้าม่าน และหากเขาเพียงแค่เงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยก็จะสามารถมองออกไปทางหน้าต่างที่ชายผ้าม่านแง้มเปิดอยู่ได้ 

    แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ทำแบบนั้น  แน่นอนเขากล้าพอที่จะขัดคำสั่งของอาจารย์หรือเก็บของที่ตกพื้นแล้วขึ้นมากิน  แต่สหัสนัยน์ก็ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะมองดูศพตรง ๆ โดยไม่มีควันเบรอ ๆ เหมือนในข่าวบังไว้  เขากลัวเลือด เศษเนื้อ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด และอะไรก็แล้วแต่ที่เคยมีชีวิต กินไม่ได้และยังดิบอยู่  

    เวลาผ่านไปนานหลายนาที อากาศภายในรถเริ่มร้อนอบอ้าวด้วยแดดจัดยามบ่าย คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นนับร้อย ๆ ที่เริ่มตลบอบอวนอยู่ภายในเพราะอากาศไม่ถ่ายเท เด็กคนอื่น ๆ เริ่มกลับไปนั่งที่และหาสมุดหรืออะไรก็ตามที่พอหาได้มากระพือเพื่อให้อากาศผ่าน 

    สหัสนัยน์เริ่มเบื่อกับอากาศที่ร้อนและกลิ่นเหม็นอับเน่า เขาจึงดึงกระเป๋าขึ้นมาอีกครั้ง ยัดแผ่นที่กลับเข้าไปและหยิบสมุดบันทึกออกมา

    มันเป็นสมุดเล็มเล็กที่เขาทำเองโดยใช้กระดาษว่าง ๆ ที่เหลือจากสมุดเล่มเก่า นำมันมาตัดให้พอดีกับปก เจาะรูที่ขอบด้านหนึ่งด้วยเครื่องเจาะรูหรือไขควงสามรูตามแนวตั้งโดยเว้นระยะเท่า ๆ กัน ก่อนจะใช้ห่วงเหล็กสีทองที่หาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนมาร้อยเข้าที่รูที่เจาะไว้แล้ว แค่นี้เขาก็จะได้สมุดทำเองที่แต่ละหน้าจะมีสีและเนื้อกระดาษแตกต่างกันไป 

    ปกของสมุดนั้นเป็นกระดาษแข็งสีตุ่น ๆ มั่ว ๆ เหมือนกระดาษรีไซเคิล มันไม่มีชื่อหรืออะไรเขียนบอกไว้ และแม้ว่ามันจะเป็นสมุดบันทึกประจำวันรวมไปถึงความคิดต่าง ๆ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ใช่มีแค่เรื่องโรคจิตคิดกำจัดไอ้เรศและพวกอย่างเดียว (ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของบันทึกทั้งหมด) แต่เด็กชายก็ฉลาดพอที่จะไม่เขียนบอกใครก็ตามที่มาเจอสมุดนี้โดยบังเอิญว่ามันเป็น “สมุดจนความคิดฆ่าเพื่อนแบบโรคจิตที่สุด  โดย  สหัสนัยน์  โอสิทถะ”  

    สหัสนัยน์เปิดหน้าหน้ากระดาษสุดท้ายที่เขาเขียนค้างไว้ออกมาก่อนจะล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบปากกาและเริ่มคิด

    ‘ให้งูเหลือมลัดคอตอนไปทัศนะศึกษาที่สวนสัตว์ก็มีไปแล้ว...ผลักให้ตกรถบัสที่กำลังวิ่งอยู่ก็มีไปแล้ว’ เขาคิดพรางกดปากกาในมือถี่ ๆ ‘...เปิดช่องสิบเอ็ดได้ดูสามวันสามคืนไม่หยุดพักก็มีไปแล้ว...จับไปขังไว้กับตุ๊กแกหนึ่งร้อยตัวก็มีไปแล้ว...อะไรดีนะ...จริงสิ...”เขาเริ่มจดบางอย่างลงสมุดด้วยลายมือ ‘ชุ่ยแหลก’  แบบที่อาจารย์ภาษาไทยจะตีมือเขาจนหักแน่ถ้าได้เห็น  ‘ผลักให้รถบัสเก่า ๆ ชน’ เขายิ้มให้กับความคิดโรคจิตปัญญาอ่อนของตัวเอง

    ไม่ทันที่เขาจะเขียนหรือคิดเรื่องเพ้อฝันบ้า ๆ ต่อ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นก้องรถบัส จากเสียงหนึ่งเป็นหลายเสียงและกลายเป็นหลายสิบเสียงที่ดังโหยหวนมาจากทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ความโกลาหนปรากฏอย่างบัดดล หลายคนเริ่มวิ่งหนีห่างจากหน้าต่างราวกับมองเห็นนรกอยู่ด้านนอก บางคนร้องตะโกนด้วยความกลัวในตาเปิดค้าง

    “บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่างดู” เสียงอาจารย์ร่างท้วมตะโกนลั่นก่อนจะสั่งเฉียบขาด “กลับไปนั่งที่ให้หมดทุกคน  ปิดม่านด้วย” มีนักเรียนน้อยคนที่ทำตามคำนั้น คนที่ยังไม่ได้เห็นตะกายไปดูที่อีกด้านของตัวรถ  คนที่เห็นแล้วถ่อยห่างออกมาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าซีดขาวและดวงตาเบิกโพรง

    สหัสนัยน์ลุกขึ้นนั่ง ยัดสมุดบันทึกลงกระเป๋ากางเกง

    และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ม่านหน้าต่างสีน้ำเงินถูกลมเย็นยะเยือกพัดจนเปิดกว้าง

    สหัสนัยน์มองออกไปข้างนอกนั้น ตัวรถชะรอความเร็วจนเขารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง ห่างออกไปราวสองถึงสามเมตร เขาเห็นซากรถที่ยับย่นราวกับกระดาษที่ถูกขยำทิ้งจอดแน่นิ่งอยู่ข้างทางหลายสิบคันยาวกว่าห้าร้อยเมตรและกินพื้นที่สองเลนส์จากทั้งหมดสี่เลนส์ หน้าผาหินธรรมชาติสีน้ำตาลอ่อนที่ตั้งตระหง่านเป็นขอบทางถูกครูดเป็นทางยาวด้วยแรงปะทะจากความเร็วสูงจนเห็นรอยสีขาวแกมน้ำตาลได้ชัดเจน ซากเศษเนื้อสีแดงปนดำและเครื่องในกองอยู่ตามถนน บ้างยังพอมองออกว่าเป็นแขนขา นิ้วมือ และเศษศีรษะมนุษย์ที่ถูกล้อมด้วยกองไขมันสีขาวปนแดง

    เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นจากภายนอกนั่น เขาหันไปและเห็นนายตำรวจกำลังตะโกนอะไรบางอย่าง ข้าง ๆ เขาคือรถยนต์พังยับที่ภายในยังพอมองเห็นร่างเนื้อและของเหลวสีแดงได้ หน้าต่างบริเวณที่นั่งของผู้โดยสารมีแขนเรียวเล็กและสั้นของเด็กห้อยออกมาจากตัวรถ สหัสนัยน์หยุดจ้องที่แขนนั้นไม่ได้ราวกับถูกเรียกโดยบางสิ่ง...มันมีหยดเลือดสีแดงทิ้งตัวเป็นทางยาวลงมาถึงปลายนิ้วนาง ชุบย้อมแหวนรูปผีเสื้อสีชมพูสดใสให้กลายเป็นผีเสื้อกลางคืนสีแดงฉาน  นานหลายวินาทีกว่าเขาจะถอนสายตาจากแขนนั้นได้และเริ่มหันไปทางอื่น

    ชายในเครื่องแบบตำรวจและหน่วยกู้ภัยในชุดสีเทาเข้มกำลังทำงานกันอย่างรีบเร่ง บ้างถ่ายรูป บ้างยืนโบกรถให้ผ่านไปโดยเร็ว กรวยจราจรสีส้มสดถูกวางไว้เป็นแนวล้อมที่เกิดเหตุ เศษกระจกที่แตกกระจายอยู่ทั่วส่องแสงแวววาวล้อกับแสงแดดสีเหลืองส้มของยามบ่ายปะปนไปกับแสงสะท้อนของกองเลือดสีแดงสด  ดูไปแล้วคล้ายเม็ดทองคำลายล้อมด้วยทับทิมสุกที่น่าสะอิดสะเอียน 

    ที่ปลายสุดของที่เกิดเหตุนั้นมีก้อนหินสีดำกลิ้งอยู่ที่ริมทางดูเป็นสิ่งที่ไม่เข้าพวก ข้าง ๆ มีเศษผ้าสีขาวเปื้อนเลือดกองอยู่ ห่างออกไปไม่มากมีหน่วยกู้ภัยสังเกตเห็นรถบัสนักเรียนที่แล่นผ่านมาโดยมีสหัสนัยน์อยู่ที่หน้าต่าง เขาจึงตรงไปที่ก้อนหินก้อนนั้นและใช้ผ้าคลุมไว้อย่างเร็ว แต่ในวินาทีที่ชายคนนั้นพยายามจับผ้าให้คลุมก้อนหินนั้นไว้ มันก็หันมาทางสหัสนัยน์!!!ใบหน้านั้นก็หันมาทางเด็กชาย ริมฝีปากเปิดอ้า...ดวงตาลืมกว้าง...ไร้ลูกในตา ภายในสิ่งที่ควรเป็นดวงตานั้นมีเพียงหลุมลึกสีดำแดงที่ดูเหมือนไร้ก้นบึง  รอบ ๆ ดวงตามีหยาดเลือดแตกกระจายไร้ทิศทางทางคล้ายน้ำตาที่หลั่งรินทะลักทะล้นออกมาพรางร้องหาดวงตาที่หายไปของตัวเอง

    สหัสนัยน์สะดุ้งและถีบตัวเองออกจากหน้าต่างจนตกลงบนทางเดินภายในรถ ความพรั่นพรึงสุดประมาณทำให้เขาสามารถละสายตาจากภายนอกได้...ในคอแห้งผากราวกับเป็นดินแดนทะเลทราย เด็กหนุ่มพยายามกลืนน้ำลายลงคอแต่มันก็เหนียวยืดจนเขาอยากจะอาเจียนออกมา ดวงหน้าที่เคยเป็นสีคล้ำกลับซีดลง หัวใจเต้นเร็วแรงราวกับจะระเบิดอยู่ในอก  ภาพที่เคยแจ่มชัดผ่านดวงตาเริ่มหมุนวนและขาดหายเป็นช่วง ๆ

    “เราขอโทษ  เราไม่ได้ตั้งใจ” เสียงนั้นเรียกสติของสหัสนัยน์กลับเข้ามาสู่ภายในรถ  เขาหันไปจึงรู้ว่าต้นเสียงอยู่ช่วงกลางของตัวรถบัส  นักเรียนในชุดลูกเสือคนอื่น ๆ ยื่นล้อมวงเงียบกริบพรางจ้องมองภาพนั้นอย่างไร้อารมณ์

    “ไม่ได้ตั้งใจเหรอ”นเรศพูดเสียงดังพรางตบเข้าที่หัวอีกฝ่ายอย่างแรงจนร่างลงไปนอนกับพื้น “ขอโทษแล้วเสื้อกูจะหายเหม็นอ้วกมึงมั้ยละ” จบคำนั้นมันก็ใช้เท้ากระทืบที่ชายโครงผู้ที่นอนคู้ตัวด้วยความกลัวและความเจ็บปวดอีกหลายครั้ง

    “มีเรื่องอะไรกันน่ะ นายนเรศ”อาจารประจำชั้นร่างท้วมว่าเสียงดังก่อนเข้าห้ามเหตุ เขาพยุงผู้ที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นนั่งที่เบาะใกล้ที่สุด  “ปราชญ์...ใครทำเธอ บอกอาจารย์สิ”

    ปราชญ์เงียบไม่ตอบ สหัสนัยน์เห็นเขาก้มหน้านิ่ง

    “ก็มันอ้วกใส่เสื้อผมนิครับ ‘จารย์”  นเรศร้องขอความเป็นธรรมด้วยเสียงแหบน่าขยะแขยง

    “ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่มีสิทธิทำแบบนี้กับเพื่อนนะ” อาจารย์พูดเสียงกร้าว  “เธอก็ ‘เห็น’ ว่าเพื่อนป่วย  ถ้าเขาตายขึ้นมาเธอจะรับผิดชอบมั้ย  คนรับผิดชอบมันฉันนะ!!!

    สหัสนัยน์กระตุกยิ้มพรางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน  ‘นึกว่าจะห่วงนักเรียน  ที่แท้ก็กลัวต้องรับผิดชอบ  ไอ้อ้วนทุเรศเอ้ย’  เขาเลือกที่จะไม่สนใจเหตุการณ์ต่อจากนั้น  มันเป็นการดีที่สุดที่จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องที่มีไอ้นเรศเกี่ยวข้องด้วย  เด็กหนุ่มปัดฝุ่นออกจากเสื้อและกางเกงเบา ๆ เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นและกลับไปนั่งบนเบาะตามเดิม

    “ใครจะไปตายเพราะถูกกระทืบกัน” เด็กชายพึมพำกับตัวเอง (มันคงเป็นนิสัยเสีย ๆ ที่ติดมาจากการดูละครหลังข่าวมากเกินไป) “กูโดนมาตั้งเป็นร้อยครั้งไม่เห็นจะเป็นอะไร”

    “พูดว่าอะไรนะ”

    สหัสนัยน์สะดุ้งตัวด้วยความตกใจก่อนจะต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่าย

    ใบหน้านั้นดูผิดปรกติไปทุกส่วน ตั้งแต่รูปหน้ายาวและโตผิดปรกติ หน้าผากนูนเป็นก้อน ฟันหน้าเล่นใหญ่ยื่นเหยินออกมาราวกับคับริมฝีปาก อีกทั้งผิวและในตาเหลืองเหมือนคนอมโรคจนน่ากลัว

    “ทำไม...หน้า”

    “ทารัสซีเมีย...ไม่ถามจะดีมากนะ” อีกฝ่ายพูดเสียงเบาและมองไปข้างหน้าอย่างไร้ความรู้สึก

    สหัสนัยน์เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยายามค้นเข้าไปในสมองว่ามันคืออะไร  ต้องใช้เวลาหลายวินาทีก่อนที่เขาจะเข้าใจความหมาย

    “เฮ้ย...ฉัน..” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างร้อนรนพรางเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัวเขาออกเสียงคำว่า ‘ฉัน’ ตรงตามตัวอักษร ไม่ได้ออกเสียงว่า ‘ชั้น’ อย่างคนทั่วไป “ฉันไม่ได้...”

    “อือ  เรารู้  แค่อย่าเรียกเราว่า ‘ไอ้ผี’  หรือ ‘ไอ้เหยินผี’ แบบนั้นก็แล้วกัน”  อีกฝ่ายตอบทั้ง ๆ ที่สายตายังจับต้องไปข้างหน้า

    สหัสนัยน์จะพูดบางคำต่อแต่เสียงของอาจารย์ประจำชั้นก็ดังแทรกขึ้น  เขามาถึงพร้อมกับกระเป๋าผ้าลูกฟูกเก่า ๆ สีแดงเลือดหมูใบใหญ่

    “ปราชญ์  เธอนั่งนี่แหละนะ อยู่ใกล้ ๆ ครูแบบนี้นายนเรศไม่กล้าทำอะไรเธอแน่ แล้วก็นี่... ” เขาว่าพรางวางกระเป๋าไว้บนตักของปราชญ์ “กระเป๋าของเธอ  อย่าให้หายละ เดี๋ยวไม่มีกางเกงลิงใส่ ฮ่า ๆ”

    ‘มุขเก่ากว่าหน้าอีกนะ ‘จารย์’ สหัสนัยน์คิดพรางหยิบกระเป๋าของปราชญ์มาวางไว้ทับกระเป๋าของตัวเองที่ตั้งที่อยู่ที่ใต้เบาะนั่ง

    “เธอมีเพื่อนแล้วนิ” เสียงอาจารย์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ฟังดูสดใสขึ้นจนผิดสังเกต สหัสนัยน์คิดว่าคงเป็นเพราะหาแพะมาแบ่งเบาความรับผิดชอบของตัวเองได้แล้ว และดูจากสายตา คงไม่ใช่ใครอื่น “ดูท่าจะสนิทกันมากเลยนะ” เขาว่าพรางมองไปที่มือของสหัสนัยน์และปราชญ์ที่วางทับกันอยู่ 

    เด็กหนุ่มทั้งสองรีบชักมือออกทันที

    “ไม่ใช่นะครับอาจารย์  คือ” สหัสนัยน์รีบพูดเสียงรัว แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างกับว่ารู้คำตอบแล้วภายในใจ 

    “เอาเถอะ ยังไงอาจารย์ก็ฝ่ายดูปราชญ์ด้วยแล้วกันนะ เพื่อนเขาไม่ค่อยสบาย ‘ เหมือนคนอื่น’ แล้วก็เพิ่งย้ายมาได้สี่ห้าวันเอง ยังไม่ค่อยมีเพื่อน ยังไงเราก็ช่วยเพื่อนด้วยนะ...เออออออ” อาจารย์ร่างท่วมลากเสียงยาวพรางมองมายังป้ายชื่อที่ติดอยู่ที่อกข้างซ้ายของเด็กชายก่อนจะนิ่วหน้าเหมือนกำลังพยายามสะกด

    คงไม่ใช่แค่สหัสนัยน์คนเดียวเท่านั้นที่จำชื่ออาจารย์ประจำชั้นไม่ได้

    “สหัสนัยน์ครับ  สหัสนัยน์ โอสิทถะ”

    อีกฝ่ายทวนชื่อสหัสนัยน์อย่างยากลำบากก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเองและเริ่มหลับอีกครั้ง

    “ชื่อนายเรียกยากว่ะ” ปราชญ์เอ่ยขึ้น “มีชื่อเล่นมั้ย?”

    “เรียกว่านัยน์เฉย ๆ ก็ได้...นายละ”

    “ปราชญ์ ชื่อเล่นก็ปราชญ์ จะเรียกอะไรก็ได้” เขาว่าพรางหัวเราะก่อนจะหันไปทางอาจารย์ประจำชั้น “เขาน่าลำคานแบบนี้ตลอดมั้ย”

    “ก็น่าลำคาน...มุขฝืด...แถมตัวเหม็น...แต่ก็เป็นคนดีนะ...”  สหัสนัยน์ตอบ

    “เพื่อนเขาไม่ค่อยสบาย ‘เหมือนคนอื่น’ ”  ปราชญ์เลียนเสียงอีกฝ่ายพร้อมกับแลบลิ้นล้อเลียน  “เราว่าที่ไม่ปรกตินะมัน ‘พวกนั้น’ มากกว่าที่ชอบตัดสินคนอื่นว่า ‘ไม่ปรกติ’” 

    สหัสนัยน์หัวเราะ  “ถูกที่สวดดดด” 

    และทั้งคู่ก็หัวเราะไปด้วยกันโดยไม่รู้เลยว่าที่อีกด้านหนึ่งของเส้นทางนั้นมีเมฆสีดำทมิฬลอยตัวแน่นิ่งรอการมาถึงของพวกเขาอยู่...และมันจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขานับจากนี้ไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×