ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wall In Your Heart

    ลำดับตอนที่ #7 : สิงห์ : เนี่ยเหรอ ที่อยู่มึง!!!!

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.พ. 56


                 

                    ผมวิ่งอยู่กลางแดดในยามบ่ายของวันเสาร์ อากาศร้อนอบอ้าวจนได้ที่ พยากรณ์อากาศเมื่อคืนนี้บอกว่าวันนี้จะเป็นวันที่ร้อนที่สุดรอบสามปี อุณหภูมิอาจพุ่งสูงถึงสี่สิบห้าองศาเซลเซียส


                    มือผมข้างหนึ่งถือกระเป๋าสำภาระทรงสปอร์ตรูปเหลี่ยมผืนผ้ากับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์วางตัก ส่วนอีกข้างถือพัดลมตัวเล็กสีแดงกับกระเป๋านักเรียน ที่ไหล่สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบ และต่อให้ผมไม่มีของทั้งหมดนั่น การเดินกลางแดดที่ร้อนจนต้มน้ำเดือดได้ในสองชั่วโมงแบบนี้ก็แทบฆ่าผมได้ทั้งเป็น แต่พอนึกถึงห้องในคอนโดหรูมีแอร์เย็นฉ่ำที่ผมกำลังจะไปอยู่ก็ช่วยให้ใจสู้ขึ้นมา ต้องขอบคุณแนนแท้ ๆ ที่บอกว่าให้ไปหาได้วัน ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ นิสัยก็ดี ใจก็ดี แถมหน้าตายังดีอีกด้วย แค่คิดก็เห็นหน้าลอยมาตาไกล เห็นหน้าแล้วก็ยิ่งคิดถึง อยากโทรหาจัง แต่ไม่มีเบอร์ แถมโทรศัพท์ตังหมดยังไม่ได้เติมอีก ซวยฉิบเป๋ง   

                    เมื่อผมเลี้ยวที่หัวมุมสุดท้าย ประตูโรงเรียนก็อยู่ตรงหน้าพอดี ไอ้วันยืนอยู่ตรงนั้น ใต้ต้นคูนใหญ่ที่ออกดอกหลงฤดูสีเหลืองอร่ามเต็มต้น

                    “กูบอกว่าบ่ายสอง ไม่ใช่บ่ายสาม” มันพูดคำนั้นพรางปิดหนังสือที่อ่านอยู่ในมือ วันนี้มันใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนักเรียนสีดำทำให้ผิวที่ดูซีดเซียวของมันยิ่งดูซีดอย่างกับผีกองกอยในหนังจีนสมัยก่อน

                    ผมวางของทั้งหมดลงกับพื้นใต้ร่มเงาของต้นคูน “มึงรู้มั้ย กูต้องแอบขนของออกมาจากห้องโดยไม่ให้เจ้าของหอเขารู้นะ มันลำบาก รู้บ้างหรือเปล่า”

                    “กูไม่รู้” มันว่าเสียงเรียบพรางหยิบขวดน้ำออกมาจากกระเป๋ากางเกงและตั่งท่าจะยกดื่ม ผมคว้าจากมือมันแล้วก็ดื่มจนหมดขวด

                    “ชื่นใจฉิบหาย น้ำแดงเฮลูบอยด้วย ขอบใจว่ะ” ผมว่าพรางคืนขวดเปล่าให้มัน ไม่บอกก็รู้ว่ามันต้องโมโหแน่ ๆ แต่ผมก็ไม่สนใจ ก้มลงคว้าสัมภาระทั้งหมดอีกครั้ง “ปะ กูหายเหนื่อยและ ไปห้องมึงกัน”     

      มันมองหน้าผมเหมือนผมเพิ่งฆ่าแม่มันตายเมื่อกี้นี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พูดอะไร และพาผมออกเดินไปกลางแดดอีกครั้ง

    ไอ้วันพาผมเดินลัดเลาะไปตามฟุบบาทอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ข้างวัดที่อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณห้าร้อยเมตร ซอยนั้นมีกลิ่นเหมือนส้วมสาธารณะโชคยังดีว่ามันยาวแค่ไม่กี่เมตร เมื่อทะลุออกมาจากซอยก็เป็นชุมชนแออัดเรียบคลองเจ้าพระยา ผมค่อนข้างตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่เคยคิดจะเดินเข้ามาในนี้คนเดียว จะว่าไปผมก็ไม่ได้ไปไหนมากมายนัก เพราะติดทีมบาสตั้งแต่ม.สอง เลยต้องซ้อมบาส จนถึงเย็นทุกวัน ถ้ากินข้าวกับเพื่อนก็นาน ๆ ที มีบ้างที่ไปดูหนังกับไอ้สากับแนนหรือเพื่อนในทีม แต่ก็น้อยครั้งจนนับได้สองครั้งถ้วน ฟังดูอาจจะน่าเบื่อ แต่ผมก็ชอบแบบนั้นนะ
     

    เมื่อเลยออกมาจากชุมชนแออัดก็กลายเป็นทางเดินริมเขื่อนข้างแม่น้ำที่ทอดตัวยาวไปไกล

    “อีกไกลไหมเนี่ย” ตัวผมที่เริ่มร้อนและเหนื่อยจากสัมภาระที่ทั้งแบกทั้งถืออยู่ร้องถาม

    “ไกล...ทำไม” ไอ้วันตอบทั้ง ๆ ที่ไม่หันมามอง

    “ก็เหนื่อยดิถามได้ ใจคอมึงนี่ไม่คิดจะช่วยกูถือของมั่งไง”

    มันชายตามาแลผมแวบหนึ่งก่อนจะตรงเข้าคว้ากระเป๋านักเรียนที่ผมถืออยู่ไป

    “แค่เนี๊ย” ผมร้อง ไอ้เชี่ยนี่แม่งจะกวนตีนไปถึงไหนเนี่ย “มึงนี่โคตรกวนตีนเลย นี่ เอาใบนี้ไป” ผมส่งกระเป๋ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้มัน มันหันมามองก่อนจะรับไปถือแถมยังทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘กูไม่ได้อยากถือหรอกนะ แต่เห็นแก่ที่มึงทำหน้าเป็นหมาเหนื่อยหอยแฮ่ก ๆ กูจะช่วยถือให้ก็ได้’ ผมอยากจะกระโดดถีบขาคู่ให้แม่งตกน้ำตายไปเลย

    เมื่อเราเดินมาถึงจนสุดทางริมเขื่อนก็จะพบกับซุ้มประตูศาลเจ้าใหญ่โต เมื่อเดินเลยเข้าไปก็จะพบกับศาลเจ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั่งอยู่โดยหันหน้าออกสู่แม่น้ำที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ผมยกมือขึ้นไหว้อย่างทุลักทุเลก่อนจะเดินผ่านไป

    ไอ้วันพาผมเดินเรื่อยมา ผ่านซอยเล็ก ๆ ที่ขนาดพอดีตัวคนเดินและยาวไม่กี่หลา เมื่อทะลุออกมาอีกทาง มันก็หันมาบอกว่าถึงแล้ว

    ที่ ๆ มันหมายถึงเป็นตึกเก่าซอมซ่อสูงราวสามชั้น ด้านนอกที่ทาด้วยสีขาวเริ่มหลุดร่อนออกเป็นแผ่น ๆ รอยแตกเห็นได้ทั่วไปตามผนัง ด้านหน้าของตัวตึกที่กว้างราวสามสิบถึงสามสิบห้าเมตรถูกปิดตายด้วยประตูม้วนที่เห็นได้ตามร้านค้าหรือโรงงาน ประตูม้วนที่ว่าคงจะเป็นส่วนต่อเติมมาทีหลัง เพราะมันดูใหม่กว่าตัวตึกมาก สแตนเลตที่ใช้เป็นวัสดุยังเงาวับไม่มีรอยสนิมแม้แต่น้อย

    กระถางหลากหลายขนาดที่มีต้นไม้แห้งยืนต้นตายอยู่ภายในถูกวางเรียงไปตามความยาวครึ่งหนึ่งของด้านหน้าตัวตึกคล้ายต้องการใช้ต่างรั่ว ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนัก แถมยังยิ่งเพิ่มบรรยากาศได้ดูเหมือนตึกร้างผีสิงมากขึ้นไปอีก ที่ต้นไม้ต้นสุดท้ายมีป้ายที่ทำจากไม้เก่า ๆ เขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงบนพื้นสีข่าวว่า

    “ห้ามจอด มีรถเข้าออกตลอดเวลา!!!

    วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนคอนโดสุดหรูในฝันของผมถูกระเบิดทำลายจนเหี้ยนเตียนเหลือไว้แต่ไอ้ตึกผีสิงซอมซ่อนี่

    “ยืนทำไร” ไอ้วันพูดเสียงเรียบพรางก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรบางอย่างอยู่ที่มุมขวาของตัวตึก ผมเดินตามไปจึงเห็นว่าตรงที่มันยืนอยู่นั้นประตูม้วนถูกแบ่งไว้ออกมาอีกส่วนต่างหาก และมันกำลังก้มลงไขกุญแจ ไม่นานมันก็ดันประตูม้วนขึ้นด้านบน

    เมื่อเปิดประตูม้วนขึ้นก็จะพบประตูธรรมดาอีกบ้านหนึ่งที่ทำมาจากไม้ประดับกระจกทึบสีดำ

    “ดึงประตูลงมา เปิดไฟ...มึงก็วางของก่อนสิ” ไอ้วันสั่งผมเป็นชุดและผมก็ทำตามแต่โดยดีด้วยความงงงันผสมห่อเหี่ยวใจที่ความฝันมลายสูญไปกับอากาศธาตุ

    ไอ้วันเปิดประตูไม้เข้าไปโดยมีผมเดินตามหลัง ภายในนั้นอุดอู้และคับแคบ เพราะพื้นที่ทั้งหมดถูกใช้วางลังกระดาษที่วางต่อกันจนสูงขึ้นไปถึงเพดาลเหลือทางเดินเท่าตัวแมวเอาไว้ใช้สันจรเข้าออก ไอ้วันพาผมเดินต่อไปจนสุดทาง มันใขกุญแจอีกครั้ง

    เมื่อประตูเปิดออกบรรยากาศอุดอู้และความมืดทึบก็จางหายไป ทุกสิ่งเริ่มดีขึ้นมานิดหน่อย

    “นั่นห้องครัว เลยไปข้างในก็เป็นห้องน้ำ” ไอ้วันพูดทันทีที่เดินเข้ามาถึงอีกห้อง มือของมันชี้ไปทางซ้ายมือของตัวเองที่มีม่านบังตาแบบเส้น ๆ แขวนอยู่

    ห้องที่ผมยื่นอยู่คงจะเป็นห้องนั่งเล่น เพราะมีโซฟายาวสีดำที่ขาดลุยจนเห็นฟองน้ำสีเหลืองด้านในได้รอบวางอยู่ ตรงข้ามกับโซฟาเป็นโทรทัศน์ขนาดยี่สิบสี่นิ้วจอโค้งเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่บนชั้นวางของที่มีหนังสืออัดไว้จนแน่น เมื่อมองเข้าไปด้านในมุมขวาของห้องติดกับผนังที่ใช้กันระหว่างห้องครัวออกจากห้องนั่งเล่น ก็จะเห็นโต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์พีซีสีเหลืองเหมือนคราบฟันวางไว้ เก้าอี้พราสติกสีแดงแบบไม่มีพนักเหมือนที่ใช้ตามร้านข้างทางวางไว้คู่กัน ส่วนที่มุมด้านซ้ายมีประตูอีกบาน

    “มาสิ” ไอ้วันว่าพรางเปิดประตูบานนั้นเข้าไป ด้านในเป็นห้องนอนที่คับแคบและให้ความรู้สึกอึดอัดแบบแปลก ๆ แถมยังมีกลิ่นประหลาด ๆ คละคลุ้งไปทั่ว ต้นสายปลายเหตุอาจจะมาจากเฟรมภาพที่วางพิงอยู่กับผนังด้านด้านขวามือของประตูก็เป็นได้ ที่ผนังด้านนั้นจะมีแถวเฟรมภาพราวสีห้าแถวทีเกิดจากการนำเฟรมภาพวางเรียงต่อกันเป็นแถวยาวหลายสิบเฟรม ที่มุมด้านในมีขาตั้งที่ใช้วาดภาพวางพิงผนังไว้พร้อมขวดสี พูกัน และถาดผสมสี ส่วนผนังด้านขวาเป็นกองหนังสือที่สูงจนเกือบถึงเพดาล ดูเหมือนไอ้วันจะไม่มีชั้นหนังสือ มันเลยเอาหนังสื่อทุกเล่มของมันมาวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ สูงขึ้นไป และจากที่ผมไล่สายตากดูผ่าน ๆ ก็เห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นนวนิยายกับหนังสือการ์ตูนทั่วไป ที่กลางห้องมีราวเหล็กตั่งอยู่ ดูเหมือนมันจะใช้เป็นที่แขวนเสื้อเพราะมีเสื้อผ้าสองงสามชุดกับไม่แขวนเกี่ยวติดอยู่

    ไอ้วันเดินข้ามเฟรมภาพและแหวกเสื้อผ้าที่ราวออกจนผมเห็นด้านในส่วนที่เหลือของห้อง

    ที่ผนังด้านฝั่งตรงข้ามกับประตูมีฟูกขนาดพอดีหนึ่งคนนอนวางไว้กับพื้น บริเวณที่ผมคิดว่าเป็นหัวนอนของมันมีแต่หนังสือเรียนกับสมุดจดวางเต็มไปหมด      

    ไอ้วันเดินไปทางปลายที่นอนและเปิดม่านที่ยาวถึงพื้นออกก่อนจะเปิดประตูกระจกแบบเลื่อน มันเดินนำผมออกไปข้างนอกนั่น ผมเดินตามมันไปอย่างทุลักทุเล

    ข้างนอกนั้นเป็นระเบียงแคบ ๆ ที่เผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงก้อง ๆ ของสายน้ำที่กระทบกับฝั่งดังเป็นจังหวะแปลก ๆ แสงแดดยามบ่ายที่เริ่มกลายเป็นสีส้มส่องระยิบระยับอยู่บนผิวน้ำ กลิ่นชื้น ๆ ที่ลอยมาตามลมทำให้สดชื่นลืมร้อนไปได้ชั่วขณะ

    “ไอ้เหี้ย สุดยอดเลยว่ะ” ผมเริ่มยิ้มออกมาบ้าง “ลงไปเล่นน้ำได้เปล่าวะ”

    “กูไมรู้ กูไม่เคยเล่น กูว่ายน้ำไม่เป็น” มันพูดเสียงเรียบ “ตรงนี้เอาไว้ตากผ้า ระวังหน่อยนะ ลมมันแรง ทางที่ดีก็หาไม่หนีบผ้ามาหนีบด้วยก็จะดี”  พูดจบมันก็ตั้งทางจะเดินกลับเข้าไปในห้องก่อนจะหันกลับมาเหมือนนึกอะไรออก “แล้วมึงจะใส่รองเท้าย่ำไปทั่วห้องเลยใช่มั้ย” มันเอ่ยถามทำให้ผมพึ่งรู้ตัวและรีบถอดร้องเท้าหูหนีบของตัวเองออก

    “แล้วจะให้ถอดไว้ไหนวะ”

    “นอกห้องนั่งเล่นมีชั้นรองเท้า อยู่ติดกับประตู เอาไปวางไว้ตรงนั้นแหละ หรือจะเอาไว้หนุนหัวมึงตอนนอนก็ได้นะ กูไม่ว่า        

                    ผมละนึกอยากจะเอาหูหนีบปากระบานแม่งให้แยกเป็นสองเสี่ยง แต่ด้วยความเหนื่อยจากการแบกของทำให้ผมทำได้แค่ถอนหายในแล้วก็ก้มหน้าเอารองเท้าไปเก็บ

                    พอเดินกลับเข้ามาอีกครั้งก็ได้ยินเสียงดังมาจากในครัว ผมเลยปลีกตัวเข้าไปในห้องนอนเพื่อจัดของให้เข้าที่ ที่จริงมันก็ไม่ได้ใช้เวลาอะไรนานมากมายนัก แค่เอาเสื้อใส่ไม้แขวนแล้วก็เอาไปแขวนไว้กับราว เอาร้องเท้านักเรียนกับร้องเท้ารด.ไปวางไว้ที่ชั้น ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จ

                    พอว่างได้สักพักผมก็เริ่มสังเกตไปรอบตัว

                    หนังสือที่อยู่ในห้องของไอ้วันมีมากเสียจนผมไม่รู้จะนับเป็นอะไรดี เพราะมันเล่นวางเป็นทับ ๆ ซ้อน ๆ กันไปทั่วไปจนเกือบทะลุเพดาล แล้วไหนจะแถวตอนเรียกหกของเฟรมภาพนั่นอีก นี่มันคิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์เฉลิมชัยหรือไง

    ผมลองเอื้อมมือไปหยิบเฟรมภาพที่ใกล้ที่สุดมาพลิก ๆ ดู มันเป็นภาพของต้นไม้ใหญ่สีดำทมิฬดูน่ากลัวที่ขึ้นอยู่บนท้องน้ำนิ่งสงบจนเห็นเงาสะท้อนของท้องฟ้าสีแดงฉานยามพลบค่ำชัดเจน หญ้าและพืชน้ำขึ้นเป็นหย่อม ๆ เรื่อยไปจนบรรจบกับความมืดด้านในสุด

    ผมในตอนนั้นรู้สึกทั้งทึ่งและประหลาดใจกับฝีมือวาดภาพของไอ้วันมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่สามารถสอบได้คะแนนดีเป็นที่หนึ่งของการสอบชิงโคว์ตาร์จะยังมีฝีมือวาดภาพได้ขนาดนี้ นี่ถ้ามันสอบชิงโคว์ตาร์ “ความสามารถพิเศษด้านศิลปะ” อีกผมว่ามันก็คงได้อย่างไม่ยากนัก

    ผมรีบวางเฟลมภาพนั้นลงกับพื้นและคว้าภาพต่อไปมาดู ภาพนี้เป็นภาพโถงทางเดินภายในโรงเรียนที่ดูบิดโค้งผิดสัดส่วน แสงที่ส่องเข้ามานั้นเป็นสีแดงสดเหมือนเลือดนก มันสะท้อนลงบนพื้นปูนของทางเดินและทาบทับลงบนตัวของนักเรียนที่เดินผ่านไปมา เงาสีดำของเสาและกรอบกันสาดนอนเหยียดยาวไปตามแนวแสง และอย่างที่บอกว่ามันเป็นภาพโค้งผิดสัดส่วน ทำให้ผู้คนที่ปรากฏอยู่ในภาพนั้นบ้างก็ยืดยาวและโค้งจนน่ากลัว บางคนบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ และ...    

    “ทำอะไร...” เสียงไอ้วันดังมาทำให้ผมสะดุ้งโหยง

    “ไอ้ห่า ตกใจหมด” ผมร้องพรางรีบวางภาพกลับที่เดิม “ทำไม มีอะไร”

    มันมองผมด้วยสายตาเรียบ ๆ แกมสงสัยก่อนจะว่า “แดกข้าว”

    ผมรับคำว่า ‘อือ’ในลำคอพรางลุกขึ้น ไม่แน่ใจว่ามันโกรธที่ผมแอบดูภาพของมันหรือเปล่า

    ผมเดินตามหลังมันออกมาจากห้องนอนก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถืออกมาดูเวลา ตอนนี้บ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว ทำไมเวลามันถึงได้เดินเร็วนักนะ

    “แล้วจะไปกินที่ไหนละ หรือจะซื้อมากิน”

    พอผมเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นมันเดินถือจานหมูทอดกับน้ำพริกกะปิออกมาจากครัว กลิ่นหมูทอดหอมได้ใจโชยมาแต่ไกล

    “ไปยกหม้อข้าวออกมา” มันพูดเสียงเฉยเมยตามแบบของมันพรางวางจานกับข้าวลงกับพื้นระหว่างโซฟากับโทรทัศน์

    ผมร้อง ‘อ่าว’ ออกมาเบา ๆ แต่ก็ทำตามคำมันแต่โดยดี  พอผมเข้ามาในครัวก็เห็นถ้วยแกงจืดกับจานผักต้มวางไว้บนเคาเตอร์ข้าง ๆ อ่างล้างจาน

    “มึงทำเองเหรอ”  ผมพูดกับไอ้วันที่กำลังเดินเข้ามายกกับข้าวสองอย่างนั่นพร้อมกับจานเปล่าและช้อน

    มันเหลือบมองผมลอดแว่นกลอบดำครู่หนึ่งก่อนตอบ “มึงคิดว่าไงล่ะ”

    “นี่มึงจะเลิกกวนตีนกูไม่ได้เลยใช่ไหม” ผมพูดเสียงมีโมโหน้อย ๆ พรางแย่งจานเปล่ากับช้อนมาจากมือของมัน

    ไอ้วันเหลือบมองผมอีก “มึงเลิกถามโง่ ๆ เมื่อไร กูก็เลิกกวนตีนมึงเมื่อนั้นแหละ” จบคำมันก็เดินออกไป

    “นี่มึงโกรธอะไรกูเนี่ย เรื่องเมื่อวานเหรอ หรือมึงไม่อยากให้กูมาอยู่ด้วย” ผมยกหม้อข้าว จานเปล่าและช้อนตามหลังมันออกมา “ถ้ามึงไม่อยากให้กูมาอยู่ด้วยก็พูดมาตรง ๆ ก็ได้นะ กูไม่ได้ว่าอะไร” ผมนั่งลงกับพื้นตรงข้ามมัน “แต่ถ้ามึงโกรธที่กูชกมึงเมื่อวาน กูขอโทษ กูผิดไปแล้ว ยกโทษให้กูเถอะ แล้วก็เลิกกวนตีนกูสักที” ผมยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว

    ไอ้วันเงียบไปนานพรางคดข้าวใส่จานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ข้าว” แล้วก็ยืนจานข้าวให้ผม สายตาของมันจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ที่เริ่มฉายรายการเกมส์โชว์บ้า ๆ บอ ๆ ไม่วางดา

    ผมเริ่มไม่สบอารมณ์ที่มันทำเมินคำขอโทษของผม แต่ก็รับจานข้าวนั่นมาและเริ่มกินข้าวมื้อแรกในที่อยู่ใหม่

    ผมลองชิมน้ำพริกกะปิของโปรดเป็นอย่างแรก “เฮ้ย อะไรอร่อยนี่หว่า” ผมร้องเสียงหลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันอร่อยจริง ๆ แต่เหตุผลหลักคือต้องการหาเรื่องชวนไอ้วันคุยมากกว่า “น้ำพริกอร่อยใช้ได้เลยนะ ขนาดป้ากูทำยังไม่อร่อยเท่านี้เลย มีฝีมือนิหว่า”

    “อือ ขอบใจ..โอ๊ย” มันร้องออกมาเบา ๆ  

    ผมเงยหน้ามองจึงเห็นมันทำหน้านิ่ว ดูเหมือนมันจะเจ็บแผลในปาก

    “เจ็บเหรอ” ผมถามแต่มันไม่ตอบ “ไหนดู”

    “ไม่ต้องหรอกน่า” ไอ้วันพูดแล้วก็ผมผลักมือของผมออก

    ผมชักจะทนไม่ไหวเลยพูดขึ้นเสียงดัง “เฮ้ย ไอ้วัน กูก็ขอโทษมึงไปแล้ว มึงจะเอาอะไรกับกูอีกวะ”...แล้วมันก็เงียบ พอเห็นมันไม่คิดจะพูดอะไร ผมเลยเงียบบ้างและหันมาตักข้าวเข้าปากแทน

    ผมกับมันกินข้าวกันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรกันอีกเลย....



                    ..........................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×