ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wall In Your Heart

    ลำดับตอนที่ #6 : วัน : อกอ้มอับ

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 56




           “ไปทำอะไรกันมานี่ถึงได้เลือดกบปากขนาดนี้” อาจารย์ห้องพยาบาลว่าพรางใช้แท่งสแตนเลตง้างดูด้านในปากของผม “มีเรื่อง?”

    ผมเหลือบมองหน้ามันที่นั่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มันไม่ตอบ ผมเลยตอบเอง

    “อกอ้มอะอับ”

    “อะไรนะ”

    “องอ้มอับ”

    “ฮ๊ะ”

    ผมผลักมืออีกฝ่ายออกก่อนพูด “หกล้มนะครับอาจารย์ ไม่มีอะไรหรอก”

    เธอมองผมสลับกับไอ้ห่านั้นครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าแบบขอไปที “เอาเถอะ จะอะไรก็ช่าง เดี๋ยวครูมา อย่างเพิ่งไปไหนนะ”

    แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไป

    สิ้นเสียงประตูปิด ความเงียบก็ปรากฏขึ้นทันที มันยาวนานราวสามนาที แต่เหมือนสามปีในความคิดของผม

    “แล้วไง” และเป็นผมเองที่พูดขึ้นก่อน “เอาไงต่อละทีนี้”

    มันทำหน้าเหมือนหมางง “อะไรของมึง”

    “ก็เรื่องมึงอะ จะเอายังไงต่อ”

    มันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเริ่มหมุนเก้าอี้แบบมีล้อเลื่อนที่นั่งอยู่เล่น

    “คงไม่เอาไง ก็ย้ายตามป้ากับลุงไปที่ชัยภูมิ ก็แค่นั้น” มันพูดน้ำเสียงเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “แบบนั้นตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง”

    “มึงนี่ไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม”

    ผมทำหน้างงพรางลูบแก้มตรงที่มันต่อยไปมา  “เข้าใจอะไรของมึง”

    มันถอนหายใจยาว พรางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางไม่มั่นใจเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ถูกจับได้ว่าทำผิด “กูอะ นอกจากบาสแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง เรียนก็แย่ แถมโง่อีกต่างหาก เรี่ยวแรงก็ไม่ได้มีมากมาย ดนตรีหรือศิลปะอะไรก็ไม่เป็น แล้วที่บ้านก็ไม่ได้รวยด้วย ทางเดียวที่กูจะเรียนต่อไปได้จนจบมหาวิทยาลัยก็คือใช้ทุนนักกีฬา ถ้าไม่มีทุน ทุกอย่างก็จบ”

    ผมนิ่วหน้า “โรงเรียนอื่นก็มีทุนเยอะแยะ ไม่ใช่ว่ามีโรงเรียนนี้โรงเรียนเดียวเมื่อไร”

    มันยิ้มเหมือนเย้ยคำพูดนั้นของผมก่อนว่า “มึงรู้มั้ยกูได้ทุนมาได้ยังไง...” ผมส่ายหน้า “กูได้ทุนเพราะมีคนสละสิทธิ์ โคตรฟลุ๊กเลย...ถึงกูจะบอกว่ากูเล่นบาสได้ดีที่สุดก็ไม่ได้หมายความว่ากูเก่งนะ ความจริงฝีมือกูถ้าเทียบกับเด็กทุนคนอื่น ๆ ก็ได้แค่งู ๆ ปลา ๆ ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย มึงคิดเหรอว่ากูจะฟลุ๊กติดที่อื่นอีก...กูว่าคงไม่หรอกวะ อีกอย่าง นี่มันปีสุดท้ายแล้วนะ ถ้ากูหลุดออกจากทีมตอนนี้...” มันส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

    ไม่ทันที่ผมจะว่าอะไรต่อ อาจารย์ห้องพยาบาลก็กลับมาพร้อมกับถุงน้ำแข็งในมือ เธอนำมันมาประคบไว้ที่แก้มของผมก่อนจะหันไปทางตู้ยาที่ตั้งอยู่ห่างออกไป

    “กลับบ้านไปก็เอาน้ำแข็งประคบไว้แบบนี้แหละนะ แล้วก่อนนอนก็กินนี่ ยาแก้ปวด” เธอยื่นแผงยามาให้ผม “สองเม็ดก่อนนอน พรุ่งนี้น่าจะระบมมาก ยังไงก็ทำใจไว้ด้วยละ เอาละ กลับบ้านได้แล้ว”

    ผมกับมันไหว้ลาอาจารย์และเดินออกจากห้องพยาบาลมา

    แดดของยามเย็นสาดสะท้อนไปทั่วทั้งโรงเรียน มันชุบย้อมให้ตึกเรียนกลายเป็นสีส้มอมแดงสดเหมือนเลือดนก เสียงร้องโหวกเหวกของเด็กนักเรียนที่เล่นบอลพราสติกอยู่กลางสนามลอยมาตามลมเอื่อย ๆ โถงทางเดินว่างเปล่า ห้องเรียนร้างไร้ผู้คน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจางหายไปจนเหมือนกับว่าโลกใบนี้เหลือเพียงผมกับให้ห่านั่นแค่สองคน ความจริงแล้วผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะ มันทั้งสงบและสบายอย่างไรบอกไม่ถูก ไม่มีสายตามาจับจ้อง ไม่มีคนพูดเสียงดังน่ารำคาญ ไม่มีใครมาวุ่นวาย ทำให้ผมสามารถล่อยลอยไปในความคิดของตัวเองได้โดยไม่ต้องติดขัด แต่ถึงอย่างนั้น ในใจลึก ๆ ของผมกลับรู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างประหลาด...‘กลัวอะไรนะ’ ผมนึกถามตัวเอง...‘กลัวอะไร’

    ตลอดทางจากห้องพยาบาลไปจนถึงประตูโรงเรียนนั้นผมกับมันคุยกันไม่กี่คำ ส่วนใหญ่จะพลัดกันถามพลัดกันตอบมากกว่า ผมถามมันว่าจะย้ายเมื่อไร มันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่าย้ายพรุ่งนี้ แล้วมันก็เงียบไปอีกหลายนาทีแล้วก็ถามผมว่าทำไม จะมาช่วยมันย้ายห้องหรือไง ผมก็นิ่งคิดสักพักหนึ่งแล้วก็ตอบมันไปว่ามีคนช่วยหรือเปล่าละ มันหัวเราะ แล้วก็เงียบ แล้วก็ตอบว่าไม่ต้องหรอก มีแค่เสื้อผ้า พรุ่งนี้ตอนเย็น ๆ ก็นั่งรถทัวร์ไปชัยภูมิเอง แค่นั้น แล้วเราก็มาถึงหน้าโรงเรียน แต่แค่นั้นก็นับว่ามากแล้วสำหรับผมที่ไม่ชอบพูดอะไรมากมายกับใคร...ผมบอกคุณไปหรือยัง?

    “ให้กูไปส่งไหม” มันเอ่ยถาม

    ผมส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงลาและหันหลังออกเดิน

    เมื่อออกเดินมาได้ไม่กี่ก้าวผมก็รู้สึกแปลก ๆ ภายในอกมันเหมือนมีอะไรขาดหายไป เหมือนมีรูโหว่ที่ค่อย ๆ ขยายขึ้น มันอึดอัด ไม่สบาย และในทุกก้าวเดินนั้นมันก็ขยายกว้างขึ้นทุกทีจนผมเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมา ทำไมนะ ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมก็แค่ทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำ ใครมันจะบ้าให้คนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่ด้วยกัน...แต่ทำไมละ? มันก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายนิหน่า มันก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย จะอยู่ด้วยกันมันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร หรือกลัวจะถูกขโมยของ ผมเองก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรอยู่แล้วนิ ของที่แพงที่สุดในห้องก็แค่โทรทัศน์เก่า ๆ เครื่องหนึ่ง แต่แบบนั้น...

    คนเราต้องรู้จักเอื้อเฟ้อนะลูก...

    เสียงใครสักคนดังมาจากที่ไกล ๆ ในความทรงจำ...ผมหันไปตามเสียงนั้นและเห็นมันอยู่ห่างออกไปทุกที...แผ่นหลังของเสื้อนักเรียนสีขาวที่ถูกชุบย้อมด้วยแสงแดดสีแดงสด ความอ้างว้างและไร้ค่าถูกตราทับอยู่บนนั้น...ไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีใครต้องการ...เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ผมรู้จักเมื่อนานมาแล้ว...เด็กคนนั้น...

    “เฮ้ย...” ร้องเรียกเสียงดัง อีกฝ่ายยังไม่รู้ตัวจนผมต้องร้องเรียนอีกหลายครั้งกว่ามันจะหันมา

    และเป็นตอนนั้นเองกระมังที่ผมเห็นหน้ามันชัด ๆ ตาของมันเป็นสีเข้มและกลมแต่ไม่โตมาก คิ้วหนาเหมือนสาหร่ายแผ่นละสองบาท หูกางเหมือนหูช้าง ผิวคล้ำแดงเหมือนแมลงสาบ และถึงตัวมันจะสูงกว่าผมแต่ก็คงสูงกว่าไม่เกินห้าเซ็นติเมตร แถมยังดูเก้ ๆ กัง ๆ อย่างกับดูยีราฟเล่นละครสัตว์อย่างไรอย่างนั้นเลย มันเป็นนักบาสประสาอะไรของมันวะ

    “แค่สองสามเดือนใช่ไหม” ผมร้องถามพรางเดินเข้าไปหามัน

    มันทำหน้างง “อะไรของมึง”

    “ก็ถ้ากูให้มึงมาอยู่ด้วย มึงจะอยู่แค่สองสามเดือนใช่ไหม”

    มันพยักหน้าพร้องร้องในลำคอว่า ‘อือ’

    “แล้วของ ๆ มึงละ”

    “มีแต่เสื้อผ้า”

    “ไม่มีโทรทัศน์ ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า เตียง?”

    “มีแต่เสื้อผ้าสองกระเป๋า ร้องเท้า โน๊ตบุ๊กกับพัดลมตัวหนึ่ง”

    “ตัวใหญ่หรือเปล่า”

    “อะไร”

    “พัดลมของมึงอะ” ผมถามเสียงเรียบในใจนึกด่ามันว่า ‘ไอ้ควายเอ้ย’  “ตัวใหญ่หรือเปล่า” 

    “แค่นี้” มันทำมือให้ดูว่าตัวใหญ่แค่หัวเข่ามัน

    ผมนิ่งคิด บางอย่างในใจผมร้องบอกว่าผมกำลังอาจจะทำเรื่องผิดพลาดอยู่ก็เป็นได้...แต่ก็ดูเหมือนมันจะช้าไปแล้วน่ะสิ

    “ชื่อมึงล่ะ?”

    “สิงห์ มึงละ?”

    “เรียกว่า วัน ก็ได้” ผมหยุดเพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าจะพูดคำต่อไปดีหรือไม่ แต่...อย่างที่บอก พอยท์ ออฟ โน รีเทิร์น มันได้ผ่านไปแล้ว   “...พรุ่งนี้ สักบ่ายสอง มาเจอกันที่นี่ เก็บเสื้อผ้ากับพัดลมมึงมาด้วย กูจะได้พามึงไปดูห้อง”

    มันทำหน้างงพรางจ้องผมเหมือนเด็กขี้สงสัย “ห้องมึงน่ะเหรอ”

    ผมถอนหายใจยาวก่อนจะจ้องมันกลับ “เปล่า ห้องนอนประธานาธิบดีสหรัฐฯ....ก็เออสิ มึงคิดว่าห้องใครละ”

    หน้าของมันหงิกด้วยความโกรธก่อนตะโกนมาว่า “มึงรู้ตัวไหมว่าสันดานมึงกวนส้นตีนมากเลยนะ”

    “มึงก็อย่าหวังอะไรมากนักก็แล้วกัน” ผมทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วก็หันกลังเดินจากไป และแม้ว่าในใจจะยังรู้สึกเหมือนทำเรื่องที่ผิดมหันต์ลงไปแล้ว แต่บางส่วนนั้นกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด...ทำไมนะ...

    ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดหมายเลขโทรออก

    “หวัดดีครับเจ๊...ครับ...วันเองครับ...คือผมมีเรื่องอยากจะรบกวนเจ๊สักหน่อยนะครับ...”


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×