ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wall In Your Heart

    ลำดับตอนที่ #1 : สิงห์ : กูว่า กูเป็นคนเร่ร่อนว่ะ...

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 56




             วันนั้นผมจำได้ว่าอากาศค่อนข้างร้อนเป็นพิเศษ อาจจะเพราะในโรงเรียนมีต้นไม้น้อยไปหรืออาจจะเพราะปัญหาโลกร้อนก็ได้ ผมไม่รู้และไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องแปลกอะไรในประเทศนี้ที่มีแค่สองฤดูกาล คือ‘ร้อน’ กับ ‘ร้อนมาก’ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ตัวผมเองที่นั่งอยู่ในห้องพักครูที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำแต่ผมกลับเหงื่อตกและคอแห้งเหมือนยืนอยู่กลางทะเลทราย

    เรื่องของเรื่องก็คือ พ่อกับแม่ของผมที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ...เอ่อ...ถ้าเล่าแบบนี้คุณอาจจะไม่เข้าใจ คงต้องเท้าความกันไกลหน่อย ครอบครัวของผมซึ่งมีพ่อ แม่ และพี่ชายที่แก่กว่าผมหกปีประกอบอาชีพเดียวกันกับปู่และย่า นั่นก็คือ ‘นักแสดงแทน’ หรือ ‘นักแสดงบทอันตราย’ หรือก็คือ ‘สตันท์แมน’ นั่นแหละ ทีนี้ เมื่อสามปีก่อนตอนผมเรียนอยู่มัธยมหนึ่ง เพื่อนของพี่ชายผมซึ่งทำงานอยู่ในค่ายหนังที่ฮอลลีวูทติดต่อมา บอกว่า ‘มีงานน่าสนใจ ให้พี่ชายผมลองไปแคสดู’ ซึ่งถึงแม้ตอนแรกพ่อกับแม่จะไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะแม่ที่ค้านหัวชนฝาไม่ยอมให้พี่ชายผมไปท่าเดียว แต่จนแล้วจนรอดแต่ก็ทนความรั้นของพี่ผมไม่ได้เลยให้พี่ชายของผมเดินทางไปลองขุดทองเสี่ยงโชคในดินแดนแห่งเสรีภาพดู หลังจากนั้นอีกราวสิบเดือนพี่ผมก็ติดต่อกลับมาที่บ้าน บอกว่าพอจะมีลู่ทางอยู่ที่นั่นบ้างแล้วและได้ค่าตอบแทนค่อนข้างดีทีเดียว ถ้าพ่อกับแม่ต้องการก็สามารถไปทำงานที่นั่นได้ไม่ยากนัก และด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งความซบเซาของวงการหนังบ้านเราที่ทำให้ไม่มีงานและหนี้สินที่เริ่มพอกพูนขึ้นทุกวัน ทำให้พ่อกับแม่ผมตัดสินใจส่งผมไปอยู่กับป้าและออกเดินทางไปฮอลลีวูท ส่วนผม หลังจากอยู่กับป้าได้จนถึงปีที่แล้ว ก็มีอันต้องย้ายที่อยู่อีกครั้ง เพราะลุงผมซึ่งเป็นตำรวจต้องย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัด พ่อกับแม่ผมเลยตัดสินใจให้ผมออกมาเช่าห้องอยู่คนเดียว จนถึงเมื่อตอนตีสองของเช้าวันนี้ พ่อของผมโทรศัพท์มาพร้อมกับข่าวร้าย... พี่ชายของผมประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลและอาการค่อนข้างแย่มากทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและอาจจะไม่สามารถส่งเงินกลับมาให้ผมได้อีกราวสี่ห้าเดือน

                    “ฉิบหายแล้ว” นั่นเป็นคำแรกที่ผมร้องออกมาในทันทีที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมด

                    “เออสิ โคตรฉิบหายเลย” พ่อผมพูดเสียงดุและเครียด “จะยังไงก็เถอะ แกไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก พ่อคุยกับป้าเขาแล้ว เขาจะช่วยส่งเงินให้แกช่วงนี้ไปก่อน...แต่....”

                    “ครับ?” ผมรีบรับคำเพราะรู้ว่าทุกครั้งที่พ่อลงท้ายด้วยคำว่า ‘แต่’ จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ไม่ดีแน่ ๆ...และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เสียด้วย

     
     

                    “สรุปก็คือเราต้องย้ายออกจากหอใช่ไหม” เสียงอาจารย์สุดารัตน์ หรืออาจารย์ดา อาจารย์ที่ปรึกษาของผมเอ่ยถามขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ ผมพยักหน้าเงียบ ๆ “แล้วเราจะไปอยู่กับใครละ ลองถามเพื่อน ๆ ที่เช่าหออยู่เหมือนกันหรือยัง”

                    “ลองถามหมดแล้วครับ แต่ไม่มีใครสะดวกเลย อีกอย่าง เพื่อนในห้องเดียวกันมีแค่สองสามคนเองที่อยู่หอ นอกนั้นก็อยู่บ้านกันหมด” ความจริงคือ ผมมีเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันที่อยู่หอพักแค่สองคน คือได้โชกับไอ้เม่น ไอ้โชไม่ยอมให้ผมไปอยู่ด้วยเพราะเจ้าของหอไม่อนุญาต ส่วนไอ้เม่นบอกว่าห้องมันแคบ แต่ที่จริงผมว่ามันคงกลัวความลับที่มันชอบพาหญิงขึ้นห้องจะแตกมากกว่า

                    “เหรอ...” เธอคนนั้นนิ่งคิด ใบหน้าเรียวยาวในดงผมหยิกขอดทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตาวูดูอย่างไรชอบกล “แล้ว เพื่อนห้องอื่นละ หรือที่เป็นนักบาสโรงเรียนเหมือนกันไง จริงสิ หอนักกีฬาไง” เธอพูดเสียงดังเล็กน้อยอย่างมีหวัง

                    “ผมลองถามอาจารย์ต่อแล้วครับ...” อาจารย์ต่อคืออาจารย์พละและโค๊ชของทีมบาสประจำโรงเรียน “ท่านบอกว่าหอนักกีฬาตอนนี้แน่นแล้ว แถมเป็นช่วงเพิ่งเปิดเทอม คงยังไม่มีใครย้ายออกง่าย ๆ แล้วเพื่อนห้องอื่นผมก็ไม่ค่อยมี ถึงจะมีก็อยู่บ้านกันหมด” ผมจบคำด้วยการถอนหายใจแล้วก็ทำหน้าเบ้ทะเล้น

                    “ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นเลยนะ” อาจารย์ดาทำเสียงดุ “ที่นี้จะเอาไงดีล่ะ”

                    “มีอะไรกันเหรอ” เสียงอาจารย์ผู้ชายที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ เอ่ยถาม

                    “ก็เด็กห้องดาสิคะ ต้องย้ายออกจากหอ เลยไม่มีที่อยู่ เนี่ย แล้วยังมาทำหน้าเป็นอยู่ได้” เธอจบคำด้วยการเขกหัวผมเบา ๆ “สงสัยครูต้องคุยกับพ่อเราหน่อยแล้วนะ”

                    “จะดีเหรอครับ...ผมว่าไม่ดีมั้ง”

                    “ดีสิ ไม่ต้องมาเถียงเลย เดี๋ยวเอาเบอร์พ่อเรามาให้ครูด้วยนะ” เธอว่าเสียงเฉียบขาดพรางแกล้งทำสีหน้าโมโห แต่มันยิ่งทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตาวูดูมากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าจนผมนึกขำ

                    หลังจากนั้นอาจารย์ดาก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมให้อาจารย์ในห้องพักครูคนอื่น ๆ ฟังทั้ง ๆ ที่ผมก็นั่งอยู่ตรงนั้นแต่กลับรู้สึกไร้ตัวตนอย่างบอกไม่ถูก และหลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงอาจารย์ทุกคนก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าผมควรจะพึ่งตัวเองก่อนในลำดับแรก

                    “นี่เป็นรายชื่อของนักเรียนที่อยู่หอพัก” อาจารย์ดาว่าพรางยื่นแผ่นกระดาษเอสีหนาสามหน้ามาให้ผม “ครูกับอาจารย์คนอื่นช่วย ๆ กันรวมรวมมาจากห้องที่แต่ละคนเป็นที่ปรึกษา เธอก็ลองไปถามเจ้าตัวตามรายชื่อนี้แล้วกันนะ พูดกับเขาดี ๆ เล่าความจำเป็นของเธอให้เขาฟัง แล้วครูจะช่วยกันพูดอีกแรง”  เธอหยุดครู่หนึ่งก่อนว่าต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าไม่ได้เรื่องเธอคงต้องไปอาศัยบ้านเพื่อนสักคนอยู่ชั่วคราวนะ ซึ่งครูคิดว่าแบบนั้นก็คงจะดีกว่าเพราะมีผู้ใหญ่คอยดูแล แต่เธออาจจะอึดอัดที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง แถมยังไม่รู้ว่าเมื่อไรพ่อแม่เธอจะส่งสตางค์มาได้เหมือนเดิม เรื่องค่าใช้จ่ายระหว่างนั้นเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ กรณีที่แย่ที่สุดคือย้ายโรงเรียนไปอยู่กับป้าของเธอ...ทุนนักบาสที่เธอใช้เข้าเรียนที่นี่ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ นะ ทางที่ดีคือเธอต้องหาเพื่อนที่อยู่หอพัก ขอเขาอยู่ด้วยชั่วคราว อาจจะช่วยค่าน้ำค่าไฟตามกำลังเรา แบบนั้นยังดีกว่าต้องไปอยู่กับครอบครัวที่เธอไม่รู้จักนะ”

                    คำพูดนั้นของอาจารย์ดาทำให้ผมรู้และเข้าใจตอนนั้นเองว่าสถานการณ์ของตัวเองแย่แค่ไหน เงินก็ไม่มี ที่อยู่ก็จะไม่มี แถมถ้าไม่มีคนให้ไปอาศัยอยู่ด้วยอาจจะต้องไปอยู่บ้านคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แบบนั้นมันคนอนาถาชัด ๆ

                    “ผมจะลองดูครับอาจารย์ ขอบคุณมากครับ” ผมลุกขึ้นและไหว้ลาอาจารย์ทุก ๆ ท่านก่อนจะออกมาจากห้องพักครู



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×