คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : กลวิธีของมวยไทย
กลวิธีของมวยไทย
มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีลักษณะเฉพาะมีกลไกการต่อสู้
ที่เป็นศาสตร์และศิลป์ผู้ฝึกหัดมวยไทยจะต้องมีความศรัทธาเชื่อถือและปฏิบัติตาม
ธรรมเนียมประเพณีการชกมวยไทยเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้ฝึกสอนอย่างเคร่งครัดและ
ต้องฝึกหัดทักษะพื้นฐานต่างๆ โดยต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความชำนาญดังนี้การกำหมัด
การกำหมัดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้หมัดมีน้ำหนักและออกหมัด
ได้รวดเร็ว และถ้ากำหมัดไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดอันตราย เช่น มือ นิ้ว หรือ ข้อมือ
อาจเคล็ดหรือหักได้การกำหมัดให้ถูกวิธีคือ1. กำนิ้วทั้งสี่ (ยกเว้นหัวแม่มือ) เข้ามาก่อน
- ค่อย ๆ กำฝ่ามือให้แน่นแล้วพับนิ้วหัวแม่มือมาไว้ใกล้นิ้วชี้
- ที่บริเวณด้านสันหมัดต้องให้นิ้วทั้งสี่ (ยกเว้นหัวแม่มือเรียงชิดติดกัน)
- ขณะชกให้เกร็งข้อมือและในขณะเดียวกันให้กำมือให้แน่น
การตั้งท่า
การตั้งท่าของมวยไทยถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากมวยไทยอาศัยการ
เตะเป็นอาวุธหลัก ดังนั้นถ้านักมวยไทยคนใดตั้งท่าและทรงตัวไม่ดีแล้ว ขณะยกขาขึ้นเตะอาจาจะเสียการทรงตัวได้ง่าย การตั้งท่ามีหลักการดังนี้.-
- เท้า ให้ยืนในลักษณะเท้านำ-เท้าตาม เท้านำหรือเท้าหน้าให้ปลายเท้าชี้ไป
ข้างหน้า ยกส้นเท้าขึ้นเล็กน้อย ส่วนเท้าตามหรือเท้าหลังวางขวางกับเท้าหน้า
เปิดส้นเท้าขึ้นเล็กน้อยเช่นก้นเท้าทั้งสองห่างกันประมาณ 1 ช่วงไหล่- เข่า เข่าทั้งสองค่อนข้างตึง
- ลำตัว ตั้งตรงน้ำหนักตัวอยู่ที่เท้าทั้งสอง ไม่พับหรือก้มตัว
- ใบหน้า สายตามองตรงไปที่บริเวณหน้าอกคู่ต่อสู้
- มือ ยกมือทั้งสองขึ้นค่อยข้างสูงบริเวณคอ ถ้าใช้เท้าขวาเป็นเท้านำมือขวา
ก็ต้องอยู่ข้างหน้า และมือซ้ายอยู่ข้างหลังและถ้าใช้เท้าซ้ายนำให้ทำในลักษณะ
ตรงข้ามกัน- คาง เก็บคางให้อยู่ในร่องไหล่ทั้งสองข้าง โดยการยกไหล่ขึ้น
การใช้อาวุธหมัด
หมัดเป็นอาวุธมวยไทยที่สำคัญอย่างหนึ่ง สามารถชกหมัดได้หลายลักษณะ
คือ หมัดตรง หมัดเหวี่ยงหรือหมัดสวิง หมัดเสย หรือหมัดสอยดาว1. การชกหมัดตรง แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
- หมัดตรงด้วยหมัดหน้า (หมัดแย๊ป) เป็นหมัดทีใช้แรงส่งจากหัวไหล่
ขณะที่พุ่งหมัดออกไปให้บิดแขนเล็กน้อย โดยให้หมัดอยู่ในลักษณะ
คว่ำหมัด แขนตึงและเกร็งแขน เมื่อหมัดถึงเป้าให้ดึงหมัดกลับมา
ในทิศทางเดิม อย่าปล่อยแขนให้ห้อยลง ขณะชกหมัดต้องไม่ย่อมเข่า
หรือก้มตัว ต้องพยายามยืดตัวให้สูงขึ้น
- หมัดตรงด้วยหมัดหลัง (หมัดตาม) เป็นหมัดที่มีความหนักหน่วง
สามารถใช้พิชิตคู่ต่อสู้ได้ โดยปล่อยหมัดจากการกระแทกไหล่และ
แขนไปข้างหน้า บิดแขนเล็กน้อยให้หมัดอยู่ในลักษณะคว่ำหมัดลง
บิดลำตัวใช้แรงส่งจากลำตัวและสะโพกด้านที่ออกหมัดโน้มตัวส่งไป
ข้างหน้าเล็กน้อย พร้อมกับสะบัดสะโพกส่งตามไปข้างหน้า เมื่อหมัด
ถึงเป้าหมายให้ชักหมัดกลับมาในทิศทางเดิม (ขณะชกหมัดต้อง
ระมัดระวัง อย่าก้มตัวตามหมัดไปข้างหน้าเกินไป)การป้องกันหมัดตรง
การป้องกันหมัดตรงมีหลายวิธีทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับโอกาสหรือจังหวะที่ใช้
1. การปัด ใช้เมื่อคู่ต่อสู้ชกหมัดตรง มาที่บริเวณหน้าสามารถ
ใช้วิธีปัดด้วยมือหน้า หรือหมัดหน้าการปัดเมื่อคู่ชกมา เกือบถึงเป้าแล้วจึงค่อยปัด2. การปะทะ หรือบล๊อค โดยการยกแขนทั้งสองขึ้นบังบริเวณใบหน้าแล้วเกร็งแขนและคอ เพื่อปะทะหมัดคู่ต่อสู้ ต้องพยายามเก็บคางไม่ให้โดนหมัดเป็น
อันขาด หรืออาจยกศอกหน้าขึ้นป้องกันก็ได้3. การโยกตัวหลบ เป็นวิธีป้องกันที่ทำได้ง่ายโดยการโยกตัวหลบ
หรือผงะออกให้พ้นระยะหมัด การโยกนี้ใช้บริเวณเอวช่วยเมื่อ
โยกพ้นแล้วจึงค่อยตอบโต้ด้วยอาวุธอื่น ๆ4. การย่อตัวหรือก้มต่ำ เป็นวิธีที่ต้องอาศัยความว่องไวในการย่อ
ตัวหลบหมัดคู่ต่อสู้ให้ผ่านศีรษะไปขณะย่อหลบนั้นตาต้องมอง
คู่ต่อสู้ตลอดเวลา
- การชกหมัดเหวี่ยงหรือหมัดสวิง
เป็นหมัดที่ชกโดยใช้แรงเหวี่ยงส่งจากไหล่และลำตัวช่วยซึ่งจะเป็น
การชกในบริเวณในบริเวณด้านข้าง มีเป้าหมายที่บริเวณกกหู ต้นคอ คาง
ใบหน้า และบริเวณซี่โครง (ลำตัวด้านข้าง) ในขณะเหวี่ยงชกนั้นให้เกร็งหมัด และท่อนแขน
การป้องกันการชกหมัดเหวี่ยงเนื่องจากหมัดนี้เป็นหมัดที่มาจากด้านข้าง ดังนั้นการป้องกันหมัดเหวี่ยง ที่บริเวณใบหน้าให้ยกแขนขึ้นรับ ถ้าเป็นบริเวณซี่โครงให้ลดแขนลงมา
แนบลำตัว
3 การชกหมัดเสย หรือหมัดสอยดาว หรือหมัดอัปเปอร์คัดเป็นหมัดที่ชกโดยมี
ทิศทางของหมัดจากด้านล่างขึ้นบนโดยเปิดท่อนแขนหวายหมัดขึ้นเกร็งแขนและ
กำหมัดให้แน่น ส่งหมัดด้วยแรงส่งจากเท้า บิดสะโพก และกระตุกไหล่ เป้าหมาย
ของการชกอยู่ที่บริเวณปลายคางและลิ้นปี่ การชกจะทำได้ดีเมื่อใช้แรงส่งจาก
เท้าหลังและกระตุกไหล่ในจังหวะที่สัมพันธ์กัน
การป้องกันหมัดเสย
เนื่องจากหมัดเสยเป็นหมัดที่มีวิถีการชกจากด้านล่างขึ้นด้านบน ฉะนั้นการป้องกันจึงอาจใช้วิธี
- ไขว้แขนรับ เพื่อบังคางและใบหน้า
- โยกตัวหลบ จะต้องทำอย่างรวดเร็ว และให้พ้นวิถีของหมัด
การใช้อาวุธเท้า
เท้าเป็นอาวุธมวยไทยที่เกือบจะเรียกว่าเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของ
ศิลปะมวยไทยการใช้เท้ามี 2 ลักษณะคือ การถีบและการเตะ1. การถีบ การถีบเป็นอาวุธมวยไทยที่ใช้เท้าทั้งซ้ายและขวาถีบคู่ต่อสู้
ทำให้คู่ต่อสู้เสียหลัก และเป็นการสกัดกั้นการบุกของคู่ต่อสู้ได้ วิถีการถีบ
นั้นให้ยกเท้าข้างใดข้างหนึ่งให้เกือบขนาน หรือกับพื้น งอเข่าเล็กน้อย
พร้อมกับเหยียดขาออกไปให้สุดจนขาตึง ใช้บริเวณปลายเท้า หรือฝ่าปะทะ
เป้าหมาย โดยใช้แรงส่งจากการพุ่งขาไปข้างหน้าด้วยสะโพกและเท้าหลัง
เป้าหมายที่ใช้ถีบคือต้นขา หน้าท้อง หน้าอก และใบหน้าแล้วแต่จังหวะและ
โอกาส
การป้องกันการถีบ
- การปัด ใช้เมื่อคู่ต่อสู้ถีบมาให้ใช้มือหน้าปัดขา คู่ต่อสู้ออกไปด้านข้างให้พ้นจากเป้าหมาย
- การจับยก ในขณะที่คู่ต่อสู้ถีบมาให้ใช้มือ ข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้างจับขาคู่ต่อสู้พร้อม
ยกขึ้นให้สูงพร้อมยกขึ้นให้สูงและจับทุ่มลง - การหลบฉาก เมื่อคู่ต่อสู้ถีบมาให้ถ่ายน้ำหนัก
ตัวหลบฉากออกไปข้างใดข้างหนึ่ง
2.การเตะตรง หรือเตะผ่าหมากเป็นการเตะ
ขึ้นตรงๆ โดยเตะขึ้นไประหว่างแขนทั้งสองจาก
ท่าตั้งท่า เหวี่ยงขาขึ้นตรงๆปลายเท้างุ้มลำตัวเอนไป
ข้างหน้าเล็กน้อย เป้าหมายของการเตะคือ
ผู้เตะสามารถเตะได้ทั้งเท้านำและเท้าตาม
การป้องกันการเตะตรง
การเตะตรงเป็นการเตะจากด้านล่างขึ้นตรงๆ ดังนั้นวิธีป้องที่ง่ายที่สุดคือการผงะออกให้พ้นระยะเท้า
3. การเตะเฉียง เป็นการเตะที่ใช้บริเวณหลังเท้าและหน้าแข้ง
เตะคู่ต่อสู้ในลักษณะเหวี่ยงขาเฉียงขึ้นไป โดยใช้แรงส่งจาก เท้าสะโพกโดยปกติจะเอนลำตัวไปทางด้านตรงข้ามกับเท้าที่ใช้เตะ เมื่อเตะไปแล้วจะต้องยกมืออยู่ในท่าของการตั้งท่าด้วยเป้าหมาย
ของการเตะคือ บริเวณซี่โครงหรือก้านคอหรือกราม
การป้องกันการเตะเฉียง
1. ปิดด้วยศอกใช้ท่อนแขนและข้อศอกแนบติดลำตัว หรือชายโครงบริเวณก้านคอและใบหน้าพร้อมกับ เกร็งแขนรับขณะสัมผัสกับการเตะของคู่ต่อสู้
2. ถอยให้พ้นระยะ เป็นวิธีที่ ทำได้สะดวก
และรวดเร็วโดยการก้าวถอยหลังให้พ้นระยะของเท้า3. การยกเข่าป้องกัน เป็นวิธสีที่นิยมมากทีสุด โดยยกเข่าบิดออกไปด้านข้างเล็กน้อยทางด้านข้าง ที่คู่ข้างที่คู่ต่อสู้เตะมาซึ่งอาจเป็นทางด้านซ้ายหรือ ด้านขวาก็ ได้
4. ชิงชกเป็นการป้องกันและโต้ตอบการรุก ของคู่ต่อสู้ โดยอาจจะชิงชกด้วยขวาตรง หรือซ้ายตรงแล้วแต่ความถนัด
ของนักมวย
4.การเตะตัด
คือการเตะที่ใช้บริเวณขาท่อนล่าง (หน้าแข่ง) เตะตัดบริเวณลำตัวคู่ต่อสู้ โดยขณะเตะให้พับเข่าเล็กน้อย ก้มตัวพร้อมกับเหวี่ยงเท้าไปหาคู่ต่อสู้ บิดลำตัวตามพร้อมกับใช้น้ำหนักตัวช่วยลักษณะของเท้าที่เหวี่ยงออกไปนั้น
จะทำมุมในลักษณะขนานกับพื้น
การป้องกันการเตะตัด
- ป้องกันโดยหันเข่าด้านตรงกันข้ามรับ
- โดยการชิงถีบก่อน คือการใช้เท้าใดเท้าหนึ่ง
ถีบบริเวณหน้าขาหรือลำตัวคู่ต่อสู้
5.การเตะกลับหลัง หรือจระเข้ฟาดหาง
เป็นการเตะที่เตะคู่ต่อสู้ด้วยเตะตัด หรือเตะเฉียงและเท้าไม่ถูกเป้าหมาย
จากนั้นให้หมุนตัวไปตามทิศทางของแรงเหวี่ยงของเท้า พร้อมกับ ยกเท้า
หลังขึ้นใช้บริเวณส้นเท้าเหวี่ยงใส่คู่ต่อสู้เป้าหมายบริเวรก้านคอหรือใบหน้า
การป้องกันการเตะกลับหลัง
- การโยกตัวหลบ คือการโยกตัว หรือการผงะออกให้พ้นระยะของการเตะ
- โดยการชิงถีบ ในขณะที่คู่เตะจระเข้ฟาดหางการชิงถีบที่ลำตัวหรือหน้าขา
คู่ต่อสู้ได้ - การยกแขนขึ้นกันพร้อมกับเกร็งแขนรับ
เข่าเป็นอาวุธมวยไทยที่มีความหนักหน่วงอีกทางหนึ่งจะใช้ใน
โอกาสประชิดตัวและต้องใช้ความแข็งแรงสามารถปล้ำฟัดเหนี่ยวคู่ต่อสู้
ลงมาเพื่อตีเข่าได้ การตีเข่ามีอยู่ 4 วิธี คือ.-เข่าโหน ช้เมื่อประชิดคู่ต่อสู้ โดยพยายามโน้มคอคู่ต่อสู้ลงมา
พร้อมกับยกเข่าขึ้นตีตรง ๆ ที่บริเวณหน้าท้อง หรือใบหน้าคู่ต่อสู้
ในขณะตีนั้นให้งุ้มปลายเท้าด้วย
การป้องกันเข่าโหน
- การผลักในขณะที่คู่ต่อสู้โหนตัวจะโน้มลงตีเข่า ให้สอดมือ และแขนทั้งสอง พร้อมกับก้มหัวและผลักคู่ต่อสู้ออกไป
ให้เสียหลัก - การกอดเอวคู่ต่อสู้ ในขณะที่คู่ต่อสู้จับคอ พยายามโหน
จะตีเข่าให้ย่อเข่าลงและกอดเอวคู่ต่อสู้ให้แน่น - การเหวี่ยงให้ล้มในขณะที่คู่ต่อสู้ยกเข่าขึ้น ให้หาจังหวะ
เหวี่ยงคู่ต่อสู้ให้ล้มลง
2. เข่าตี หรือเข่าตัด ใช้ในลักษณะคล้ายกับเข่าโหน แต่เป็นการโน้มคอ
คู่ต่อสู้ แล้วเหวี่ยงไปทางด้านข้าง ตีด้วยเข่าซ้ายหรือขวาแล้วแต่โอกาส โดยยกเข่าขึ้นเหวี่ยงให้เกือบขนานพื้นและบิดสะโพก เอี้ยวตัวไปทางซ้าย
หรือขวา ตีเข่าที่บริเวณด้านข้างลำตัว
การป้องกันเข่าตี
- ชิงตีก่อน เข่าตีเป็นเข่าที่คู่ต่อสู้ต้องโน้มตัว
และเหวี่ยงเข่าเพื่อตีดังนั้นจึงให้หาจังหวะชิง
ตีเข่าก่อน - ป้องกันด้วยขา ในจังหวะที่คู่ต่อสู้เหวี่ยงเข่า
เพื่อตี ให้บิดตัวและยกขาด้านในด้านหนึ่ง ยันบริเวณโคนเข่าของคู่ต่อสู้ด้านที่ใช้ตีไว้
แล้วผลักให้คู่ต่อสู้ล้มลง
3.เข่าลอย ใช้เมื่อคู่ต่อสู้เสียหลักให้ยกเท้านำแล้วกระโดดขึ้นให้สูง
พร้อมยกเข่าไปข้างหน้า ก่อนที่เท้านำจะตกพื้นให้กระตุกเท้า
ตามขึ้นเข่าในขณะที่ตัวกำลังลอยอยู่ เป้าหมายคือบริเวณหน้าอกหรือคาง
การป้องกันเข่าลอย
- ฉากหลบ ในขณะที่คู่ต่อสู้กระโดดมาให้บิดตัวหลบฉากออก
ให้พ้นระยะ - ชิงถีบ เป็นการยกเท้าชิงถีบก่อนที่คู่ต่อสู้จะถึงตัว
- ฉากเตะ คือการฉากออกไปด้านซ้ายหรือขวาแล้ว
โต้ตอบด้วยการเตะ - เข่าลา หรือเข่าเตะ มีลักษณะครึ่งเข่าครึ่งเตะ โดยมากใช้หลังจากการเตะไม่ได้ผล แล้วพับเข่า กระแทกคู่ต่อสู้เป้าหมายคือคางและยอดอก
การป้องกันเข่าลาป้องกัน ได้เช่นเดียวกับการใช้อาวุธเข่าต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ที่ได้ผลดีคือ การผงะหรือยกเข่าปะทะไว้ การป้องกันเข่าทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข่าโหน เข่าตี เข่าลอย และเข่าลาก็ตามการป้องกันนั้นไม่ จำเพาะเจาะจงว่าจะใช้แบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะอาจประยุกต์การป้องกัน จากแบบหนึ่งไปใช้กับอีกแบบหนึ่งได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะ
ศอกเป็นอาวุธที่มีอันตรายมาก แบ่งตามลักษณะการใช้ศอกออกเป็น 4 วิธีคือ.-
1.ศอกตี เป็นศอกที่ตีลักษณะเฉียงลง โดยยกศอกตีขนานไปกับข้างหู พับแขนให้ปลายหมัดเข้าหาลำตัว เขย่งปลายเท้าหลังขึ้นแล้วทิ้งน้ำหนักตัว
ลงข้างหน้าในลักษณะฟันเฉียงลง
2.ศอกงัด ใช้สกัดกั้นการรุกของคู่ต่อสู้โดยย่อตัวลงพับศอกงัดขึ้นในขณะที่สืบเท้า
ประชิดคู่ต่อสู้ใช้แรงส่งจากเท้าและเข่า
3.ศอกตัด ใช้ได้ดีเมื่อคู่ต่อสู้บุกเข้าหา ให้พันศอกส่งแรงจากหัวไหล่แล้วบิดตวัดศอก
ในลักษณะแนวขนานพื้น
4.ศอกกลับ เป็นศอกที่เหวี่ยงตัวหมุนไปด้านหลังแล้วกระชากศอกกลับ
ในขณะที่หมุนตัวไปได้ครึ่งวงกลม
การป้องกันการใช้ศอก
- ไม่พยายามเข้าประชิดวงใน
- สกัดด้วยอาวุธยาว เช่น ถีบ เตะ หมัด
- หากต้องเข้าประชิดตัว ก็ให้ปิดหน้าให้รัดกุม
อวัยวะที่สามารถป้องกันศอกได้ทุกลักษณะคือท่อนแขนโดยการปิดป้อง
ยันหรือกอดคู่ต่อสู้ นอกจากนั้นยังมีวิธีป้องกันตามโอกาสต่าง ๆ กัน คือ
ความคิดเห็น