คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : :: Beautiful Blues - "The Ring"
13
The Ring
ฮี้~~!!!
กึก!
เจ้าม้าขาวชะลอเท้าลงทันทีที่พบว่าบัดนี้มันพาฉันออกมาแถวๆ ชานเมืองเกือบจะนอกเมลเวย์เห็นจะได้ ที่นี่ไม่มีบ้านคน ห่างไกลจากตัวเมืองราวๆ เกือบห้าไมล์ พ้นจากสายตาของพวกโปลิเชียนที่สู้สี่ขาม้าขาวตัวนี้ไม่ได้เลยสักนิด จะว่าไปตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อย เพลีย และแสบหน้าไปหมด แหงล่ะ ก็เล่นขี่ม้าฝ่าลมหนาวมานานขนาดนี้นี่นา!
"เก่งมาก!"
ฉันใช้มือตบไปที่หลังของมันเบาๆ ก่อนจะมองไปยังรอบๆ ลานหญ้ากว้างที่มืดสนิทแถมยังไร้ผู้คน อีกนิดเดียวก็จะเลยเข้าเขตป่าต้องห้ามแล้ว บอกตามตรงว่าฉันไม่เคยผ่านเข้ามาแถวนี้เลย นี่เป็นอีกฝั่งหนึ่งของป่าต้องห้ามถ้าจำไม่ผิด และดูเหมือนเจ้าม้านี่จะกลัวการก้าวเข้าไปในเขตนั้นซะด้วย เพราะในที่สุดมันก็ตัดสินใจหมุนตัวแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม
"เราจะกลับไปจริงๆ เหรอ"
ราวกับว่ามันถูกฝึกมาอย่างดี พอฉันไม่กระตุกเชือกมันก็ค่อยๆ เดินช้าๆ เบี่ยงเส้นทางเข้าไปในดงต้นไอออรีน อย่างน้อยละแวกนี้ก็มืดและพอให้ซ่อนตัวได้บ้าง
"ฉันขอเรียกแกว่าไคออสก็แล้วกันนะ"
มันพ่นลมหายใจฟึดฟัดหลังจากได้ยินชื่อที่ฉันตั้งให้ ชื่อของม้าตัวเก่าของพ่อฉันเอง
"แกไม่ชอบชื่อนี้เหรอ"
ฟึดๆ~
อุ๊ย! พยักหน้าได้ด้วย =_= สรุปคือ...ชอบใช่มั้ย
"โอเค งั้นไคออส..."
"..."
"ช่วยพาฉันไปหาที่ที่ปลอดภัยหน่อย ฉันรู้สึก...อยากเอนหลังนอนแล้ว -_-"
บอกตามตรงว่าฉันเริ่มหมดหนทางเหมือนกันแฮะ ร่างกายก็เมื่อยล้าอ่อนเพลีย พิกซี่ก็ได้แต่นั่งเงียบนิ่งไม่ไหวติงหรือส่งเสียงร้องใดๆ และตอนนั้นเองที่ในหมู่แมกไม้นั้นก็เผยให้เห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่
"เอ๋..."
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่หลังเดียวเดี่ยวๆ ล้อมรอบด้วยต้นไม้และสวนดอกเดซี่ที่ถูกจัดเป็นหย่อมๆ ตัวบ้านโอบล้อมด้วยเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงลงมาเป็นการบ่งบอกว่าบ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างไว้นานพอสมควร
หมายความว่า...ที่นี่ไม่มีคนอยู่อย่างนั้นเหรอ
"แกพาฉันมาที่นี่ทำไม..."
ฉันถามไคออส แต่มันไม่ตอบนอกจากจะก้าวฝ่ารั้วบ้านเข้าไป เอ้อ ก็ดีเหมือนกัน =_= มีสัตว์อยู่สองตัวถามอะไรก็คงไร้ประโยชน์เพราะมันสื่อสารกลับมาไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้ฉันกับพิกซี่จึงถูกไคออสพาเดินเข้ามาข้างในเขตของรั้วบ้านหลังนั้นเป็นที่เรียบร้อย บ้านหลังนี้สูงสองชั้น ฉันเริ่มมองเห็นตัวบ้านชัดเจนขึ้นถึงขั้นเห็นไอฝุ่นหนาเขรอะที่หน้าต่างและประตู
อา...
พูดถึงความรู้สึกฉันตอนนี้เหรอ...บอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่ากำลังกลัว...
...กลัวมากด้วย
พั่บๆๆ
ขนาดพิกซี่เองก็เป็นอันต้องรีบกระพือปีกขึ้นมาเกาะที่บ่าฉันอย่างรวดเร็ว
ตึก!
ฉันกระโดดลงจากหลังม้า ยืนนิ่งมองภาพตรงหน้าก่อนจะหันไปหาผู้นำทางแล้วกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ใช้สายตาถามความเห็นครู่หนึ่งว่าควรจะทำยังไงต่อดี ซึ่งไคออสก็พยักหน้าให้หนึ่งครั้ง
เอิ่ม...ขอบคุณ -_-
ขวับ!
คราวนี้ฉันหันหน้ากลับไปสำรวจบ้านหลังนั้นต่อ ครุ่นคิดในใจว่าจะลองเข้าไปดีหรือไม่ บ้านหลังนี้ก็ใหญ่โตดีอยู่หรอก แต่ทำไมถึงดูเก่าราวกับไม่มีใครอยู่หรือดูแลทำความสะอาดมานานยังไงยังงั้น ใครกันนะที่เป็นเจ้าของ
เอาวะ...อาจจะไม่มีอะไรในนั้นก็ได้ ฉันตัดสินใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ค่อยๆ เดินตรงไปยังประตูหน้าบ้าน
แกรก~
ประตูบ้านไม่ได้ล็อกแฮะ ฉันผลักประตูไม้เข้าไปอย่างระมัดระวัง ด้านในนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่ามืดแค่ไหน แสงพระจันทร์ที่สาดส่องผ่านประตูและหน้าต่างจากด้านนอกพอจะทำให้ฉันปรับสายตาและมองเห็นการตกแต่งจัดวางของภายในบ้านได้ ฉันลังเลอยู่นานมากว่าจะเอายังไงต่อดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในที่สุด
เอี๊ยดดด...อ๊าดดด...
ตึกตัก...ตึกตัก...
ความเงียบสงัดทำให้ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหัวใจของตัวเองชัดเจน ขนแขนค่อยๆ ลุกซู่ขึ้นมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ฉันพยายามเตรียมใจรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม อาจมีคนอยู่ที่นี่ อาจมีบางสิ่งโผล่พรวดออกมาจากความมืดก็เป็นได้
ฉันหันไปมองเจ้าไคออสที่ยืนอยู่ด้านนอก มันได้แต่มองมานิ่งๆ เนื่องจากตัวมันใหญ่เกินกว่าจะลอดผ่านประตูเข้ามาได้ ฉันพยายามใช้สายตาสำรวจหาสิ่งของภายในบ้านและพบว่าบ้านหลังนี้น่าจะเป็นบ้านของเศรษฐีสักคนในเมืองและอาจเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วย แต่ถึงฉันจะเคยอยู่ที่นี่ แต่นั่นมันก็ตั้งสามปีก่อน แถมตอนนั้นฉันยังเด็กมาก แล้วอีกอย่างฉันไม่เคยแวะเวียนมาแถวชานเมืองหรือแม้กระทั่งเคยเห็นบ้านหลังนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ บางทีมันอาจจะเพิ่งสร้างขึ้นไม่นาน
ประเด็นคือเจ้าของบ้านล่ะ...พวกเขาหายไปไหน...
แกรก!
ฉันสะดุ้งเฮือกขณะที่เหยียบพวกเศษไม้ที่หล่นกระจายอยู่ในบ้าน ดูเหมือนบ้านหลังนี้จะไม่มีคนอยู่จริงๆ ฉันยกมือขึ้นปิดจมูกหลังจากได้กลิ่นฝุ่น...เสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นไม้ที่ถูกเหยียบย่ำดังขึ้นเป็นระยะๆ ฉันค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันได เอาจริงๆ ฉันไม่ค่อยเห็นใครสร้างบ้านสองชั้นในเมลเวย์หรอกนะ แหงล่ะ การจะมีบ้านสองชั้นได้นั้นต้องเป็นครอบครัวใหญ่
ผนังตรงขั้นบันไดทางด้านขวามือเต็มไปด้วยภาพวาดของเมืองใหญ่ ฉันใช้สายตาส่องอย่างพินิจ ค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัส อา ช่างดูศิวิไลซ์ชะมัด มนุษย์ทุกคนบนโลกเคยมีชีวิตที่ดีแบบนั้น มียานพาหนะ มีเครื่องยนต์ มีตึกสูงระฟ้า มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต พ่อกับแม่ไม่เคยเล่าให้ฟังด้วยซ้ำว่าทำไมจุดจบของพวกเราถึงเป็นแบบนี้
ทำไมพวกเราชาวบลูอายส์ทุกคนต้องอพยพมาอยู่กลางป่า
แล้วลัทธิอื่นๆ หายไปอยู่ไหนหมด...
แอ๊ดดด...
เสียงเหมือนประตูจากห้องไหนสักห้องบนชั้นสองเปิดออก ฉันเงยหน้าขึ้นมองหาและพบว่าเป็นประตูของห้องนอนห้องหนึ่ง ฉันเดินไปตามแสงไฟที่สาดออกมาจากห้องนั้น ก่อนจะพบว่าภายในห้องว่างเปล่า ฉันเดินผ่านเตียงนอนขนาดใหญ่ตรงไปที่หน้าต่างเพื่อปิดมัน เหตุเพราะลมที่พัดมาจากข้างนอกนั้นหนาวเกินไป
ครืดๆ~
ฉันกำลังจะปิดม่านแต่สายตาดันไปเห็นอะไรบางอย่างข้างนอก เพราะจากหน้าต่างตรงนี้จะมองเห็นพื้นที่บริเวณหน้าบ้านได้ ภาพที่ฉันคือเจ้าไคออสกำลังก้มลงเขี่ยอะไรสักอย่างบนพื้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันสนใจหรอก...ที่ฉันเอะใจก็คือมีมนุษย์คนหนึ่งกำลังเดินผ่านรั้วบ้านเข้ามา เขาตรงมาที่ไคออสก่อนจะลูบตัวมันราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงของตนก็ไม่ปาน
หืม...ตายล่ะ นี่อย่าบอกนะว่าฉันโดนล่อให้มาติดกับอีกแล้วเนี่ย...
ไคออส...เป็นสัตว์เลี้ยงของอีตาพ่อค้าขายเครื่องประดับ!!!
หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ เริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการคิดหาแผนการอะไรมาใช้เต็มทน และจังหวะนั้นเองที่หมอนั่นกำลังจะดึงฮู้ดออกแล้วเงยหน้าขึ้นมองตรงหน้าต่างที่ฉันยืนอยู่
วาบ!
ฉันรีบเบี่ยงตัวออกมาให้พ้นสายตาเขาอย่างรวดเร็ว
อา...ฉันต้องทำอะไรสักอย่างสินะ...
ฉันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะค่อยๆ แอบมองออกไปนอกหน้าต่างอีกที หากทว่าอีตาพ่อค้าหายตัวไปจากตรงนั้นเรียบร้อยแล้ว...ฉันอาจจะพอเดาได้ว่าบางทีเขาคงวิ่งไปที่อื่น แต่เพราะไคออสยังอยู่ที่เดิม ทำให้ฉันเดาได้ทันทีว่าตอนนี้เขาอยู่ไปไหน
แท่ด...แท่ด...แกรก!!!
เสียงเหมือนคนเหยียบเศษไม้จากด้านล่างทำให้ฉันรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเข้ามาในบ้านแล้ว หมอนั่นคงจะรู้แล้วว่าฉันต้องหายตัวเข้ามาซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้ อา...ฉันเริ่มจนหนทาง พยายามนึกหาแผนเอาตัวรอดก่อนที่เขาจะเดินขึ้นมาบนนี้และจับตัวฉันส่งให้พวกโปลิเชียน
ให้ตายเถอะ
"ไปแอบอยู่ในนี้ ห้ามส่งเสียงดังเด็ดขาดนะ"
ฉันบอกพิกซี่ขณะจับมันเข้าไปในตู้เสื้อผ้าตรงมุมห้อง รีบเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาเหมือนตอนแรก ค่อยๆ สอดสายตาหาของมาใช้ป้องกันตัว ก่อนจะพบกับโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่และมีกระดาษภาพวาดและหนังสือมากมาย ตอนนั้นเองที่ฉันได้ยินความเคลื่อนไหวจากบันได คาดว่าหมอนั่นกำลังเดินขึ้นบันไดมาบนนี้แน่แล้ว
ตึก...ตึก...ตึก...
แอ๊ดดด...
ประตูห้องนอนที่ฉันซ่อนตัวอยู่เปิดออกเมื่อถูกลมจากนอกหน้าต่างพัดเข้ามา
"เอ๋..."
เสียงทุ้มพึมพำจากด้านนอก ฉันค่อยๆ เขยิบไปแอบอยู่ข้างประตู เสียงฝีเท้าของชายผู้นั้นย่างก้าวเข้ามาอย่างเบาๆ
ตึกกก~
ตอนนั้นเองที่ฉันแทบสะดุ้งเพราะพิกซี่เพิ่งทำเสียงดังจากในตู้เสื้อผ้าเมื่อครู่นี้
"อา..."
แต่ดูเหมือนเขาคิดว่าฉันแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้า เพราะทันทีที่เขาวิ่งเข้ามาในห้อง เขาก็ไม่ทันสังเกตว่าฉันยืนแอบอยู่ ตอนนั้นเองที่ฉันมีความคิดบ้าๆ เข้ามาในหัว รีบยกโคมไฟนั้นขึ้นมาก่อนจะเขวี้ยงมันจากด้านหลังของเขา
แกร๊ง!!!
ปัก!
"อั๊ก!!!"
นั่นคือเสียงร้องลั่นที่หลุดออกจากปากเขาด้วยความตกใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที โชคดีที่หน้าเขาล้มคว่ำลงไปบนเตียงพอดี ฉันถือโคมไฟในมือนิ่งอ้าปากค้างเมื่อพบว่าหมอนั่นสลบไปแล้วเรียบร้อย!
[Elius]
ภาพตรงหน้าตอนนี้ทำเอาผมรู้สึกเซ็งสุดขีด
"ยังไม่หนีไปอีกเหรอ"
นัยน์ตาสีเนวี่บลูคู่นั้นกำลังมองมาที่ผมจากปลายเตียง เธอนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้ แสดงสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัว นกเค้าแมวสัตว์เลี้ยงคู่ใจของเธอเกาะอยู่ที่โต๊ะไม้ข้างหัวเตียง
"ฉันไม่เลวถึงขั้นนั้นหรอก"
"เธอทำแผลได้ห่วยมากรู้ตัวรึเปล่า"
"ถึงทำแผลห่วยก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นคนห่วยหรอกนะ เพราะคนห่วยคือคนที่หนี แต่ฉันไม่"
เธอต่อปากต่อคำกับผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับยัยหัวขโมยสาวผู้เลื่องชื่อแบบจริงจัง แบบทำอะไรไม่ได้ด้วยต่างหาก แหงล่ะ ระหว่างที่ผมโดนยัยนี่ตีหัวและสลบล้มลงไปก่อนหน้านี้ เธอก็ใช้เศษผ้ามัดร่างของผมเอาไว้กับหัวเตียง (เอาแรงมาจากไหนกันนะ -_-) ท่าทางของผมตอนนี้จึงดูตลกไม่น้อย ถ้าแก้ผ้าด้วยล่ะก็ใช่เลย
"เธอไม่กลัวโดนจับเหรอ"
"ไม่ล่ะ"
"ทำไม"
"ให้พวกเขาจับฉันให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน"
ผมคลี่ยิ้มบางๆ รู้สึกเจ็บแสบที่รอยแผลเล็กน้อย แต่ยัยนี่ก็เก่งพอที่จะรื้อบ้านของด็อกเตอร์แล้วหากล่องปฐมพยาบาลจนเจอล่ะนะ ถึงแม้ว่ายัยนี่จะอยู่ในป่ามานานแต่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวแฮะ
"พวกเขาอาจจะกำลังมาที่นี่"
"มาสิ"
"เธอนี่ช่างปากเก่ง"
"นายก็ช่างเป็นแค่เด็กไร้เดียงสา"
"เธอดูโตกว่าฉันตรงไหนเหรอ"
"มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น"
แต่ถึงแม้ว่าท่าทางของคนตรงหน้าตอนนี้จะดูเก่งกาจ วางมาด วางท่าเหมือนกับไม่กลัวอะไรเลยสักนิด แต่ดูดวงตาคู่นั้นสิ สายตาล่อกแล่กของเธอทำให้ผมรู้ในทันทีว่าภายนอกที่เธอแสดงออกมามันไม่ตรงกับอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ข้างในเลยสักนิด ดูก็รู้ว่าในหัวเธอมีอะไรให้คิดวิ่งวนอยู่เต็มไปหมด เหอๆ
"เลิกทำเป็นเก่งแล้วปล่อยฉันไปเถอะ"
"ฉันดูโง่ในสายตานายขนาดนั้นเลยเหรอ"
"เปล่าหรอก ฉันแค่สังเกตเห็นว่าเธอดูไม่เป็นตัวเอง"
พรึบ!
"ฉันดูไม่เป็นตัวเองตรงไหนยะ"
ยัยนั่นลุกขึ้นยืนก่อนจะใช้มือสองข้างค้ำที่ปลายเตียง ใบหน้าของเธอที่ต้องกับแสงไฟจากโคมทำเอาผมเผลอใจกระตุก ใบหน้าได้รูปนั่นช่างดูสวยงาม เธอชื่ออะไรนะ...
"แคลตา..."
"อะไร"
"นั่นชื่อเธอใช่มั้ย"
"นายไม่จำเป็นต้องรู้"
"ฉันชื่อเอลิอัส"
"แล้วนั่นก็เป็นเรื่องที่ฉันไม่จำเป็นต้องรู้เหมือนกัน"
เธอเบ้ปากก่อนจะยกมือออกจากเตียง เดินกอดอกวนมาทางข้างเตียงขณะที่สายตายังคงไม่ละไปไหน
"จำเป็นสิ เธอขโมยของของฉันมาตั้งสองชิ้นนะ"
"ฉันคืนสร้อยนั่นให้นายก็ได้"
แคลตาว่าพลางปลดกระดุมเสื้อฮู้ดของผู้ชายที่เธอสวมใส่อยู่ออกเล็กน้อย ผมมองไปที่อก...อา ไม่ใช่! ที่สร้อยซึ่งแขวนอยู่บนคอเส้นนั้น เธอทำท่าจะกระชากมันออก...
"ไม่ต้องหรอก!"
"..."
"เธอเก็บเอาไว้เถอะ"
มือนั้นเป็นอันต้องชะงักเมื่อเจอผมขัดเอาไว้
"นายกำลังแสดงท่าทีรังเกียจฉัน"
"เปล่าสักหน่อย"
"เสียมารยาทมาก ฉันเป็นผู้หญิงนะ"
...สวยด้วย
"ฉันเป็นคนทำสร้อยเส้นนั้นเองกับมือ"
พอได้ยินแบบนั้น แคลตาก็ก้มลงมองสร้อยในมืออย่างพินิจ รอยคิ้วที่ย่นเข้าหากันทำให้ผมเดาได้ว่าเธอไม่เชื่อ
"นายเนี่ยนะ...?"
"ใช่"
"นายรู้จักสัญลักษณ์นี้มาจากไหน"
ช่างเป็นคำถามที่ดีในเวลานี้จริงๆ ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบ
"แก้มัดฉันแล้วเรามานั่งคุยกันดีๆ ดีกว่า"
"ไม่"
"ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลก"
"ไม่เห็นตลกเลย"
"ตลก"
"ไม่ตลก"
ผมตัดบทด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่ ละสายตาจากเธอกลับมาตั้งตรงเหมือนเดิม บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความสงัด เราอยู่ในห้องนอนของเจ้าของบ้านหลังนี้เลยนะเนี่ย เอาจริงๆ จะว่าไปการมาอยู่บนเตียงของ 'คนตาย' นี่มัน...
"นั่นเธอจะไปไหน"
ผมถามแคลตาขณะที่เห็นว่าเธอเดินไปคว้าสัมภาระที่พื้นและยกแขนขึ้นให้เจ้านกเค้าแมวของเธอบินมาเกาะ
"กลับบ้าน" เธอตอบ
"บ้านไหน"
"ในป่าไง"
บอกตามตรงว่าผมให้คนอื่นมาเจอผมในสภาพนี้ไม่ได้ ถูกยัยหัวโมยขี้เมาตีหัวแล้วโดนจับมัดไว้กับหัวเตียงในบ้านร้าง ผมรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วพวกโปลิเชียนก็ต้องมาที่นี่ เนื่องจากพวกเขาต้องตามกลิ่นม้าของผมมา ดังนั้นผมต้องทำให้เธอปล่อยผมไปจากสภาพนี้ก่อน แบบนี้มันตลก มันน่าอาย
"แคลตา"
ผมเรียกชื่อเธออีกครั้งตอนที่เธอทำท่าจะหันหลังให้แล้วเดินจากไป
"ที่นี่ก็เคยเป็นบ้านของเธอไม่ใช่เหรอ"
กึก...
เธอชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามา
"ที่นี่ไม่ใช่บ้านฉันสักหน่อย"
"ฉันไม่ได้หมายถึงบ้านหลังนี้ ฉันหมายถึงเมลเวย์"
"หืม?"
"เมลเวย์ก็เคยเป็นบ้านของเธอไม่ใช่เหรอ"
แคลตานิ่วหน้าลงเล็กน้อยพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างตอนได้ยินประโยคนั้นจากปากผม เสียงนกเค้าแมวร้องขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างบอกกับเจ้าของ อย่าบอกนะว่ายัยนี่ฟังภาษานกเค้าแมวออก ถ้าอย่างนั้นล่ะก็...
แท่ด...แท่ด...
เดาว่าเจ้านกนั่นคงเพิ่งยื่นขอเสนออะไรบางอย่างให้ แคลตาถึงได้กลับหลังหันแล้วเดินเข้ามายืนข้างเตียงผมก่อนจะยื่นหน้าลงมาหาในระยะประชิด
"ที่นี่ไม่ใช่บ้านฉันอีกต่อไปแล้ว"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ผมได้แต่หลบตา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตาคู่นั้นในระยะใกล้ขนาดนั้นเลยสักนิดเดียว
"ช่วยล้วงมือเข้ามาในกางเกงฉันหน่อย"
"หืม? O_o"
"ฉันหมายถึงกระเป๋ากางเกง"
อา...จู่ๆ ผมก็มีแผนการบางอย่างแฮะ แผนการที่ว่านี้มีเป้าหมายคือให้เธอปล่อยผม ในตอนนี้ผมไม่เอาเรื่องเธอก็ได้ ขอแค่เธออย่าจากผมไปด้วยการทิ้งให้ผมอยู่ในสภาพตลกๆ นี้เป็นพอ -.,-
"ทำไมฉันต้องทำ"
"เถอะน่า ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้"
"นายนี่แปลก"
"แปลกยังไง"
"นายเพิ่งแจ้งความจับฉันในฐานะขโมย แล้วตอนนี้นายก็จะให้ของกับขโมยเนี่ยนะ..."
"เธอไม่รู้จักข้อแลกเปลี่ยนเหรอ"
"ข้อแลกเปลี่ยน?"
"อืม"
"นายต้องการอะไรจากฉัน"
"ล้วงกระเป๋ากางเกงฉันก่อนสิ"
"ไม่"
"ได้โปรดเถอะนะ..."
"ถ้านายคิดจะเล่นอะไรพิเรนทร์ล่ะก็...ฉันเอานายตายแน่!"
"ฉันจะทำอะไรเธอได้อย่างนั้นเหรอ เธอจับฉันแขวนอยู่บนหม้อไฟนะ เธอจะฆ่าจะแกงอะไรฉันยังไงก็ได้ ฉันไม่ใช่เหรอที่เป็นคนอยู่ในความเสี่ยงนั้น ไม่ใช่เธอสักหน่อย"
"นายคิดจะทำอะไร"
"ฉันอยากให้เธอเอาของในกระเป๋าฉันไป"
"ของ?"
"นี่คือสิ่งที่ตัวประกันเขาทำกัน...ไม่ใช่เหรอ"
"นายใช้ของมาแลก เพราะต้องการให้ฉันปล่อยตัวนายสินะ..."
"ฉันรู้ ฉันรู้...ฉันรู้ว่าเธอไม่ทำหรอก"
"อ้าว อะไรของนาย"
"ฉันจะเอาของนี้แลกกับอย่างอื่นต่างหาก"
"ก็บอกมาสักทีสิว่านายต้องการอะไร"
"หยิบมันไปก่อน ฉันจะลองตัดสินใจจากดวงตาเธอดูว่ามันเหมาะสมที่จะเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้มั้ย"
"ในไหนนะ..."
"ในกระเป๋ากางเกงฉัน"
"ข้างไหน"
"ขวา"
"เอ่อ..."
"เธอจะกลัวอะไร"
"งั้นฉันล้วงละนะ"
"เร็วสิ"
แคลตาค่อยๆ ยื่นมือเข้ามากระเป๋ากางเกงด้านขวาของผมอย่างช้าๆ ผมแกล้งทำเป็นเสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธ อีกทั้งถ้ามองการกระทำของเธอก็จะเป็นการกดดันเปล่าๆ และทันทีที่มือเรียวนั่นล้วงเข้ามา ขนแขนผมก็ลุกซู่ขึ้นมาเสียดื้อๆ เนื้อตัวและใบหน้าเหมือนจับไข้ยังไงยังงั้น มันกำลังร้อนผ่าวเป็นฟืนเป็นไฟ ผมอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้าเธอ แคลตาสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่เราเผลอสบตากัน
นี่มันใกล้เกินไป...ใกล้เกินไปแล้ว...
"นายหน้าแดงนะ"
เธอบอก ผมพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ตอบไปว่า
"เธอก็ด้วย"
น่าขำดีชะมัด แต่เอาเถอะ ก่อนที่หัวใจผมจะเต้นแรงไปมากกว่านี้ ก่อนที่ตัวผมจะลุกเป็นไฟ ตอนนี้แคลตาค่อยๆ ควานมือไปทั่วกางเกงของผม อา...ไอ้ของที่ว่านี่มันหายากขนาดนั้นเลยเหรอ ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบ จนในที่สุด...
"อ๊ะ เจอแล้ว"
แคลตาพูดขึ้นพลางหยิบของสิ่งนั้นออกมา ผมรู้สึกโล่งใจเมื่อพบว่าขาอ่อนตัวเองไม่ต้องถูกลวนลามอีกต่อไปแล้ว แต่ทำไงได้ล่ะ ยัยนี่มัดมือผมเองทำไม
"เป็นไง ชอบมั้ย"
ผมมองสายตาของแคลตาที่กำลังมองเจ้าสิ่งของในมือด้วยแววตาที่ผมคาดคิดว่ามันควรจะเป็นเด๊ะ...
"ชอบจัง..."
"หมายถึงแหวนหรือขาอ่อนฉัน"
"ขาอ่อนนาย...เอ๊ย! ไม่ใช่ แหวนนี่ต่างหาก"
ผมเผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ โชคดีที่เธอไม่เห็นเพราะมัวแต่สนใจแหวนลายเกล็ดหิมะที่ผมตั้งใจจะเก็บเอาไว้ให้แม่ ใช่ มันสวยมาก เกล็ดหิมะนั่นดูแวววาวด้วยสีเนวี่บลู สวยงามดุจดั่งดวงตาของเธอยามต้องกับแสงจากเปลวเทียน ไม่สิ...ในที่นี้คือโคมไฟต่างหาก
"มันก็สวยดีอยู่หรอกนะ แต่ถ้าแลกกับการต้องปล่อยตัวนายล่ะก็..."
"ฉันไม่ได้บอกว่าข้อแลกเปลี่ยนของฉันคือให้เธอปล่อยตัวฉันสักหน่อยนี่"
"อ้าว"
"ข้อแลกเปลี่ยนของฉันก็คือ..."
ความคิดเห็น