คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : พิภพราชันย์ออนไลน์ :: ถูกจับขายเป็นทาส (1)
พิ ภ พ ร า ชั น ย์ • อ อ น ไ ล น์
ตอนที่ 2 ถูกจับขายเป็นทาส (1)
เมื่อเราทั้งคู่เดินทางมาถึงชายป่าก็เริ่มลงมือเก็บสมุนไพร เซมีนช่วยสอนให้เธอเรียนรู้และแยกแยะประเภทของสมุนไพรแต่ละชนิดว่าแตกต่างกันอย่างไร ด้วยความหัวไวเธอจึงเรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว และได้ทราบว่าดอกไม้ที่หายากบางอย่างก็ล้วนมีประโยชน์ชนิดที่คาดไม่ถึง อย่างเช่น ดอกไม้สีฟ้าที่เจอก่อนหน้าเมื่อครู่นี้มันสามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บหนักๆ เมื่อถูกทำร้ายทางเวทมนตร์
เซมีนยังอธิบายให้ฟังอีกด้วยว่าดอกไม้ชนิดนี้พบเห็นได้ยากมากจนแทบจะเกิดการต่อสู้แย่งชิงกันหากมีคนรู้ จึงไม่ควรนำออกไปขายและควรเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็นมากกว่า
ขณะที่เธอกับเซมีนกำลังขะมักเขม้นเก็บสมุนไพรด้วยความตั้งใจอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงเพลงท่วงทำนองอันไพเราะอ่อนหวานล่องลอยผ่านมากับสายลมราวกับจะขับกล่อมให้จิตใจผู้ฟังได้เบิกบาน และมันช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน เมื่อพบว่าเสียงนั้นถูกพัดพาให้ล่องลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเธอ
“เซมีนได้ยินหรือเปล่า”
“ได้ยินอะไรเหรอคะพี่สาว เซมีนไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
“ก็เสียงเพลงนั่นไง ฟังดีๆ สิ”
“ไม่นี่คะ” เซมีนส่ายหน้าเบาๆ
‘เจ้าได้ยินเสียงข้าอย่างนั้นหรือเด็กน้อย โอ้... เจ้าช่างเป็นเด็กสาวผู้มีใบหน้างดงามสมควรแก่การชื่นชมยิ่งนัก’
“ใครน่ะ!? นั่นใคร!!” เธอร้องดังขึ้นด้วยความตกใจ
‘ข้านั้นหรือคือจิตวิญญาณของภูติแห่งดอกไม้’
“จิตวิญญาณของภูติ! หมาความว่ายังไงกัน?”
‘พวกเราคือพลังดวงจิตอันน้อยนิดที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติก่อนที่จะก่อกำเนิดเป็นภูติอย่างไรเล่า”
เซมีนมองเธอด้วยใบหน้าตกใจ ก่อนจะหันมองรอบๆ และขยับตัวเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง มือน้อยๆ ค่อยๆ สะกิดที่แขนเธอเบาๆ แล้วแอบกระซิบบอก
“ถ้าเป็นจิตวิญญาณของภูติ เซมีนเคยได้ยินพวกผู้เฒ่าเล่าว่าก่อนที่ภูติจะเกิดมาพวกเขาไม่ได้มีรูปกายสัมผัสได้ดังเช่นเผ่าพันธุ์อื่น แต่ต้องอาศัยการหลอมรวมกับธรรมชาติอยู่นานนับปี น้อยคนมากที่จะได้ยินเสียงของพวกเขา เซมีนเดาว่าบางทีพี่สาวอาจจะได้ยินเสียงนั้นก็ได้ค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
เซมีนพยักหน้าเบาๆ ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ท่าทางและรอยยิ้มของเซมีนนั้นบ่งบอกถึงความรักและเทิดทูนว่าเธอนั้นชอบพวกภูติมากแค่ไหน
‘นานเท่าไหร่แล้วที่มิใครเคยได้ยินเสียงของข้า เด็กน้อยเอ๋ย ข้าขอเตือนเจ้า แม้เจ้าจะงดงามสักเพียงไรแต่เจ้าก็น่าอันตรายยิ่งนัก’ น้ำเสียงอ่อนโยนดุจนางฟ้าเอ่ยขึ้นราวกับท่วงทำนองเพลง
ฉันอันตรายตรงไหน ขนาดเวทมนตร์ฉันยังใช้ไม่เป็นด้วยซ้ำ เธอส่งเสียงค้านในใจ
‘กลิ่นอายความตายติดตัวเจ้าคละคลุ้งไปหมด เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่ามันจะนำพาแต่ความโชคร้ายมาให้’
หลังจากสัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดวนรอบตัวแรงขึ้น เซมีนเองก็คงรู้สึกได้เช่นเดียวกันเธอจึงล่าถอยห่างออกไปหลายก้าวด้วยความยำเกรง
‘ในเมื่อเรามีวาสนาได้พานพบ อย่างนั้นมาเถอะ... ข้าจะช่วยเจ้าเอง ยื่นมือของเจ้ามาสัมผัสข้าสิ ข้าจะช่วยลบกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนพวกนั้นไปเสียให้สิ้น’ น้ำเสียงนุ่มอ่อนโยนราวกับระฆังใสกังวานร้องเพลงขับร้องกล่อมให้เธอทำตามโดยง่าย
ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ ครู่หนึ่งคล้ายกับต้องมนต์เธอก็สะดุดตากับดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งที่เบ่งบานด้วยรัศมีทอประกาย โดยไม่คาดคิดจึงยื่นมือออกไปแตะต้องมันดั่งต้องมนต์สะกด
ทันทีที่ปลายนิ้วเรียวสัมผัสกับดอกไม้ดอกนั้นเพียงน้อยนิด...
ทันใดนั้น สายลมก็พัดพากรรโชกแรงราวกับจะก่อเกิดพายุเสียให้ได้ คลื่นพลังอุ่นร้อนบางอย่างหมุนวนรอบๆ ตัวเธอรุนแรงโดยไม่มีท่าทีจะหยุด หลังจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมานของใครบางคน
กรี๊ดดด!!
นานกว่าสายลมและเสียงกรีดร้องจะสิ้นสุดลง ดอกไม้ดอกนั้นแห้งเหี่ยวโรยราลงในพริบตา ก่อนจะค่อยๆ สูญสลายกลายเป็นฝุ่นผงสีทองลอยฟุ้งกระจัดกระจายตกสู่พื้นดินและปลิวหายไปท่ามกลางความงุนงง
“พะ... พี่สาว เกิดอะไรขึ้นกับท่าน... ทำไมถึง...”
เซมีนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักพูดอ้ำอึ้งขณะมองเธอด้วยประกายหวาดหวั่น
“มีอะไรอย่างนั้นเหรอ?” เธอเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
เอ๊ะ! ทำไมเสียงของเธอมันถึงได้เล็กแหลมเหมือนเด็กเลยล่ะ เพียงฝ่ามือขาวของตัวเองยกขึ้นสัมผัสลำคอเบาๆ เธอก็ตกตะลึงจนแทบสิ้นสติ ฝ่ามือเรียวสวยก่อนหน้า... บัดนี้ได้กลายเป็นฝ่ามือป้อมๆ อันอ่อนนุ่มของเด็กวัยสิบขวบไปเสียแล้ว
ทำไมเธอถึงกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้ไปได้!
เกิดอะไรขึ้น!?
‘น่ากลัว! น่ากลัว! น่ากลัวเหลือเกิน!’
ขณะที่ตกตะลึงอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงกระซิบเล็กๆ อันแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังแว่วล่องลอยกระทบสายลมด้วยความหวาดหวั่น
เธอเดาว่านั่นคงเป็นเสียงจิตวิญญาณของภูติดอกไม้ตนอื่นที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
‘นางตายแล้ว’
‘ฝีมือเด็กนั่น!’
‘เด็กนั่นเป็นคนทำ!’
แม้จะไม่เห็นว่าใครเป็นคนพูด แต่เสียงสะท้อนหลายเสียงก็เริ่มส่งเสียงกรีดร้องระงมดังขึ้นไม่หยุดราวกับกำลังสาปแช่งเธอเต็มกำลัง
‘ดูสิ เด็กนั่นฆ่านางล่ะ’
‘ใช่! ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ’
เพียงไม่นานเสียงกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ก็ส่งผ่านต่อกันเป็นระลอกคลื่นกับสายลมดังระงม
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!”
เธอเอ่ยอย่างอดกลั้นความเจ็บปวดไม่ไหว บัดนี้ริมฝีปากเล็กๆ อวบอิ่มของเด็กตัวเล็กๆ วัยสิบขวบสั่นระริกและขบเม้มแน่น ทุกเสียงกระซิบต่างสะท้อนออกมาด้วยความคับแค้นใจและคล้ายกับเป็นการกล่าวโทษ จนคนฟังไม่สามารถกลั้นน้ำตาต่อความรู้สึกผิดไว้ได้
“อย่าร้องไห้เลยนะคะพี่สาว โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะคะ” เซมีนทรุดลงนั่งข้างๆ และเช็ดน้ำตาให้ฉันด้วยความตกใจ
เซมีนที่มีอายุเพียงแค่สิบสอง แต่กลับมีสติยิ่งกว่าเธอที่อยู่ในร่างเด็กสิบขวบเสียด้วยซ้ำ มือเล็กๆ ของอีกฝ่ายช่วยลูบหัวปลอบโยนเบาๆ ทำให้น้ำตาของเธอหยุดลงได้
“ฉันทำให้ดวงจิตของภูติตนนั้นสูญสลายไป ฉันทำให้มันตาย เธอคิดเช่นนั้นเหมือนกันใช่ไหมเซมีน พวกภูติก็ว่ากันแบบนั้น” เธอเอ่ยด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและคับแค้นอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
“แต่เซมีนไม่เห็นว่าพี่สาวจะทำอย่างนั้นเลยนี่คะ ในเมื่อพี่สาวไม่ได้ตั้งใจมันก็ไม่ผิดหรอก เซมีนไม่รู้ว่าพี่สาวกลายเป็นเด็กแบบนี้ไปได้ยังไง แต่เซมีนเคยได้ยินเรื่องที่พวกภูติชอบให้พร แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภูติจะสามารถสาปแช่งใครได้ อย่างไรเสียพวกเรากลับบ้านกันก่อนแล้วค่อยขบคิดกันดีกว่านะคะ” เซมีนฉุดตัวเธอให้ลุกขึ้น แล้วจูงมือเล็กป้อมออกเดินไปพร้อมกัน
ระหว่างทางพวกเราพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมากมาย และพอจะเดาได้ลางๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันอาจเป็นผลข้างเคียงของการสูญเสียจิตวิญญาณของภูติที่แก่กล้าตนหนึ่ง พลังที่ตกค้างเหล่านั้นจึงได้กลายเป็นคำสาปแช่ง
“เซมีนคิดว่าต้องใช่ผลข้างเคียงของคำสาปแน่ๆ เลย เพราะเคยได้ยินผู้เฒ่าเล่ากันเมื่อนานมาแล้วว่าคำสาปพวกนี้มันจะอยู่ได้ไม่นานและไม่มีผลกระทบอย่างอื่น เพราะอย่างนั้นพี่สาวอย่าได้กังวลไปเลยค่ะ สักพักก็คงกลับคืนร่างเดิมได้เอง แต่พี่สาวกลายเป็นเด็กแบบนี้แล้วก็ดีเหมือนกันนะคะ เซมีนว่าน่ารักน่ากอดเป็นที่สุด”
เธอตีหน้ายุ่งเมื่อถูกคว้าตัวไปกอดแน่นอย่างหมั่นเขี้ยว เซมีนส่งเสียงหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ทำต่างกับเธอที่เริ่มรำคาญตัวเอง
“เซมีนฉันไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ใครตายใช่ไหม” เธอเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่หรอกค่ะ ในโลกนี้มักเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เราคาดไม่ถึงมากมาย แม้แต่การต่อสู้กันจนมีใครตายต่อหน้า เซมีนเองก็เคยเห็นมากับตาจนชินชาเสียแล้วเวลาที่พวกมนุษย์สู้กัน แต่พี่สาวนี่ใจดีจังเลยนะคะ คิดถึงจิตใจคนอื่นแถมยังใจดีกับเซมีนอยู่เสมอ”
“ไม่เลยเซมีน ฉันไม่ได้ใจดีอย่างที่เธอคิดหรอก” ที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตหลอกลวงคนอื่นด้วยเล่ห์กลมามากมาย
ผิดแล้ว ความใจดีมันไม่มีอยู่ในตัวของเธอสักนิดเดียว
เท้าที่กำลังจะก้าวต่อชะงักลงเมื่อเบื้องหน้าปรากฏชายร่างสูงใหญ่จำนวนสามคนยืนขวางอยู่
“พะ... พวกพี่ชายต้องการอะไรคะ” สีหน้าของเซมีนดูย่ำแย่มาก ก่อนจะหันมากระซิบกับเธอเบาๆ ว่า “พวกเขาเป็นนักล่าภูติค่ะพี่สาว”
ว่าไงนะ!
ซีแนลจ้องมองพวกนั้นตาโต เพราะนักล่าที่เซมีนเคยเอ่ยถึงล้วนเป็นผู้ที่สามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้อย่างคล่องแคล่วพอตัว แม้ท่าทางพวกนั้นดูเหมือนอยู่ชั้นปลายแถวอยู่บ้าง แต่อย่างไรสายตาของคนพวกนั้นก็ยังส่อแววอันตรายไม่น่าไว้ใจอยู่ดี
แล้วทีนี้พวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ? เธอส่งสายตาร้องถามเซมีน
“มนุษย์น้อยเธอไม่เกี่ยว รีบหลบไปซะ แล้วส่งภูติเด็กคนนั้นมาซะดีๆ อย่าให้ฉันต้องลงมือเล่นงานเธอด้วยอีกคน” ชายคนหนึ่งประกาศข่มขู่เซมีนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเมื่อเห็นว่าเซมีนเป็นเพียงเด็กมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร สิ่งที่พวกมันสนใจก็คือภูติที่ขายได้ราคาดี เท่านั้น ในสายตาพวกมันเซมีนจึงเป็นเพียงเด็กเผ่ามนุษย์ที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เจ้าบ้าพวกนั้นเข้าใจว่าเธอเป็นภูติอย่างนั้นเหรอ?
หัวใจของเธอเต้นระทึกด้วยความตื่นกลัวขึ้นมาทันที
“มากับพวกเราดีๆ เถอะภูติน้อย” นักเวทหนึ่งในนั้นส่งยิ้มเหี้ยมมาทางเธอ
เอายังไงดีล่ะ ดูเหมือนว่าต่อให้อธิบายยังไงฝ่ายนั้นก็คงไม่ได้ฟังอะไรทั้งนั้น ในแววตาของพวกมันมีแต่ความโลภที่เธอเคยเห็นจนชินชา มันคงไม่คิดปล่อยตัวเธอไปง่ายๆ ดีไม่ดีคนที่จะโดนลูกหลงไปด้วยคือเซมีนไม่ผิดแน่
“เซมีนนับหนึ่งถึงสามวิ่งแยกกันไปคนละทางเลยนะ” เธอกระซิบเบาๆ โดยไม่เสียเวลาขบคิด
“แต่ว่า...” เซมีนทำท่าอึกอัก
“วิ่ง!!” แต่เมื่อเธอให้สัญญาณมือ พวกเราทั้งคู่ก็วิ่งก้าวขาออกไปทันที
“เฮ้ย หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
นักล่าคนหนึ่งร้องเอะอะ แต่ยังไม่ทันที่เธอกับเซมีนได้ก้าวเท้าหนีได้ไกล คอเสื้อของพวกเราทั้งสองก็ถูกกระชากจากด้านหลังจนตัวลอยสูงและถูกหิ้วแกว่งไกวอยู่กลางอากาศ
“คิดว่าจะหนีพ้นหรือไง ต่อให้ดิ้นรนหนีอย่างไรเสียก็ไม่พ้นมือพวกเราไปได้หรอกภูติน้อย อย่าได้แม้แต่คิดให้เสียเวลา”
เธอจ้องมองคนพูดครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจขบคิดหาวิธีอื่น
คิดสิๆ ว่าเวลานี้ควรทำยังไง
บ้าชะมัด!
มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาตัวรอดจากคนชั่วพวกนี้ สุดท้ายแล้วเมื่อทำอะไรไม่ได้ เธอจึงส่งเสียงท้าทายออกไปอย่างถือดี
“นี่พวกนาย! อยากได้ตัวฉันมากเลยใช่มั้ย”
“รู้อยู่แล้วยังจะถามอะไรอีกล่ะภูติน้อย” หนึ่งในนั้นแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจออกมา
“ฉันรู้นะ นายจะเอาฉันไปขายเป็นทาสใช่มั้ยล่ะ ถ้าอยากได้ตัวฉันนักก็จ่ายเงินมาสิ” ริมฝีปากของเธอขยับยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางประสานสายตาอย่างท้าทาย
เจ้าพวกนั้นทั้งสามคนชะงักด้วยความประหลาดใจ คิดว่าคงไม่เคยมีภูติตนไหนเอ่ยปากขายตัวเองมาก่อน
หึๆ รู้จักเธอน้อยไปเสียแล้ว นี่ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความเจ้าเล่ห์ที่มีหรอกนะ
“ทำไมพวกเราต้องจ่ายเงินให้เสียเวลาด้วย”
หนึ่งในนั้นเอ่ยออกมาด้วยแววตาข่มขู่ซึ่งใช้กับเธอไม่ได้ ซีแนลยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบไร้ความหวาดกลัว
“หรือว่านายอยากได้ของที่มีตำหนิล่ะ ถ้าไม่ฟังที่พูดกันดีๆ ฉันจะดิ้นรนทำร้ายทรมานตัวเองกัดลิ้นจนเป็นใบ้พูดไม่ได้เลยเอาสิ คราวนี้พวกนายยังขายฉันได้ราคาดีอยู่อีกไหม”
นักเวททั้งสามแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาทันที พวกมันหรี่ตามองเธอด้วยความลังเลเล็กน้อยจนเธอขยับรอยยิ้มออกมาโดยไม่ให้พวกมันสังเกตเห็น
ไม่เสียแรงที่แผนนี้ได้ผล! เชอะ คนอย่างเธอมีหรือจะยอมเสียเปรียบใครง่ายๆ
หนึ่งในนั้นนั่งย่อตัวลงจ้องสบตากับเธอ “น่าแปลกนักทั้งที่เป็นภูติอายุน้อยอยู่แท้ๆ แต่ข้ากลับไม่เห็นความหวาดกลัวในแววตาของเจ้าเลย หรือว่าเจ้าไม่กลัวตาย”
นี่มันใช่เวลากลัวที่ไหนกันเล่า! คนที่เคยตายมาแล้วอย่างเธอยังต้องกลัวอะไรอีก เวลานี้ต้องหาทางเอาชีวิตรอดต่างหาก
เธอไม่ได้พูดตอบโต้อีกฝ่ายแต่จ้องสบตากลับไป
“เยี่ยม! สายตาแบบนี้นี่แหละที่เรียกว่าภูติชั้นดี” มันเอ่ยด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ
“อยากได้ตัวฉันก็ซื้อฉันจากเด็กมนุษย์คนนั้นสิ เพราะเธอเป็นเจ้าของฉัน แต่ถ้าพวกนายตุกติกละก็คงเข้าใจนะว่าจะเกิดอะไร บางทีฉันอาจจะไม่หยุดอยู่แค่ทำร้ายตัวเองแต่อาจคิดฆ่าตัวตายไปเลย อยากได้วิธีไหนก็ลองนึกเอาสิ เพราะฉันพูดจริงทำจริง” เธอใช้แววตาจับจ้องพวกมันอย่างจริงจังแม้แต่ความลังเลก็ไม่มีให้เห็นแม้แต่นิดเดียว เธอแกล้งตบตาพวกมันทั้งที่ในใจลึกๆ รู้สึกหวาดหวั่น
อย่างน้อยวิธีดีๆ ที่เธอถนัดที่สุดก็คือการปั้นหน้าหลอกลวงผู้อื่นนี่แหละ ก็เคยใช้มาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วนี่และมันก็ได้ผลทุกที
“พี่สาวพูดอะไรอย่างนั้นคะ!!” เซมีนร้องออกมาด้วยความตกใจทั้งที่ตัวสั่นอย่างหนักด้วยความหวาดกลัวเป็นที่สุด
ดวงหน้าของเซมีนเอ่อคลอด้วยน้ำตาจนเธอรู้สึกใจหายนิดๆ ที่ไม่มีเวลาคิดปรึกษากับอีกฝ่าย แต่ถ้าไม่ใช้แผนนี้ในเวลานี้เธอก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองควรทำอย่างไร และไม่มีแผนอื่นที่ดีกว่านี้ได้อีก อย่างน้อยก็ต้องตอบแทนเซมีนเคยช่วยเหลือเธอไว้มากมาย
“เซมีนพี่สาวจะไปกับพวกเขา เซมีนไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่มีใครกล้าทำอันตรายพี่สาวหรอก รับเงินไปนะเซมีน”
น้ำตาของเซมีนหลั่งไหลและส่งเสียงสะอึกสะอื้นไม่หยุด ดูเหมือนความน่ากลัวของพวกนักล่าและความหวาดหวั่นที่กลัวว่าเธอจะได้รับอันตรายทำให้เซมีนเกิดความสับสนและลังเลใจ
เธอจึงตัดสินใจตะโกนเสียงดังด้วยความแน่วแน่เพื่อเป็นการย้ำเตือนออกไปว่า “พวกเขาไม่ได้บังคับอะไรฉันเลย แต่ฉันยินดีไปกับพวกเขาเอง พี่สาวอยากออกผจญภัยน่ะ รู้มั้ยวิธีนี้มันตื่นเต้นดี รับรองว่าพี่สาวปลอดภัยแน่ๆ เชื่อสิ เซมีนเชื่อในตัวฉันใช่ไหม” เธอขยิบตาพร้อมทั้งรอยยิ้มนึกสนุกด้วยสีหน้าจริงจังให้เซมีน
“พี่สาวเอาจริงเหรอคะ!” เซมีนอ้าปากค้างด้วยสีหน้างุนงง
ตุบ!
เงินในถุงผ้าสีเทาขนาดเท่ากำปั้นถุงหนึ่งถูกโยนลงบนตักของเซมีน พวกนักล่าสามคนยิ้มย่องให้กันอย่างพึงใจ
“น่าสนใจจริงๆ แบบนี้พวกเราได้ราคาดีแน่เลยลูกพี่” พวกมันพูดโต้ตอบกันก่อนจะหิ้วตัวเธอออกไป
“ล่าก่อนนะเซมีน ถ้ามีโอกาสพวกเราคงได้พบกันอีก” ฉันหันหน้าตะโกนบอกเสียงดังพลางขับไล่น้ำตา
“พี่สาว! เซมีนจะจดจำพี่สาวไว้ตลอดไปไม่มีวันลืมเลือน แล้วอย่าลืมกลับมาเยี่ยมเซมีนอีกนะคะ” สิ้นน้ำเสียงเศร้าที่ดังกลับมา นับว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอขยับยิ้มด้วยรอยยิ้มกว้างให้ใครสักคนอย่างจริงใจที่สุด
แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะเป็นการเอ่ยลาก็ตาม
อาจจะรู้สึกเศร้าที่ต้องจากลากันในรูปแบบเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่นึกเสียใจแม้แต่น้อย ในเมื่อเธอเป็นคนเลือกทางเดินเสี่ยงอันตรายนี้ด้วยตัวเอง
To be continue…
ความคิดเห็น