คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พิภพราชันย์ออนไลน์ :: อารัมภบท (จุดจบคือจุดเริ่มต้น)
พิ ภ พ ร า ชั น ย์ • อ อ น ไ ล น์
อารัมภบท
จุดจบคือจุดเริ่มต้น
ความมืด!
ความมืด! ความมืด!
ความมืด! ความมืด! ความมืด!
ไม่ว่าจะหันไปทางทิศใดก็พบเพียงความว่างเปล่า
รอบตัวมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่ร่างกายและฝ่ามือของตัวเอง เสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่าที่ส่งออกไปถูกกลืนหายไปในความเงียบสนิท การดิ้นรนต่อสู้เอาชีวิตรอดถูกงัดออกมาใช้จนหมดแต่กลับไม่พบหนทางใดๆ ราวกับกำลังเอามือทุบเล่นอยู่บนกำแพงหนาอันว่างเปล่า
เด็กสาวผู้หนึ่งนั่งกอดเข่าด้วยความรู้สึกหดหู่และอับจนหนทาง ควบคุมไม่ได้แม้กระทั่งน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย นึกแค้นใจในโชคชะตาจนอยากเย้ยหยัน
...เนื่องจากเธอตายแล้ว...
เดิมทีเธอเป็นเด็กทารกเชื้อสายเอเชียที่ถูกแม่แท้ๆ ตั้งใจคลอดทิ้งไว้ในโรงพยาบาลไร้ชื่อแห่งหนึ่งในลอนดอน หลายคนคาดเดาว่าเธออาจเป็นลูกที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของผู้หญิงข้างถนน
แม้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะรับไปดูแลจนมีชีวิตรอดได้ถึงอายุห้าขวบและโชคดีที่ครอบครัวเศรษฐีใจดีจากมหานครนิวยอร์กผู้หนึ่งขอรับอุปการะไปเลี้ยงดูต่อ
ทว่ากลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดคิด
เพราะฝ่ายนั้นต้องการหาเด็กสักคนหนึ่งไว้เป็นเพื่อนเล่นวัยเดียวกับลูกตัวเองเท่านั้น
นอกจากไม่ได้เคยรับความอบอุ่นแล้ว ยังถูกเลี้ยงดูอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ต่างจากคนใช้ในบ้าน ไม่เคยได้รับความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่ต้องรับมือกับนิสัยเอาแต่ใจของลูกเจ้าของบ้านแต่ยังต้องอดทนกับสายตานึกรังเกียจดูแคลนรวมถึงคำพูดเสียดสีด่าทอไม่เว้นแต่ละวันของผู้มีพระคุณด้วย
ไม่นานสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นความเคยชินและด้านชา ตอกย้ำให้ตัวเองตระหนักและเลิกคาดหวังในความรักของผู้อื่น
...ถึงแม้ความจริงจะโหดร้ายเช่นนั้นแต่เจ้าตัวก็ยังพยายามดิ้นรนกัดฟันสู้ต่อไป
ทว่าความโชคร้ายกระหน่ำซ้ำเติมไม่สิ้นสุด
เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในวัยสิบสอง ศัตรูคู่แค้นเจ้าของบ้านบุกเข่นฆ่าคนในครอบครัวตายทั้งหมด โชคดีที่ตนถูกขังใช้งานเยี่ยงทาสอยู่หลังบ้านจนดึกดื่นอย่างเช่นวันอื่นๆ จึงทำให้รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
แม้ความดวงแข็งจะแสดงให้เห็นถึงความโชคดีอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ต่างไปจากความโชคร้ายเลยสักนิดเดียว
เมื่อทุกคนในบ้านตายหมด เจ้าตัวที่เป็นแค่คนอาศัยและไม่ได้ถูกรับรองตามกฎหมายว่ามีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติจึงหมดสิ้นไร้หนทางและถูกกีดกันจากเจ้าของบ้านคนใหม่ ไม่สามารถอยู่บ้านหลังนั้นได้ต่อ
ด้วยความหวาดกลัวเสียขวัญว่าจะถูกโยนเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอันมีชื่อเสียงน่ากลัว จึงขาดสติหนีเตลิดเปิดเปิงออกไปท่ามกลางค่ำคืนในฤดูหนาวที่ปกคลุมด้วยหิมะเย็นเฉียบ
ขาทั้งสองข้างวิ่งฝ่าหิมะจนด้านชา กระทั่งหมดแรงจนล้มหมดสติอยู่ตรงริมถนนหน้าประตูโรงเรียนฝึกสอนศิลปะการต่อสู้เล็กๆ แห่งหนึ่งถัดจากย่านการค้า
เจ้าของโรงฝึกสอนเป็นลุงแก่ชาวจีนผู้หนึ่ง แม้หน้าตาจะบ่งบอกว่าเป็นคนดีไร้พิษภัยแต่ก็มีนิสัยขี้เหนียวเป็นอย่างมาก
อีกฝ่ายรู้สึกเวทนาเมื่อรับรู้เรื่องราว อีกทั้งเด็กสาวก็มีเชื้อสายเอเชียปะปนเช่นเดียวกับตนเอง จึงอาสารับอุปการะเป็นผู้ปกครองชั่วคราวจนกว่าจะครบอายุสิบแปดแล้วจึงให้ย้ายออกไป
เมื่อต้องเลือกระหว่างการทำความสะอาดโรงฝึกทุกๆ วันหรือถูกโยนเข้าไปในสถานสงเคราะห์อันมีชื่อเสียงเลวร้าย เธอจึงตัดสินใจเลือกอย่างแรก
อีกฝ่ายแบ่งห้องเก็บของเล็กๆ เท่ารังหนูที่ฝุ่นจับหนาอย่างที่ไม่เคยได้รับการดูแลด้านหลังโรงฝึกให้พักรวมถึงอาหารเล็กน้อยจำนวนสามมื้อ
แม้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ที่อีกฝ่ายเสนอให้ความช่วยเหลืออย่างเอื้อเฟื้อนั้นหาได้เป็นความเป็นจริงทั้งหมดไม่ เขาต้องการเพียงแค่คนทำความสะอาดโรงฝึกโดยที่ตัวเองไม่ต้องเปลืองค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เรื่องราวมากมายที่พบเจอได้ฝึกให้เด็กสาวสั่งสมความอดทนมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันอย่างไม่รู้ตัว
แม้จะนึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเองยิ่งนัก แต่ด้วยจิตใจที่ไม่ย่อท้อก็ช่วยให้ผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้
ทว่าความฉลาดเลิศล้ำหัวไวที่สามารถเรียนรู้ได้ไวกว่าคนอื่นก็รังแต่จะเป็นการเพิ่มความริษยาและถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ กระทั่งคนที่เอื้อเฟื้อให้ที่อยู่อาศัยก็ส่งสายตานึกชิงชังมาให้ในบางคราว
ด้วยเหตุนั้นเอง จึงทำให้ตนได้ตระหนักว่าต่อให้เฉลียวฉลาดหรือรู้สึกภูมิใจมากเท่าใดก็ควรเก็บงำความรู้สึกไว้ให้ลึกที่สุด อย่าได้ริสร้างความโดดเด่นหรืออวดออกมาแบบโง่ๆ เป็นอันขาด มิฉะนั้น มันจะนำพาไปสู่ความเดือดร้อน
แม้จะยังเด็กแต่ด้วยความขยันจึงดิ้นรนทำงานพิเศษสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่รับจ้างทำความสะอาด ส่งหนังสือพิมพ์ ดูแลสัตว์เลี้ยง เพื่อหาเงินใช้จ่ายโดยไม่หวังพึ่งผู้ใด อีกทั้งด้วยความหัวดีจึงได้รับทุนจากโรงเรียนใกล้ๆ แต่การแข่งขันแย่งชิงกันมีสูงมากจนไม่สามารถไว้ใจใครได้ เพื่อนที่เคยสนิทเชื่อใจกันในตอนแรกกลับกลายเป็นทรยศอิจฉาริษยา สุดท้ายจึงเหลือแต่เพียงลำพัง
แม้จะไม่ชอบการหลอกลวงเสแสร้งทำตัวประจบประแจงหน้าไหว้หลังหลอกสักเท่าใดนัก แต่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็จำเป็นอย่างมาก จนต้องฝืนใจปั้นหน้าสารพัดเพื่อให้ตัวเองเอาตัวรอดจากคนหมู่มากที่แสร้งใส่หน้ากากเข้าหากัน
แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนมากเล่ห์อันน่าชิงชังเท่าใดก็ตาม
จนแล้วจนรอดเธอก็สามารถดิ้นรนใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบจนอายุครบสิบแปดปี
หลังจากเรียนจบด้วยคะแนนที่ดีเยี่ยมและหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความอัตคัดขัดสนจึงทำให้ต้องออกมาทำงานเพื่อเก็บเงิน
อีกทั้งสถานที่ตนเคยอาศัยมานานร่วมหกปีก็ไม่เต็มใจต้อนรับอีกต่อไป เธอจึงหาที่พักใหม่เป็นห้องเช่าเล็กๆ เท่ารูหนูในย่านคนจนจากเงินที่กระเบียดกระเสียดเก็บหอมรอบริบมาหลายปี
ดูเหมือนโชคชะตาจะรู้สึกยินดีที่ได้กลั่นแกล้งเธอยิ่งนัก...
วันหนึ่งขณะที่กำลังเดินทางไปทำงานพิเศษ เธอได้บังเอิญเห็นเด็กคนหนึ่งพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องตกใจของผู้คน วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอต้องใช้ความพยายามหักห้ามใจและแสร้งเมินเฉยเช่นเดียวกับคนอื่น
กระทั่งความกลั้นทั้งหมดได้ขาดสะบั้นลงจึงได้ตัดสินใจวิ่งหันหลังกลับไปและกระโดดลงไปในแม่น้ำอย่างไม่คิดหน้าไม่คิดหลัง ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
แม้จะสามารถส่งยื่นเด็กน้อยให้คนที่อยู่บนฝั่งได้อย่างปลอดภัย แต่ตัวเองที่หมดเรี่ยวแรงก็ถูกกระแสน้ำวนใต้น้ำพัดพาให้จมดิ่งลงสู่เบื้องล่างและรับรู้ถึงรสชาติอันขมปร่าของความตายเป็นครั้งแรกในชีวิต
ชั่วชีวิตที่ผ่านมา
เธอได้ใช้ชีวิตพบเจอผู้คนมากมายหลายประเภท ดิ้นรนต่อสู้เอาตัวรอดด้วยวิธีการเห็นแก่ตัวสารพัด แต่ในวินาทีที่เห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งพลัดตกลงไปแม่น้ำกลับทำให้ย้อนนึกถึงช่วงวัยเยาว์อันน่าเวทนาของตัวเองอย่างมิอาจห้ามและลืมความเห็นแก่ตัวจนหมดสิ้น
กระทั่งรู้ดีอยู่แล้วว่านั่นเป็นการกระทำโง่ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่จุดจบอันน่าสิ้นหวัง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเองกลับไม่ได้รู้สึกคับแค้นหรือนึกเสียใจแม้แต่นิดเดียว
ทว่าภายใต้จิตใจอันหดหู่ชั่วขณะนั้น เธอยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
ประหนึ่งความเสียดายและความชิงชังอันท่วมท้นที่ตัดไม่ขาด นั่นก็คือความเสียดายที่ในชีวิตนี้ยังไม่เคยประสบพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่าความอบอุ่นของครอบครัว เพื่อน มิตรภาพอันแท้จริง
...และชิงชังความพยายามของตนเองที่ไม่เคยเห็นผล
เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เสียงหัวเราะเยาะก็ดังก้องออกมาจากริมฝีปากเรียวบางราวกับจะเย้ยหยันในโชคชะตาตัวเองที่เล่นตลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ท่ามกลางความมืดมิดที่กำลังนั่งกอดเข่าด้วยความหมดหวังกับชีวิตที่คร้านจะนึกใยดีต่อสิ่งใดอยู่นั้น น้ำเสียงอบอุ่นของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
‘ตื่นเสียทีเถิด ซีแนล เฟลคอน’
ใคร!? เสียงของใครกัน!?
แม้เสียงเรียกนั้นจะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของตนเองก็ตาม แต่ท่วงทำนองทุ้มก้องอันไพเราะจับจิตจับใจนั้นช่างทำให้รู้สึกอบอุ่นอ่อนหวานและแผ่ซ่านเข้าไปในดวงจิตอย่างบอกไม่ถูก
กระแสความอบอุ่นอย่างนั้นเหรอ!?
นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนในชีวิตแม้แต่ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ คิดแล้วมันคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเธอแน่ๆ
ใช่แล้ว การอยู่คนเดียวมานานท่ามกลางความมืดมิดต้องทำให้สติของเธอผิดเพี้ยน
ขณะที่พยายามตอกย้ำกับตัวเองด้วยความสลดหดหู่อย่างน่าเวทนาอยู่นั้น ทันใดนั้นเองน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนก็ดังล่องลอยกระทบโสตอีกครั้งหนึ่ง
‘ซีแนล เฟลคอน’
ไม่ผิดแน่ เสียงนั่นอีกแล้ว! เธอไม่ได้หูฝาดไปจริงๆ
คุณเป็นใคร แล้วซีเนล เฟลคอน คือใครกัน?
มือทั้งสองข้างที่เกาะกุมกันอยู่พลันสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นอย่างมีความหวัง ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อล้นไหลพรากออกมาด้วยความโล่งอก มิต่างจากการได้รับแสงสว่างลอดผ่านรูเล็กๆ แทรกเข้ามาในโลงหินอันหนาวชืด
‘ข้าเรียกเจ้านั่นแหละเด็กน้อย’
คุณเรียกฉันเหรอ? แต่ฉันไม่ได้ชื่อซีแนล เฟลคอนนะ
‘หึ หนีไปเที่ยวเสียนานจนลืมกระทั่งเรื่องราวของตัวเองไปหมดแล้วหรือ’
ลืมอะไร!?
คุณพูดเรื่องอะไร แล้วคุณเป็นใครตอบฉันมานะ!
‘ข้าหรือ ข้าคือทุกสิ่งที่เจ้าอยากให้เป็น ผืนดิน ผิวน้ำ สายลม แสงไฟ ทุกๆ สิ่งที่แลกเปลี่ยนด้วยจิตวิญญาณของเจ้าอย่างไรล่ะ’
จิตวิญญาณอะไร!? ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย
‘หมดเวลาของเจ้าแล้วเด็กน้อยเอ๋ย เพราะอย่างนั้นกลับมาเสียที’
พูดเรื่องอะไรน่ะ อธิบายมาสิ
โอ๊ย! บอกว่าไม่เข้าใจยังไงเล่า!
สิ้นเสียงตะโกนที่ดังโต้แย้งก็รู้สึกได้ว่าสติสัมปชัญญะของตัวเองกำลังจะหลุดลอยหายไปอีกครั้งพร้อมๆ กับเสียงปริศนาที่ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
‘ยินดีต้อนรับสู่พิภพราชันย์ ซีแนล เฟลคอน ผู้แลกเปลี่ยนวิญญาณกับพันธะต้องห้ามแห่งมาร’
To be continue…
*ขอบคุณผู้อ่านที่รักทุกคนนที่ติดตามเรื่องนี้จ้า
ความคิดเห็น