คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : พิภพราชันย์ออนไลน์ :: สู่โลกเสมือน (1)
พิ ภ พ ร า ชั น ย์ • อ อ น ไ ล น์
ตอนที่ที่ 1 สู่โลกเสมือน (1)
ดวงตาที่ยังไม่คุ้นชินกับแสงสว่างลืมขึ้นอย่างช้าๆ ขนตาแพหนากะพริบเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเบิกกว้างหันมองรอบๆ พอขยับตัวเล็กน้อยร่างกายก็ปวดเมื่อยเสียจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ จากสภาพของตัวเองในตอนนี้ เห็นจะไม่ใช่แค่ร่างกายที่รู้สึกอ่อนล้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคอยบีบนวดขมับบริเวณหางคิ้วเพื่อขับไล่ความเจ็บปวดที่แล่นผ่านเป็นครั้งคราวราวกับหัวจะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันนะ!
ไม่ใช่ว่าตัวฉันได้ตายไปแล้วเหรอ!?
มือเรียวบางซีดขาวสั่นน้อยๆ ขณะยกขึ้นกุมหัวตัวเองด้วยความรู้สึกตื้อและมึนงง ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง
“พี่สาวท่านฟื้นแล้ว! ในที่สุดท่านก็รู้สึกตัวเสียที”
เสียงเล็กๆ พร้อมทั้งเด็กหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
เด็กคนนี้ใคร?
เด็กหญิงผมสั้นกุดอายุราวสิบสองสวมชุดผ้าฝ้ายเรียบๆ สีขาวหม่นแสดงอาการตื่นเต้นยินดี
อีกฝ่ายขยับตัวและชะโงกหน้าเข้ามามองใกล้ๆ ด้วยท่าทางใคร่รู้ ผมหยิกลอนสีน้ำตาลสั้นกุด ดวงตากลมโตดูเข้ากันอย่างน่ารัก
สิ่งที่เกิดขึ้นปุบปับทำให้เกิดความมึนงงไปชั่วครู่จนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มอธิบาย
“พี่สาวรู้สึกอย่างไรบ้างคะ ยังรู้สึกขบเมื่อยบริเวณไหนอยู่อีกหรือเปล่า สามวันก่อนฉันกับลุงไปเจอพี่สาวนอนหมดสติอยู่ที่ริมแม่น้ำข้างชายป่าตอนที่พวกเราไปหาสมุนไพรมาขายกัน ตอนนั้นท่านตัวซีดมากจนฉันกลัวว่าลมหายใจอันแผ่วเบานั้นจะหายไปเสียแล้ว”
ริมฝีปากและลำคอที่แห้งผากจึงเป็นการยากที่จะเอ่ยตอบโต้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจดีจึงยื่นน้ำดื่มมาให้
มือของเธอสั่นน้อยๆ เมื่อคว้าน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย ทันทีที่น้ำจรดริมฝีปากเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกถึงหวานชุ่มไปทั่วคออย่างน่าประหลาด
“ในน้ำมีส่วนผสมของยาสมุนไพรที่ลุงของเซมีนคิดขึ้นมาเองค่ะ” เสียงเล็กๆ อธิบายอย่างเจื้อยแจ้วด้วยความภาคภูมิใจ
เด็กคนนี้พูดจาด้วยสำนวนแปลกๆ ที่ฟังไม่คุ้นหูเอาซะเลย
เธอเองก็คร้านจะนึกถือสาเรื่องไร้สาระเล็กน้อยเหล่านี้ในเมื่อถูกอีกฝ่ายช่วยชีวิตไว้
ครั้นพอเริ่มได้สติจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเตียงที่ล้อมรอบไปด้วยผนังไม้ที่ทำจากท่อนซุงใหญ่ผ่าครึ่งซีกที่เรียงซ้อนกันอย่างลงตัว
ดวงตาทั้งคู่หันมองสำรวจรอบๆ ด้วยความทึ่งเนื่องจากไม่เคยเห็นบ้านหลังไหนในนิวยอร์กที่สร้างได้แบบนี้มาก่อน ไม้ท่อนใหญ่เกินกว่าคนโอบล้วนถูกจัดว่าเป็นสินค้านำเข้าและผิดกฎหมายขั้นร้ายแรง
คนที่สามารถสร้างบ้านแบบนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะดีและมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือในห้องนี้กลับไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเช่นนั้นเลย เครื่องเรือนแต่ละชิ้นดูเก่าคร่ำครึและไม่มีมูลค่า
นอกจากเตียงนอน โต๊ะเก้าอี้กับตู้ไม้ใบเล็กๆ และเสื้อผ้าที่ถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบกับหนังสือเก่าๆ ไม่กี่เล่มที่วางทับซ้อนอยู่คนละมุมแล้วในห้องนี้ก็ไม่มีสิ่งมีค่าใดๆ
“เธอเป็นคนช่วยฉันไว้สินะ”
เพียงหันหน้ากลับมาถามเด็กหญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้า ใบหน้าเล็กๆ นั้นก็พลันฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวให้เธอครบทุกซี่จนตาพร่าไปหมด
“ใช่แล้วค่ะ”
ท่าทีกระตือรือร้นด้วยการพยักหน้าหงึกๆ และรอยยิ้มกว้างที่เปิดเผยอย่างจริงใจทำให้เธอรู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตกระมังที่มีคนแสดงท่าทางยินดีให้อย่างเปิดเผยอย่างจริงใจ ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ เมื่อไม่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน
“ขอบใจนะ” เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ เพื่อบอกอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่สาวปลอดภัยเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
“แล้วลุงของเธอล่ะ เธอเรียกตัวเองว่าเซมีน คงชื่อเซมีนสินะ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเธอมีลุงอีกคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ”
“ท่านลุงไม่อยู่ค่ะ ท่านไปขายสมุนไพรที่ตลาดและแวะไปเยี่ยมญาติที่เมืองข้างๆ อีกหลายวันถึงจะกลับ”
สมุนไพร!? เอ๋ คงหมายถึงพวกยาแผนโบราณกระมัง
“ขอบใจที่ช่วยฉันนะ แต่จริงๆ แล้วฉันไม่มีเงินหรอก ฉันต้องทำอะไรเพื่อชดเชยหรือเปล่า”
นั่นสิ
ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ทำดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทนจากคนอื่นด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งได้ช่วยชีวิตคนอื่นไว้แบบนี้...
“ไม่ค่ะ ไม่ต้องหรอก” เด็กหญิงรีบส่ายหน้าโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน
“อ้าว ทะ...ทำไมล่ะ แล้วเงินที่ใช้จ่ายค่ารักษาล่ะ”
เธอกล่าวถามออกไปด้วยความรู้สึกงุนงงแปลกใจ เมื่อสบเข้ากับดวงตาอันใสซื่อของอีกฝ่าย แต่ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราทำอะไรให้ใครอื่นสักอย่างหนึ่งแล้วไม่หวังผลในภายหลัง
ในเมื่อบรรดาผู้คนนับร้อยนับพันที่เธอเคยรู้จักมาล้วนแต่จะรีบตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัวด้วยกันทั้งนั้น
“พวกเราใช้สมุนไพรที่หาได้จากป่ามาใช้รักษาจึงไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว อีกอย่างเซมีนกับท่านลุงก็เต็มใจช่วย ไม่ได้หวังสิ่งใดๆ หรอกค่ะ ถือว่าเป็นการการช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยนี่คะ” พอได้ฟังอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น เธอก็รู้สึกตกตะลึงจนลืมไปว่าก่อนหน้านี้ตัวเองสงสัยอยากถามเกี่ยวกับเรื่องราวของป่าที่อีกฝ่ายกล่าวถึง
แม้ว่าจะเคยเจอถ้อยคำที่ฟังดูสวยหรูมามากมาย แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจเท่าครั้งนี้เลย
“หนูชื่อเซมีนค่ะ แล้วพี่สาวล่ะชื่ออะไร” อีกฝ่ายเอียงคอถามอย่างน่ารัก
นั่นสิ ฉันชื่ออะไร!?
เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
ทั้งที่ยังจำเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ครบถ้วนแท้ๆ แต่ทำไมกลับจำชื่อตัวเองไม่ได้
“ไม่รู้สิ”
เธอตัดสินใจเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับใบหน้าที่คิดไม่ตก จนอีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดปากกรีดร้องด้วยความตกใจ “หมายความว่ายังไงคะ หรือว่าพี่สาวความจำเสื่อม!”
“ไม่หรอก ฉันแค่จำไม่ได้ว่าตัวเองชื่ออะไรเท่านั้น แต่มันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนมีคนเคยเรียกว่าอะไรสักอย่าง” ด้วยความไม่แน่ใจเธอจึงตัดสินใจเงียบ
หลังจากถอนหายใจครั้งหนึ่งจึงเห็นว่าเซมีนนิ่งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นคำตอบในหัวก็พลันผุดขึ้นมา
‘ซีแนล เฟลคอน’ อย่างนั้นสินะที่ได้ยินเมื่อตอนนั้น
นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากที่จำชื่อตัวเองไม่ได้ แต่กลับจำชื่อนี้ได้แม่นยำราวกับมันแทรกซึมเข้าไปในโซนสมอง เป็นชื่อเรียกของใครกันนะ หรือจะเป็นชื่อของเธอเองอย่างที่เสียงปริศนานั้นว่า
ไม่สิ!
บางทีนั่นจะเป็นแค่ความฝันก็ได้
ใช่แล้ว มันก็แค่ฝันร้ายอันมืดมิดที่น่ากลัว อีกอย่างเห็นได้ชัดเจนว่าเธอยังมีชีวิตดีอยู่
ในที่สุดเสียงร้องถามเล็กๆ ของอีกฝ่ายก็ดังเตือนสติให้เธอหลุดออกจากความคิดตัวเองอีกครั้ง
“แล้วพี่สาวเป็นภูติสายไหนเหรอคะ เซมีนว่าพวกภูตินี่สวยจนน่าอิจฉากันทุกคนเลยนะคะ ตอนเด็กๆ เซมีนเองก็เคยเห็นภูติสวยแบบพี่คนหนึ่งเหมือนกัน”
คำพูดนั้นทำให้เธอสะดุ้งจนเงยหน้ามองดวงหน้ารูปไข่ที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้างบริสุทธิ์ใจของอีกฝ่ายด้วยความงุนงง
“ภูติคืออะไร?”
เธอเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยเป็นที่สุดก่อนเอ่ยกล่าว “ฉันไม่ใช่ภูติอย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะเซมีน ฉันเป็นคนธรรมดาเหมือนอย่างเธอนี่แหละ” เธอกล่าวออกไปทั้งนึกสงสัยว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้าคนนี้มีความผิดปกติทางสมองหรือเปล่า
ภูติบ้าอะไรกัน เรื่องแบบนั้นมีแค่ในเทพนิยายนิทานก่อนนอนไม่ใช่หรือไง
“แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์จากทวีปลอร์มทุกคนล้วนมีผมและดวงตาสีน้ำตาลกันหมดนี่คะ ต่อให้เป็นพวกลูกครึ่งก็ตาม แต่ทำไมสีผมกับสีดวงตาของพี่สาวถึงเป็นสีแบบเดียวกับพวกภูติละคะ”
“ว่ายังไงนะ ฉันเปล่าสักหน่อย!”
เธอรีบยกมือเรียวขึ้นมาลูบคลำใบหน้าของตัวเองด้วยความตกใจ พร้อมทั้งเริ่มสังเกตเห็นข้อแตกต่าง ผมของเธอยาวขึ้นและสีของมันเปลี่ยนไป!
ก่อนจะรู้ตัวว่าร่างกายตัวเองผิดปกติ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างแรกคือนิ้วมือเรียวสวยงดงามอันไร้ที่ติ ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งความหยาบกร้านที่เคยตรากตรำทำงานมาอย่างหนัก และมั่นใจเกินกว่าจะเป็นมือของตัวเอง
ให้ตายสิ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันนะ!
เธอพลิกมองฝ่ามือทั้งสองข้างไปมาอย่างตื่นตะลึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่น
“กระจก! เซมีนขอกระจกหน่อยได้หรือเปล่า” พร้อมๆ กับรีบหันไปร้องขอความช่วยเหลือจากเซมีนอย่างเร่งด่วนด้วยความตื่นตกใจ
“ทะ...ทะทางนี้ค่ะ”
เซมีนผายมือไปอีกด้านด้วยท่าทางงุนงงสงสัย ขณะที่เธอรีบวิ่งไปยังมุมห้องซึ่งเป็นที่ตั้งของกระจกที่อยู่อีกฟากของจุดที่ตัวเองยืนอยู่
ความรู้สึกแรกคือความลังเลที่แผ่ซ่านเข้ามา... เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซมีนจึงให้เธอเผชิญหน้ากับประตูบานใหญ่ยักษ์สีเทาเบื้องหน้าด้วยเหตุใด
แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นเธอก็ตกตะลึงจนแทบสิ้นสติ เมื่อสบตาเข้ากับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนขวางทางเบื้องหน้าตัวเองเข้าพอดี อีกฝ่ายเป็นเด็กสาวอายุไม่เกินราวๆ สิบหกปี เรียกได้ว่าอายุน้อยกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นต้องการอะไร แต่เท่าที่เห็นสายตาของอีกฝ่ายก็แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังตกตะลึงไม่น้อยไปกว่าเช่นกัน
เท่าที่เห็นเด็กสาวตรงหน้ามีรูปร่างบอบบางกว่าตัวเธอเล็กน้อย ความสูงของอีกฝ่ายดูไม่น่าจะเกินร้อยหกสิบห้าไปได้ มิหนำซ้ำยังมีผิวซีดขาวปานหิมะซึ่งบ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่เคยได้สัมผัสหรือแตะต้องกับแสงแดดเลย
ใบหน้าเรียวเล็กงดงามกับจมูกโด่งสวยและริมฝีปากบางอิ่มรับกับใบหน้าได้อย่างลงตัวจนน่าเหลือเชื่อ ราวกับผู้หญิงเบื้องหน้าคนนี้ถูกพระเจ้าใช้ความตั้งใจทั้งหมดในการเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา อีกทั้งผมสีทองที่เหยียดตรงยาวจรดจนถึงเข่าและเรียวขาขาวคู่สวยเรียวเล็กเหมือนตะเกียบนั่นทำเอานางแบบชื่อดังของโลกในแมกกาซีนแฟชั่นของนิวยอร์กตกขอบเหวไปเลยทีเดียว และที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นดวงตากลมโตสีแดงสุกสดใสโดดเด่นราวกับสีเลือดที่ส่องประกายเย่อหยิ่งมันงดงามยิ่งกว่าเพชรประดับมงกุฎของพระราชาซะอีก
ให้ตายสิ! เชื่อเถอะว่า ใครเห็นเด็กคนนี้เข้าเป็นอันต้องตกหลุมรักกันเสียทุกราย
ขณะที่กำลังตกตะลึงในความงามราวกับเทพธิดากับภาพตรงหน้าอยู่นั้น เสียงของเซมีนก็ทำให้เธอตื่นจากภวังค์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่ออีกฝ่ายได้ร้องกล่าวบางสิ่งที่ทำให้ตัวเธอเองแทบลืมหายใจ
...ว่าเบื้องหน้าที่ปรากฏมันคือกระจก!
อะไรนะ!
“กะ...กระจกอย่างนั้นเหรอ!”
เธอหันขวับไปมองหน้าเซมีนและหลุดเสียงครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะหันไปเผชิญกับกระจกที่ว่าอีกครั้ง พร้อมทั้งยกเรียวแขนเล็กๆ ขึ้นชี้บุคคลตรงหน้าจนสั่นเทา
“นะ...นั่นตัวฉันเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย!!”
เธอแผดเสียงร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
ถ้าไม่ใช่เพราะ... ไม่ว่าเธอจะแสดงกิริยาท่าทางออกไปแบบไหน ฝ่ายตรงข้ามล้วนแต่ลอกเลียนแบบได้อย่างครบถ้วน
ถ้าผู้หญิงในกระจกนั่นคือตัวเธอจริงๆ แล้วละก็ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุหรือข้อผิดพลาดประการใดก็ตามที่ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนคาดไม่ถึงเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่เหลือเค้าโครงที่เหมือนกับตัวเธอคนเก่าเลยก็เถอะ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเด็กสาวที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นไม่ใช่ตัวเธอ
โอ้ย! บ้าไปแล้ว นี่ฉันต้องกำลังฝันเรื่องบ้าๆ อยู่แน่
“ใช่แล้ว ฉันกำลังอยู่ในความฝัน โอ้ย!”
หลังจากลงมือหยิกแขนตัวเองเต็มแรงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องโกหกแต่ทว่ากลับไม่เป็นอย่างที่หวังไว้เลยสักนิด
นี่มันเรื่องอะไรกัน! ?
ขณะที่ยืนทื่อตัวแข็งนึกทบทวนอยู่หลายตลบ พลันความคิดเพี้ยนๆ อย่างหนึ่งก็บังเอิญขึ้นในหัวราวกับโดนสายฟ้าฟาด
หรือบางที... เธออาจจะตายไปแล้วจริงๆ แต่ได้รับโอกาสให้มีชีวิตใหม่อีกครั้งในร่างที่ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ?
ชั่วขณะนี้เธอรู้สึกสับสนเหลือเกิน หลายครั้งที่เธอเคยดูรายการทีวีสารคดีเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่นำเสนอ ทั้งเรื่องวิญญาณและการระลึกอดีตชาติ ในตอนนั้นตัวเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระและไร้ความน่าเชื่อถือ แม้ความจริงแล้วจะยังมีเรื่องลึกลับในโลกนี้ที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้อยู่มากเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อได้รับโอกาสและถูกหยิบยื่นชีวิตใหม่มาให้ถึงหน้าแล้ว... ทำไมเธอต้องเลือกที่จะปฏิเสธมันด้วยล่ะ
ความคิดที่ถูกต้องที่สุดคือ เธอไม่ควรปฏิเสธมัน!
แต่ว่าเธออยู่ในร่างของใครกันล่ะ มือเรียวขาวผุดผ่องทั้งสองยกขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกสับสน
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมความรู้สึกลึกๆ บางอย่างจากก้นบึ้งของจิตใจเหมือนคอยตอกย้ำกับเธอตลอดเวลาว่านี่คือตัวเธอล่ะ??
ให้ตายสิ เธอไม่เห็นเข้าใจเลย มันหมายความว่ายังไงกัน?
ความรู้สึกอันแรงกล้าที่ร้องเตือนขึ้นไม่หยุดว่าเธอเป็นเจ้าของร่างนี้ทำให้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไร ฉะนั้น คงได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามทางและวิถีของมัน
เอาฟะ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด!
To be continue…
ความคิดเห็น