ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7
๗.
ภายในห้องนั่งเล่น...เด็กชายโอสธีผู้ไม่รับรู้ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในบ้าน นั่งกินโดนัทในกล่องอย่างมีความสุข ปล่อยให้ผู้ใหญ่สามคนเผชิญหน้ากันเอาเอง
ด้านตุ่มยืนจ้องเรวินทร์ตาเขียวปัด มือกำโทรศัพท์มือถือแนบหูแน่นยังเจ็บใจไม่หาย เพราะโดนอีกฝ่ายทั้งผลักทั้งดันจนต้องล่าถอยไม่เป็นขบวน ปล่อยให้หนุ่มลูกครึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านได้ตามอำเภอใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเป็นต่อเมื่อคนทางปลายสายรับโทรศัพท์
“พ่อกำนันเหรอจ๊ะ” เจ้าตุ่มทักทายเสียงอ่อนเสียงหวาน ไม่รู้ว่าคนทางปลายสายจะพูดว่าอย่างไรเห็นทำหน้าแหย ยิ่งเมื่อหันมาเจอกับอิสรีย์ที่ส่งสายตาพิฆาตมาให้ ทำเอาเจ้าตุ่มรีบเลี่ยงออกไปกระซิบกระซาบกับคนในสายอีกมุมหนึ่งของห้อง
อิสรีย์ทำท่าจะลุกตามไปราวี แม้จะไม่รู้ว่าคนทางปลายสายจะเป็นใคร แต่เธอรู้ว่าหมอนั่นคงต้องฟ้องอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ เลย
“คุณ...ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ” เรวินทร์รีบฉวยโอกาสที่ตุ่มติดพันคุยอยู่กับโทรศัพท์ ดึงอิสรีย์ไปอีกทาง
“มีอะไรคะ” อิสรีย์เลิกคิ้วยอมเดินตามที่เขาจูงไปแต่โดยดี น่าแปลกเจ้าความรู้สึกหงุดหงิดต่อชายหนุ่ม ที่มีก่อนหน้านี้กลับหายไปได้อย่างง่ายดาย อาจเป็นเพราะความห่วงใยของเขาที่มีต่อเธอ ซึ่งเขาแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดแจ้งและจริงใจหลายครั้งติดๆ กันกระมัง
“คือคุณก็น่าจะรู้นะว่าผมกับคุณ เราไม่ใช่
เอ่อ...อืม” เรวินทร์รู้สึกเหมือนน้ำลายติดคอทันที เมื่อสบเข้ากับดวงตาคมหวานที่จับจ้องเขาอย่างใจจดใจจ่อ นัยน์ตาสีนิลสวยของเธอเหมือนมีกระแสดึงดูดอ่อนๆ พานให้เขาพูดอะไรไม่ออก นอกจากคิดอยากทำอย่างอื่นกับเธอแทนมากกว่า เขาเผลอสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่แน่ใจว่าอยากจะทำอะไรกับเธอกันแน่
“พี่เอ๋ยถอยออกมาห่างๆ ไอ้ฝรั่งนั่นเลยนะ” เสียงคำสั่งห้วนเข้มของตุ่ม ทำลายบรรยากาศดีๆ ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างสองหนุ่มสาว
อิสรีย์ชักสีหน้ากับสรรพนามที่เรียกเรวินทร์แบบจิกหัวของตุ่ม “เรียกให้มันดีๆ หน่อยตุ่ม อย่ามาขึ้นไอ้ขึ้นอีที่นี่นะ”
“พ่อกำนันเมฆ พ่อของพี่เอ๋ยเขามีเรื่องจะคุยด้วยแน่ะ” เจ้าตุ่มไม่สนใจ ยื่นโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้าสองหนุ่มสาว พร้อมทั้งกดเปิดเสียงด้วยท่าทางเป็นต่อ
“ไอ้ฝรั่งขี้นกเอ็งเป็นใครวะ...บอกชื่อแซ่มาเดี๋ยวนี้เลยนะ” เสียงกร้าวที่ลอดผ่านลำโพงฟังดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังโกรธจัดชายหนุ่มเต็มที่
เรวินทร์นิ่วหน้าไม่รู้ว่าตุ่มไปฟ้องอะไรกับอีกฝ่าย แต่ก็ยอมบอกชื่อนามสกุลตนไปแต่โดยดี “เรวินทร์ ทยากรครับ”
“อะไร...ไหนไอ้ตุ่มมันบอกว่าเอ็งเป็นฝรั่งไง ทำไมถึงมีชื่อไทยนามสกุลไทยวะ”
“ผมเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันครับ” เรวินทร์ตอบกลับอย่างสุภาพ ยังสงสัยไม่หายว่ากำนันเมฆต้องการสนทนากับเขาเรื่องใดกันแน่
“ชื่อเล่นล่ะ”
“เอ่อ...ไรท์ครับ”
“เกิดวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร แล้วปีอะไรหา”
เรวินทร์ขมวดคิ้วกับคำถามแปลกๆ นั้น ทว่าเสียงกระแทกกระทั้นของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นเสียก่อน “รีบตอบมาสิวะ ชักช้าโอ้เอ้อยู่ได้ ความจำเสื่อมหรือไงวะ ถึงจำวันเดือนปีเกิดของตัวเองไม่ได้ ระบุมาด้วยนะว่าเป็นวันอะไร จันทร์ อังคาร พุธ อะไรเทือกนี้แหละ”
“วันจันทร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕xx ครับ”
“เวลาตกฟากล่ะ”
“เอ...เวลาอะไรนะครับ” แม้จะพูดอ่านเขียนไทยได้คล่อง แต่คำโบราณบางคำที่ไม่ได้ใช้บ่อยๆ ชายหนุ่มก็ลืมเลือนความหมายไปบ้าง
“เวลาเกิดไงเล่า” คนในสายแปลความหมายให้เสร็จสรรพ พลางเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงขู่กรรโชก “รีบบอกมาเร็วๆ เลย ไม่ใช่ว่าไม่รู้หรอกนะ อันนี้มันส่วนสำคัญที่สุดเลยขอบอกไว้ก่อน”
“ผมไม่แน่ใจนะครับ” เรวินทร์เผลอส่ายหน้า
“คิดซิวะ คิดหน่อยเร็วๆ เอาที่มันชัวร์ๆ นะเว้ย” กำนันเมฆข่มขู่เสียงเข้ม
“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ สิบโมงสิบนาทีนะครับ”
“ก็เท่านั้นแหละ” คนปลายสายส่งเสียงพอใจแล้วซักถามเขาต่อ “นี่เอ็งทำงานทำการอะไรวะ”
“แลนด์สเคปครับ”
“ขี้เลนอะไรของเอ็งวะ พูดให้มันชัดๆ สิ”
“เอ่อ ภูมิสถาปนิกครับ”
“อ๋อพวกออกแบบตกแต่งบ้าน ดีๆ เออแค่นี้นะขอคุยกับตุ่มหน่อย” อีกฝ่ายตัดบทด้วยความรวดเร็ว สร้างความงุนงงสงสัยให้เกิดกับทุกคน ตุ่มรีบกดปิดลำโพงแล้วเดินเลี่ยงไปคุยอีกทาง
สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากัน ก่อนต่างฝ่ายต่างเมินหลบ มีเรื่องให้ต้องขบคิดวุ่นวาย อิสรีย์โล่งใจที่สามารถรู้ชื่อของเขาได้โดยไม่ต้องไต่ถาม นึกขอบคุณพ่อกำนันที่ช่วยซักถามประวัติของเขา ทีนี้คงไม่มีใครสงสัยเธอไปสักระยะ ว่าทำไมถึงได้ไม่รู้จักสามีตนเอง
ฝ่ายเรวินทร์เองก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ดูเหมือนว่าเขาไม่มีโอกาสชี้แจงเรื่องราวเข้าใจผิดนี่ซักเท่าไหร่ แต่ในสถานการณ์ล่อแหลมและเสี่ยงต่ออันตรายจากโจรลักพาตัว การสารภาพความจริงออกไปในตอนนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ ยังไงเขาคงต้องอาศัยที่นี่เป็นที่หลบภัยชั่วคราวไปสักพักก่อน
“หาว่ายังไงนะพ่อกำนัน! พูดใหม่อีกทีสิ” เสียงตะโกนที่เรียกว่าแทบจะเป็นลั่นบ้านของตุ่ม ทำเอาสมาชิกทุกคนในบ้านแตกตื่นตกใจ
อิสรีย์เดินหน้าบูดไปนั่งพักที่โซฟาตัวเดียวกับหลานชาย เธอตำหนิตุ่มอย่างเหลืออด “จะตะโกนให้ได้อะไรขึ้นมาฮึ หูแทบแตกเกรงใจชาวบ้านชาวช่องเขาบ้างสิ”
“ครับๆ รับทราบครับ ผมจะปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อกำนันเดี๋ยวนี้แหละ” ตุ่มรับคำด้วยน้ำเสียงละห้อยละเหี่ย กดตัดสายโทรศัพท์แล้วหันมาบอกทุกคน “พ่อกำนันบอกให้พี่เอ๋ยพานั่นน่ะ...กลับบ้านไปกับพวกเราด้วย”
“ให้พาไปไหนนะ” อิสรีย์ย่นหัวคิ้วถามด้วยความสงสัย กับคำบอกเล่าขาดๆ เกินๆ ของเจ้าตุ่ม
“เอ้า...ก็วันนี้เราจะกลับบ้านกันนิ เมื่อวานพี่เอ๋ยโทรสั่งเองนี่ ให้ผมเอารถมารับที่กรุงเทพฯ ด้วย ขี้เกียจนั่งรถทัวร์กลับบ้านท่าทรายทองเอง”
เมื่ออิสรีย์ไม่กล่าวอะไรตุ่มก็พล่ามต่อ “ผมอุตส่าห์รีบบึ่งรถมาจากบ้านท่าทรายทองตั้งแต่ไก่โห่ แล้วนี่พี่เอ๋ยหายไปไหนมาแต่เช้า ประตูบ้านไม่ปิดโชคดีนะที่โจรมันไม่รู้ ไม่อย่างงั้นมันคงมายกเค้าเอาของในบ้านไปหมด ผมมาถึงไม่เห็นใครเลยตกใจแทบแย่แน่ะ โทรหาก็ไม่มีคนรับสาย”
“พี่เอ๋ยหัวแตกต้องเข้าโรงพยาบาล” อ้อแอ้พูดแซงขึ้นก่อนทุกคน
“เฮ้ย! จริงสิ” ตุ่มท่าทางตกใจ ไม่ทันสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของหญิงสาว เพราะสำหรับตุ่มแล้ว อิสรีย์นั้นคือลูกพี่สาวที่ทั้งอึด ถึก ไม่เคยเจ็บป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อสักครั้ง ทนทายาดทุกสภาพอากาศ ไม่ต่างอะไรกับแรมโบ้หญิง “แล้วพี่เอ๋ยไปทำอีท่าไหนเนี่ย ถึงหัวแตกได้”
“ไม่รู้”
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินของหญิงสาว ทำให้ตุ่มเกิดข้อสงสัย ยิ่งเรวินทร์ทำท่าขยับกายอย่างอึดอัด ให้นึกเดาเอาเองว่าคนคู่นี้คงเกิดทะเลาะอะไรกันสักอย่าง อาจจะถึงขั้นลงมือลงไม้ตบตีกันแน่ๆ ไม่อย่างนั้นลูกพี่เอ๋ยคงไม่เลี่ยงไปเลี่ยงมาแบบนี้หรอก ไม่ได้การแล้วต้องรีบโทรรายงานพ่อกำนันเมฆด่วนสุดๆ อีแบบนี้ต้องพาไปให้พ่อกำนันจัดการ ดังนั้นตุ่มจึงรีบชวน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะรีบกลับบ้านไปหาพ่อกำนันกันเถอะ”
“ร่างกายของคุณเอ๋ยยังไม่ค่อยแข็งแรง อย่าเพิ่งเดินทางไกลเลย ผมว่าให้คุณเอ๋ยพักผ่อนที่บ้านก่อนสักคืนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านที่ท่าทรายทองก็ยังไม่สายนะครับ” เรวินทร์ค้านอย่างไม่เห็นด้วย เพราะสังเกตเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่ดูเผือดซีดกว่าปกติ
“พี่เอ๋ยไม่สบายต้องนอนเยอะๆ นะคับ มาหนูช่วย” อ้อแอ้รีบขันอาสาบ้าง
“เอาตามแบบที่คุณว่าก็แล้วกัน ฉันปวดหัวจังขอตัวก่อนนะคะ” อิสรีย์เห็นด้วยกับคำแนะนำของชายหนุ่ม เธอยอมลุกเดินตามแรงลากจูงของหลานชายตัวน้อย ขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสองแต่โดยดี เพราะเธอรู้สึกปวดมึนหัวเหลือเกิน อยากเอนกายนอนหลับพักผ่อนสักงีบ
ทันทีที่ลับร่างของทั้งสองคน เรวินทร์ก็สะพายเป้ของตัวขึ้นบ่าด้วยความสบายใจ ที่สามารถทำภารกิจส่งทั้งสองคนถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย ส่วนตัวเขาก็เตรียมออกเดินทาง ออกจากบ้านของหญิงสาวเพื่อไปท่องเที่ยวต่อ หลังจากที่อาศัยหลบภัยอยู่ในบ้านเธอไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ป่านนี้พวกโจรร้ายคงไปไกลจากแถวนี้แล้ว เพราะค้นหาไม่เจอเป้าหมายอย่างเขา แต่ก่อนอื่นต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเสียก่อน
“นั่นคุณจะไปไหน” ตุ่มเดินเข้ามาดักหน้าของหนุ่มลูกครึ่ง
“สถานีตำรวจ”
“ไปทำอะไรเหรอ”
“มีเรื่องนิดหน่อยนะ เมื่อคืนผมถูกดักจี้” เรวินทร์ตอบไม่คิดปิดบัง
ตุ่มมองสำรวจหนุ่มลูกครึ่งอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายมีอาการครบสามสิบสองไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ไม่คิดซักไซ้นอกจากอาสาอย่างมีน้ำใจ “เดี๋ยวผมพาคุณไปสถานีตำรวจเอง มาเถอะครับ”
“ขอบคุณนะที่ช่วย”
“แล้วนั่นคุณจะแบกกระเป๋าไปไหนล่ะ” ตุ่มมองกระเป๋าใบโตที่อยู่บนหลังของเรวินทร์ด้วยความแปลกใจ
“อ๋อ...ผมกะแจ้งความเสร็จแล้วว่าจะไปเที่ยวกระบี่ต่อเลย”
“แล้วพี่เอ๋ยล่ะ...คิดจะทิ้งกันง่ายๆ เหรอ พี่เอ๋ยกำลังไม่สบายอยู่นะ” ตุ่มกระชากเสียงถามอย่างไม่พอใจทันที
“ผมไม่ได้ทิ้งนะ” เรวินทร์ปฏิเสธ “แล้วอีกอย่างคุณเอ๋ยก็มีคุณดูแลอยู่แล้วนี่ไง”
“เป็นแค่ญาติห่างๆ ดูแลยังไงก็ไม่เหมือนคนเป็นแฟนกันหรอกน่า”
เรวินทร์อึ้งที่ตุ่มเข้าใจความสัมพันธ์ของเขากับหญิงสาวผิดไป เขารีบแจงความจริงให้อีกฝ่ายฟัง
“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นแฟนของพี่คุณนะ”
“ไม่ต้องมาปัดความรับผิดชอบเลยนะโว้ย ยังงี้มันไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า”
“เฮ้! ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ใชแฟนของคุณเอ๋ย” หนุ่มลูกครึ่งไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะมาโมโหเขาเรื่องอะไร
“ไม่ต้องมาอ้างเลย พี่เอ๋ยเพิ่งบอกว่าอยู่หยกๆ ว่าคุณเป็นผัว...เอ๊ย คุณเป็นสามีของพี่เอ๋ย”
“ไม่ใช่แล้ว คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมกับคุณเอ๋ยเราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย” เรวินทร์พยายามอธิบายอย่างใจเย็น “เมื่อคืนนี้ผมโดนโจรไล่ตามทำร้าย เผอิญผมหนีเข้ามาหลบอยู่ในบ้านหลังนี้ ได้เจอน้องแอ้กับคุณเอ๋ย แล้วเห็นคุณเอ๋ยประสพอุบัติเหตุลื่นล้มหัวฟาดพื้นพอดี ผมเลยช่วยพาเธอส่งโรงพยาบาลก็แค่นั้นแหละ”
“ผมไม่ใช่เด็กอมมือนะ นึกว่าพูดแบบนี้แล้วผมจะเชื่อเหรอ” ตุ่มเบ้หน้าคิดว่าเรวินทร์ปั้นแต่งเรื่องขึ้น เพื่อคิดตีจากจากอิสรีย์เท่านั้น และอีกอย่างเขาไม่ยอมให้ไอ้หนุ่มหน้าฝรั่งนี่หนีหายไปไหนง่ายๆ หรอก เพราะเป็นคำสั่งของพ่อกำนันด้วย เขาคงต้องเฝ้าหมอนี่ไว้ให้ดีๆ ซะแล้ว
“เฮ้ย! ทำไมเข้าใจยากเย็นอย่างงี้ล่ะ” หนุ่มลูกครึ่งครางอุทานออกมาอย่างอ่อนใจ เขาพูดเรื่องจริงก็หาว่าโกหก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอาตรรกะอะไรคิดเนี่ย เห็นๆ อยู่ว่าเขากับหญิงสาวไม่ได้มีความเกี่ยวดองกันสักนิด
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณอยากไปสถานีตำรวจก็เอากระเป๋าเป้เก็บไว้ที่บ้านนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าจะออกไปจากที่นี่ได้เลย” ตุ่มขู่ไม่ได้นึกหวาดกลัวว่าอาจจะถูกเรวินทร์ผลักเอาเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนที่หนุ่มลูกครึ่งพาหญิงสาววิ่งฝ่าเข้าบ้าน เพราะถ้าขืนอีกฝ่ายทำร้ายเขาขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เขาจะร้องให้ลั่นบ้านเลยเชียว
ส่วนเรวินทร์ไม่หวั่นเกรงต่อคำข่มขู่ของชายร่างเล็ก เขาพยายามก้าวเดินไปที่ประตูรั้วโดยไม่สนใจคำทัดทานใดใดทั้งสิ้น
“พี่เอ๋ย! พี่เอ๋ย! ผัวพี่กำลังจะหนีพี่ไปหากิ๊กแล้วววววว...รีบลงมาเร็วววววว”
ทว่าเสียงตะโกนร้องก้องบ้านของตุ่มทำเอาหนุ่มลูกครึ่งสะดุ้งโหยง เท่านั้นไม่พอหนุ่มร่างเล็กยังมาสวมกอดเขาไว้ไม่ยอมให้เขาขยับไปไหนได้อีก เสียงตึงตังโครมครามตามมาและชั่วเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที ร่างของสองป้าหลานที่เรียกว่าแทบจะเดินแข่งกันมา ก็มาหยุดอยู่แทบตรงหน้าของเรวินทร์
เจ้าตัวเล็กกระโดดกอดหมับเข้าที่เอวของหนุ่มลูกครึ่งทันที ส่วนหญิงสาวที่ยืนหอบอยู่นั้นกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำดุดัน ท่าทางของเธอนั้นโกรธจัดเต็มที่ ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเสียวสยองขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พระเจ้า! นี่มันอะไรกันนี่ ไม่เข้าใจคนบ้านนี้เลยจริงๆ ให้ตายสิ!
เรวินทร์กรอกตามองฟ้ายามบ่ายอย่างปลงๆ
.
.
.
.
“ครับท่าน...เข้าไปในสถานีตำรวจได้สักพักแล้วครับ” ชายร่างสันทัดในเครื่องแต่งกายธรรมดา กำลังโทรศัพท์รายงานสถานการณ์ทั่วไปเสียงเบา ขณะสายตากวาดสอดส่ายรอบกายอย่างระแวดระวัง
“ดี...จับตาดูไว้นะ อย่าให้พลาดแบบเมื่อคืนนี้อีกล่ะ” คนเป็นนายโทรสั่งเสียงเข้ม
“ครับ...คราวนี้ผมตามประกบติดเองกับมือ ไม่มีทางคลาดกันแบบเมื่อคืนนี้หรอกครับ” ชายคนดังกล่าวรับรองกับในสายเป็นมั่นเหมาะ
“ถ้าให้ดีผมว่าคุณหาคนที่มันมีฝีมือพอไว้ใจได้มาเพิ่มอีกสักสามสี่คนเถอะ คนของคุณชุดที่แล้วไร้ฝีมือ สะเพร่า ถึงได้พลาดกับงานง่ายๆ แบบนั้น” คนทางปลายสายยังตำหนิไม่เลิก
“ครับท่าน ผมจะรีบหาคนเพิ่มเป็นการด่วน”
“ดีต้องการค่าจ้างเพิ่มเท่าไหร่ก็บอกผม ขอให้งานที่ทำออกมามันคุ้มค่าเท่านั้น ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจนะ”
“ครับท่าน
ผมขอเอาชื่อเป็นประกัน ถ้าผมทำพลาดอีก ผมจะไม่คิดเงินค่าจ้างจากท่านสักบาท”
“พี่ก้อง...เขาออกมาแล้ว” หนุ่มวัยรุ่นสะกิดสีข้างของพี่ชาย
“แค่นี้ก่อนนะครับท่าน ถ้ามีอะไรคืบหน้ากว่านี้ผมจะโทรไปรายงานใหม่” ก้องรีบเปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่งอย่างว่องไว ขณะที่คนเป็นน้องรีบสตาร์ทรถยนต์ขับตามรถแลนด์โลเวอร์สีดำไปอย่างห่างๆ เพื่อไม่ให้คนถูกตามประกบผิดสังเกต
เสี่ยปองพลดึงบรูทูธที่เหน็บข้างหูออกวางบนโต๊ะทำงาน มืออวบอูมกดที่กลางหว่างคิ้วเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวที่รุมเร้า ทั้งคืนแทบไม่ได้พักผ่อนเพราะกังวลเรื่องหนุ่มลูกครึ่ง ขัดเคืองที่คนของตนไร้สมรรถภาพ ทำงานที่ได้รับมอบหมายไปไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าอาการปวดทั้งหลายพุ่งจี๊ดไปที่ศีรษะด้านหนึ่ง ทำให้ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเคาะประตู และการปรากฏตัวของบุตรสาว
เพชรพลอยนิ่วหน้าเมื่อเห็นอาการของบิดา มือเรียวยื่นเข้าไปอังแถวหน้าผากและข้างแก้มของเสี่ยปองพล พร้อมทั้งไต่ถามด้วยความเป็นห่วง “ป๊าไม่สบายรึเปล่าคะ หรือว่าไมเกรนขึ้นอีกแล้ว”
“ไม่...ไม่ ป๊าไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกลูก แค่เครียดไปหน่อย”
“หยกว่าไม่หน่อยแล้วล่ะค่ะ เส้นเลือดปูดออกมาซะขนาดนี้ ป๊าทานยาระงับปวดก่อนไหมคะ” เพชรพลอยก้าวไปยืนด้านหลังเก้าอี้ ช่วยนวดคลึงศีรษะของบิดาอย่างแผ่วเบา
“ป๊าไม่ปวดอะไรมากมาย และอีกอย่างเส้นเลือดที่ขมับมันก็ปูดเป็นปกตินี่ลูก” คนเป็นพ่อหลับตายอมรับการปฏิบัติพัดวีของบุตรสาว อาการปวดที่มีอยู่ค่อยๆ ทุเลาลง
“แล้วนี่ป๊าเครียดเรื่องอะไรคะ หรือว่าเครียดเรื่องงาน
ป๊าโอนมาให้หยกก็ได้ค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องงานหรอกลูก เรื่องเดิมๆ นั่นแหละ นี่ป๊าสั่งให้คนของป๊าประกบเจ้าไรท์มันไว้แล้ว”
“เราทำแบบนี้จะดีแน่เหรอคะ หยกกลัวว่าเหตุการณ์มันจะรุนแรงบานปลายไปจังค่ะ”
“ถ้าพวกนั้นไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ป๊าก็คงไม่ลงมือ จ้างคนมาทำงานแบบนี้หรอก”
“พวกคุณลุงสินทวีกับคุณนาตยาเขาจะรู้ไหมคะ...ว่าเป็นเราที่คอยอยู่เบื้องหลัง” เพชรพลอยยังคงเป็นกังวล
“ถึงรู้ว่ามีพวกเราอยู่เบื้องหลัง พวกนั้นก็ไม่สนใจอยู่ดี ลองคนเราคิดจะทำชั่ว ยังไงมันก็ต้องทำให้ได้อยู่ดีนั่นล่ะ” เสี่ยปองพลเบ้ปาก ก่อนดึงมือลูกสาวออกเพื่อเปลี่ยนบทสนทนา “ป๊าหายปวดหัวแล้วไม่ต้องนวดให้ป๊าหรอก...แล้วนี่หยกเข้ามาหาป๊านี่มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“ค่ะ...หยกจะมาเตือนป๊าว่าใกล้ถึงเวลานัดกับมิสเตอร์โรเบิร์ตแล้วค่ะ”
“ไปๆ นี่เตรียมเอกสารให้ป๊าแล้วใช่ไหม” เสี่ยปองพลว่าพลางขยับกายลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉง ทีท่านั้นผิดเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ก่อนลิบลับ
“แหมป๊าพอเป็นเรื่องเงินเรื่องทองล่ะไม่ได้เชียว อาการปวดหัวหายไปไหนแล้วนี่” เพชรพลอยแซวบิดา มือเรียวขยับเข้าคล้องแขนของคนเป็นพ่อ ก่อนพาเดินออกจากห้องทำงาน
“อ้ะไม่ได้หรอก จะไปพบลูกค้าทั้งทีจะทำท่าทางซังกะตายเหมือนคนอมโรคได้ยังไง เขาได้หมดความเชื่อถือกันพอดี”
“ค่า” เพชรพลอยยิ้มล้อเลียน “ถ้าอย่างนั้นหยกขอเวลาห้านาที เข้าห้องน้ำไปเมคอัพหน้าเพิ่มก่อนได้ไหมล่ะคะ”
“ตามใจอยากทำอะไรก็ตามใจเราเถอะ” เสี่ยปองพลอนุญาตยิ้มๆ เพียงแค่ลับร่างของบุตรสาวใบหน้ายิ้มแย้มก็แปรเปลี่ยน ใบหน้าอวบอูมนั้นดุดันอย่างน่ากลัว เพราะเรื่องที่คอยก่อกวนตะกอนขุ่นในจิตใจ เรื่องของเรวินทร์ ไม่มีทางที่เขาจะพลาดอีกเป็นหนที่สองแน่
.
.
.
.
.
อิสรีย์เปิดเปลือกตาขึ้นหลังจากที่รู้สึกตัวตื่นเต็มที่ หลังจากได้นอนหลับเต็มอิ่มเกือบสองชั่วโมง เธอรู้สึกร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก แม้กายจะสดชื่นหากจิตใจกลับประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อคิดว่าจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับคนที่ไม่คุ้ยเคยแล้ว เธอนึกอยากจะหลับไม่ตื่นตลอดกาล แต่...จะมัวมากลัวอยู่อย่างนี้มันก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา สู้เผชิญหน้าไปเลยตรงๆ ดีกว่า
อีกอย่างทุกคนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ดูอย่างตุ่มสิยังช่วยเป็นหูเป็นตาให้เธอเรื่องของชายหนุ่ม เจ้าอ้อแอ้ก็แค่แก่แดดไปหน่อย ส่วนเขาก็ดูเอาใจใส่เธอดี แค่ทำโกรธหน่อยเดียวเขาก็ยังเกรงอกเกรงใจเธอขนาดนี้ ถ้าใครได้เป็นสามีคงโชคดีตาย นึกๆ แล้วก็ให้อิจฉาผู้หญิงคนที่เธอสิงร่างชะมัดเลย ที่ได้คนทั้งหล่อและอยู่ในโอวาทมาครอบครอง
หลังจากรวบรวมกำลังใจได้แล้ว คนป่วยรีบออกจากห้องนอนไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำข้างๆ ที่อยู่ติดกับห้องนอนของเธอ เพื่อเพิ่มความสดชื่น โดยไม่ได้เอะใจสักนิดว่าตนเองรู้จักตำแหน่งแห่งหนห้องหับในบ้านได้อย่างไร เธอก้าวลงไปชั้นล่างและพบกับความว่างเปล่า
หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อเหลือบมองรอบกายแล้วไม่พบกับสมาชิกของบ้านสักคน เธอจึงออกสำรวจทุกห้องทุกส่วนของบ้าน ก่อนเดินมาหยุดอยู่ที่ห้องนั่งเล่นห้องอเนกประสงค์ของบ้าน ไม่มีใครอยู่จริงๆ ซะด้วย เธอถูกทิ้ง! อารมณ์น้อยใจมาจากไหนไม่รู้แล่นพุ่งขึ้นมาจุกถึงหน้าอก
“อ้อแอ้ คุณไรท์ ตุ่ม” อิสรีย์ลองขานเรียกชื่อของแต่ละคน ยังหวังว่าอาจมีใครสักคนอยู่ในบ้านบ้าง ทว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มีแต่ความเงียบสงัดเป็นคำตอบ
“ไม่! ฉันจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด” หญิงสาวสั่งตนเองยกมือเช็ดปาดหัวตาลวกๆ เธอต้องเข้มแข็ง มองโลกในแง่บวกเข้าไว้ พวกผู้ชายอาจจะแค่ออกไปหาซื้ออาหารมาทำกินกันก็ได้ พอนึกถึงเรื่องกินท้องของอิสรีย์ก็ร้องโครกครากขึ้นมาทันที เธอเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องนั่งเล่น...บ่ายสามโมง มิน่าล่ะทำไมเธอถึงได้รู้สึกหิวนัก
ร่างบางตรงไปยังห้องครัว ทว่าเพียงก้าวเท้าเข้าไปในห้องครัวเท่านั้น จู่ๆ เจ้าความรู้สึกวิงเวียนเหมือนโลกหมุนมาจากไหนไม่รู้ ทำให้เธอทรงกายแทบไม่อยู่ จนต้องคว้าเก้าอี้มานั่งกันไม่ให้ตัวเองล้มไปกระแทกกับพื้นอีกครั้ง
แล้วภาพของเหตุการณ์เมื่อวานพลันปรากฏขึ้นมาในหัว ภาพของเขาที่หันมองมาทางเธอด้วยท่าทางตระหนกตกใจ...เพียงเท่านั้นภาพทั้งหมดก็หายวับไปพร้อมๆ กับสติของอิสรีย์ที่ดับวูบ
++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น