ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักพี่เอ๋ย

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 55


    ๖.
     
                    อิสรีย์จ้องมองร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มผู้มีเค้าโครงหน้าอย่างชาวตะวันตก นัยน์ตาสีฟ้าใสกระจ่าง จมูกโด่งเป็นสันสวย ริมฝีปากบางเฉียบ ผมยาวสีน้ำตาลอมทองปลายหยักศกเล็กน้อย โดยรวมๆ แล้วชายผู้นี้จัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีเข้าขั้นทีเดียว
     
    ความหล่อเหลาของเขาทำเอาหัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง ก่อนจะสงบราบเรียบลงแบบรวดเร็ว เพราะจากสภาพของเขา เสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่ช่างขะมุกขะมอมเต็มทน ดวงหน้าอิดโรย มือข้างหนึ่งเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง ที่หลังแบกเป้ใบใหญ่ ด้านหน้ามีเจ้าตัวเล็กเกาะติดหนึบอยู่กับเอวไม่ต่างจากหมีโคอาล่าตัวน้อยเกาะต้นยูคาลิปตัส
     
    ความหล่อที่มีอยู่ลดลงไปเกือบครึ่ง ดูๆ ไปไม่ต่างจากฝรั่งหนีตายจากภัยสงครามที่ไหนสักแห่งมามากกว่า
     
                    การปรากฏกายของเขาสร้างความสงสัยให้แก่เธอเป็นอย่างยิ่ง...เขาเป็นใครมีความเกี่ยวข้องอันใดกับเธอ ทว่าหญิงสาวปากหนักเกินกว่าจะปริปากถาม
     
                    “คุณแม่คับ รอน้องแอ้นานไหมคับ” เจ้าตัวดีไถลลงมาจากตัวของเรวินทร์อย่างว่องไว ไม่ต่างจากลูกลิงที่ไต่ลงจากต้นไม้ วิ่งตึกตักหน้าแป้นแล้นไปหาผู้เป็นป้า
     
                    “ไม่นานจ้ะ”
     
                    “แล้วทานข้าวหรือยังคับ น้องอ้อแอ้มีโดนัทมาฝากด้วย”
     
                    อิสรีย์พยักหน้าแทนคำตอบ ไม่กล้าพูดมากเพราะกลัวถูกจับได้ เธอไม่กล้าแม้กระทั่งบอกอาการของตนเองให้นางพยาบาลและหมอฟัง กลัวถูกหาว่าเป็นโรคประสาท คงฟังดูเหลวไหลสิ้นดี ถ้าบอกเรื่องการสลับวิญญาณ ใครจะเชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แบบนี้ พูดง่ายๆ ก็คือเธอกลัวนั่นเอง กลัวว่าจะถูกจับส่งโรงพยาบาลโรคจิต แล้วโอกาสที่เธอจะสืบหาความจริง ฟื้นความทรงจำอาจกลายเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเงียบไว้เป็นดีที่สุด
     
                    “คุณแม่พี่เอ๋ยคับ” เด็กชายปีนขึ้นเตียง ก่อนจะสวมกอดอย่างคนรู้งาน “รีบเปลี่ยนชุดกันเถอะคับ ได้เวลากลับบ้านแล้ว”
     
                    ดวงตาคมสวยมองเด็กน้อยที่เบียดกระแซะอย่างลังเล ก่อนตวัดไปทางคนตัวสูงที่ยืนเด่นอยู่กลางห้องด้วยความสับสน
     
                    เรวินทร์ส่งยิ้มจืดกร่อยให้ พอจะอ่านสายตาแห่งความกังขาของเธอออก ขยับกายเตรียมอธิบายถึงมูลเหตุที่ทำให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ทว่าเสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นก่อน พร้อมๆ กับการก้าวเข้ามาของนายแพทย์และนางพยาบาล ทำให้เขาหมดโอกาสพูด
     
                    แพทย์เข้าตรวจเช็คอาการของหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่เจ้าตัวเล็กยังคงคลอเคลียไม่ห่างกายจากคนเจ็บ
     
                    หนุ่มลูกครึ่งถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง ไปๆ มาๆ แล้วเขาไม่สามารถสลัดเจ้าหนูนี่หลุดได้ซักที อุตส่าห์คิดว่าจะแอบหนีไปก่อนแล้วเชียว เพราะกลัวการเผชิญหน้ากับผู้ปกครองของเด็กชาย หากแต่แผนการทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า อ้อแอ้ราวกับนกรู้ตามติดเขายิ่งกว่าปลิง แถมเจ้าโจรกลุ่มเมื่อคืนยังตามราวีเขาไม่ลดละถึงที่พัก ทำให้เขาต้องโทรสั่งลุงอ๊อดช่วยเป็นธุระจัดการ เก็บสัมภาระที่คอนโดมิเนียมแล้วเอามามอบให้เขาที่โรงพยาบาลแห่งนี้แทน
     
                    เขากะว่าส่งสองพี่น้องคู่นี้กลับถึงบ้านจนปลอดภัย แล้วไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ จากนั้นค่อยออกเดินทางท่องเที่ยวไปจังหวัดกระบี่ต่อ
     
                    “หมอขอตัวก่อนนะครับ” เสียงนายแพทย์ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ความคิด คนเจ็บกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด โดยมีคุณพยาบาลกำลังช่วยประคองเข้าห้องน้ำ เพื่อเปลี่ยนชุดเตรียมกลับบ้าน
     
                    “เอ่อขอโทษครับมัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย” เรวินทร์กล่าวด้วยใบหน้าเก้อเขิน “เธอไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ”
     
                    คุณหมอเจ้าของไข้ยิ้ม ทว่ายังไม่ทันได้อธิบาย เจ้าจอมวุ่นชิงเล่าแจ้วๆ เสียก่อน “ห้ามโดนน้ำห้ามสระผมหนึ่งอาทิตย์ อาทิตย์หน้ามาตัดไหม อ้อแอ้จำได้นะคับ”
     
                    “เก่งมากครับ” คุณหมอชมเด็กชาย ก่อนหันมาเอ่ยสัพยอกกับชายหนุ่ม “คุณลูกความจำดีขนาดนี้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องดูแลคุณแม่แล้วนะครับ”
     
                    “ครับๆ” เรวินทร์รับคำ ขี้เกียจแก้ตัว เกรงว่าคุณหมอจะอายในเรื่องที่เข้าใจผิดนี้ เพราะถึงยังไงเขาก็คงไม่มีเหตุจำเป็นอันใดต้องมาเข้าโรงพยาบาล พบเจอคุณหมอเป็นหนที่สองอีกแน่
    .
    .
    .
    .
    .
     
                    อิสรีย์ลอบมองร่างสูงที่นั่งติดกันเป็นระยะๆ อดไม่ได้ต้องคิดเปรียบเทียบ เธอและเขาช่างดูต่างกันราวฟ้ากับเหว ถึงเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเธอจะค่อนว่าเขาเหมือนฝรั่งหนีตาย แต่ก็ยังดูดีกว่าสภาพการแต่งกายของเธอในยามนี้ยิ่งนัก ที่สวมใส่เพียงเสื้อยืดคอย้วยเนื้อผ้าบางเบา กับกางเกงวอร์มชายหลุดลุ่ยสีซีด ดูแล้วไม่เหมือนเป็นสามีกับภรรยากันสักนิด ถ้าบอกว่าเป็นคุณชายกับคนรับใช้ยังน่าเชื่อมากกว่า
     
                    หญิงสาวลอบระบายลมหายใจอย่างแผ่วเบา ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าต้องไปสนใจ และสงสัยอะไรกับความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้นักหนา พยายามปลอบตนเองว่ารสนิยมของคนเราไม่เหมือนกัน
     
                    เจ้าของร่างนี้มีหน้าตาคมเข้มแบบสาวไทยแท้ๆ คงจะถูกสเปคพ่อหนุ่มฝรั่งรูปหล่อนี่เข้าให้ละมั้ง แม้ดูท่าไลฟ์สไตล์จะต่างกันสุดขั้วก็ตามทีเถิด
     
                    ครั้นเมื่อเหลือบสายตาไปมองทางเด็กชาย
     
                    แปลกจริง! ทำไมถึงเธอมีความรู้สึกคุ้นเคยต่อพ่อหนูเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เธอก็เพิ่งเข้าสิงร่างของผู้หญิงคนนี้ไม่นานเท่าไหร่เลย แม้ไม่ใคร่อยากยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นลูกก็ตามทีเถอะ แล้วเจ้าลูกชายทำไมถึงหน้าตาไม่คล้ายคนเป็นพ่อเลยล่ะ แต่ก็ไม่กล้าถามความกลัวมันค้ำคอจนปริปากพูดไม่ออก
     
                    และเมื่อตวัดสายตากลับไปทางชายหนุ่มอีกครั้ง น่าประหลาด...ทำไมเธอถึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลได้นะ
     
                    ใช่ว่าเรวินทร์จะไม่รู้ตัว ว่ามีคนกำลังแอบมองเขาอยู่ แต่จะให้พูดอันใดได้ล่ะ ก็ในเมื่อเธอและเขาไม่ได้รู้จักมักจี่กันเสียหน่อย ไม่ต้องสนทนากันแหละดีแล้ว ส่งเธอกลับถึงบ้านเรียบร้อย ก็ทางใครทางมันอยู่ดี
     
                    คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงมองสองข้างทางด้วยอารมณ์รื่นรมย์ขึ้นนิดหน่อย แม้จะอึดอัดอยู่บ้างก็ตามที
     
                    หากแต่ความอึดอัดภายในห้องโดยสารรถแท็กซี่ กลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดายจากเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักของเรวินทร์
     
                    “ป๊ะป๋าแองเจิ้ล น้องแอ้อยากทานโดนัทจังเลยคับ”
     
                    “ก็เอาสิครับ” เขาว่าพลางช่วยเปิดกล่องโดนัทให้เด็กชาย
     
                    มือเล็กป้อมหยิบขนมขึ้นมาสองชิ้น แล้วยื่นอันหนึ่งส่งให้หญิงสาว “คุณแม่พี่เอ๋ยคับ น้องแอ้ให้คับ”
     
                    “ยังไม่หิวจ้ะ น้องแอ้ทานก่อนเถอะ” อิสรีย์ปฏิเสธ ไม่นึกอยากอาหาร
     
                    “งั้นน้องแอ้ทานล่ะนะคับ” ว่าแล้วเด็กชายก็งับขนมเข้าไปเต็มคำ ไม่สนใจผู้ใหญ่สองคน พลางชมไม่ขาดปาก “อร่อยจิงๆ เลย”
     
                    กินจนหมดชิ้นแล้ว เจ้าจอมตะกละพึ่งนึกออกว่าตนลืมมารยาทอันแสนดีงาม ที่คุณป้ายังสาวเฝ้าเพียรสอนอยู่บ่อยครั้ง เวลารับของจากผู้ใหญ่ให้กล่าวคำขอบคุณพร้อมทั้งกราบงามๆ และถ้าของชิ้นไหนถูกใจเจ้าหนูมากๆ ก็ให้จุ๊บแก้มเป็นการขอบคุณหนึ่งทีด้วย ว่าแล้วเด็กชายไม่รอช้าลงมือปฏิบัติการทันที รีบไถลลงจากตักไปนั่งบนเบาะ แทรกกลางระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองคน
     
                    “ขอบคุณนะคับที่ซื้อโดนัทให้น้องแอ้” เจ้าหนูทำทั้งสองอย่างคือกราบงามๆ กับชะโงกหน้าไปจุ๊บแก้มของเรวินทร์หนึ่งที
     
                    เรวินทร์อมยิ้มกับกริยาน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กชาย หากแต่เจ้าจอมวุ่นไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวน้อยหันมาเจ้ากี้เจ้าการกับคนเป็นป้า “คุณแม่พี่เอ๋ยก็ต้องจุ๊บขอบคุณป๊ะป๋าแองเจิ้ลด้วยนะคับ ถ้าไม่ได้คุณป๊ะป๋าช่วยเมื่อคืน คุณแม่พี่เอ๋ยต้องแย่แน่ๆ มาเร็วๆ จุ๊บหนึ่งทีด้วย”
     
                    คนโดนสั่งให้จูบเบิกตาโต ใจอยากร้องกรี๊ดเต็มเสียง...ทำไมฉันต้องหอมแก้มอีตาฝรั่งนี่ด้วย!!
     
                    เรวินทร์พยายามกลั้นหัวเราะแทบแย่กับท่าทางของหญิงสาวในยามนี้ วงหน้าซีดเซียวซับสีชมพูระเรื่อดูน่ารักน่ากอด ริมฝีปากจิ้มลิ้มขบเม้มกันแน่น แบบคนตัดสินใจไม่ถูก
     
                    อิสรีย์ครุ่นคิดอย่างอื้ออึง จะทำเช่นไรดีถ้าไม่จูบ จะโดนสามีและลูกของผู้หญิงที่เธอสวมร่างอยู่สงสัยไหมเนี่ย ว่าไม่ใช่ภรรยาและแม่ตัวจริงของพวกเขา เธอเหลือบมองใบหน้าคมคายที่แตะแต้มรอยยิ้มน้อยๆ อย่างประหวั่นพรั่นพรึง ก่อนตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
     
                    จูบก็จูบวะ! แค่นี้ไม่สึกหรอเท่าไหร่หรอก แล้วนี่ก็ไม่ใช่ร่างของเธอสักหน่อย
     
                    และโดยที่หนุ่มลูกครึ่งไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากนุ่มของหญิงสาวแตะเข้าที่มุมปากของเขาอย่างแผ่วเบา กระทำการเสร็จเจ้าตัวก็รีบหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
     
                    เรวินทร์รู้สึกเหมือนลมหายใจของตนสะดุด นัยน์ตาสีฟ้าใสเบิกโตอย่างคาดไม่ถึง ว่าคนข้างกายจะกล้าทำ กล้าจูบเขาจริงๆ ใจหนุ่มกระตุกกับร่องรอยอุ่นๆ ที่เธอทำไว้
     
                    “ฮะ ฮะ ฮ่า จุ๊บกันแล้ว” พ่อหนูน้อยหัวเราะคิกคักตบมืออย่างชอบอกชอบใจ
     
                    ใบหน้าของสองหนุ่มสาวกลายเป็นสีแดงแปร๊ดอย่างห้ามไม่อยู่ ห้องโดยสารตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความขัดเขิน หากแต่ช่วงเวลาหวานๆ คงอยู่ได้ไม่กี่วินาทีเท่านั้นก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง จากเด็กชายโอสธีตัวทำลายบรรยากาศเจ้าเก่า
     
                    “กิ๊วๆ พี่เอ๋ยหน้าไม่อาย มาจุ๊บแก้มพี่แองเจิ้ลของเขาได้ยังไง” เจ้าจอมแสบล้อเลียนอย่างคึกคะนอง
     
                    หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ได้สำเหนียกถึงสรรพนามเรียกขานที่เปลี่ยนไปของเด็กชาย รู้สึกเหมือนว่าเลือดลมมันตีกลับไปกลับมาเท่านั้น เจ็บใจที่ดันบ้าจี้ทำตามคำสั่งของเด็กบ้าไปโดยไม่คิด อะไรก็ไม่ร้ายเท่าคนตัวโตที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะสุดฤทธิ์
     
                    โอ๊ย! โกรธ! โกรธ! เขากับเด็กบ้ารุมแกล้งเธอ...คนเจ็บคิดอย่างพาลๆ
     
                    “เจ้าอ้อแอ้” อิสรีย์กดเสียงต่ำ กัดฟันข่มกลั้นโทสะที่จวนเจียนจะระเบิดเต็มที
     
                    “หนูแค่พูดล้อเล่นเฉยๆ เองนะ ชิ! ทำไปได้” คำพูดที่ออกจากปากเล็กๆ นั่นยิ่งกว่าเติมเชื้อไฟให้หญิงสาว ความโกรธอายปะทุอย่างห้ามไม่อยู่
     
                    อ๊ากกกก! ทนไม่ไหวแล้วเฟ้ย!
     
                    มือบางดึงแก้มยุ้ยๆ ของเด็กแก่แดด ด้วยความหมั่นเขี้ยวหนึ่งที
     
                    “โอ๊ย! หนูเจ็บนะ” อ้อแอ้ร้องพลางทำท่าเจ็บปวดเกินจริงเสียมากมาย
     
                    “นี่คุณ อย่าทำเด็กแบบนี้สิ!” เรวินทร์ที่หลงเชื่อมายาของเจ้าตัวเล็ก คว้าข้อมือบางเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เธอลงโทษเด็กชายอีก
     
                    “ไม่ต้องมายุ่ง แม่ลูกเขาจะสั่งสอนกัน” อิสรีย์ปัดมืออีกฝ่ายออกเต็มแรง โกรธทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า
     
                    “แต่ก็ไม่สมควรทำร้ายร่างกายกันนะครับ”
     
                    “ไม่เคยได้ยินสุภาษิตไทยรึไง รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” หญิงสาวเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
     
                    “แล้วอ้อแอ้ทำผิดอะไรครับ คุณถึงได้ลงโทษ” น้ำเสียงนุ่มๆ ทวงถาม ใบหน้าคมคายอมยิ้มน้อยๆ
     
                    อิสรีย์นิ่งอึ้งด้วยรู้ดีว่าอ้อแอ้นั้นไม่ผิดอะไรเลย ความผิดนั้นมีอยู่น้อยนิด แค่หลอกให้เธออับอายขายขี้หน้าเท่านั้นเอง หญิงสาวยอมเลิกราเมินหน้าหนีไปอีกทางรู้สึกขัดเคืองคนตัวโตเหลือกำลัง เพราะเขาคนเดียวทำให้เธอกลายเป็นคนแย่ๆ คนผิดไปได้แบบง่ายดาย
     
                    “คุณแม่พี่เอ๋ยรังแกหนู” เจ้าตัวแสบออเซาะชายหนุ่มข้างกาย “ป๊ะป๋าแองเจิ้ลต้องทวงความเป็นธรรมให้หนูด้วย”
     
                    อิสรีย์ปรายตาค้อนสองพ่อลูกกำมะลอด้วยความหมั่นไส้ มือบางกำแน่นเพียรข่มความโกรธเต็มที่ ลองสิ ลองเขาพูดประโยคไม่น่าฟังออกมาอีกสักคำเดียวสิ แม่เอาตายแน่!
     
                    หากแต่เรวินทร์ไม่ได้คล้อยตามพ่อหนูน้อย เขาตบบ่าเล็กเพื่อห้ามปราม “เลิกล้อคุณแม่ได้แล้วนะครับ”
     
                    “ก็ได้” อ้อแอ้ทำปากยื่นยอมสงบศึกชั่วคราว ความสนใจย้ายไปอยู่ที่วิวสองข้างทางอย่างรวดเร็ว ตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นสถานที่คุ้นตา รีบร้องสั่งคนขับรถแท็กซี่ “จอดตรงนี้ๆ เลยคับ ถึงแล้ว”
     
                    ทันทีที่รถแท็กซี่จอดสนิท อิสรีย์เปิดประตูก้าวลงจากรถเดินเซๆ ไปหยุดยืนอยู่หน้าบ้านสไตล์โมเดิรน์ ตัวบ้านทาสีขาวหลังคามุงด้วยกระเบื้องสีน้ำเงิน บ้านเดี่ยวหลังกะทัดรัดบนเนื้อที่ขนาดห้าสิบตารางเมตร หญิงสาวเผลอถอนหายใจยาว...ไม่รู้สึกคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้สักนิด
     
                    “พี่เอ๋ยจะไปไหนคับ บ้านเราหลังนี้ต่างหาก ลืมแล้วหรือไง” เจ้าตัวดีตะโกนร้องบอกเสียงแจ้วๆ มือเล็กป้อมจับอยู่ที่ประตูบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามไว้ บ้านหลังนั้นมีลักษณะรูปทรงไม่ผิดแผกไปจากบ้านตรงหน้าของเธอซักเท่าไหร่ ต่างกันเพียงแค่เลขที่บ้านและสีประตูรั้วเท่านั้น
     
                    อิสรีย์หมุนตัวเดินกลับก่อนรู้สึกถึงอาการวิงเวียนที่ตีตื้นขึ้นมา เธอหรี่ตากับแสงแดดจัดจ้ายามบ่ายแค่ยืนกลางแดดไม่กี่นาที ทำไมถึงรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงได้ขนาดนี้ไม่รู้
     
                    “พี่แองเจิ้ลลงมาสิคับ” อ้อแอ้วิ่งเข้ามาฉุดมือของหนุ่มลูกครึ่ง ไม่ได้สนใจคนเป็นป้าสักนิด เจ้าตัวดีรีบคว้ากระเป๋าเดินทางของเขาแล้วลากลงจากรถ
     
                    เรวินทร์ลังเล...คราแรกเขาตั้งใจจะส่งสองพี่น้องลงแค่ที่หน้าบ้านเท่านั้น แล้วกะจะนั่งแท็กซี่ต่อไปสถานีตำรวจเลย แต่เมื่อเห็นอาการไม่ค่อยดีของหญิงสาว ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเดินทาง รีบจ่ายเงินค่าแท็กซี่แล้วเดินตรงไปยังหญิงสาวที่ยืนหน้าซีดหน้าเซียว
     
                    “รู้สึกเป็นยังไงบ้างคุณ” มือใหญ่เอื้อมมาแตะที่ต้นแขนเรียวอย่างแผ่วเบา
     
                    “ฉันไม่เป็นไร” อิสรีย์พยายามขืนกายออกจากการเกาะกุมของมือหนา ก่อนจะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน โชคดีที่ชายหนุ่มเฝ้าระวังอยู่แล้ว จึงเข้าช่วยประคองร่างอ่อนปวกเปียกไม่ให้ล้มลงไปคลุกฝุ่น
     
                    “หน้าซีดขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” เรวินทร์เอ็ดเสียงไม่จริงจังนัก
     
                    “ไม่ต้องยุ่ง!” คนป่วยยังไม่วายปากดี ทั้งๆ ที่ตัวเองยืนจะไม่ไหวอยู่แล้ว ต้องพิงอกเขาไว้แท้ๆ
     
                    “หัดเจียมสังขารซะบ้างสิ” หนุ่มลูกครึ่งว่าให้อย่างเหลืออด ก่อนตัดสินใจอุ้มร่างบอบบางขึ้นในวงแขน
     
                    อิสรีย์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากต่อว่าเขา กลับมีเสียงตวาดของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นซะก่อน
     
                    “เฮ้ย! ไอ้ฝรั่งหัวแดงจะทำอะไรพี่เอ๋ยวะ” หนุ่มวัยรุ่นร่างผอมแกร็นชี้นิ้วมาทางเรวินทร์ หน้าตาดูขึงขังยิ่งนัก ขณะก้าวเดินออกมาจากบ้าน
     
                    “อาตุ่มๆ” อ้อแอ้กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ สองแขนป้อมชูร่า “อุ้มๆ”
     
                    ชายชื่อตุ่มรีบอุ้มร่างเล็กป้อมขึ้นสะเอว มองหนุ่มลูกครึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่รู้ว่าจะพูดกันรู้เรื่องไหม หากก็ยังไม่วายขู่สำทับชายหนุ่มเสียงดังก้อง “รีบปล่อยพี่เอ๋ยลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”
     
                    เรวินทร์เขม้นมองคนตรงหน้า เห็นกริยาอาการดีใจของเด็กชายไม่ต้องบอกก็เดาได้ ว่าคงเป็นญาติของทั้งสองคนนี่แน่ๆ เลย เขาค่อยๆ วางเธอลงบนพื้น หากแต่อิสรีย์ยังยืนไม่ใคร่จะมั่นคงนัก เธอจำต้องอิงร่างสูงไว้ก่อน เมื่อเธอตั้งหลักได้แล้ว เขาจึงขยับออกห่าง แต่ก็ไม่ไกลเกินรัศมีมือเอื้อม
     
                    “พี่เอ๋ยก็เหมือนกันเป็นสาวเป็นนางให้ผู้ชายกอดอุ้มนี่มันใช้ได้รึ ไม่รู้จักหวงตัวเสียบ้าง นี่มันเมืองพุทธนะ หรือคิดว่าพ่อกำนันไม่อยู่จะทำอะไรก็ได้ ถ้าตุ่มไม่มาเห็นจะเป็นยังไงนี่” ตุ่มตักเตือนเสียงเข้ม
     
                    คิ้วเรียวของอิสรีย์ขมวดฉับ ดวงตาคมหวานมองชายผู้มาใหม่อย่างเอาเรื่อง เธอไม่รู้หรอกว่าคนที่กล่าวหาเธอฉอดๆ นี่เป็นใคร เกี่ยวพันยังไงกับเจ้าของร่างนี้ หากแต่ความรู้สึกลึกๆ ของเธอไม่มีความกลัวเกรงต่ออีกฝ่ายสักนิด หน้าอ่อนๆ แบบนี้ คนที่เป็นฝ่ายไล่บี้น่าจะเป็นเธอมากกว่า มือเรียวกำต้นแขนชายหนุ่มแน่น
     
                    เรวินทร์เห็นท่าไม่ดีกำลังจะแก้ตัวแทนคนป่วยอยู่เชียว หากแต่เธอกลับชิงเป็นฝ่ายโต้กลับแทนเขาเสียก่อน “ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันเลย นายมีสิทธิอะไรมาสั่งสอนฉัน เป็นพ่อของฉันรึไง”
     
                    “พี่เอ๋ยผมหวังดีนะ” ตุ่มกล่าวเสียงอ่อย ใบหน้าเริ่มจืดเจื่อนเมื่อหญิงสาวทำเสียงแข็งเข้าใส่ “ใครเห็นจะเอาไปนินทาได้นา คนอื่นจะมองว่าเราเป็นผู้หญิงไม่ดี”
     
                    หากแต่ความห่วงใยของตุ่มไม่ได้ทำให้อิสรีย์รู้สึกดีขึ้นมาได้เลย มันมีแต่สร้างความหงุดหงิดให้กับเธอมากกว่า
     
                    “ใครมันอยากนินทาก็ปล่อยไปสิ สนใจทำไม ไม่ได้ขอใครกินเสียหน่อย”
     
                    “ยังไงพี่เอ๋ยก็ควรนึกถึงหน้าของพ่อกำนันเมฆไว้ให้มากๆ ถ้าไม่อยากให้พ่อขายขี้หน้าเขาไปทั้งตำบล อย่าให้เป็นเหมือนพระเอ้เลย”
     
                    คำเตือนของตุ่มไม่ต่างอะไรกับเอาน้ำมันเบนซินราดบนกองไฟ ไฟแห่งโทสะของอิสรีย์ลุกพึ่บพับ เธอไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้โกรธตุ่มหนักหนา แต่คร้านจะหาสาเหตุในตอนนี้ นอกจากฟาดฟันอีกฝ่ายด้วยวาจา “ทำไมหน้าก็หน้าฉัน นายเกี่ยวอะไรด้วย มันหนักส่วนไหนของนาย”
     
                    “พี่เอ๋ยผมอุตส่าห์เตือนพี่ดีๆ นะ” ตุ่มก้มหน้าจ๋อยๆ
     
                    หญิงสาวไม่ได้รู้สึกสงสารสักนิด ยังคงเชือดเฉือนอีกฝ่ายต่อไม่ไว้หน้า “นายไม่ใช่พ่อฉันสักหน่อย ขนาดพ่อยังไม่เคยว่าฉันสักคำแล้วนายเป็นใคร ถึง...อุ๊บ!”
     
                    มือใหญ่เอื้อมมาปิดปากของอิสรีย์เอาไว้ พร้อมทั้งกล่าวทักท้วงเสียงนุ่ม “หยุดเถอะครับ แค่นี้ตุ่มก็กลัวคุณจะแย่แล้ว”
     
                    ทว่าตุ่มจะสำนึกบุญคุณของเรวินทร์ก็หาไม่ โวยลั่นทันทีเมื่อเห็นเรวินทร์ขยับชิดใกล้อิสรีย์เกินความจำเป็น “แน่ะๆ ไอ้ฝรั่งลามกออกห่างจากพี่เอ๋ยเดี๋ยวนี้เลยนะ พี่เอ๋ยก็เหมือนกันปล่อยไปให้มันกอดอยู่ได้”
     
                    ครานี้อิสรีย์ฉุนขาด เธอแกะมือหนาที่ปิดปากเธอไว้ออก เคืองแทนคนข้างตัวที่ไม่ยอมตอบโต้อะไรเลย
     
                    “ทำไมเขาจะกอดไม่ได้ เขาเป็นสามีฉันนี่ เขามีสิทธิ์แล้วฉันจะกอดจะหอมหรือแตะต้องตัวเขา ฉันผิดตรงไหนหา” ว่าแล้วอิสรีย์ก็ทำอวดเจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนั่นซะเลย ด้วยความรวดเร็วแขนเรียวตวัดเข้าที่คล้องคอของชายหนุ่ม รั้งใบหน้าเขาให้ก้มลงมาเพื่อที่เธอจะได้หอมแก้มของเรวินทร์อย่างถนัดๆ หน่อย
     
                    “เฮ้ย!” สองหนุ่มร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างพร้อมเพรียงกัน
     
                    ส่วนเจ้าตัวเล็กตบมือชอบใจแทน “คิก คิก จุ๊บกันอีกแล้ว ฮ่า ฮ่า พี่เอ๋ยเก่งจิงๆ เลย”
     
                    “ผมจะฟ้องพ่อกำนันเดี๋ยวนี้แหละ” ตุ่มรีบกดโทรศัพท์หาบิดาของอิสรีย์ทันที
     
                    เรวินทร์ปวดหัวยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเรื่องมันชักจะเลยเถิดไปใหญ่แล้ว พยายามแกะมือเรียวที่เกาะกอดแขนเขาไว้ออกอย่างนุ่มนวลที่สุด ไม่เข้าใจเธอว่าต้องการอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้พูดจาชวนให้คนเข้าใจผิดเช่นนั้นออกมา ทั้งที่ความจริงแล้วเขากับเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ อย่างที่เธอกล่าวอ้างสักนิด แทบไม่เคยเกี่ยวข้องกัน พึ่งพบหน้าพูดคุยแทบนับประโยคได้
     
                    หากแต่ข้อสงสัยของเขากลับลืมเลือนไปแทบทันที เมื่อสายตาไปสะดุดร่างของชายสองคน พวกมันเดินด้อมๆ มองๆ ตามบ้านแต่ละหลัง คิ้วเข้มขมวดยู่เมื่อจดจำได้แม่น ชายสองคนนี้อยู่ที่คอนโดมิเนียมของเขาเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว และทำไมถึงได้มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้อีกล่ะ เป็นไปได้ว่า...พวกโจรร้ายกำลังตามล่าหาตัวเขาอยู่
     
                    เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนรอบข้าง หนุ่มลูกครึ่งรีบลากแขนของคนเจ็บกลับเข้าบ้านพร้อมทั้งให้เหตุผล “รีบเข้าบ้านเถอะครับ อยู่กลางแดดนานๆ แบบนี้อาการของคุณจะแย่เอานะครับ”
     
                    “อย่าเข้ามานะ” ตุ่มพยายามจะขัดขวาง กั้นทางไม่ให้เขาและอิสรีย์เข้าบ้าน “ไม่ให้เข้าโว้ย ฟังภาษาคนไม่ออกรึไงฟะ”
     
                    แต่เรวินทร์ไม่สนเสียงโวยวายนั้น ก่อนที่พวกนั้นจะรู้ว่าเขาแอบหลบอยู่ที่นี่ แม้มีกำแพงมนุษย์ขวางกั้นอย่างตุ่มเขาก็จะทะลายมันไปให้ได้
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×