ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5
๕.
เรวินทร์ระบายลมหายใจออกมายืดยาวด้วยความโล่งใจ ที่สามารถพาหญิงสาวซึ่งเขาเข้าใจไปเองว่า เป็นพี่สาวของเด็กชายมาส่งถึงมือแพทย์จนได้ แม้ทุลักทุเลไปหน่อยก็ตามที อาจเป็นเพราะความตกใจทำให้พวกเขาลืมไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน แต่ยังดีที่เจ้าหนูมีไหวพริบพอ ให้เขาโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลจากโรงพยาบาลมารับ โชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ใกล้บ้านขับรถเพียงไม่กี่สิบนาที คนเจ็บถูกส่งถึงมือหมอได้อย่างทันการ
“ช่วยกรอกรายละเอียดและประวัติคนไข้ให้ด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลยื่นเอกสารมาตรงหน้าหนุ่มลูกครึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ซึ่งเขารับมันมาถืออย่างงงๆ แล้วเจ้าหน้าที่ชายก็อธิบายต่อ “เขียนเสร็จแล้วคุณก็เอามายื่นที่ช่องทำบัตรที่อยู่ข้างๆ นี่นะครับ”
“ครับๆ” เรวินทร์ผงกศีรษะรับคำ ก่อนจะพาเด็กชายโอสธีไปหาที่นั่งเพื่อเขียนประวัติของหญิงสาว
“พี่เอ๋ยมีชื่อจริงว่าอะไรครับน้องอ้อแอ้” เรวินทร์เริ่มต้นถาม
“เด็กชายโอสธี พุ่มพนาวัลย์” อ้อแอ้หาวหวอดๆ ตอบไปคนละทาง เพราะความง่วงที่เข้าจู่โจม ทำให้จับใจความคำถามของชายหนุ่มได้เพียงเล็กน้อย
เรวินทร์รู้สึกสะดุดกับนามสกุลของเด็กชายตงิดๆ หากแต่ก็พยายามจะซักไซ้ต่อ “ไม่ใช่นะครับ พี่ถามถึงชื่อจริงของพี่เอ๋ยนะ อ้อแอ้รู้ไหม”
“แล้วหนูจะรู้ไหมล่ะ หนูเป็นเด็กอายุแค่ห้าขวบเองนะ พี่เป็นแองเจิ้ลไม่ใช่เหรอ พี่น่าจะรู้ชื่อจริงของพี่เอ๋ยสิ” เด็กชายตอบเสียงเบา ดวงตาหรี่ปรือจะหลับเต็มที
น่านเจ้าตัวดีกลับโบ้ยให้เป็นภาระของเขาซะงั้น
เรวินทร์ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ ไม่เชื่อว่าเด็กชายจะจดจำชื่อพี่สาวของตนเองไม่ได้ ทีตอนเรียกรถพยาบาลยังสามารถบอกทางคนขับรถได้เป็นฉากๆ ฉลาดเป็นกรดเชียว แล้วกะเรื่องแค่นี้จะไม่รู้ได้ยังไง แต่ที่แน่ๆ ที่เขารู้อย่างหนึ่งล่ะ คือบ้านของสองพี่น้องอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเขาเท่าไหร่
“ทีชื่อซอย ชื่อหมู่บ้านอ้อแอ้ยังจำได้เลย แล้วชื่อพี่เอ๋ยหนูจะไม่รู้ไดยังไงล่ะครับ”
“ที่จำได้เพราะพี่เอ๋ยให้หนูท่องที่อยู่กะเลขที่บ้านทุกวัน หนูก็ต้องจำได้สิ เกิดหลงทางจะได้บอกตำรวจให้ส่งกลับบ้านถูก”
“แล้วอ้อแอ้จำเบอร์โทรศัพท์ของใครได้บ้างครับ”
เด็กชายพยักหน้าพลางท่องหมายเลขโทรศัพท์เสียงเจื้อยแจ้ว “เบอร์โทรศัพท์ของพี่เอ๋ย 08x-xxx-xxxx คับ”
เรวินทร์ส่ายศีรษะจะมีประโยชน์อะไรกับเบอร์ของคนเจ็บ เพราะเจ้าตัวก็มานอนแบ็บอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว “เอ...แล้วอ้อแอ้พอจะจำเบอร์โทรศัพท์ของญาติๆ คนอื่นๆ ได้ไหมครับ เพราะพี่จำเป็นต้องใช้เลขบัตรประชาชนของพี่เอ๋ย”
“หนูไม่มีมือถือซักหน่อย หนูจะรู้ได้ยังไงล่ะ”
“เฮ้อ!” เรวินทร์ถอนหายใจเสียงดัง ชักเริ่มหมั่นเขี้ยวเจ้าหนูนี่ขึ้นมาตงิดๆ แล้วสิ เขาขี้เกียจจะซักไซ้ต่อ กรอกข้อมูลเท่าที่รู้ไปก่อนแล้วกัน ไว้กลับบ้านค่อยค้นดูเอกสารหลักฐานต่างๆ อีกที
“วันนี้พี่เอ๋ยทำกระเป๋าตังค์หาย พี่เอ๋ยบอกว่าในนั้นมีบัตรสำคัญเต็มไปหมด” จู่ๆ เด็กชายโอสธีก็พูดขึ้น ความง่วงงุนที่มีอยู่ในแววตาหายเกลี้ยง นัยน์ตากลมโตเป็นประกายแวววาว “หนูก็เลยมีพรข้อที่สองอยากจะขอ”
เรวินทร์เลิกคิ้วมองเจ้าตัวเล็กตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ สีหน้าสีตาดูเจ้าเล่ห์พิกล ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะหลับตาปี๋พร้อมกับยื่นสองมือมาตรงหน้าเขา
“ขอกระเป๋าตังค์ของพี่เอ๋ยคืนด้วยเถอะคับพี่แองเจิ้ล”
“ว่าแล้วเชียว” พรแต่ละข้อของเด็กชายทำเอาเรวินทร์ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที แล้วเขาจะไปหากระเป๋าเงินนั่นมาคืนได้อย่างไรล่ะ
เขาควรจะเลิกเล่นติ๊ต่างแบบนี้ได้แล้ว แต่ครั้นเมื่อเหลือบมองใบหน้าอันมุ่งมั่นของเด็กชาย บวกกับคดีเก่า...พรข้อแรกที่ทำไม่สำเร็จ ทำให้เขาไม่อยากขัดใจเดี๋ยวจะโวยวายเป็นเรื่องอีก อย่างไรคงเลิกตอนนี้ไม่ได้แน่ เขาตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการให้กระเป๋าเงินของตนแก่เจ้าหนูไปแก้ขัดก่อน ทว่ากระเป๋าเงินที่หยิบออกมานั้นกลับเป็นอีกใบหนึ่งแทน
“อ้าวผิดใบ” เรวินทร์พึมพำขณะที่มืออีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพื่อหยิบกระเป๋าเงินของตนออกมา แต่ไม่ทันกับเด็กชายที่ลืมตาขึ้น
“พี่แองเจิ้ลสุดยอด!” อ้อแอ้คว้ากระเป๋าเงินในมือเขาไปชู พลางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ไชโย! ในที่สุดก็ได้กระเป๋าเงินของพี่เอ๋ยคืนมาแล้ว”
“อ้ะ! กระเป๋าใบนั้นมันไม่ใช่นะครับ” หนุ่มลูกครึ่งพยายามจะทักท้วง แต่เจ้าตัวเล็กไม่ฟังเสียง เปิดกระเป๋ามาค้นอย่างถือวิสาสะ
“นี่รูปหนูตอนเป็นเด็ก น่ารักจิงๆ เลย ดูสิๆ” อ้อแอ้จูบรูปตัวเอง หลังจากนั้นก็ส่งรูปขนาดสี่พีของตนให้เรวินทร์ โดยไม่ได้สนใจใบหน้าเหลอหลาของชายหนุ่ม
“เดี๋ยวๆ นะ หนูจะบอกว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของพี่เอ๋ยเหรอ”
“ก็ใช่น่าสิ ไม่งั้นจะมีรูปของพี่เอ๋ยได้ยังไง...นี่เห็นเปล่ามีรูปพี่เอ๋ยเยอะแยะเลย” เจ้าหนูควักรูปของหญิงสาวออกมายื่นให้ดู
“จุดไต้ตำตอจริงๆ ” เรวินทร์รำพึงพลางลูบท้ายทอยไปมา ไม่คาดคิดว่าคนเจ็บจะกลายเป็นคนในบริษัทของอเมทิตส์ไปได้ แต่ก็ดีพรุ่งนี้เขาจะได้ไม่ต้องเข้าบริษัทไปพบทิษณุ เพราะได้ส่งมอบกระเป๋าคืนให้กับเจ้าของแล้ว จบเรื่องกันเสียที
ทว่าเรื่องมันไม่ได้จบง่ายดายอย่างที่ชายหนุ่มคิดไว้นะสิ กระเป๋าเงินของหญิงสาวไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง แม้จะมีเอกสารสำคัญของทางราชการ อย่างบัตรประชาชนหรือใบขับขี่ก็ตาม แต่มันหาได้มีเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆ หรือญาติสนิทสักคนของคนเจ็บไม่ ที่อยู่ที่ระบุไว้ในบัตรต่างๆ ของเธอนั้นไม่ใช่กรุงเทพมหานคร หากแต่เป็นจังหวัดใกล้ๆ เขตปริมณฑล
หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา คนเจ็บที่ได้รับการรักษาเรียบร้อยก็ออกจากห้องฉุกเฉิน ย้ายไปยังห้องพักฟื้น แพทย์เจ้าของไข้อธิบายอาการบาดเจ็บของหญิงสาวให้เขาฟังคร่าวๆ ซึ่งอาการของเธอนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแค่ศีรษะแตกเย็บไม่กี่เข็มเท่านั้นเอง พักดูอาการที่โรงพยาบาลหนึ่งคืนเช้าขึ้นก็กลับบ้านได้
เรวินทร์อุ้มเด็กชายที่หลับปุ๋ยคาบ่าของเขาไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เดินสำรวจห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล ห้องพักฟื้นวีไอพีที่หรูหรามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ต่างจากห้องพักในโรงแรม
หนุ่มลูกครึ่งค่อยๆ วางร่างเล็กบนเตียงเฝ้าไข้ แล้วห่มคลุมด้วยผ้าห่มของโรงพยาบาลที่จัดเตรียมไว้สำหรับญาติผู้ป่วย ก่อนจะเดินแวะเวียนไปยังเตียงของคนเจ็บที่หลับสนิท พิศหน้าตาของหญิงสาวแล้วให้นึกเปรียบเทียบ เธอดูต่างจากรูปถ่ายเยอะ ใบหน้าใสดูอ่อนเยาว์จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีอายุเฉียดสามสิบ อายุมากกว่าเขาตั้งหนึ่งปี
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ที่เรวินทร์นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงเพื่อมองหญิงสาวยามหลับ เธอซึ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา ตราบจนกระทั่งมีเสียงขออนุญาตของนางพยาบาล ปลุกให้เขาตื่นออกจากภวังค์ ชายหนุ่มหลีกทางเพื่อให้นางพยาบาลตรวจดูอาการของคนเจ็บ
เรวินทร์ไปทรุดนั่งอยู่บนโซฟาหนานุ่มอย่างเหม่อๆ ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาถึงได้ไปนั่งจ้องเธอแบบนั้น เขาพยายามหาคำตอบให้ตนเอง อาจเป็นเพราะ...เธอผู้เป็นเหตุแห่งความวุ่นวายโกลาหลในค่ำคืนนี้ เธอเป็นผู้สร้างความหวาดวิตกให้แก่เขาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้อยากรู้ว่าเมื่อยามตื่นนอน เธอจะมีสีหน้าแบบไหน ท่าทางกริยายามสนทนาจะเป็นเช่นใด...
เขาสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเอนกายหลับตาอย่างอ่อนล้า แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นที่อาศัยนอนที่ห้องคนป่วยด้วย จะกลับคอนโดมิเนียมก็กลัวภัยคุกคามจากทรชนชุดดำ และอีกอย่างยามนี้เขาไม่ใจดำพอจะทิ้งเด็กและคนป่วยไว้ตามลำพัง เช้าเมื่อไหร่ค่อยตามหาญาติๆ ให้สองพี่น้องนี้อีกที
.
.
.
.
.
เปลือกตาบางขยับขึ้นอย่างเชื่องช้า เจ้าความรู้สึกปวดแปลบร้าวรานไปทั้งศีรษะ ทำให้คนเจ็บเผลอนิ่วหน้าร้องครางออกมาเสียงเบา
“โอย!...เจ็บจัง”
มือเรียวขยับสำรวจบาดแผลเหนือศีรษะ ก่อนจะพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง เธอเหลียวมองรอบกายที่ไม่คุ้นเคยด้วยความมึนงงสุดขีด
“อุ้ย! พี่เอ๋ยตื่นแล้ว พี่เอ๋ยเป็นยังไงบ้างคับ พี่เอ๋ยเจ็บตรงไหนรึเปล่า” เสียงแจ๋วๆ รัวคำถามเป็นชุด ดังมาจากร่างเล็กป้อมที่ยืนค้างคาอยู่หน้าบานประตู ครั้นเมื่อรู้สึกตัวก็วิ่งถลาเข้าหาด้วยความดีใจ ก่อนที่เจ้าตัวยุ่งจะปีนป่ายขึ้นมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่บนเตียงเดียวกับเธอ
“เจ็บ
หัว” อิสรีย์ตอบนัยน์ตาเลื่อนลอย มือเรียวยกขึ้นแตะที่แผล เด็กคนนี้คือ
“โอ๋ โอ๋ ไม่เจ็บนะ เดี๋ยวหนูเป่าให้” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนเป่าลมลงไปกลางศีรษะของเธอ “เพี้ยงเดียวหาย”
คนเจ็บได้แต่กระพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนคุ้นๆ กับรูปประโยคปลอบประโลมแบบนี้เหลือเกิน ทว่าเจ้าตัวน้อยไม่ปล่อยให้หญิงสาวได้คิดวิเคราะห์นาน กระเป๋าหนังสีดำถูกยื่นมาจ่อแทบตรงหน้าเธอ
“หนูเจอกระเป๋าสตางค์ของพี่เอ๋ยแล้วนะ ดูสิๆ ดีใจไหม”
อิสรีย์รับกระเป๋ามาถือไว้อย่างงงๆ เธอทำกระเป๋าเงินหายตั้งแต่ตอนไหนนะ
“ได้ของคืนแล้วทำไงเอ่ย”
คนเจ็บมองเด็กน้อยอย่างมึนงง เจ้าหนูขัดใจที่คนเป็นป้าทำนิ่งเฉย นิ้วป้อมจิ้มที่แก้มยุ้ยของตนเอง สั่งเสียงเข้มสุดฤทธิ์ “สอนไว้เองแล้วทำเป็นจำไม่ได้ มาหอมแก้มขอบคุณน้องอ้อแอ้เร็วๆ เลยนะ”
ว่าแล้วก็ยื่นแก้มของตนให้ อิสรีย์ก้มลงไปหอมตามคำสั่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “เหม็นจัง”
เจ้าตัวน้อยทำตาโต ร้องแก้ตัวพันละวัน “ไม่จริง แก้มหนูหอมนะ พี่แองเจิ้ลล้างหน้าให้หนูตั้งแต่เช้าเลย”
“สวัสดีค่ะ” นางพยาบาลร่างท้วมก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ใบหน้ายิ้มแย้มถามไถ่อาการหญิงสาว “เช้านี้รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ”
“เอ่อ...คือ” คนเจ็บยังไม่ทันได้บอกอาการตนเอง นางพยาบาลผู้อารีปฏิบัติการอย่างว่องไว อุ้มเด็กชายลงจากเตียงมาพลางกำชับเสียงอ่อน
“คุณลูกอย่าเพิ่งกวนคุณแม่สิคะ คุณแม่ไม่ค่อยสบายเห็นไหมคะ”
“หนูไม่ได้กวนซะหน่อย ฮึ! หนูไปก็ได้” เจ้าตัวเล็กเถียงพลางทำปากยื่น กอดอกเดินอาดๆ ไปนั่งบนโซฟา หยิบรีโมตมากดดูทีวี
คุณพยาบาลยิ้มขันขณะช่วยปรับระดับเตียงให้คนไข้ ก่อนจัดแจงเอาหมอนอีกใบที่อยู่ในตู้ข้างเตียงออกมารองหลังให้กับอิสรีย์
“ขอบคุณค่ะ” คนเจ็บกล่าวขอบคุณเสียงแห้ง อาจเป็นเพราะศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน สติสตังจึงยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก ได้แต่นึกสงสัย...เธอมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมถึงจำไม่ได้
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ” นางพยาบาลหันมาถามซ้ำอีกครั้ง
“ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวตอบพลางปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
“อดทนสักนิดนะคะ เดี๋ยวทานยาหลังอาหารตามที่คุณหมอสั่ง อาการก็ค่อยยังชั่วขึ้นเองค่ะ” นางพยาบาลปลอบ “เดี๋ยวดิฉันจะเช็ดตัวให้นะคะ คุณจะได้สบายเนื้อสบายตัวขึ้น”
“คือ...ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมคะ” คนเจ็บลืมตาก่อนร้องขอเสียงเบา มือกำกระเป๋าหนังสีดำแน่นอย่างขัดเขิน
“อุ้ยตายจริง ขอโทษทีค่ะ ลืมไปเลย” คุณพยาบาลช่วยประคองอิสรีย์ลงจากเตียง พาไปยังห้องน้ำ ขณะที่รอก็จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว อิสรีย์เปิดก๊อกน้ำล้างมือสายตาเหลือบมองภาพสะท้อนในกระจกเงาอย่างไม่มั่นใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับภาพเงาของตนเอง
นี่ตัวเธอจริงๆ หรือ แล้วทำไมเธอถึงจำตัวเองไม่ได้ล่ะ
แผลที่ศีรษะส่งอาการปวดตุบๆ ทันที เหมือนว่าความคิดภายในกำลังตีกันวุ่นวายไปหมด นิ้วเรียวกดนวดหว่างคิ้วเพื่อบรรเทาความปวดร้าว ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้
อุบัติเหตุ!
จู่ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้น แล้วภาพสตรีสาวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื้อตัวเปื้อนเลือด ภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัย ตำรวจ รถพยาบาล ก็ตามมาสมทบอีกเป็นระลอก แล้วแว่วๆ เหมือนว่าจะได้ยินน้ำเสียงคุ้นๆ ประกาศชื่อ
จิตตา!
คิ้วเรียวที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดหนักเข้าไปใหญ่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคิดถึงชื่อนี้ขึ้นมา
เธอหยิบกระเป๋าที่วางเหนือขอบอ่างล้างหน้าขึ้นมาค้นดู เพื่อพิสูจน์ความเป็นตัวตนของตนเอง ทว่าชื่อที่ปรากฏบนบัตรสำคัญหลายใบกลับไม่ใช่ชื่อของจิตตา แต่เป็นชื่อของนางสาวอิสรีย์ พุ่มพนาวัลย์
ใบหน้าของหญิงสาวเผือดซีดด้วยความตระหนกตกใจ เมื่อความเข้าใจบางอย่างพลันก่อตัว
หรือว่า...เธอคือวิญญาณเร่ร่อน แล้วมาสิงร่างของผู้หญิงคนนี้!
“ไม่นะ! ไม่! ไม่!” หญิงสาวส่ายศีรษะแค่คิดว่าตนคือวิญญาณร้ายก็รับไม่ได้แล้ว จริงๆ แล้วเธออาจจะแค่กำลังสลับวิญญาณกับผู้หญิงคนนี้อยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นเธอต้องรีบหาร่างของตัวเองให้เจอโดยเร็วที่สุด แต่ร่างเดิมของเธอคือใครล่ะ
รู้แต่ว่าชื่อจิตตา แล้วอย่างอื่นก็นึกไม่ออกเสียแล้ว เป็นไปได้ว่า...
“โธ่เอ๊ย! นอกจากฉันจะสลับวิญญาณกับคนอื่นแล้ว ยังมาความจำเสื่อมอีก บ้าจริง!” คนเจ็บอุทานอย่างหงุดหงิดกับปัญหาซ้ำซ้อนถาโถมเข้ามา ไม่ได้สำเหนียกสักนิดว่าตนนั้นเข้าใจผิดไปใหญ่โตเลยทีเดียว
.
.
.
.
“ไม่เห็นมีการ์ตูนหนุกๆ เลย น่าเบื่อที่สุด ไปหาพี่แองเจิ้ลดีกว่า” อ้อแอ้บ่นหงุงหงิงกดปิดทีวีอย่างหงุดหงิด เมื่อชะเง้อคอมองแล้วยังไม่เห็นคนเป็นป้าจะออกจากห้องน้ำเสียที ก็รีบวิ่งตุบตับออกนอกห้อง ไปหาร่างสูงใหญ่ที่ยืนหลบมุมคุยโทรศัพท์อยู่แถวบันไดหนีไฟ
“พี่แองเจิ้ล” เด็กชายเรียกเขาเสียงเบา ดวงตากลมโตจ้องเป๋งที่กล่องโดนัทในมือของชายหนุ่ม พยายามเขย่งแข้งเขย่งขาเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย
“ไม่ ไม่เข้าแล้ว เออ...แล้วนายก็อย่าลืมทำเรื่องลางานให้คุณอิสรีย์แผนกไอทีด้วยล่ะ” เรวินทร์กำชับญาติสนิท
“ครับบอสสส” คนปลายสายลากเสียงยาวรับคำล้อเลียน ก่อนถามเข้าเรื่องที่สงสัย
“แล้วนี่นายไปรู้จักกับพนักงานในแผนกไอทีตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เอ๊ะๆๆ หรือที่เมื่อคืนแอบหนีงานเลี้ยงไป เพราะคุณผู้หญิงคนนี้รึเปล่านี่”
“ไว้ค่อยคุยทีหลังนะท๊อป ตอนนี้กำลังยุ่งแค่นี้ก่อนนะ” เรวินทร์ตัดบทไม่คิดเล่าถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ญาติสนิทฟัง เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายเป็นกังวล อีกอย่างมันอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้ พวกนั้นคงจับผิดตัวมากกว่า เขาตัดสายเพื่อนทิ้งอย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าตัวยุ่งกำลังมองเขาตาแป๋ว น้ำลายไหลเยิ้มแล้ว
“พี่แองเจิ้ลหิวรึยังคับ” เจ้าตัวน้อยถามเสียงละห้อย สีหน้าสีตาแสดงออกเต็มที่ว่าอยากกินขนมโดนัทในกล่องเต็มที่
“ยังไม่หิวครับ” เรวินทร์ตอบยิ้มๆ ไม่ได้อยากแกล้งเจ้าตัวเล็กนะ เพราะเมื่อชั่วโมงที่แล้วเขาเพิ่งพาเด็กชายไปทานมื้อเช้ารับอรุณ ที่ร้านอาหารของทางโรงพยาบาลมาหยกๆ ยังไม่ทันย่อยดีเลย ดูท่าอีกฝ่ายจะหิวไว หากแต่เขากลับถามไปอีกทาง
“แล้วนี่พี่เอ๋ยตื่นรึยังครับ”
“ตื่นแล้ว หนูอยากให้พี่เอ๋ยเห็นพี่แองเจิ้ลมากๆ เลยล่ะ” เจ้าตัวเล็กยอมละสายตาจากกล่องขนม มือเล็กป้อมเข้ามาจับจูงข้อมือใหญ่ อยากอวดเขาให้คนเป็นป้าดูเต็มแก่
“ไม่ดีมั้ง พี่ว่ารอติดต่อพวกญาติๆ คนอื่นดีกว่าไหม” เรวินทร์ขืนตัว เพราะยังจำท่าทางดุดันเอาเรื่องของหญิงสาวเมื่อคืนนี้ได้ติดตา ถ้าเธอไม่ล้มหัวฟาดพื้นไปเสียก่อน มีหวังเขาโดนเธอเล่นงานอานแน่
“ชาติหน้าตอนบ่ายๆ แน่ กว่าจะตามญาติๆ ครบ”
“ว่ายังไงนะครับ”
“ก็ปู่เคยบอกว่า ไม่มีใครอุตริเท่าพี่เอ๋ยอีกแล้ว พี่เอ๋ยนอกคอกที่สุดในหมู่บ้าน หนีมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว ตายก็คงไม่มีใครรู้ และถ้าพี่เอ๋ยอายุสามสิบแล้วยังไม่มีแฟนสักที ปู่จะพาพี่เอ๋ยกลับบ้านใส่ถุงแต่งงาน”
“ใส่ถุงแต่งงานเนี่ยนะ”
เรวินทร์งงกับคำพูดในตอนท้ายของเด็กชาย ถึงแม้เขาจะเป็นลูกครึ่ง มีมารดาเป็นชาวต่างชาติก็ตาม แต่เรื่องภาษาไทยนี่เขามั่นใจว่าใช้ได้ดีเชียวล่ะ พูดอ่านเขียนคล่องเพราะอยู่เมืองไทยตั้งแต่เกิดจนถึงอายุสิบห้าปี ก่อนจะย้ายตามมารดาไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ทุกคริสต์มาสเขาต้องกลับมาเยี่ยมบิดาเกือบทุกปี มีช่วงสองสามปีหลังนี้แหละที่เขาไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลย
“ใช่ใส่ถุงแต่งงงาน” เด็กชายพยักหน้าท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม
“เอ...น่าจะเรียกว่าคลุมถุงชนรึเปล่าครับ” หนุ่มลูกครึ่งเดา
“หนูไม่รู้หรอก แล้วมันเหมือนกันรึเปล่าล่ะคับ” เด็กน้อยหันมาถาม
“ก็อาจจะใช่มั้ง
แล้วอย่างนี้ก็ติดต่อหาญาติคนไหนไม่ได้เลยล่ะสิ”
“ถ้าพี่แองเจิ้ลอยากเจอญาติคนอื่นๆ ของอ้อแอ้ พี่แองเจิ้ลก็ต้องไปหาพี่เอ๋ยสิ ให้พี่เอ๋ยพาไปรู้จัก เดี๋ยวหนูจะบอกพี่เอ๋ยให้” เจ้าหนูรับอาสาก่อนวิ่งปรู๊ดหายไปในห้องพักฟื้นของอิสรีย์
เรวินทร์ลากเท้าตามไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง แต่เขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปข้างในอยู่ดี ได้แต่ยืนมองอยู่ด้านนอกแทน เห็นเพียงผ้าม่านสีเขียวคลุมรอบเตียงเอาไว้ ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเข้าไปในตอนนี้ดีไหม
ภายในห้องพักฟื้น...
ร่างเล็กป้อมเตรียมปีนขึ้นไปบนเตียงเดียวกับคนเจ็บ หากแต่ถูกคนเป็นป้าร้องห้ามและขับไล่ “ปีนไม่ได้นะ...ออกไปก่อนเลย”
“ทำไมหนูขึ้นไปบนเตียงนี้ด้วยไม่ได้ล่ะ” เด็กชายโอสธีทำหน้ายับยุ่งไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ยอมถอยแต่โดยดี
“มันเกะกะคุณพยาบาลเขา...” อิสรีย์บอกเหตุผล ก่อนจะเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างไม่แน่ใจ “นะลูก”
“ใช่ค่ะ ถ้ามีหนูอยู่ใกล้ๆ คุณพยาบาลจะช่วยเช็ดตัวให้คุณแม่ไม่ถนัดนะคะ” พยาบาลสาวร่างท้วมช่วยสนับสนุนคำพูดของคนเจ็บ
คิ้วเล็กๆ ขมวดมุ่นติดใจตรงคำว่า “ลูก” ที่ออกจากปากผู้เป็นป้า นิ้วเล็กๆ ชี้ไปที่อิสรีย์แล้วออกเสียง “คุณแม่
”
“คะ” อิสรีย์ขานรับหากเสียงอ่อยในตอนท้าย “...ลูก”
“คุณแม่ๆๆๆ คิก คิก”
“เรียกคุณแม่หลายๆ ทีทำไมหาลูก” ใบหน้าของคนเจ็บเริ่มส่ออาการหงุดหงิด ที่เจ้าตัวเล็กเรียกขานแล้วไม่ยอมพูดจาอะไร เอาแต่หัวเราะพุงกระเพื่อมไม่หยุด มันขัดตายังไงพิกล เหมือนว่ากำลังหัวเราะเยาะเธออยู่
“น้องอ้อแอ้ไปก่อนนะคับคุณแม่” ร่างกลมป้อมไหวสะท้าน มือเล็กๆ ยกขึ้นปิดปาก พยายามไม่เปล่งเสียงหัวเราะออกมา รีบวิ่งจู๊ดไปยังหน้าประตูไปหาเรวินทร์ที่ยืนรีรออยู่ไม่เข้ามาสักที
“พี่เอ๋ยเขาเป็นคุณแม่ล่ะ...ฮะ ฮะ” อ้อแอ้บอกเล่าหากยังขำไม่หยุด จินตนาการเริ่มเพริดแพร้ว
“อายุอานามก็ให้อยู่นา” เรวินทร์เห็นด้วย จริงๆ แล้วอาจเป็นแม่ลูกกันก็ได้ ไม่ใช่คู่พี่น้องอย่างที่เขาคิด
“เล่นพ่อแม่ลูกกันก็ไม่บอก” หากเด็กชายนั้นกลับเข้าใจไปอีกทาง ดวงตาที่หันมาสบกับชายหนุ่มเป็นประกายซุกซน มือป้อมกระตุกชายเสื้อเขายิกๆ “พี่แองเจิ้ลต้องเล่นด้วยกันนะ เล่นเป็นคุณพ่อให้หนูหน่อยจิ
ป๊ะป๋าคับ”
เรวินทร์เหวอไปเหมือนกันเมื่อเจอเจ้าหนูโมเมเอาหน้าตาเฉย แต่คร้านจะใส่ใจแล้ว เพราะธุระในตอนนี้ของเขายังไม่หมดลงเสียด้วยสิ ยังต้องไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คนเจ็บ แล้วไหนต้องไปแจ้งความกับตำรวจเรื่องเมื่อคืน แล้วยังต้องมากังวลกับเรื่องที่พักอีก ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยสักแค่ไหน
“อ้อแอ้เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนพี่เอ๋ยนะครับ” หนุ่มลูกครึ่งย่อกายลงพลางยื่นกล่องโดนัทให้เด็กชาย
“ได้ฮับ” ศีรษะเล็กๆ พยักหงึกหงัก
“ดีมากคนเก่ง” เรวินทร์ฉีกยิ้มกว้าง ดีใจที่เด็กชายว่าง่าย แล้วเขาจะได้หาทางชิ่งหนีจากสองพี่น้องคู่นี้อย่างสะดวกๆ เสียที...
ทว่าสิ่งที่คิดมักจะสวนทางกับความเป็นจริงเสมอ เรวินทร์เพิ่งตระหนักในข้อนี้ดี แม้ว่าเขาพยายามพูดจาหว่านล้อมยังไง เจ้าจอมวุ่นก็หาได้ยอมห่างจากกายของเขาไม่ เจ้าหนูยังคงเกาะติดเขาแน่นไม่ต่างจากวิญญาณหลอน ที่ชอบเกาะติดหลังของคนดวงตก
ดูท่าเขาคงจะเป็นคนดวงตกจริงๆ เสียละมั้ง ถึงโดนเด็กเกาะติดเอาได้
หนุ่มลูกครึ่งคิดอย่างอ่อนใจ ขณะก้าวลงจากรถแท็กซี่พร้อมกับอ้อแอ้
“ที่นี่คือที่ไหนเหรอคับป๊ะป๋าแองเจิ้ล” เด็กน้อยเปิดปากถาม พลางมองตึกสูงเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น
“ฐานลับของแองเจิ้ลเวลาลงมาบนโลกมนุษย์ครับ” เรวินทร์ตอบแบบไม่คิด แม้จะเหนื่อยใจนิดหน่อย แต่ก็ยังมีอารมณ์เล่นกับเด็กชาย เพราะคิดว่าไหนๆ ก็ต้องจากกันวันนี้อยู่แล้ว จึงไม่อยากทำลายความฝันของเด็ก
“โอ มาย ก๊อด!” เจ้าตัวดีร้องอุทานห่อปาก ทำตาโต มือเล็กป้อมทั้งสองข้างตะปบข้างแก้มของตนเอง
กริยาชวนหมั่นไส้ของเจ้าหนู ทำเอาหนุ่มลูกครึ่งอดใจไม่อยู่ มือใหญ่ยีหัวทุยเล็กเล่นด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลากจูงเจ้าตัวน้อยเตรียมพาก้าวเข้าไปในคอนโดมิเนียม เรวินทร์ตั้งใจว่าจะกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ก่อน แล้วค่อยกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
หากแต่ความตั้งใจของเรวินทร์กลับต้องเป็นหมัน เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นชายฉกรรจ์หน้าแปลกสองคนที่ยืนคุยกับยามแถวหน้าล็อบบี้คอนโดมิเนียม เท้าที่เตรียมก้าวเข้าไปหยุดชะงัก เขารู้สึกคุ้นหน้าของทั้งสองคนนั้น เหมือนว่าจะเป็นพวกโจรเมื่อคืนนี้ ท่าทางจะไม่ดีเสียแล้ว
ชายหนุ่มรีบหมุนตัวกลับพลางคว้าเด็กชายขึ้นอุ้มแนบอก ก้าวเดินอย่างรีบเร่งออกจากที่พักของตนอย่างรวดเร็ว หวังว่าพวกมันคงยังไม่เห็นเขาหรอกนะ
“ไม่เข้าฐานลับแล้วเหรอคับ” เด็กชายถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“พี่แองเจิ้ลเพิ่งนึกได้นะครับ หายกันมานานแบบนี้พี่เอ๋ยน่าจะเป็นห่วงพวกเราแย่แล้ว” เรวิทร์ตอบแบบเอาสีข้างเข้าถู
“นั่นสิ ป่านนี้พี่เอ๋ยคงร้องไห้แงๆ คิดถึงหนูอยู่แน่ๆ เลย” อ้อแอ้พยักหน้าคล้อยตามอย่างว่าง่าย
เรวินทร์ตบศีรษะเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู แม้จะเดินห่างจากบริเวณที่พักของตนมาไกลโขแล้ว เขาก็หาได้รู้สึกโล่งอกโล่งใจไม่ มีแต่ความหนักอึ้งทับถมเมื่อนึกถึงภยันตรายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน และดูทีท่าว่ามันจะยังคงไม่มีทางยุติลงได้อย่างง่ายดายในตอนนี้เสียด้วยสิ
+++++++++++
(ต่อตอนหน้านะคะ)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น