ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักพี่เอ๋ย

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔

    • อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 55


    ๔.
     
                    เสียงวิ่งเสียงฝีเท้าของเหล่าทรชนชุดดำที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บีบคั้นจิตใจของเรวินทร์เหลือทน เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่เขาแน่ใจว่าสลัดหลุดจากการติดตามของโจรพวกนั้นได้แล้วเชียว หากแต่พวกมันกลับไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆ พวกคนร้ายไล่ล่าติดตามเขาไม่ต่างจากหมาล่าเนื้อ ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนั้นถึงมาดักทางเขาได้ถูก
     
                    หนุ่มลูกครึ่งกวาดสายตามองรอบกายอย่างสิ้นหวัง ไม่เห็นอาคารหลังไหนที่บ่งบอกได้ว่าเป็นสถานีตำรวจสักแห่งตามที่วินมอเตอร์ไซค์บอก นอกจากบ้านเรือนของชาวบ้าน เขาคงโดนหนุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างหลอกเอาแน่ๆ ถึงหมอนั่นจะไม่ได้หวังปล้นชิงทรัพย์อย่างที่เขาเข้าใจผิดในตอนแรก แต่มาทิ้งกันกลางคันแล้วให้เขาเดินหาสถานีตำรวจเอาเอง ขาดความรับผิดชอบจริงๆ
     
                    แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขามาคร่ำครวญ ต้องหาที่ซ่อนตัวเป็นการด่วน เขามองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่ารอบกายนั้นปลอดคน จึงตัดสินใจปีนขึ้นต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่ปลูกอยู่ข้างรั้วบ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่เรวินทร์ปีนขึ้นไปนั่งอยู่คาคบไม้เรียบร้อยแล้ว เป็นช่วงจังหวะพอดีที่พวกโจรร้ายเดินเรียงแถวเข้ามาสำรวจหาตัวของชายหนุ่ม
     
                    เรวินทร์เผลอกลั้นลมหายใจด้วยความตื่นเต้น เมื่อคนร้ายสองคนมาหยุดยืนพักรอพรรคพวกที่เหลืออยู่ใต้ต้นมะม่วง เขาคงนั่งตรงนี้อยู่ต่อไปไม่ได้แน่ เกิดโจรสองคนนี้เงยหน้าขึ้นมาล่ะก็ ได้เสร็จพวกมันแน่ ต้องหาที่ซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งที่ปลอดภัยกว่านี้
     
                    คิ้วเข้มขมวดกันยุ่งเหยิงจากการใช้ความคิด ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับกิ่งมะม่วงที่ทอดยาวพาดบนกำแพงบ้านของชาวบ้าน อาศัยหลบอยู่ในบ้านหลังนี้สักพักน่าจะปลอดภัยกว่า ชายหนุ่มลุกขึ้นและพยายามไต่ไปตามกิ่งไม้ใหญ่อย่างช้าๆ โชคดีที่กิ่งมะม่วงนี้ใหญ่พอรับน้ำหนักของเขาไว้ได้ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังสูงสุดไม่ให้ต้นไม้เกิดการสะเทือนไหว จนทำให้ใบไม้ร่วงหล่นเป็นที่ผิดสังเกต
     
                    ขณะที่เคลื่อนตัวไปหากำแพง เรวินทร์รู้สึกว่าเวลาแต่ละวินาทีที่ผ่านช่างเนิ่นนานเหลือเกิน เขาสูดลมหายใจยาวเมื่อไต่มาถึงกำแพงบ้านได้สำเร็จ แต่ไม่ผลีผลามกระโดดลงไป ด้วยกลัวว่าแรงสั่นสะเทือนนี้อาจทำให้พวกนั้นสังเกตเห็นได้ ระหว่างนั้นเขาคาดคะเนดูความสูงระหว่างกำแพงบ้าน กับจุดที่ยืนอยู่ สูงไม่มากเท่าไหร่ ระดับนี้ถ้ากระโดดลงไป เขาไม่เจ็บตัวถึงขั้นแข้งขาหักหรอก
     
                    และนับว่าเป็นโชคของชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพวกโจรเดินถอยห่างจากต้นมะม่วงไปพอสมควร เขาไม่รอช้า หย่อนกายเข้าไปในบ้านก่อนกระโดดลงสู่พื้นโดยสวัสดิภาพ  เขารีบลุกมองผ่านช่องกำแพงอิฐ ไม่เห็นพวกโจรอยู่ในบริเวณนั้นแม้แต่คนเดียว
     
                    หนุ่มลูกครึ่งทรุดนั่งพิงกำแพงอย่างอ่อนแรงปนโล่งอก เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงค่อยได้มองสำรวจรอบกาย แสงไฟนีออนจากระเบียงชั้นสอง ทำให้มองเห็นสวนเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่พอจะให้ซ่อนกายจากเจ้าของบ้านได้ ก็หวังว่าเจ้าของบ้านจะไม่ลงมาเดินเล่นรอบสวนหลังบ้านนี่ยามดึกแล้วกัน เขาขอหลบซ่อนภัยอยู่ที่นี่สักพักแล้วจะทำอย่างไรต่อไปค่อยว่ากันอีกที
    .
    .
    .
    .
    .
     
                    อิสรีย์ลุกขึ้นบิดกายอย่างเมื่อยขบ สายตาอ่อนล้าสุดขีด เพราะตั้งแต่หลังอาหารเย็นเวลาหนึ่งทุ่มเป็นต้นมา เธอเอาแต่นั่งจ้องอยู่หน้าโน้ตบุ๊คทำงานของบริษัทตลอด คงต้องพักสักหน่อย ทว่าเสียงหนึ่งที่ดังอยู่ในบ้านนี่สิ ทำให้เธอตื่นตัวก้าวออกจากห้อง
     
                    หญิงสาวเดินด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ตรงไปยังห้องที่เป็นต้นกำเนิดเสียง ห้องนั่งเล่นเพียงห้องเดียวของบ้าน ภายในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากจอโทรทัศน์ขนาดสี่สิบนิ้วเท่านั้นที่ส่องสว่าง แต่นั่นก็พอทำให้เธอมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องได้ ร่างเล็กๆ ออกอาการเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งส่งเสียงร้องเชียร์อย่างเมามัน
     
                    “เจ้าแอ้ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมถึงยังไม่นอนอีกฮึ!” อิสรีย์กล่าวเสียงเข้มพลางกดเปิดไฟ คิ้วโค้งมนขมวดกันยุ่งเหยิงเมื่อเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาที่ติดผนังห้อง “น่าตีจริงๆ เลย จะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อแล้ว นี่แอบดูโทรทัศน์คนเดียวอีกแล้วสิเรา”
     
                    “ไม่ได้ดูคนเดียวสักหน่อย” เจ้าตัวดีเถียงเสียงอ่อย
     
                    “ดูคนเดียวอยู่เห็นๆ” หญิงสาวถลึงตาใส่หลานตัวน้อย ก่อนหยิบรีโมตขึ้นมากดปิดเครื่องเล่นดีวีดี และจัดการเอาแผ่นการ์ตูนเก็บใส่กล่อง
     
                    “ก็บอกว่าไม่ได้ดูคนเดียวไง เมื่อกี้พี่ชายเขายังมาดูเป็นเพื่อนหนูเลย”
     
                    เด็กชายกอดอกทำปากยื่น ที่ถูกขัดจังหวะความสำราญ อิสรีย์ที่หันมาเห็นรู้สึกหมั่นไส้กับท่าทางของเจ้าตัวน้อย เธอดึงแก้มขาวๆ นั้นด้วยความมันเขี้ยว “อย่ามาโกหกเรามีพี่ชายที่ไหนกันเจ้าแอ้”
     
                    “หนูเจ็บนะพี่เอ๋ย” อ้อแอ้ร้องประท้วง ก่อนยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หนูมีพี่ชายจริงๆ นะ”
     
                    หัวคิ้วของอิสรีย์กดลึกเข้าหากัน ขณะจ้องเข้าไปในดวงตาใสแป๋วของหลานพร้อมทั้งเอ่ยเน้นชัดๆ “เราไม่มีพี่ชายเจ้าแอ้”
     
                    “มี” อ้อแอ้เถียงเสียงสูง
     
                    “ไม่มี”
     
                    “มี”
     
                    “ไม่มี” อิสรีย์เน้นเสียงหนักขึ้นขณะที่ความเชื่อมั่นเริ่มคลอนแคลน
     
                    “หนูมีพี่ชายน้า!” อ้อแอ้เต้นเร่าเถียงแบบไม่ยอมแพ้
     
                    อิสรีย์สูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความหวั่นไหว...ไม่เชื่อ เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหลานชายเป็นเด็กโคลิค สามารถเห็นภูตผีวิญญาณได้เหมือนอย่างในภาพยนตร์ อีกอย่างบ้านที่อาศัยอยู่นี้ก็ไม่เคยมีคนตายมาก่อน แต่เพื่อความแน่ใจ เธอจึงพยายามไล่เบี้ยเอากับหลานตัวน้อย “พี่ชายเราชื่ออะไร ลองบอกมาสิ”
     
                    “พี่ชายหนูชื่อ...” เจ้าตัวเล็กลากเสียงยาวเว้นจังหวะ ไม่ยอมเอ่ยชื่อพี่ชายที่ว่าอย่างง่ายๆ สร้างความลุ้นระทึกให้แก่หญิงสาวอย่างยิ่งยวด “หนูไม่บอกพี่เอ๋ยหรอก หนูสัญญากับพี่ชายเขาไว้แล้ว”
     
                    “บอกมาเดี๋ยวนี้นะเจ้าแอ้ ถ้าไม่บอก พี่เอ๋ยจะไม่ให้กินโกโก้ร้อนก่อนนอนจริงๆ ด้วย” อิสรีย์ข่มขู่เสียงสั่น ความอยากรู้อยากเห็นจุกอก ผสมปนเปไปกับความหวาดกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
     
                    เจ้าหนูตีหน้ายุ่งพลางครุ่นคิด เรื่องกินนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าหนูเลยทีเดียว หากแต่เด็กชายยังไม่วายมีข้อแม้ “ถ้าหนูบอกพี่เอ๋ยแล้ว พี่เอ๋ยต้องยอมให้หนูดื่มโกโก้นะ”
     
                    “เออ รีบบอกมาสักทีสิว่าพี่ชายเราชื่ออะไร” ผู้เป็นป้ารับปากด้วยใบหน้าเคร่งขรึม อกใจเริ่มเต้นระทึกมากขึ้นทุกที
     
                    “จริงๆ นะ” เด็กชายยังคงยักท่า ไม่ยอมเฉลยชื่อพี่ชายที่ว่านั่นออกมาง่ายๆ
     
                    “เอออออ” อิสรีย์ลากเสียงด้วยความรำคาญ ขณะที่ความกลัวเริ่มไต่ระดับมาถึงคอหอย
     
                    “พี่ชายหนูชื่อ...โงกุนไง ฮ่า ฮ่า” ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็กระโดดหย็องแหย็งลงจากโซฟา ก่อนเดินออกจากห้องไปด้วยใบหน้ารื่นเริง ทิ้งให้คนเป็นป้ายืนอึ้งไปห้าวินาที
     
                    “ไอ้อ้อแอ้!!” อิสรีย์กรีดเสียงลั่นบ้าน เมื่อสมองวิเคราะห์ชื่อที่หลุดจากปากหลานชาย...‘โงกุน’ เป็นชื่อของพระเอกการ์ตูนเรื่องดังดราก้อนบอลแซด แถมยังเคยเป็นการ์ตูนเรื่องโปรดของเธอกับน้องชายในสมัยเด็กๆ ด้วย ที่น่าเจ็บใจคือเธอเพิ่งปิดซีดีการ์ตูนเรื่องนี้มากับมือหยกๆ
     
                    “หยุดเลยนะ” หญิงสาวไล่กวดตามหลังหลานชายไปติดๆ
     
                    “หนูกำลังจะไปแปรงฟันเข้านอน” อ้อแอ้หันมาเผชิญหน้า ก่อนที่อิสรีย์จะเริ่มเปิดฉากอบรมขนานใหญ่ ซึ่งมันก็ได้ผล เมื่อเห็นว่าคนเป็นป้าหยุดฟัง พ่อหนูรีบพูดต่อ “ถ้าหนูไม่รีบเข้านอนหนูจะไม่โต พี่เอ๋ยมาเรียกหนูบ่อยๆ แบบนี้ หนูเสียเวลานะ”
     
                    “นั่น...กลายเป็นว่าฉันผิดสินะเจ้าแอ้ ไม่ต้องมากลบเกลื่อนความผิดแล้วโยนให้พี่เอ๋ยแบบนี้เลย” อิสรีย์ถลึงตาใส่เจ้าตัวน้อย ความคิดกลั่นแกล้งหลานชายพลันก่อตัว “คืนนี้ห้ามกินโกโก้ก่อนนอนด้วย เพราะเรามันอ้วนมากไปแล้วเจ้าอ้อแอ้”
     
                    “ไม่เอานะ” พ่อหนูเริ่มเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้
     
                    “ห้ามร้องเชียว”
     
                    “ก็พี่เอ๋ยอ่ะ” น้ำตาเม็ดโตๆ หล่นจากดวงตากลมราวกับสั่งได้ “หนูอยากกินโกโก้นี่”
     
                    ใจของหญิงสาวพลันอ่อนยวบ รู้สึกผิดนิดหนึ่งที่แกล้งหลานตัวน้อย แต่ไม่ได้หรอก พูดคำไหนต้องคำนั้น ถ้าเธอยอมแพ้ครั้งหนึ่งต้องมีครั้งต่อๆ ไปตามมาแน่ “ดื่มนมสดรสจืดแทนแล้วกัน”
     
                    “แหวะนมจืด ไม่อร่อยซะหน่อย” เจ้าตัวดีโอดครวญ
     
                    “แต่นมมีประโยชน์นะ ดื่มแล้วหล่อด้วย” อิสรีย์พยายามหลอกล่อ ขณะเดินเข้าไปในครัว โดยมีหลานชายตามมาติดๆ เธอจัดแจงหยิบขวดนมสดออกมาจากตู้เย็น แล้วรินใส่แก้วก่อนยื่นแก้วนมส่งให้หลานชาย
     
                    “หนูโตแล้วนะ หนูไม่เชื่อหรอก และอีกอย่างหนูหล่ออยู่แล้ว”
     
                    “ย่ะ พ่อคุณ” อิสรีย์ดึงแก้มหลานชายด้วยความหมั่นไส้ “ไม่ต้องมาโยกโย้เลย รีบดื่มให้หมด แล้วจะได้ขึ้นนอน”
     
                    อ้อแอ้ทำหน้ามุ่ยแกล้งทำอิดออดอีกนิดหน่อยพอเป็นพิธี หากสุดท้ายแล้วก็ยอมรับนมแก้วนั้นมาดื่มแต่โดยดีหนึ่งอึก
     
                    เมื่อเห็นว่าหลานชายปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด อิสรีย์ยิ้มอย่างพอใจพลางออกคำสั่งชุดใหม่ต่อ “เดี๋ยวพี่เอ๋ยไปปิดเครื่องคอมพ์ก่อน ดื่มนมเสร็จแล้วอย่าลืมแปรงฟันก่อนเข้านอนด้วยล่ะ แล้วแปรงฟันที่ไหนจำได้ไหม”
     
                    “รู้คับ” เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก หยุดดื่มนมแล้วอธิบายตามที่โดนฝังหัวเสียงเจื้อยแจ้ว “ให้แปรงฟันล้างหน้าที่ต้นไม้ เพื่อประหยัดน้ำประปาไม่ให้สูญเปล่า”
     
                    “ถูกต้อง เราต้องประหยัดทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เพื่อลูกหลานในอนาคต เอาละรีบๆ ดื่มนมแปรงฟันเร็วๆ เข้า จะได้รีบเข้านอน” อิสรีย์ว่าพลางบีบยาสีฟันใส่แปรงให้หลานชาย วางเตรียมไว้บนโต๊ะทานข้าว ก่อนจะกลับไปยังห้องทำงานที่อยู่ใกล้ๆ
     
                    เพียงลับหลังร่างของคุณป้ายังสาวเท่านั้นแหละ เจ้าจอมวุ่นก็เริ่มแผลงฤทธิ์ทันที ด้วยการเทนมในแก้วทิ้งลงอ่างล้างมือ แต่อารามรีบร้อนทำให้นมกระฉอกหล่นใส่พื้นกองใหญ่ และเพื่อต้องการกลบเกลื่อนร่อยรอย เด็กชายรองน้ำแก้วใหญ่จากก๊อกก่อนเทน้ำลงบนพื้นกระเบื้อง ขาเล็กๆ ถูๆ เพื่อชะล้างคราบนม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พื้นครัวเฉอะแฉะหนักเข้าไปอีก สุดท้ายก็เอาใช้ผ้าขี้ริ้วซับแบบขอๆ ไปที ก่อนจะเดินตัวปลิวเปิดประตูออกไปยังสวนหลังครัวที่อยู่ติดกัน
    .
    .
    .
    .
    .
     
                    เรวินทร์ยืนขมวดคิ้วมองกำแพงอิฐ ทั้งๆ ที่รั้วบ้านสูงเลยศีรษะไปแค่สี่ห้านิ้วเท่านั้น เขากลับจนปัญญาไม่สามารถปีนกลับออกไปได้ เพราะที่เหนือกำแพงอิฐมีเศษแก้วแหลมๆ ปักระเกะระกะเป็นพรืด ขืนรั้นปีนออกไปคงได้แผลเหวอะหวะเต็มมือแน่ เขามองรอบกายเผื่อเจออุปกรณ์เสริมการหนี อย่างเก้าอี้หรือบันไดที่เจ้าของบ้านอาจวางลืมทิ้งไว้ในสวนแห่งนี้ก็เป็นได้
     
                    เขาส่ายหน้ากับความคิดเหลวไหลของตนเอง จะเป็นไปได้ยังไงเขานั่งอยู่ในสวนแห่งนี้มาเกือบสามชั่วโมง นั่งพิจารณาต้นไม้ใบหญ้าแทบทุกต้นก็ว่าได้ เขายังมองไม่เห็นอุปกรณ์เหล่านั้นเลย
     
                    มันต้องมีทางออกสิน่า
     
                    ชายหนุ่มมองรอบกายอย่าพินิจพิจารณาอีกครั้ง ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับกิ่งมะม่วงกิ่งใหญ่ที่ทอดขวางหน้าอยู่ ใช่แล้ว! ตอนหนีเข้าบ้านเขาปีนต้นไม้เข้ามา ขาออกเขาก็ควรจะปีนต้นไม้กลับไปสิ เมื่อคิดได้ดังนั้นเรวินทร์ไม่รอช้ารีบกระโดดคว้ากิ่งมะม่วง และขณะที่กำลังโหนตัวขึ้นไปนั้นเอง
     
                    “นั่นใครน่ะ”
     
                    จู่ๆ เสียงเล็กๆ ที่ร้องทักขึ้น ทำให้ชายหนุ่มเผลอปล่อยมือด้วยความตกใจ พลัดหล่นจากต้นไม้แต่โชคดียังดีที่สามารถลงไปยืนบนพื้นดินได้โดยสวัสดิภาพ
     
                    ตุบ!
     
                    พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อยจากแรงกระทืบของร่างสูง พร้อมๆ กับใบมะม่วงร่วงกราว ดวงตากลมแจ่มแจ๋วของเด็กชายเบิกโต ปากเล็กๆ อ้ากว้างเตรียมเปล่งเสียงร้อง
     
                    เรวินทร์หน้าเสียรีบก้าวเข้าไปหาร่างเล็ก มือใหญ่เอื้อมหมายจะไปปิดปากของเด็กน้อย แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเจ้าตัวเล็กอุทานออกมาเสียก่อน พร้อมๆ กับที่เขาร้องปฏิเสธลั่น
     
                    “พี่โงกุน!”
     
                    “ไม่ใช่นะครับ พี่ไม่ใช่ขโมย” มือใหญ่ของชายหนุ่มที่เอื้อมออกไปชะงักกึก ก่อนจะชักมือกลับอย่างไม่แน่ใจนัก “เอ๋เมื่อกี้หนูว่ายังไงนะ”
     
                    “ไม่ใช่พี่โงกุนแล้วพี่เป็นชาวดาวไซย่าหรือเปล่าคับ” พ่อหนูน้อยเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ เพราะด้วยวัยที่เล็กเกินกว่าจะแยกแยะจินตนาการกับความเป็นจริงออกได้ “แล้วทำไมพี่ถึงมีผมสีทองเหมือนกับพี่โงกุนได้ล่ะ”
     
                    “เอ่อ...คือ” เรวินทร์งงไปกับคำถามของเด็กชาย หากแต่เขาก็พยายามตอบอย่างดีที่สุด “เพราะคุณแม่ของพี่เป็นคนต่างชาติ ผมของพี่เลยมีสีทองติดมา”
     
                    “คนต่างชาติคืออะไรคับ” คิ้วเล็กๆ เด็กชายขมวดยู่กับภาษาทางการที่เรวินทร์ใช้
     
                    “คนต่างชาติก็คือฝรั่งยังไงล่ะครับ”
     
                    “อ๋อ” อ้อแอ้พยักหน้าหงึกหงัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเข้าใจจริงรึเปล่า “แล้วอ้อแอ้จะต้องทำยังไงคับถึงจะเป็นฝรั่งแบบพี่ได้”
     
                    “อืม...อันนี้ต้องถามคุณพ่อคุณแม่ดูนะครับ” เรวินทร์โยนทุกอย่างให้พ่อแม่ของหนูน้อย เพื่อให้เด็กชายไปถามไถ่ผู้ปกครองเอาเอง เพราะถ้าขืนเขายังมัวต่อปากต่อคำอยู่แบบนี้ เกิดพ่อแม่ของเด็กมาเห็นเข้า ไม่แคล้วซวยเอาแน่ๆ
     
                    “แต่ตอนนี้อ้อแอ้ไม่มีพ่อกะแม่นี่นา พี่เอ๋ยบอกว่าพ่อของอ้อแอ้ติดภารกิจทำทางไปสวรรค์อยู่”
     
                    จากคำบอกเล่าของเด็กชาย ทำเอาเรวินทร์ถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว ความสงสารแล่นจับหัวใจ เข้าใจไปเองว่าบิดาและมารดาของเด็กชายได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
     
                    “ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์ คงภูมิใจที่หนูเป็นเด็กไทยมากกว่าเด็กฝรั่งนะครับ”
     
                    เด็กชายเบิกตาโตอีกครั้งด้วยความแปลกใจ สีหน้านั้นตื่นเต้นยินดียิ่งนัก “พี่รู้ได้ยังไง พี่เคยอยู่บนสวรรค์เหรอคับ”
     
                    หนุ่มลูกครึ่งนิ่งไปนิดเพื่อนึกคำตอบ ว่าเขาควรจะเออออตามน้ำไปดีไหม เรื่องการมรณกรรมของผู้ใหญ่ คงจะเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เด็กเล็กๆ จะเข้าใจ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายจิตใจของเด็กชาย เรวินทร์จึงพยักยอมรับ โกหกอย่างเต็มปากเต็มคำ
     
                    “ใช่แล้ว พี่เคยอยู่บนสวรรค์มาก่อน”
     
                    เหมือนว่าธรรมชาติจะเป็นใจกับคำโกหกคำโตของชายหนุ่ม จู่ๆ ก็มีลมหอบใหญ่พัดพาใบไม้ให้เสียดสีกันเกรียวกราว เมฆสีเทาที่ปกคลุมท้องฟ้าคลี่กระจาย ดวงจันทร์ที่เคยหลบอยู่หลังม่านเมฆเผยโฉม อวดแสงนวลตาเต็มฟากฟ้า และยังเผื่อแผ่แสงสว่างสีเงินยวงมาถึงสวนเล็กๆ แห่งนี้ ผมสีน้ำตาลทองของเขาถูกแสงตกกระทบทอประกายดูเรืองรอง บวกกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมใส่ตัดกับความมืดมิดของราตรี ยิ่งส่งเสริมความเข้าใจผิดให้กับพ่อหนูไปใหญ่
     
                    สมองน้อยๆ ประมวลผลคำพูดของชายตรงหน้า...เคยอยู่บนสวรรค์ก็เท่ากับเป็นเทวดาสินะ และเมื่อคิดถึงเทวดา เด็กชายก็นึกย้อนไปถึงคำบอกเล่าของเพื่อนๆ ที่โรงเรียนอนุบาลว่า เทวดามีเส้นผมสีดำ แต่ถ้าเป็นแองเจิ้ลจะมีผมสีทอง และหากใครได้เจอเทวดาหรือแองเจิ้ล ทุกคนจะได้รับพรวิเศษสามข้อ พรที่สามารถทำให้ความปรารถนาทุกอย่างเป็นจริง
     
                    เรวินทร์เห็นอ้อแอ้นิ่งไปนาน เขาเลยเอ่ยปากบอกลา “เออ...งั้นพี่ไปก่อนนะครับ”
     
                    “เดี๋ยวก่อนสิคับ” เด็กชายท้วงเสียงดังลั่น รีบเข้าคว้าชายเสื้อของหนุ่มลูกครึ่ง
     
                    “มีอะไรเหรอครับ” เรวินทร์ก้มมองเด็กน้อยอย่างสงสัย
     
                    “พี่เป็นแองเจิ้ลใช่ไหม”
     
                    เขายังไม่ทันตั้งตัวหรือตอบคำถามนั้น พ่อหนูก็ทึกทักเอาเองหน้าตาเฉย “พี่แองเจิ้ลจะไม่ให้พรหนูก่อนเหรอ”
     
                    “เอ๋!” หนุ่มลูกครึ่งมีสีหน้ามึนงง ไม่เข้าใจคำพูดของเด็กชาย
     
                    “พรสามข้อยังไงล่ะคับ” อ้อแอ้ยังคงทวงไม่เลิก พลางอธิบาย “เพื่อนของหนูบอกว่ามันเป็นกฎ พี่แองเจิ้ลต้องให้พรหนูสามข้อก่อนนะ ถึงจะกลับสวรรค์ไปได้”
     
                     เรวินทร์ที่งุนงงในคราแรกถึงกับถอนหายใจพรืดออกมา เด็กๆ มักมีจินตนาการเสมอ ยังดีที่คิดว่าเขาเป็นเทวดาไม่ใช่ขโมย หนุ่มลูกครึ่งรีบปั้นหน้าฉีกยิ้มกว้าง ยอมไหลไปตามน้ำกับเด็กชายเพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไป แล้วตนจะได้ออกไปจากบ้านหลังนี้สักที
     
                    “แต่พี่มีข้อแม้นะเวลาหนูขอพร หนูต้องหลับตาก่อนนะครับ”
     
                    “ทำไมหนูต้องหลับตาด้วยล่ะ” เจ้าตัวน้อยยังมีปัญหา
     
                    “มันเป็นกฎนะครับ พี่เป็น โนวิช แองเจิ้ล เอ่อ...แบบเทวดาฝึกหัดยังไงล่ะ เวลาให้พรใคร คนนั้นต้องหลับตาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแองเจิ้ลจะไม่สามารถเสกพรวิเศษให้ได้” เรวินทร์ตอบมั่วๆ เอาตัวรอดแบบขอไปที
     
                    “หนูเข้าใจแล้ว งั้นหนูขอพรข้อที่หนึ่งเลยนะ” อ้อแอ้พยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางยกมือพนมและหลับตาแน่นปี๋
     
                    “ดีมากครับ…ถ้าพี่ยังไม่บอกให้หนูลืมตา หนูอย่างเพิ่งลืมตานะครับ” เรวินทร์ไม่ลืมสำทับอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเด็กชายยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก เขาก็ค่อยๆ ย่องถอยห่างออกมาเพื่อชิ่งหนี แต่จู่ๆ เด็กชายก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ
     
                    “พรข้อที่หนึ่ง ขอให้พี่แองเจิ้ลอยู่ข้างๆ หนูตลอดไป…ฮ่า ฮ่า”
     
                    เรวินทร์ที่คิดง่ายๆ ว่าพรของเด็กๆ คงไม่พ้นของเล่นของกิน ไม่นึกว่าเจ้าหนูจะขออะไรที่ลึกซึ้ง แต่อ้อแอ้ทำเอาเขาถึงกับพูดไม่ออกรู้สึกเหมือนตนเองจนแต้มขึ้นมาติดหมัด โจรลักพาตัวที่ว่าร้ายกาจแล้ว เขายังสามารถใช้สมองและกำลังหลบหนีรอดจากพวกนั้นมาได้ แต่กับเด็กชายตรงหน้านี่สิ ดูท่าจะรับมือได้ยากยิ่งกว่าเหล่าทรชนร้ายเสียอีก
    .
    .
    .
    .
    .
     
                    หลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เสร็จแล้ว อิสรีย์จัดการไล่ถอดปลั๊กเครื่องไฟฟ้าภายในห้องทำงาน และเลยไปถึงห้องนั่งเล่น ทำให้รู้ว่าตนลืมปิดทีวี เธอกดปุ่มเปลี่ยนช่องเอวีเป็นช่องทีวีปกติ ซึ่งกำลังรายงานข่าวต้นชั่วโมงพอดี
     
                    “...เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำบนถนนวิภาวดี รถเก๋งสีบรอนซ์ยี่ห้อ...ทะเบียน สด.0000 ขับรถมาด้วยความเร็วสูง และแล่นเข้าชนเข้ากับเสาไฟฟ้า คาดว่าผู้ขับขี่คงจะหลับใน ขณะนี้ทางศูนย์...ได้นำผู้บาดเจ็บสาหัสคือนางสาวจิตตา เอื้อมจันทร์สกุล ส่งโรงพยาบาล...”
     
                    เพียงแค่เห็นภาพข่าวที่ฉายให้เห็นสภาพรถเก๋งที่พังยับเยิน กับคนบาดเจ็บที่ร่างเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลเหวอะหวะ อิสรีย์ก็รีบกดปิดโทรทัศน์ทันที
     
                    “อี๋! ข่าวช่องนี้ทุเรศจริงๆ เลย รู้หรอกว่าอยากได้ความสดใหม่ของเหตุการณ์ แต่ก็น่าจะเบลอภาพสักนิด ไม่ใช่ปล่อยภาพน่ากลัวๆ ออกมาแบบนี้ เห็นแล้วสยองไม่รู้คืนนี้จะเก็บเอาไปฝันรึเปล่า”
     
                    หญิงสาวบ่นพึมพลางถอดปลั๊กไฟออกจากเต้าเสียบ และทันใดนั้นเสียงโหวกเหวกโวยวายของหลานชายตัวดีก็ดังขึ้น
     
                    “หนูไม่ยอมนะ พี่แองเจิ้ลสัญญากับหนูเองแล้วนี่ พี่ต้องอยู่กับหนูตามที่ขอสิ”
     
                    “เป็นอะไรอ้อแอ้” อิสรีย์ตะโกนถามพร้อมทั้งเร่งฝีเท้าไปยังห้องครัว และเพียงก้าวล่วงเข้าไปเท่านั้นก็ให้ตกใจต่อภาพที่เห็น…ที่สวนด้านนอก หลานชายของเธอกำลังยื้อยุดอยู่กับฝรั่งผมสีทองคนหนึ่ง
     
                    ทว่าสำหรับหญิงสาวแล้ว สมองตีความได้อย่างเดียว บุรุษแปลกหน้าในยามวิกาล...กำลังพยายามจะประทุษร้ายหลานชายตัวน้อยของเธออยู่
     
                    “ปล่อยมือจากอ้อแอ้เดี๋ยวนี้เลยนะ”
     
                    อิสรีย์ตวาดเสียงเข้มพลางฉวยอุปกรณ์ทำครัวที่อยู่ใกล้ขึ้นมากำไว้แน่น ก่อนจะออกวิ่งอย่างรวดเร็วพลางชูกระทะในมือร่อน เตรียมฟาดฟันใส่หัวของหนุ่มแปลกหน้า
     
                    “ย๊ากกก!!!”
     
                    เสียงขู่ร้องของหญิงสาวเรียกความสนใจจากสองหนุ่มต่างวัย ให้หันกลับไปมองร่างบางที่วิ่งชาร์จเข้าหา หากแต่ไม่ทันได้เฉียดใกล้คนทั้งคู่ เพราะเท้าเจ้ากรรมดันเผลอเหยียบลงไปบนพื้นอันเปียกแฉะ ร่างบางไถลลื่นอย่างทรงกายไม่อยู่ หงายหลังไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ไม่ทันได้ไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง
     
                    ตึ้ง!
     
                    ศีรษะทุยสวยกระแทกกับพื้นปูนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมๆ กับความเจ็บปวดที่ซึมแทรกเข้ามาอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้โลกตรงหน้ามืดมิด ปิดการรับรู้ทุกอย่างสติดับวูบทันที
     
                    หลังจากที่หายจากอาการตื่นตะลึงแล้ว เรวินทร์วิ่งเข้าไปหาเจ้าของบ้านด้วยความลืมตัว แต่ก็ยังช้ากว่าเด็กชายตัวน้อยอยู่ดี ที่ตอนนี้วิ่งแซงจนไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ คุณป้ายังสาว
     
                    “พี่เอ๋ยเป็นอย่างไงบ้าง...พี่เอ๋ยตื่นสิคับ”
     
                    มือเล็กป้อมตบบนดวงหน้าเซียวเบาๆ เพื่อหวังปลุกให้อีกฝ่ายฟื้นคืนสติ ทว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่คนที่นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นก็ไม่มีทีท่าหรืออาการตอบสนองต่อเสียงเรียกสักที ใบหน้าเล็กๆ เริ่มบิดเบ้เหยเก เมื่อเห็นหยดเลือดที่ไหลซึมอยู่บนพื้น
     
                    “พี่เอ๋ยเลือดออกด้วย...แง้!” เด็กชายแผดร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ
     
                    “ไม่ต้องร้องนะครับ ไหนขอพี่ดูพี่เอ๋ยหน่อยสิ” เรวินทร์ปลอบพลางเรียกขานชื่อคนที่นอนสลบตามชื่อที่เจ้าหนูร้องเรียก ก่อนเข้าสำรวจอาการบาดเจ็บของหญิงสาว ซึ่งก็พบว่ามีบาดแผลที่ศีรษะเท่านั้น แต่เวลาผ่านไปหลายนาทีแล้ว อาการก็แค่หัวแตกทำไมเธอถึงยังไม่ฟื้นสักที ดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอุ้มร่างบางขึ้นมาจากพื้นครัว ขณะเดียวกันก็หันมาถามเด็กชายที่ยืนสะอื้นไห้อยู่
     
                    “แล้วในบ้านนี้นอกจากพี่เอ๋ยแล้วมีใครอยู่ด้วยอีกรึเปล่า”
     
                    ใบหน้านองน้ำตาส่ายช้าๆ แทนคำปฏิเสธ เรวินทร์จึงซักไซ้ต่อ
     
                    “น้องอ้อแอ้ครับที่บ้านมีรถไหมครับ”
     
                    พ่อหนูน้อยพยักหน้าหงึกหงัก ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตนเองป้อยๆ
     
                    เรวินทร์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย สั่งเด็กชายต่อว่า “งั้นน้องอ้อแอ้ช่วยไปเอากุญแจรถมาให้พี่ทีนะครับ พี่จะขับรถพาพี่เอ๋ยส่งโรงพยาบาล”
     
                    “พี่เอ๋ย...พี่เอ๋ยบอกว่ารถมันเสียส่งซ่อมอยู่ ตอนนี้ไม่มีรถแล้ว” เจ้าตัวเล็กเอ่ยอย่างกะท่อนกะแท่น ก่อนจะเบะปากออกมาด้วยความหวาดกลัว “พี่เอ๋ยจะตายไหมอ่ะ ฮือ ฮือ!”
     
    +++++++++++++
     
    (ติดตามต่อตอนหน้านะคะ)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×