ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักพี่เอ๋ย

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 55


    ๓.
                    หลังจากที่สลัดหลุดจากทิษณุหนีขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่ได้ หนุ่มลูกครึ่งรีบขยับถอดเนคไทที่คอออกเพื่อผ่อนคลายความอึดอัด ทว่ายังไม่ทันได้สบายใจ เสียงเคาะกระจกข้างรถแท็กซี่ด้านที่เขานั่งอยู่ดังปึงปัง
     
                    “ไรท์ลงมาก่อน งานเลี้ยงยังไม่จบเลยนะเฮ้ย!” ทิษณุเรียกญาติสนิท พยายามจะเปิดประตูรถตามเขามา แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเรวินทร์กดปุ่มล็อครถเสียก่อน
     
                    “จะให้จอดรถไหมครับ” คนขับแท็กซี่ที่เห็นเหตุการณ์ถามเรวินทร์
     
                    “ไม่ต้องหรอกขับไปเลยพี่” หนุ่มลูกครึ่งสั่งอย่างไม่สนใจคนที่วิ่งตาม
     
                    แม้รถจะเริ่มเคลื่อนที่เร็วขึ้นหากแต่ทิษณุก็ยังคงไม่ละความพยายาม วิ่งไล่กวดตามหลังรถแท็กซี่คันที่เขานั่งอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย เรวินทร์หันกลับไปมองเบื้องหลังด้วยความขบขัน ที่สามารถแก้เผ็ดเล็กๆ น้อยๆ อีกฝ่ายได้ โทษฐานทำให้เขาอับอายในงานเมื่อครู่
     
                    “ไอ้บ้าไรท์เอ๊ย!” ทิษณุสบถหยุดยืนหอบ จะวิ่งตามต่อก็ไม่ไหวเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง ทำได้เพียงแค่มองตามหลังแท็กซี่ที่แล่นออกจากโรงแรมไปแบบฉิวๆ เจ้าญาติตัวดียังมีหน้ามาทำทะเล้นส่งจูบโบกไม้โบกมือเย้ยเขาอีกแน่ะ
     
                    ทิษณุถอนหายใจเดินย้อนกลับเข้าไปทางห้องจัดงานเลี้ยง ถ้าคิดจะตามเรวินทร์ไปจริงๆ นั้นไม่ยากหรอกแค่ขับรถตามไปก็ได้ แต่เขายังไม่อยากเสี่ยงกับอารมณ์ของอีกฝ่าย ไม่อยากทำให้หนุ่มลูกครึ่งโกรธมากไปกว่านี้ เกิดหนีกลับอเมริกาไปเขาคงแย่ แผนการต่างๆ ที่เขากับพ่อได้ตระเตรียมไว้คงพังหมด
     
                    ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า เมื่อเห็นร่างระหงยืนดักรอเขาอยู่หน้าโถงทางเดินก่อนถึงห้องจัดงานเลี้ยง
     
                    “ไรท์อยู่ที่ไหน” เพชรพลอยถามไถ่ ดวงหน้าเก๋ไก๋นั้นบูดบึ้งเพราะเดินกวดตามสองหนุ่มออกมาไม่ทัน ทำให้คลาดกันไปแบบเฉียดฉิว
     
                    “ไม่รู้ไม่ใช่แฝดอินจันทร์นี่ จะได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา” ทิษณุตอบเสียงสะบัด เป็นเพราะเธอคนเดียวที่เข้ามาขวาง ทั้งดึงเสื้อทั้งผลักไหล่สารพัด จนทำให้เขาวิ่งตามเรวินทร์ไปไม่ทัน
     
                    “จะไม่รู้ได้ยังไงก็นายเดินตามหลังไรท์ไปติดๆ นี่ อย่ามาปิดบังกันเลย” เพชรพลอยพยายามดักทางอีกฝ่าย
     
                    “เฮอะ!” ทิษณุแค่นเสียงก่อนโคลงศีรษะอย่างอิดหนาระอาใจ “ทำไมฉันจะต้องปิดบังอะไรเธอด้วย บ้าแล้ว!”
     
                    “อย่ามาว่ากันนะยะ ก็นายปิดบังฉันจริงๆ นี่ ไม่ยอมบอกว่าไรท์อยู่ที่ไหน”
     
                    “แล้วทำไมฉันต้องบอกเธอด้วย ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเสียหน่อย” ทิษณุไหวไหล่พลางเดินเลี่ยงเธอเพื่อจะเข้าไปยังห้องจัดงาน
     
                    “นี่นาย! จะไม่เกี่ยวได้ยัง ฉันกับไรท์เป็นเพื่อนรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ ป๊าของฉันก็เป็นเพื่อนสนิทกับคุณลุงเอกภพ แถมยังมีหุ้นอยู่ในบริษัทอเมทิสต์มากกว่าที่คุณลุงสินทวีมีเสียอีก”
     
                    ทิษณุหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาว “แล้วไงเหรอ ใครๆ เขาก็รู้ว่าพ่อเธอมีหุ้นมากกว่าพ่อฉัน แต่ถึงยังไงพ่อฉันก็ได้นั่งเก้าอี้รักษาการประธานบริหารอยู่ดีแหละ แล้วไอ้ที่ย้ำบ่อยๆ เนี่ยแสดงว่าต้องมีปมด้อยอะไรสักอย่าง อิจฉาใช่ไหมล่ะ”
     
                    “เชอะ เพราะอาศัยบารมีไรท์เขาละสิ ถึงได้มานั่งเก้าอี้ฝ่ายบริหารกันได้” เพชรพลอยพยายามจี้ใจดำ ยั่วให้อีกฝ่ายโมโหให้ได้
     
                    “มีญาติดีก็ยังงี้แหละ” ทว่าทิษณุไม่เพียงไม่โกรธกลับแขวะเธอกลับคืน “อย่างว่า ก๊กเธอคงไม่มีญาติดีๆ แบบฝ่ายพวกฉันหรอก ไม่อย่างนั้นคงจะไม่หาทางขวนขวายนับเพื่อน ท้าวความสัมพันธ์ตั้งแต่บรรพบุรุษกับเขาไปทั่วแบบนี้หรอก”
     
                    “พวกหน้าด้านสินะ ถึงพูดออกมาได้หน้าตาเฉยแบบนี้”
     
                    “อยู่แล้วไอ้ฉันมันพวกหน้าทนซะด้วยสิ แค่นี้ไม่รู้สึกสะเทือนหรอกจ้ะหนูหินสี” ทิษณุแกล้งล้อเลียนชื่ออีกฝ่าย พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตายั่วหญิงสาว
     
                    เพชรพลอยสุดทนกับกริยาล้อเลียนของเขา แถมมาตั้งฉายาบ้าบออะไรให้เธออีกก็ไม่รู้ และโดยที่ชายหนุ่มไม่ทันคาดคิด สองมือบางก็คว้าเข้าที่สองข้างแก้มของเขา พร้อมกับออกแรงดึงขึ้นดึงลงด้วยความหมั่นไส้
     
                    “โอ๊ย!! เจ็บปล่อยนะยายหยก”
     
                    ทิษณุร้องสั่งลั่น พยายามแกะมือของเธอออกเป็นพัลวัน แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดเพชรพลอยได้หรอก มือของเธอนั้นเหนียวหนึบยิ่งกว่าตุ๊กแก โยกแก้มเขาไปทางซ้ายทีขวาที เพื่อความอยู่รอดเขาจึงต้องแก้ทางด้วยการเกี่ยวขาของเธอเพื่อหวังให้ล้ม ขณะที่มือใหญ่ของเขาก็กางรอท่าเพื่อรองรับร่างของเพชรพลอย
     
                    “ว๊าย!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจที่ตนเสียหลัก เผลอปล่อยมือจากแก้มของเขามาคว้าเกาะเข้าที่บ่าของทิษณุไว้แน่นตามสัญชาติญาณ กลายเป็นว่าตอนนี้เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของเขากลายๆ
     
                    “เป็นทีฉันบ้างล่ะยายหยก” ทิษณุขู่เสียงต่ำ แกล้งทำท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนอยากเอาคืนเธอเต็มแก่
     
                    “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะนายท็อป!” แม้จะกลัวกับท่าทีของเขา หากเพชรพลอยพยายามข่มใจทำเสียงแข็งเข้าสู้ พร้อมทั้งช่วยตนเองด้วยการผลักไสเขาเป็นการใหญ่ แต่นั่นไม่ได้สะกิดผิวทำให้ทิษณุถอยห่างออกจากเธอได้เลย
     
                    “ใครจะโง่ปล่อยให้เธอมาทำร้ายฉันได้อีก โทษฐานที่เธอมาหยิกแก้มฉัน เพื่อความยุติธรรม มันต้องลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน...” ทิษณุแกล้งหยุดเว้นวรรค ทำตาวาวๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นทำท่าหยิก
     
                    “นายจะทำอะไรฉัน!” เพชรพลอยเอนกายหนีมือข้างนั้นด้วยดวงใจเต้นระทึก ทว่าติดขัดที่มืออีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มยังโอบเอวล็อคกายเธอเอาไว้
     
                    หญิงสาวกวาดสายตามองรอบกายเพื่อหาคนช่วยอย่างตื่นตระหนก แต่ไม่เห็นใครสักคน อาจเพราะบรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ภายในห้องจัดเลี้ยง
     
                    “ก็ทำแบบละครไทยไง ที่เวลานางเอกตบพระเอกจูบ เธอหยิกแก้มฉัน ฉันหอมแก้มเธอคืนดีมะ” ทิษณุยังคงเล่นไม่เลิกยื่นหน้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เพื่อแกล้งคนในอ้อมกอด
     
                    “อ๊าย...ไม่นะไอ้บ้า!” เพชรพลอยตะโกนลั่น สองมือยันเข้าที่หน้าของทิษณุเต็มแรง ยังผลให้คนขี้แกล้งผงะหงายหลังลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น เธอไม่รอดูผลงานของตนเองรีบวิ่งหนีเตลิดจากไปอย่างรวดเร็ว
     
                    ทิษณุค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนอย่างเจ็บใจ โชคดีที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นพอดี ไม่อย่างงั้นเขาคงรู้สึกอับอายเป็นแน่ทีเดียว ได้แต่ฝากอาฆาตเธอไปกับอากาศแทน
     
    “คอยดูเถอะยายหยก เจอกันครั้งหน้าสวยแน่!”
    .
    .
    .
    .
    .
     
                    รถแท็กซี่ที่เรวินทร์โดยสารมาจอดหยุดอยู่หน้าคอนโดมิเนียมหรู อันเป็นที่พักทุกครั้งยามที่เขามาท่องเที่ยวเมืองไทย หนุ่มลูกครึ่งควักกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจ่ายค่าโดยสาร ทว่ากระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือทำเอาชายหนุ่มถึงกับบ่นงึม ในความขี้หลงขี้ลืมของตนเองที่ลืมเอามันให้ทิษณุ เขายิ่งไม่อยากเข้าบริษัทในวันพรุ่งนี้ด้วยสิ กะว่าจะแกล้งทำเป็นโกรธญาติสนิทต่อไปอีกสักสองสามวันเสียหน่อย
     
                    จ่ายเงินค่าโดยสารไม่ทันจะเสร็จเรียบร้อยดีเลย เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ทำให้เรวินทร์ต้องรีบลงจากรถเร่งควานหามือถือจากกระเป๋าเสื้อสูทที่พาดอยู่บนแขน เขากดรับเพราะผู้ที่โทรเข้ามาคือคุณสินทวี
     
                    “ฮัลโหล ลุงสินมีอะไรเหรอครับ” เรวินทร์กรอกเสียงถาม
     
                    “ตอนนี้ไรท์อยู่ไหนเนี่ย”
     
                    ชายหนุ่มอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมตอบตามจริง “ผมกลับถึงคอนโดแล้วครับ”
     
                    คนทางปลายสายเงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยคำขอโทษเสียงแผ่ว “ลุงขอโทษนะที่ทำให้หลานลำบากใจกับการมาร่วมฉลองในงานเลี้ยงครั้งนี้”
     
                    เรวิทนร์ถอนหายใจยาว ก่อนเดินไปหยุดยังหน้าบริเวณสวนหย่อมอันร่มรื่นของคอนโดมิเนียม มือใหญ่ดึงใบไม้เล่น ขณะทบทวนความรู้สึกของตนเอง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โกรธญาติๆ มากมาย เพียงแต่ถ้าไม่พูดแล้วเกิดมีเหตุการณ์เช่นวันนี้ขึ้นอีกล่ะ เขาต้องแย่แน่จึงกล่าวตำหนิแบบนิ่มๆ แทน
     
                    “ครับ คราวหน้าถ้าลุงกับนายท็อปคิดจะทำอะไรแบบนี้อีก ช่วยบอกผมก่อนล่วงหน้าสักสองสามวันก็ดีนะครับ ผมจะได้เตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้า ผมไม่อยากให้ตัวเองขายหน้าหรือหัวใจวายกลางเวทีไปซะก่อน”
     
                    “โอ.เค.ๆ ไว้หนหน้ามีเรื่องอะไรลุงจะปรึกษาไรท์ก่อนนะลูก ไรท์ไม่โกรธลุงแล้วใช่ไหม...ถ้าอย่างนั้นลุงรบกวนเวลาพักผ่อนแค่นี้แล้วกัน นอนหลับฝันดีนะไรท์”
     
                    “ครับๆ ราตรีสวัสดิ์ครับลุง” เรวินทร์กดตัดสายอย่างนึกขัน ราตรีนี้ยังเยาว์นักจะให้เขารีบเข้านอนไปไหน นี่เพิ่งสามทุ่มเท่านั้น ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงสำหรับตะลุยชมแสงสีของกรุงเทพในยามค่ำคืน
     
                    ขณะที่เตรียมก้าวกลับเข้าไปในตึกที่พักเพื่อเปลี่ยนชุด จู่ๆ ก็มีแสงไฟสว่างจ้าสาดจับมาที่ใบหน้าของเขา ตามมาด้วยเสียงเบรคของรถที่ดังบาดหู รถตู้สีขาวคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดกึกอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มพร้อมๆ กับประตูรถที่ถูกกระชากเปิดอย่างรวดเร็ว
     
                    “อยู่นั่นไงจับมันเลย!” ชายฉกรรจ์ในชุดสีดำสนิทสามคนกระโดดลงมาจากรถตู้ ก่อนวิ่งตรงเข้าหาหนุ่มลูกครึ่งที่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง
     
                    เรวินทร์แม้จะงงๆ อยู่บ้างแต่เมื่อเห็นท่าทางประสงค์ร้ายของเหล่าชายชุดดำ ก็รีบวิ่งหนีตามสัญชาตญาณ แต่ก็ยังช้ากว่าพวกมันสามคนอยู่ดี ที่เข้าล้อมกรอบปิดทางหนีเขาไว้ทุกทิศทุกทาง
     
                    “เฮ้ๆ นี่พวกคุณมีอะไร ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันก็ได้” ชายหนุ่มร้องถามพยายามถ่วงเวลา สายตาพยายามสอดส่ายหาคนช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ว่าเป็นคราวเคราะห์ของเขาหรือไร อาณาบริเวณที่เคยพลุกพล่านเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา ยามนี้กลับไร้ร้างผู้คนไปซะได้
     
                    “ตามพวกกูมาซะดีๆ อย่าให้ต้องใช้กำลังนะไอ้ฝรั่ง!” หนึ่งในชายชุดดำคนหนึ่งร้องสั่ง พลางปรี่เข้ามาดักทางต้อนหน้าต้อนหลังหมายจะจับตัวของเรวินทร์ กันไม่ให้เขาวิ่งกลับเข้าไปขอความช่วยเหลือ จากทางผู้คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมได้
     
                    เมื่อเห็นว่าเหยื่อมีท่าทางไม่ยินยอม พวกมันรีบฉวยโอกาสลงมือลงไม้กับชายหนุ่ม หวังอัดสักสองสามตุบเพื่อให้ยอมจำนนจะได้จับตัวเขาไปโดยง่าย แต่ทว่าหนุ่มลูกครึ่งหรือจะยินยอมทำความคำสั่งของพวกมัน
     
                    เรวินทร์ปาเสื้อสูทของตนใส่หน้าพวกมันก่อนเป็นด่านแรก เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ต้องรีบออกอาวุธหมัดเข่า ป้องกันตนตามแม่ไม้มวยไทยที่เคยเรียนมาสมัยเด็กๆ บวกกับรูปร่างระดับมาตรฐานอย่างชาวตะวันตก หากแต่สูงใหญ่เกินกว่ามาตรฐานชายไทยทั่วไป ทำให้เจ้าสามโจรนั่นไม่อาจทำอะไรเขาได้ถนัดถนี่นัก...จากเหยื่อที่เคยคิดว่าเป็นหมูในอวยกลับกลายเป็นหมูเขี้ยวตันไปซะฉิบ
     
                    เจ้าคนขับรถกับสมุนโจรอีกคนที่เหลือเห็นพรรคพวกท่าทางไม่ดี จึงรีบปรี่ลงมาหมายจะช่วยอีกแรง ก่อนที่เป้าหมายจะแหวกวงล้อมของพวกตนไปได้ และดูท่าหนุ่มลูกครึ่งจะไวกว่า อาศัยจังหวะที่โจรคนหนึ่งซวนเซเสียหลักวิ่งกระแทกเต็มแรง สวมวิญญาณนักรักบี้เต็มที่ แหวกฝ่าวงล้อมของพวกทรชนได้สำเร็จ ทำให้โจรสองคนล้มก้นจ้ำเบ้า หยุดการทำร้ายเขาไปได้พอควร
     
                    พวกมันรู้สึกเหมือนโดนกำแพงยักษ์กระแทกเข้ามา กว่าจะตั้งหลักลุกขึ้นยืนได้ เหยื่อก็หลุดลอดไปเสียแล้ว ส่วนคนที่ไม่โดนลูกหลงของหนุ่มลูกครึ่งก็วิ่งกวดตามเขาไปอย่างไม่ลดละ
     
                    คนขับรถเมื่อเห็นว่าเป้าหมายหนีไปได้ ก็รีบกลับไปประจำที่ของตนเองอย่างว่องไว เมื่อเห็นว่าพรรคพวกที่เหลือขึ้นมาบนรถได้หมดแล้ว ก็รีบออกรถเพื่อตามล่าชายหนุ่มต่อทันที
     
                    ด้านเรวินทร์นั้นสับเท้าวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เพราะถ้าพวกโจรที่เหลือมาสมทบ เขาคงได้ตายแน่ แค่สามคนก็หืดขึ้นคอมากแล้ว ชะดีชะร้ายเกิดคนพวกนี้เอาปืนมีดไม้มาใช้กับเขาแล้วด้วยล่ะก็ ชีวิตคงหาไม่เป็นแน่แท้
     
                    “หยุดนะโว้ย! ถ้ามึงไม่หยุดวิ่งกูยิงจริงๆ นะ” คนร้ายที่วิ่งตามหลังมาตะโกนขู่ พร้อมทั้งชักปืนออกมาเล็งทำท่ายิงใส่หนุ่มลูกครึ่ง
     
                    ชายหนุ่มชะงักเหลียวกลับไปมองด้านหลังนิดหนึ่ง เห็นโจรร้ายยืนถือปืนอยู่ตั้งไกล ขืนเขาหยุดวิ่งตามคำขู่ของมันก็บ้าแล้ว และเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่งเขาวิ่งแบบซิกแซกไปมา อาศัยที่เป็นคนชอบเล่นกีฬาออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ จึงทำให้เขาสามารถวิ่งทิ้งห่างโจรนั่นไปได้อีกโข อีกนิดเดียวจะถึงหน้าปากซอยแล้ว ที่นั่นพวกทรชนคงไม่กล้าลงมือทำอะไร ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน อย่างน้อยต้องกลัวคนจำหน้าค่าตาบ้างล่ะ
     
                    เปรี้ยง!
     
                    สมุนโจรยิงใส่เรวินทร์จริงๆ แต่ห่างเยอะจึงทำให้เสียกระสุนเปล่า โชคดีด้วยที่เขาวิ่งไปหลบหลังเสาไฟฟ้าได้เสียก่อน หากเจ้าคนยิงไม่ยอมแพ้เมื่อเหยื่อรู้ตัวแบบนี้แล้ว ขืนปล่อยให้หลุดรอดไปได้ ก็รังแต่จะทำให้งานของพวกมันต้องยากขึ้นอีกเท่าตัว กำจัดเสียให้สิ้นซากตอนนี้ไปเลยดีกว่า แต่ทว่าเหยื่อวิ่งหนีไปตั้งไกลขนาดนั้นแล้ว ต่อให้เร่งสปีดสุดฝีเท้ายังไงคงตามไม่ทันแน่
     
                    “รีบขึ้นรถมาสิวะไอ้อี๊ด มัวยืนเซ่อทำอะไรอยู่เดี๋ยวก็ตามมันไม่ทันหรอก” หัวหน้าโจรร้องด่าลูกน้องเสียงขรมมาจากรถตู้สีขาว ที่แล่นมาหยุดเกือบแทบเท้าของลูกสมุน
     
                    “มันอยู่นั่นพี่” อี๊ดชี้เป้าก่อนจะรีบกระโดดขึ้นรถที่เปิดประตูรอท่าไว้แล้วอย่างว่องไว คนขับรถเมื่อเห็นพรรคพวกขึ้นมาบนรถได้เรียบร้อยแล้ว ก็รีบเร่งเครื่องตามหลังเหยื่อที่เห็นวิ่งอยู่ไวไวทันที
     
                    เสียงรถที่แล่นกวดตามมาจากด้านหลัง ทำให้เรวินทร์ต้องเหลียวกลับไปมองเบื้องหลังของตนอีกครั้ง รถตู้สีขาวที่แล่นตะบึงมาแต่ไกล บังคับให้เขาต้องวิ่งต่อ แม้จะออกมาพ้นซอยถึงหน้าถนนใหญ่แล้วก็ตามที
     
                    เขามองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนช่วยเหลือ แต่เหมือนกับสวรรค์จงใจกลั่นแกล้งเขาอีกครั้ง ถนนทั้งเส้นโล่งว่างเปล่าปราศจากผู้คนอีกเช่นเคย ยวดยานพาหนะที่แล่นอยู่มีน้อยจนน่าใจหาย จะหารถแท็กซี่โดยสารสักคันดูยากยิ่งนัก ขืนเขามัวแต่โบกรถอยู่แบบนี้ มีหวังโดนพวกทรชนจ่อยิงดับดิ้นสิ้นชีพไปก่อนแน่ คงมีแต่ต้องพึ่งสองขาของตนเองเท่านั้น
     
                    ขณะวิ่งเขาพยายามเค้นสมองคิดว่า มีที่ไหนบ้างที่เขาจะสามารถหลบภัยคุกคามนี้ได้ และคำตอบก็ปรากฏออกมา คนที่พวกโจรกลัวมากที่สุดนั่นก็คือตำรวจ เช่นนั้นเขาก็ควรจะไปหาตำรวจให้เร็วที่สุด และดูเหมือนว่าสวรรค์ยังไม่ใจร้ายกับเขามากเกินไปนัก บังเอิญเหลือเกินที่รถเก็บขยะสีเขียวคันใหญ่แล่นมาปิดทางเข้าออกของปากซอยเอาไว้พอดี ทำให้รถตู้ที่กำลังจะแล่นสวนออกมาต้องล่าถอยกลับเข้าไปในซอยอีกครั้ง เพื่อหลีกทางให้รถขยะ พวกโจรได้แต่ชะเง้อชะแง้มองเหยื่อด้วยความเจ็บใจ
     
                    นั่นทำให้เขามีเวลาได้พักหายใจหายคอบ้าง ก่อนที่สายตาของเรวินทร์จะไปสะดุดกับแถวของวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่จอดรอรับผู้โดยสารอยู่อีกซอยถัดไป
     
                    “ไปสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด ด่วน!” หนุ่มลูกครึ่งกระหืดกระหอบบอกจุดหมายปลายทาง ขณะก้าวคร่อมรถมอเตอร์ไซค์
     
                    คนขับซึ่งเป็นหนุ่มวัยรุ่นพยักหน้ารับ พลางส่งหมวกกันน็อกให้ เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารของตนขึ้นนั่งและสวมหมวกนิรภัยเป็นที่เรียบร้อย ก็บึ่งขับออกไปทันที
     
                    หนุ่มลูกครึ่งเกือบจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทีเดียว หากด้วยความหวาดระแวง เขาอดไม่ได้ต้องเหลียวกลับไปดูด้านหลังอีกครั้งและเป็นดังที่คาด พวกโจรกลุ่มนั้นยังไม่ละความพยายามง่ายๆ หลังจากที่สามารถขับรถตู้พ้นมาจากซอยได้แล้ว พวกมันรีบเร่งเครื่องยนตร์ไล่ตามเขาไม่ลดละ จนเรวินทร์ต้องเร่งคนขับมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่ทำให้ผิดหวัง บิดรถเร็วขึ้นตามใจที่ผู้ว่าจ้างต้องการ
     
                    ทว่ารถเล็กหรือจะสู้รถใหญ่ที่มีเครื่องยนต์แรงกว่าได้ ในไม่ช้ารถตู้คันนั้นก็สามารถแล่นตามหลังพวกเขามาได้ทัน ขณะที่พวกโจรเตรียมชักปืนออกมา หมายเด็ดชีพของบุรุษที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เบื้องหน้า เพียงเสี้ยวนาทีก่อนที่พวกวายร้ายจะได้ทำงานของมันลุล่วง คนขับมอเตอร์ไซค์ก็พาเรวินทร์เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ข้างหน้าอย่างฉับพลัน
     
                    “เชี้ยเอ้ย!” เหล่าทรชนต่างสบถกันเสียงขรม คนขับรีบเบรกจนตัวโก่งเพราะรถตู้วิ่งเลยปากทางเข้าซอยไปหลายเมตร กว่าที่พวกมันจะถอยรถตามกลับเข้าซอยก็แทบจะไม่เห็นหลังของเรวินทร์แล้ว แต่พวกชายชุดดำไม่ละความพยายามซอยเล็กๆ ที่ดูน่าจะเป็นซอยตันแบบนี้ ไม่น่ายากที่จะตามไล่กวดทัน และเป็นดังคาดซอยนี้เป็นซอยตันจริงๆ พวกมันพากันแสยะยิ้ม เมื่อเห็นไฟท้ายของมอเตอร์ไซค์ที่เรวินทร์โดยสารมา
     
                    โจรร้ายชะลอรถอย่างย่ามใจในที่สุดเหยื่อก็หนีไปไหนไม่รอด และก่อนที่พวกชายชุดดำจะได้ลงมือ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็แล่นเข้าตรอกเล็กๆ หายไปต่อหน้าต่อตาสร้างความงุนงงให้แก่พวกมันเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่โจรทั้งหลายคาดไม่ถึงก็คือ ในซอยนี้ถึงจะเป็นซอยตัน แต่ยังมีตรอกเล็กตรอกน้อยที่เชื่อมทะลุถึงกันและกันได้ ตรอกเล็กๆ เหล่านี้รถใหญ่ไม่สามารถวิ่งผ่านได้ นอกจากเดินด้วยเท้าเท่านั้น
     
                    แต่สำหรับมอเตอร์ไซค์นั้นเป็นข้อยกเว้น ด้วยสมรรถนะของมัน ถึงแม้จะเป็นทางสำหรับคนเดิน ก็สามารถขับผ่านไปได้
     
                    หนุ่มลูกครึ่งเหลียวมองด้านหลังอย่างโล่งใจ ในที่สุดเขาก็หนีพ้นจากการตามไล่ล่าของพวกมันเป็นผลสำเร็จ หากแต่ความโล่งอกนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะมอเตอร์ไซค์ที่โดยสารจู่ๆ ก็จอดกลางทางอย่างกะทันหัน หนุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างหันมาบอกเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ
     
                    “พี่รถยางแบน ขอโทษนะคงไปต่อไม่ได้แล้วล่ะ พี่เดินไปสถานีตำรวจต่อเองได้ป่ะ ไม่ไกลหรอกพี่อีกแค่ห้าร้อยเมตรเอง”
     
                    เรวินทร์เหลือบมองรอบกายอันแสนเงียบสงัดอย่างหวั่นๆ ถึงจะไม่ใช่ซอยเปลี่ยว แต่จู่ๆ รถมาเสียแบบนี้ เป็นแผนปล้นของหนุ่มมอเตอร์ไซค์วินรึเปล่า หรือว่านี่เขาจะหนีเสือปะจระเข้เข้าให้ซะแล้ว!
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×