ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักพี่เอ๋ย

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.พ. 55


    ๒.
                    ตรอกข้าวสารยามเที่ยงวัน แม้จะยังไม่คึกคักเท่ายามราตรี หากแต่ก็ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ด้วยบริษัททัวร์ต่างๆ ที่เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวตลอดสองฟากถนน หลังลงจากรถแท็กซี่ เรวินทร์ตั้งใจเดินดูเดินหาแหล่งท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจว่าจังหวัดใดในประเทศ สมควรแก่การไปเที่ยวเล่นและพักผ่อนก่อนเข้าทำงานอย่างเต็มตัวในบริษัทอเมทิสต์
     
                    “เฮ้! คุณคนนั้น อย่าเพิ่งไปหยุดก่อน!”
     
                    เสียของคนขับแท็กซี่ที่ตะโกนร้องเรียกไล่ตามหลังมา ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกขานต้องหยุดเดินหันกลับไปมองคนขับแท็กซี่ด้วยความแปลกใจ
     
                    “มีอะไรเหรอครับ” เรวินทร์ถามกลับอย่างงุนงง
     
                    “คุณทำกระเป๋าตังค์ตกอยู่ในรถ โชคดีนะที่ผมเห็นเข้าเสียก่อน” คนขับรถแท็กซี่ว่าพลางยื่นกระเป๋าเงินไม่คุ้นตาส่งให้ชายหนุ่ม
     
                    “ไม่ใช่ของผม” เขาปฏิเสธ
     
                    “จะไม่ใช่ของคุณได้ยังไง ก็ผมเห็นว่ามันตกออกมาจากตัวคุณชัดๆ” คนขับแท็กซี่ยังคงยืนกราน พร้อมทั้งยัดกระเป๋าเงินใบนั้นใส่มือของเรวินทร์ “คราวหลังก็ระวังให้มันดีๆ หน่อย”
     
                    “เฮ้ย...เดี๋ยวก่อนคุณ”
     
                    “มีอะไรอีกคุณ ผมไม่ได้หยิบเงินในกระเป๋ามาสักบาทเลยนะ หรือว่าคุณยังมีอะไรข้องใจอีก” คนขับแท็กซี่ถามกลับเสียงสูง
     
                    “เปล่าครับๆ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น...แต่ว่าไอ้กระเป๋าใบนี้มันไม่ใช่ของผมจริงๆ เดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้คุณดู” ว่าแล้วเรวินทร์ก็เปิดกระเป๋าค้นหาหลักฐานเพื่อมายืนยันกับคนขับแท็กซี่
     
                    โชคดีที่ในช่องเสียบบัตรมีทั้งรูปถ่ายของเจ้าของกระเป๋า อีกทั้งบัตรประชน บัตรประจำตัวผู้ขับขี่และบัตรอื่นๆ อีกสารพัด ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น คนขับแท็กซี่ก็ได้อันตรธานหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
     
                    “เอ๋...หายไปไหนเร็วจริง”
     
                    หนุ่มลูกครึ่งส่ายศีรษะ ก่อนก้มลงเพื่อพิศดูรูปหน้าเจ้าของกระเป๋าจากรูปถ่ายอีกครั้ง รูปเล็กๆ สี่ห้าใบก็เพียงพอให้เขารู้จักสมาชิกในครอบครัวของเจ้าของกระเป๋าจนเกือบครบ เขารู้สึกติดใจกับรูปถ่ายหน้าเต็มของหญิงสาวที่ปั้นหน้าเคร่ง หากแต่นัยน์ตาคมหวานของเธอกลับดึงดูดสายตาเขาพิกล คุ้นหน้าเหมือนว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนนะ และเมื่อเขาพลิกดูบัตรอื่นๆ ประกอบ ก็จำได้ทันที เธอคือคนที่เขาเดินชนหน้าบริษัทเมื่อชั่วโมงก่อนนั่นเอง
     
                    “นางสาวอิสรีย์ พุ่มพนาวัลย์ พนักงานโปรแกรมเมอร์ของบริษัทอเมทิสต์ อายุไม่เท่าไหร่ แค่ยี่สิบเก้าก็เป๋อซะขนาดนี้แล้ว” เขาสอดนามบัตรของเธอเก็บมันเข้าช่องเสียบบัตรตามเดิม เก็บรูปเก็บบัตรทุกอย่างเข้าที่ คงต้องจัดการโทรไปบอกเสียหน่อยว่าเขาเก็บกระเป๋าเงินของเธอได้
     
                    อ้ะ! ไม่ใช่สิ ถูกยัดเยียดมาต่างหาก
     
                    ชายหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมา กดเลขโทรศัพท์ตามเบอร์ที่พิมพ์อยู่ในนามบัตร แต่ทว่าเสียงที่ตอบรับ...
                    “เลขหมายที่ท่านเรียกยังไม่เปิดให้บริการในขณะนี้ค่ะ”
     
                    “ให้มันได้อย่างนี้สิ ยายเป๋อสมบูรณ์แบบเอ๊ย กระเป๋าไว้ค่อยเอาพรุ่งนี้แล้วกัน” เขาค่อนก่อนเปลี่ยนเป็นโทรหาทิษณุแทน ให้อีกฝ่ายช่วยเป็นธุระจัดการให้ไปแจ้งเรื่องกระเป๋าเงินกับเธอ ทำงานตึกเดียวกันไม่น่าจะยากอะไร…
    .
    .
    .
    .
    .
     
                    เจ้าของเรือนร่างสูงในชุดแบลคไทสีขาวสะอาดตา สำรวจความเรียบร้อยของตนเองในกระจกเงาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้อง โดยไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าเงินที่ได้มาจากคนขับแท็กซี่ติดมือมาด้วย เขาขี้เกียจเข้าบริษัทอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เลยกะว่าจะส่งมอบกระเป๋าเจ้าปัญหาให้ทิษณุเสียเลยในคืนนี้ เพื่อว่าอีกฝ่ายจะได้นำมันไปส่งคืนยังเจ้าของที่บริษัท และทันทีที่ลงไปยังโถงรับแขกชั้นล่างของคอนโดมิเนียม ชายวัยกลางคนในชุดซาฟารีสีน้ำเงินก็รีบก้าวเข้ามาหาเขาทันที
     
                    “สวัสดีครับคุณไรท์”
     
                    “ลุงอ๊อด!” เรวินทร์ร้องทัก พลางยิ้มร่าด้วยความดีใจ “ทำไมลุงถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะนี่”
     
                    “คือคุณ...ให้ผมมารับคุณไรท์ไปงานเลี้ยงครับ” คนขับรถตอบโดยเว้นวรรคไม่เอ่ยถึงชื่อบุคคลที่สั่งให้นำรถมารับชายหนุ่ม เพราะเจอกำชับกำชาจากนายของบ้านให้ปิดปากให้สนิท
     
                    เรวินทร์กลับเข้าใจว่าทิษณุเป็นคนสั่งให้คนขับรถมารับแทน “เจ้าท็อปกลัวผมหลงทางไปโรงแรมไม่ถูกหรือไง ถึงต้องให้ลุงอ๊อดมารับผมเนี่ย”
     
                    “คุณไรท์ไม่ได้กลับเมืองไทยมาเกือบสองปีแล้ว ถนนหนทางในกรุงเทพมันเปลี่ยนไปเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ”
     
                    “โอ้โหขนาดนั้นเลยเหรอลุง ผมว่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากมายนา” หนุ่มลูกครึ่งส่ายศีรษะนึกขำ ขณะเดินตามคนขับรถไปยังรถยุโรปคันโตที่จอดอยู่หน้าตึก
     
                    “ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ คุณไรท์ไม่ค่อยอยู่ในประเทศไทยเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็ไม่ชินง่ายๆ หรอก โอกาสหลงมีมากอยู่นะครับ” นายอ๊อดยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น พร้อมทั้งวิ่งไปเปิดประตูห้องโดยสารด้านหลังให้ผู้เป็นนาย
     
                    “นั่งหน้านี่ล่ะลุง จะได้คุยกันถนัดๆ หน่อย” เรวินทร์ไม่สนไปเปิดประตูด้านหน้าและก้าวเข้าไปนั่งอยู่ตรงข้างคนขับแทน
     
                    คนขับรถเก่าแก่ประจำตระกูลไม่ขัดความประสงค์ เมื่อนายเต็มใจนั่งหน้าคู่กับเขา จะไปขัดใจทำไมแค่ทำหน้าที่สารถีของตนให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
    .
    .
    .
    .
    .
                   
                    สาวสวยในชุดราตรีเกาะอกสีม่วงอ่อนที่ยืนยิ้มหวานอยู่หน้าทางเข้างาน ทำเอาเรวินทร์ชะงักฝีเท้า สตรีที่เขาไม่ต้องการพบหน้ามากที่สุดยามกลับมาเมืองไทย ไหนทิษณุว่าจะจัดการแม่เลี้ยงของเขาให้ไปงานเลี้ยงที่อื่นอย่างไรล่ะ เขาหันรีหันขวางสองจิตสองใจ ว่าควรจะเดินหน้าเข้าไปร่วมงานเลี้ยงของบริษัทในครั้งนี้ดีไหม
     
                    “นั่นเรวินทร์ใช่ไหม” เสียงทักทายพร้อมกับชายร่างท้วมที่ขยับเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าอวบอูมนั้นฉายแววยินดีเป็นอย่างยิ่ง
     
                    “สวัสดีครับคุณอาปองพล” เรวินทร์ทักทายกลับและไม่ลืมมารยาทแบบไทย ยกมือไหว้ทำความเคารพฝ่ายที่อาวุโสกว่าทันที
     
                    “อาดีใจจริงๆ ในที่สุดหลานก็กลับมาสักที อามีธุระจะคุยด้วยหน่อย”
     
                    “ธุระอะไรเหรอครับ” เรวินทร์มองคนพูดอย่างแปลกใจ ถึงแม้ทางญาติๆ ของเขาจะรู้สึกเป็นอริกับอีกฝ่าย แต่สำหรับตัวของเขาเองนั้นไม่ได้ติดใจหรือโกรธแค้นอะไร คนทำธุรกิจร่วมกันย่อมต้องมีความเห็นขัดแย้งไม่ลงรอยกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกันได้ทุกองค์กร
     
                    “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เสี่ยปองพลเอ่ยชวน
     
                    ทว่าทั้งคู่ยังไม่ทันได้ขยับเดิน ‘นาตยา’ แม่เลี้ยงของเรวินทร์ก็เคลื่อนเข้ามาประชิดตัวหนุ่มลูกครึ่งได้เสียก่อน
     
                    “คุณไรท์...นาตดีใจจังที่คุณไรท์ยอมกลับมาเมืองไทย น้องเพลงคงดีใจมากๆ ที่ครอบครัวได้มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที”
     
                    สองหนุ่มต่างวัยขมวดคิ้วแทบจะพร้อมกัน กับกริยาประจ๋อประแจ๋เกินงามของสาวใหญ่ เรวินทร์เหมือนน้ำท่วมปากจะพูดจะจาติเตียนอะไรก็ไม่ถนัดนัก เพราะมีคนนอกอย่างเสี่ยปองพลอยู่
     
                    ส่วนเสี่ยปองพลเองนั้นก็ไม่ใคร่ชอบใจเธอเท่าไหร่เช่นกัน เขาถึงกับติเตียนอย่างไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว “คุณนาต คุณไม่เห็นหรือว่าผมกำลังคุยธุระเรื่องงานกับหลานอยู่”
     
                    ด้านแม่เลี้ยงสาวของเรวินทร์จะรู้สำนึกหรือก็หาไม่ เจ้าตัวยักไหล่แบบไม่ยี่หระตอบโต้อีกฝ่ายกลับทันควัน “แหมเสี่ยนี่มันเลยเวลาทำงานมาตั้งนานแล้วนะคะ จะคุยอะไรกันนักหนา เรื่องงานเอาไว้ค่อยคุยกันที่บริษัทพรุ่งนี้ก็ได้ คืนนี้อุตส่าห์จัดงานปาร์ตี้ทั้งที มาสนุกกันให้เต็มเหวี่ยงกันดีกว่า...จริงไหมคะคุณไรท์”
     
                    “ขอโทษนะคุณนาต...ผมยังมีเรื่องคุยกับคุณอาค้างอยู่ ผมว่าคุณเข้าไปในงานก่อนเถอะ” เรวินทร์ปฏิเสธนิ่มๆ แบบไม่ไว้หน้าอีกฝ่าย
     
                    “นาตว่าคุณไรท์เข้าไปพร้อมนาตดีกว่านะคะ คุณสินรออยู่ข้างในแล้วนะคะ ไปเถอะค่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานๆ ไม่ดีนะคะ” แม้จะโดนหักหน้าเต็มๆ แต่นาตยาก็ไม่สนยังคงพยายามออดอ้อน ตื้อลากแขนของลูกเลี้ยงหนุ่มให้เข้าไปห้องสำหรับจัดงานจนได้ ทิ้งให้เสี่ยปองพลยืนหน้าหงิกหน้างอ
     
                    ภายในห้องจัดเลี้ยง...เพียงแค่ทั้งคู่ย่างเท้าเข้าไป บรรดาช่างภาพจากนิตยสารต่างๆ พากันรุมเข้ามาถ่ายรูปของทั้งสองอย่างรวดเร็ว เรวินทร์นั้นแทบอยากจะเดินกลับออกจากงานไปเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่อานุภาพกรงเล็บของแม่เลี้ยงสาวที่จิกแน่นอยู่กับต้นแขนของเขา ทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ นี่ถ้าไม่คำนึงถึงมารยาททางสังคม เขาคงสะบัดแขนหลุดไปตั้งนานแล้ว
     
                    “อุ๊ย! น้องๆ อย่าเพิ่งถ่ายสิจ๊ะ ขอพวกพี่เตรียมตัวแป๊บนะ” แม่เลี้ยงสาวแสร้งทำเป็นห้ามปรามพวกช่างภาพ ก่อนจะหันมาฉะอ้อนลูกเลี้ยงเสียงหวาน “คุณไรท์ยิ้มหน่อยสิคะ หน้าบึ้งแบบนี้เดี๋ยวรูปถ่ายก็ออกมาไม่สวยกันพอดี”
     
                    “ผมไม่จำเป็นต้องถ่ายรูป...” เรวินทร์พูดยังไม่ทันจบประโยค จู่ๆ แขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกกระตุก เมื่อหนุ่มลูกครึ่งหันไปอีกด้าน เจอเข้ากับริมฝีปากบางของสาวหมวยหน้าคม ประทับที่ข้างแก้มเขาอย่างรวดเร็ว
     
                    “ไฮ! ไรท์กลับมาเมืองไทยทำไมไม่โทรบอก คิดถึงจัง”
     
                    บรรดาช่างภาพต่างเก็บภาพวินาทีสำคัญนี้ไว้อย่างว่องไว เสียงรัวชัตเตอร์ดังระงม
     
                    “อ้าวหยก!” เรวินทร์เลิกคิ้วยิ้มให้คนข้างกายอย่างโล่งใจ แม้จะงุนงงนิดหน่อยกับการทักทายแบบสนิทสนมเกินเหตุของเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ แต่เขาคร้านจะหาเหตุผล เพราะเพียงแค่เธอก้าวเข้ามา ก็ช่วยฉุดเขาให้หลุดจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ได้
     
                    “ต๊าย! มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ยคุณเพชรพลอย นาตไม่ยักเห็น แหมไม่มาทักทายกันบ้างเลยนะคะ ไม่ต้องถึงขนาดคิสแบบคุณไรท์ก็ได้ ยกมือไหว้แบบไทยๆ ก็พอ” นาตยาเหน็บแนม ไม่ยอมให้อีกฝ่ายแย่งชิงพื้นที่ความสนใจจากสื่อและคนรอบข้างไปได้หรอก
     
                    “มาพร้อมคุณพ่อนั่นล่ะค่ะ แต่ป้านาตคงไม่เห็นเพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการต้อนรับแขกอยู่ล่ะมั้ง” เพชรพลอยตอบยิ้มๆ กับสรรพนามที่จงใจเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ป้า’
     
                    “แหมเรียกป้าเลยเหรอคะ คุณนาตน่ะยังแก่ไม่พอที่จะเป็นพี่สาวของพ่อคุณได้หรอกค่ะ” สาวใหญ่โต้กลับด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม หากแต่ดวงตานั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
     
                    “เรียกตามศักดิ์น่ะค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะถือด้วย” เพชรพลอยกล่าวก่อนหันไปสนใจกับหนุ่มข้างตัว “ทานอะไรมาหรือยังไรท์”
     
                    “ยังเลย” เขาตอบ
     
                    “ถ้าอย่างนั้นไปหาอะไรทานกันก่อนเถอะ เดี๋ยวหยกพาไป” เพชรพลอยว่าพลางคล้องแขนของเขาพาออกเดิน ฉกเรวินทร์ไปจากม่ายสาวใหญ่แบบนิ่มๆ หากไม่วายทิ้งท้ายเน้นย้ำ ให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น “งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ นานๆ เพื่อนสนิทจะได้เจอกันที ก็อยากจะคุยแบบเป็นการส่วนตัว หวังว่าคุณนาตคงจะเข้าใจ หยกขอนะคะ”
     
                    “เชิญเถอะค่ะ” นาตยากระตุกยิ้มให้อย่างเย็นชา ก่อนสะบัดหน้าพรืดเดินเชิดๆ จากไปอีกทาง
     
                    เมื่อทั้งคู่เดินห่างจากนาตยามาไกลพอสมควร เรวินทร์เอ่ยขอบคุณเพื่อนสาวทันที “ขอบใจเธอมากนะหยกที่ช่วยเราจากคุณนาต”
     
                    “นายต้องขอบใจเสี่ยปอง...พ่อฉันโน่น ที่ให้ฉันมาประกบนายเอาไว้” เพชรพลอยเอ่ยยิ้มๆ
     
                    “แน่ใจเหรอหยกว่าพ่อสั่งให้ทำ” เสียงห้าวยียวนที่ขัดขึ้นทำให้สองหนุ่มสาวหยุดชะงัก มองผู้มาใหม่ ที่ก้าวเข้ามาสมทบร่วมวงสนทนาด้วย
     
                    “แล้วเกี่ยวอะไรกะนายด้วยล่ะ นายท็อป” หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มย้อนถามเสียงสูง ใบหน้าเก๋ไก๋ที่แย้มยิ้มเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเรียบขึงขึ้นมาทันที
     
                    “ไม่ได้อยากเกี่ยวอะไรด้วยนักหรอก แค่ทนฟังคำโกหกไม่ได้นิดหน่อย ฟังแล้วมันแสลงหูพิกล” ทิษณุว่าพลางใช้นิ้วก้อยแยงหูข้างหนึ่งของตนเอง
     
                    “ไอ้บ้า! มาทางไหนก็ไปทางนั้นเลย ไปไกลๆ เลยไป๊!” เพชรพลอยบริภาษพร้อมทั้งเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า
     
                    “ไม่ไป มีอะไรเปล่า” ทิษณุลอยหน้าลอยตายั่วแหย่ไม่เลิก
     
                    เรวินทร์ส่ายหน้าอ่อนระอากับเพื่อนทั้งสองคน ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วหนุ่มสาวคู่กัดคู่นี้เจอกันทีไรเป็นต้องทะเลาะกันทุกทีไม่เคยพูดจากันดีๆ สักครั้ง ทิษณุก็เหลือเกินแอบชอบเพชรพลอยก็ไม่ยอมพูดกับเจ้าตัวตรงๆ ยังใช้วิธีการแบบเด็กๆ ที่เด็กผู้ชายมักกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงที่ชอบเพื่อดึงความสนใจจากเธอ...เหมือนเคยไม่พัฒนาเอาซะเลย
     
                    “พวกนายนี่น้า โตจนเป็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่เลิกทะเลาะกันอีกเหรอ สุภาษิตไทยว่ายังไงนะ ยิ่งเกลียดยิ่งรักกันใช่ไหม”
     
                    สองหนุ่มสาวสะดุ้งโหยง ที่กำลังจ้องหน้าจ้องตากันราวจะกินเลือดกินเนื้อต้องเลิกราไปโดยอัตโนมัติ ต่างพากันสะบัดหน้าหนีไปคนละทิศคนละทางทันที
     
                    “พูดบ้าๆ น่าไรท์” ทิษณุแหวกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าแดงก่ำ
     
                    “ไปที่อื่นเถอะไรท์ ขืนอยู่ตรงนี้นานๆ หยกได้กลายเป็นฆาตกรไปก่อนแน่” เพชรพลอยว่าพลางดึงแขนของหนุ่มลูกครึ่งให้เดินไปอีกทาง แต่เรวินทร์กลับขืนกายเอาไว้ ไม่ยอมก้าวตามเธอไป
     
                    “ขอเราคุยกับท็อปก่อนนะ”
     
                    ทิษณุหัวเราะใส่หญิงสาวเสียงดัง ที่โดนเรวินทร์หักหน้าเข้าอย่างจัง
     
                    “ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะนายท็อป ฉันมีเรื่องที่ต้องสะสางกับนาย ไหนว่าจะกันคุณนาตให้ฉันไง” เสียงหนักเข้มกับสีหน้าที่เรียบตึงของญาติสนิท ทำให้ทิษณุจำต้องหยุดขำ ยกมือไหว้อีกฝ่ายปะหลกๆ
     
                    “ขอโทษจริงๆ นะ ฉันพยายามแล้วแต่มันหางานเลี้ยงอื่นไม่ได้จริงๆ นี่หว่า”
     
                    “ให้คนไม่ได้เรื่องทำงานก็เป็นแบบนี้แหละ” เพชรพลอยแทรกขึ้นพลางยิ้มเย้ยเอาคืนอีกฝ่ายบ้าง
     
                    “ไม่เกี่ยวกับเธอเลยนะ” ทิษณุถลึงตาดุใส่
     
                    “ไม่ต้องไปหาเรื่องหยกเขาเลย นายนั่นแหละผิดเต็มๆ รู้ว่ากันคุณนาตไม่ได้ ทำไมถึงไม่โทรบอกฉันล่วงหน้าล่ะ”
     
                    “ก็...ฉันกลัวว่าถ้าบอกไปนายจะเบี้ยวไม่มางานเลี้ยงในคืนนี้นี่”
     
                    “แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่า ถ้าฉันไม่พอใจขึ้นมาฉันก็อาจกลับคอนโดฯ อย่างกะทันหันก็ได้นะ” เรวินทร์ขู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
     
                    “นายไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า นายก็รู้เรื่องดีนี่ว่าตอนนี้สถานการณ์ในบริษัทเราเป็นยังไง”
     
                    เพชรพลอยอดไม่ได้อีกครั้งต้องสอดขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้ “เป็นยังไงเหรอ ที่บริษัทกำลังจะเจ๊งเพราะการบริหารงานที่ไม่ได้เรื่องของใครบางคนมากกว่าละมั้ง”
     
                    “นี่ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน เด็กอย่างเธอน่ะเงียบไปเลย” ทิษณุขมวดคิ้วทำเสียงดุใส่หญิงสาว
     
                    “โถพ่อคุณ แก่ตายนักล่ะเกิดก่อนแค่ไม่กี่วันมาทำข่ม” เพชรพลอยเบะปากดูถูก ก่อนหันไปคว้าแขนหนุ่มลูกครึ่งพาลากหนีไปจากทิษณุ “ไปเหอะไรท์ไปนั่งโต๊ะของหยกกับป๊าดีกว่า อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระจากนายท็อปเลย พูดมาได้ว่าอเมทิสต์สถานการณ์ย่ำแย่ ปีที่แล้วบริษัททำกำไรได้ตั้งหลายสิบล้าน”
     
                    “เฮ้ย! ได้ไงล่ะ นายต้องไปพบคุณพ่อกับฉันก่อนสิไรท์” ทิษณุรีบคว้าแขนอีกข้างของญาติสนิทไว้อย่างรวดเร็วเช่นกัน กลายเป็นว่าเกิดการยื้อยุดกันขึ้นโดยมีหนุ่มลูกครึ่งเป็นคนกลาง แขนทั้งสองข้างโดนดึงทึ้งจากทิษณุและเพชรพลอย
     
                    “โอ๊ย! พอกันที” คนโดนดึงแขนตะคอกเสียงดัง พลางสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของคนทั้งคู่
     
                    สองหนุ่มสาวหน้าหดเหลือสองนิ้ว ไม่กล้าเซ้าซี้เรวินทร์ต่อ เพราะจับอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ว่าคงกำลังเดือดกรุ่นพวกเขาเต็มที่แล้ว ขณะที่ทิษณุกำลังคิดไม่ออกว่าจะง้อเพื่อนให้หายโกรธอย่างไรดีนั้น ก็เหมือนกับฟ้าได้ประทานคนช่วยมาให้เขาโดยเฉพาะ
     
                    “มีอะไรกันหรือท็อป...ไรท์ ทำไมถึงยังไม่ไปนั่งที่โต๊ะล่ะ จวนได้เวลาแล้วนะ” คุณสินทวี...บิดาของทิษณุนั่นเองที่เข้ามาช่วยละลายความตึงเครียดให้หายไป
     
                    “ก็ว่ากำลังจะไปอยู่นี่ล่ะครับคุณพ่อ” ทิษณุยิ้มเจื่อนๆ ให้บิดา
     
                    “สวัสดีค่ะคุณลุงสิน” เพชรพลอยทำความเคารพ
     
                    “อ้าวหนูหยกอยู่ด้วยหรือ” คุณสินทวีอุทานพลางเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจนิดหน่อย
     
                    “ค่ะ หยกกำลังชวนไรท์ไปนั่งคุยที่โต๊ะด้วยกัน คุณลุงคงไม่ขัดข้องนะคะ” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายชิงตัดหน้าแย่งตัวเรวินทร์ไปได้หรอก
     
                    “คงต้องถามความสมัครใจของคนกลางดูเอาว่าอยากไปรึเปล่า...ใช่ไหมไรท์” คุณสินทวีไม่ยอมตอบตกลง แต่หันมาถามหลานชายในตอนท้ายแทน
     
                    “ผม...เอ่อ” คนที่ถูกโยนลูกได้แต่อ้ำอึ้ง
     
                    เพชรพลอยจึงยื่นหน้าไปกระซิบที่หูของหนุ่มลูกครึ่ง “คิดดูดีๆ นะไรท์ ถ้านายไปนั่งโต๊ะเดียวกับคุณลุง นายได้เจอคุณนาตแน่!”
     
                    “งั้นหยกก็ไปนั่งที่โต๊ะกับเราด้วยสิ” เรวินทร์ยิ้มตอบพลางคว้ามือสาวสวยมาเกาะกุม ก่อนหันไปบอกผู้เป็นลุง “คงไม่ว่านะครับถ้าหยกจะไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย”
     
                    “ลุงไม่ขัดข้องหรอก แต่หนูหยกนี่สิคุณปองจะไม่ตำหนิเอารึ พาลูกสาวคนสวยมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเราแบบนี้ แทนที่คืนนี้หนูหยกจะได้พูดคุยกับญาติๆ”
     
                    “คุณลุงไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ป๊าไม่ถือโกรธหรอกค่ะ ดีเสียอีกได้นั่งโต๊ะเดียวกับไรท์ จะได้คุยกันนานๆ” เพชรพลอยยักไหล่ไม่เห็นว่าการนั่งโต๊ะกับคู่อริของครอบครัวจะเป็นเรื่องสลักสำคัญ เพราะเรื่องที่สำคัญในคืนนี้จริงๆ คือการตามประกบติดเรวินทร์ไม่ให้คลาดสายตาต่างหาก
    .
    .
    .
    .
    .
     
                   
                    ภายในห้องจัดเลี้ยงนั้นเงียบสนิท สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อต่างจับจ้องไปยังบุรุษร่างสูงใหญ่ ที่ยืนอยู่กลางเวที ใบหน้าคมเข้มของหนุ่มลูกครึ่งหงิกหงอขนาดหนัก เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับเสียงตนไม่ให้สั่น ในขณะที่ตอนนี้รู้สึกเหมือนหูตาพร่าพรายไปหมด
     
                    “เอ่อ...คือ”
     
                    มือไม้ของเรวินทร์เย็นเฉียบ เขาพยายามไล่สายตาไปตามตัวอักษรจิ๋วๆ บนแผ่นกระดาษที่เรียงแถวยาวเป็นพรืด ใช่ว่าเขาอ่านภาษาไทยไม่ออก แต่เจ้าความตื่นเต้นที่แทบทะลุออกมาจากอกนี่สิ ทำเขาหูอื้อตาลาย มองเห็นตัวอักษรภาษาไทยกลายเป็นภาษามนุษย์ต่างดาวไปซะฉิบ อ่านสคริปท์เปิดงานของทิษณุไม่ออก เขาหันไปมองญาติสนิทแบบไม่มั่นใจ
     
                    “พูดเลยสิไรท์ ทุกคนรอฟังนายอยู่นะ” ทิษณุป้องปากบอกเขาเบาๆ มาจากมุมเวที เอาใจลุ้นกับหนุ่มลูกครึ่งเต็มที่
     
                    ชายหนุ่มเหงื่อแตกซิก ขบกรามแน่นอย่างระงับโทสะ ถ้าไม่ใช่เพราะแผนการของทิษณุ เขาคงไม่ต้องถูกพิธีกรบ้าๆ และพวกญาติๆ บีบบังให้ขึ้นมาพูดบนเวทีแบบนี้หรอก เขาสูดลมหายใจเข้าปอด ยังไงก็คงอ่านสคริปท์บทพูดไม่ได้แน่ จึงตัดสินใจร่ายสดแทน
     
                    “สวัสดีครับ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบสามสิบปีของอเมทิสต์ หวังว่าทุกท่านคงจะมีความสุขกับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้นะครับ ขอบคุณครับ”
     
                    ทันทีที่กล่าวเปิดงานจบเขาก็รีบผละจากโพเดียมด้วยความอายสุดขีด ก้าวลงจากเวทีเล็กๆ นั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อไปเล่นงานต้นตอคนที่ทำให้เขาต้องยุ่งยาก…ทิษณุ
     
                    “นายท็อป!” เรวินทร์ส่งเสียงเข้มรอดไรฟันพร้อมทั้งเข้าไปคว้าคอของญาติสนิทเอาไว้
     
                    “อะไรเหรอไรท์” ทิษณุเลิกคิ้วพลางปั้นหน้ายิ้มสู้เต็มที่
     
                    “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบทำอะไรแบบนี้...แล้วยังแกล้งฉันอีกเหรอ”
     
                    “เอาน่าอีกหน่อยนายก็ชิน ฝึกไว้เผื่อตอนที่นายได้เป็นประธานบอร์ด ต้องออกงานเลี้ยงอย่างนี้อีกบ่อยๆ แล้วฉันไม่ได้คิดแกล้งนายนะเว้ย นี่เป็นแผนที่พ่อฉันคิดเอาไว้เตรียมรับมือเสี่ยปองโน่น” ทิษณุโยนทุกอย่างให้ผู้เป็นบิดาหน้าตาเฉย เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรเรวินทร์คงไม่กล้าไปโวยวายใส่บิดาของตน
     
                    “เฮอะ! อย่าหวังว่าจะมีวันนั้นเลย” เรวินทร์บ่นงึมงำ พลางสอดส่ายสายตามองรอบกาย “แล้วนี่หยกไปไหนล่ะ”
     
                    “ยายนั่นเหรอ โน่นเผ่นกลับไปหาพ่อตั้งแต่นายขึ้นไปพูดเปิดงานแล้ว คงเสียหน้าแหละที่พ่อของตัวไม่ได้เป็นคนเปิดงาน” ทิษณุบุ้ยใบ้ไปทางกลุ่มของเสี่ยปองพลและเพชรพลอย ที่ยืนกอดอกตีหน้าเครียดอยู่อีกด้านหนึ่งของเวที ดูเหมือนว่าสองพ่อลูกกำลังสนทนาอยู่กับคุณสินทวีและนาตยา
     
                    “งั้นฉันกลับล่ะ”
     
                    “เฮ้ย! เดี๋ยวดิ จะไปไหนล่ะไรท์ งานยังไม่จบนะโว้ย!” ทิษณุโวยเสียงดังลั่น พลางวิ่งตามร่างสูงของเรวินทร์ไปติดๆ เพื่อขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายออกจากงานไปได้
     
                    เสียงของทิษณุนั้นดังพอที่จะทำให้การโต้เถียงของคนทั้งสี่ยุติลงได้เล็กน้อย เพชรพลอยรีบแยกตัวและวิ่งตามสองหนุ่มไป ทิ้งเสี่ยปองพลให้อยู่เผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามเพียงลำพัง
     
                    “อย่านึกนะว่าพวกคุณมีไรท์แล้วจะขวางผมได้”
     
                    “ได้ไม่ได้ไม่รู้นะคะ แต่ก็ทำให้ใครบางคนในที่นี้ไม่ได้ขึ้นไปเปิดงานคนแรกแหละค่ะ” นาตยาจีบปากจีบคอพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างเป็นต่อ
     
                    “จำไว้เลยพวกคุณทั้งสองคน ผมไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก ถ้าผมทำอะไรรุนแรงไปอย่าหาว่าผมร้ายแล้วกัน” เสี่ยปองพลขู่นัยน์ตาวาวโรจน์
     
                    คุณสินทวีส่ายศีรษะพลางเอ่ยอย่างคนที่มีวัยวุฒิมากกว่า “อายุก็ปูนนี้ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ กันแล้วนะครับเสี่ย จะได้ต้องมาคอยรับฝากความแค้นกันไปมา ไม่เอาล่ะ”
     
                    “ไม่ต้องมาใช้คำพูดสวยหรูดูดีเลยคุณสิน ปั้นหน้าหลอกคนอย่างผมไม่สำเร็จหรอก ระวังตัวไว้ให้ดีเหอะ โดยเฉพาะเรื่องของเรวินทร์...” ทว่าเสี่ยปองพลไม่ทันได้พูดจบ พิธีกรบนเวทีก็ประกาศเชื้อเชิญเขาให้ไปกล่าวทักทายแขกเหรื่อเป็นลำดับต่อไป ทำให้เขาต้องเลิกราไปโดยปริยาย ได้แต่จ้องหน้าท้าทายคนทั้งคู่ทิ้งท้ายก่อนก้าวเข้าไปยืนยิ้มหน้าแท่นโพเดียมพลางเอ่ยทักทายกับผู้คนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยง
     
                    “โอ๊ย! นาตหัวใจจะวายจริงๆ เลยค่ะพี่สิน เสี่ยปองพลนี่แกร้ายน่าดูเลยนะคะ ขู่ได้ขู่ดีอยู่นั่นล่ะ แล้วยังยายลูกสาวก็อีกคนไม่รู้ป่านนี้จะคาบข่าวอะไรไปเป่าหูไรท์บ้าง”
     
                    “ก็แค่คำขู่คุณจะกลัวอะไรล่ะคุณนาต เขาก็ขู่เรามาอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่” คุณสินทวียักไหล่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
     
                    “แต่ว่าเรื่องของเรวินทร์ล่ะ”
     
                    “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ยังไงทิษณุก็จัดการได้” คุณสินทวีกล่าวตบท้ายด้วยความมั่นใจ ในฝีมือของบุตรชายกับการกันเพชรพลอยไม่ให้เข้าไปยุ่มย่ามกับเรวินทร์ได้
     
    +++++++++++++++++++++++++++++
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×